|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลเวือะ,ปกาเกอะญอ,การปรับตัว,การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,ภาคเหนือ,ประเทศไทย |
Author |
John S. Kunstadter |
Title |
Socio-Cultural Change among Upland Peoples of Thailand Lua and Karen-Two Modes of Adaptation |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ละว้า ลัวะ ว้า, ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า, ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
10 |
Year |
2511 |
Source |
บทความเสนอในที่ประชุมสัมมนา |
Abstract |
ลัวะและกะเหรี่ยงมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ สังคม ในประเทศไทยในแนวทางที่แตกต่างกัน สำหรับลัวะพบว่าการปรับตัวกลายเป็นไทยเป็นเรื่องง่ายกว่ากะเหรี่ยง และเมื่อระบบเศรษฐกิจของลัวะตกต่ำมีลัวะจำนวนมากอพยพเข้าสู่พื้นที่ราบเพื่อกลายเป็นแรงงานและกลายเป็นไทย กะเหรี่ยงประสบความสำเร็จในการปรับตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าลัวะ โครงสร้างทางสังคมกะเหรี่ยงและสถานที่ตั้งทำให้เกิดการดำรงอัตลักษณ์เฉพาะของกะเหรี่ยงให้คงอยู่ แต่ในขณะเดียวก็เป็นโครงสร้างที่ยอมให้กะเหรี่ยงประสบความสำเร็จในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดของประเทศไทย (หน้า 10) |
|
Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะและกะเหรี่ยง อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย กระบวนการปรับเปลี่ยนการตั้งถิ่นฐานทั้งในพื้นที่สูงและพื้นที่ราบ และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์เข้าสู่สังคมไทย (หน้า 1) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลัวะและกะเหรี่ยง ในภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลัวะส่วนใหญ่พูดได้หลายภาษาหรืออย่างน้อยจะรู้มากกว่า 1 สำเนียง ทั้งชายและหญิงส่วนใหญ่สามารถพูดกะเหรี่ยงได้ และผู้ชายลัวะหลายคนรู้ภาษาไทยภาคเหนือ ภาษาไทย และพม่าบ้างพอสมควร ลัวะที่อพยพเข้ามาอาศัยในพื้นที่หุบเขาเริ่มใช้ภาษาไทยภาคเหนือเป็นเสมือนภาษาประจำบ้าน เด็กๆ บางคนไม่สามารถพูดภาษาลัวะได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ลัวะมักจะใช้ภาษาไทยภาคเหนือในการเล่าเรื่องตลกหรือจีบกัน กะเหรี่ยง มักจะตอบว่าตนเองไม่สามารถพูดภาษากะเหรี่ยงได้ดีมากนัก และพูดภาษาอื่นๆ ได้น้อยกว่าลัวะ ผู้ชายกะเหรี่ยงเข้าใจภาษาไทยภาคเหนือบ้างเล็กน้อยแต่ยังพูดด้วยสำเนียงกะเหรี่ยงอยู่ และกะเหรี่ยงด้วยกันจะไม่พูดภาษาไทยกันเหมือนกับลัวะ (หน้า 4-5) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เมื่อประมาณ 700-900 ปีมาแล้ว พื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศไทยปกครองโดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูล มอญ-เขมร ลัวะเป็นกลุ่มชนหนึ่งที่ปกครองดินแดนในแถบนี้ มีตำนานเรื่องเล่าถึงลัวะเคยมีอาณาจักรในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำปิง ต่อมาพื้นที่บริเวณนี้ถูกครอบครองโดยกลุ่มชาติพันธุ์ไท ผลักดันให้ลัวะต้องอาศัยบนพื้นที่สูง (หน้า 2) เมื่อ 150 ปี มาแล้วลัวะอาศัยบนพื้นที่สูงเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กกว่าปัจจุบัน พื้นที่ไร่ของลัวะ มักจะไม่ห่างจากหมู่บ้านเกิน 2 ชั่วโมงในการเดินทาง ทำให้มีที่ดินส่วนอื่นที่ว่างและกระเหรี่ยงเข้ามาอยู่ได้ (หน้า 6-7) กะเหรี่ยงเข้ามาอยู่ในพื้นที่ อำเภอแม่สะเรียง ประมาณ 100-120 ปี แต่สำหรับการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่บริเวณขุนยวม ลุ่มแม่น้ำปิงเป็นกะเหรี่ยงที่เข้ามาก่อนหน้านี้ จากบันทึกประวัติศาสตร์ไทย กะเหรี่ยงอพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อนานมาแล้ว แต่อาจอพยพไปมาระหว่างพื้นที่ประเทศไทยและพม่า เพื่อหาพื้นที่เหมาะสมในการทำไร่ (หน้า 3) หมู่บ้านกะเหรี่ยงขนาดเล็กพบ 120 ปีมาแล้ว โดยจ่ายภาษีหรือเช่าที่ดินจากลัวะบ้างแต่งงานกับลัวะ ตั้งถิ่นฐานในชุมชนลัวะ ซึ่งจะเป็นกะเหรี่ยง 1-2 ชั่วรุ่นก่อนจะกลายเป็นลัวะ (หน้า 7) ราวร้อยปีกว่าที่ผ่านมาทางเหนือของไทยมีการปกครองค่อนข้างซับซ้อนและมีพรมแดนไม่แน่ชัด มีรายงานการบันทึกจากเจ้าฟ้าครองนครเชียงใหม่ว่าลัวะเป็นกลุ่มชนที่ทำไร่หมุนเวียน จ่ายภาษีให้กับเชียงใหม่และเมื่อกะเหรี่ยงเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนลัวะ เจ้าครองนครเชียงใหม่อนุญาตให้ลัวะเก็บภาษีจากกะเหรี่ยงได้ หรือเก็บค่าเช่า 10 เปอร์เซ็นต์จากผลผลิตที่อยู่ในพื้นที่ และกะเหรี่ยงต้องจ่ายภาษีให้กับเจ้าฟ้าผู้ปกครองเชียงใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน (หน้า 7) เมื่อรัฐบาลไทยเข้ามาปกครองทางเหนือ ในช่วง 70 ปี ที่ผ่านมาได้ลดทอนอำนาจของเจ้าฟ้าผู้ปกครองนครเชียงใหม่ รวมถึงยกเลิกการจัดเก็บภาษี รวมถึงรัฐไม่เห็นชอบกับการทำไร่หมุนเวียน และไม่อนุญาตให้ลัวะจัดเก็บภาษีกะเหรี่ยงแต่กะเหรี่ยงยังคงจ่ายภาษีให้กับลัวะอีก 2-3 ปี และมองว่าเงินสำหรับซื้อที่ดิน และเมื่อประชากรกะเหรี่ยงเพิ่มมากขึ้นสร้างแรงกดดันการใช้ที่ดินให้กับลัวะเพิ่มมากขึ้น และในที่สุดให้กะเหรี่ยงมีที่ดินในการทำไร่หมุนเวียนมากกว่าลัวะซึ่งเคยอยู่มาแต่ก่อน (หน้า 7) |
|
Economy |
ลัวะมักจะทำไร่ใกล้กับหมู่บ้านและไม่สนใจที่จะทำงานในพื้นที่ไร่โดดๆ ซึ่งไม่มีเพื่อนบ้านลัวะอยู่ใกล้ๆ ลัวะจะยอมทิ้งไร่หรือให้กะเหรี่ยงเช่าที่ดินเหล่านี้ได้ กะเหรี่ยงไม่มีความรู้สึกเป็นกลุ่มมากเหมือนลัวะ กะเหรี่ยงสามารถทำไร่ในพื้นที่ที่ไม่มีเพื่อนบ้านกะเหรี่ยงอยู่ใกล้ ๆ ได้ ปัจจุบันกะเหรี่ยงขยายพื้นที่การทำไร่ออกไปแพร่กระจายมากกว่า และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเป็นการทำนา ทำไร่ขั้นบันได ในช่วงประมาณ 45 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้กระเหรี่ยงมีพื้นที่ในการทำไร่มากกว่าลัวะ (หน้า 8-9) ผู้ชายลัวะและกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ทำงานงานรับจ้างแรงงานในหมู่บ้านอื่นๆ ลัวะมักจะทำงานให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ลัวะ ในขณะที่กะเหรี่ยงมักจะทำงานกับกะเหรี่ยงด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 6) ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ลัวะหลายคนต้องออกจากธุรกิจชักลากไม้ กะเหรี่ยงซึ่งใช้เงินในการดำรงชีพและ สร้างบ้านน้อยกว่าลัวะ จึงทำให้กะเหรี่ยงมีเงินเก็บมากกว่าและสามารถนำเงินไปซื้อช้างสำหรับขนข้าวออกไปขายในพื้นที่ราบมีกำไรในการขายข้าวและสินค้าอื่น ๆ มากกว่าลัวะ (หน้า 9-10) ปัจจัยที่สำคัญอีกประการที่ทำให้เศรษฐกิจของลัวะตกต่ำลงคือ การเสียค่าใช้จ่ายสูงในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในอดีตมีลัวะบางคนกลายเป็นกระเหรี่ยงเพื่อหลบหนีการเสียค่าใช้จ่ายในการทำพิธีกรรม ในปัจจุบันลัวะบางคนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์เนื่องมาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำส่งผลให้ลัวะบางส่วนอพยพไปยังพื้นที่ราบเป็นแรงงาน และหาโอกาสที่ดีกว่า และผสมผสานกลายเป็นไทยในที่สุด (หน้า 10) |
|
Social Organization |
โครงสร้างทางสังคมลัวะ ปรับตัวได้ดีในการเป็นหมู่บ้านถาวรและทำไร่หมุนเวียน โดยไม่เกิดความขัดแย้ง และการแตกแยก คนที่มีบทบาทสำคัญคือผู้นำทางศาสนา และลัวะมีความเชื่อเกี่ยวกับที่ดินของบรรพบุรุษจะช่วยคุ้มครองและช่วยให้ผลผลิตที่เพาะปลูกได้ผลดีอุดมสมบูรณ์ ทำให้ลัวะยึดติดในพื้นที่ไม่มีการอพยพเคลื่อนย้ายมากนัก (หน้า 9) โครงสร้างทางสังคมหมู่บ้านกะเหรี่ยงจะแยกออกและขยายออกไปยังพื้นที่อื่นๆ มีการอพยพโยกย้าย และกลับมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เดิมเพื่อใช้ประโยชน์ที่ดิน การสืบทอดมรดกของกระเหรี่ยงค่อนข้างสับสนและมีความขัดแย้ง ไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนว่าใครเป็นผู้รับมรดกแน่นอน ความขัดแย้งในโครงสร้างทางสังคมที่สำคัญอีกประการของกะเหรี่ยงคือ การนับถือผู้อาวุโส ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ตามการเกิด แต่รวมถึงในการแต่งงาน ทำให้ผู้ชายที่แต่งงานกับพี่สาวของหัวหน้าหมู่บ้านมักจะไม่ยอมรับอำนาจของหัวหน้าหมู่บ้าน (หน้า 8-9) |
|
Belief System |
ลัวะดั้งเดิมนับถือผีและอำนาจเหนือธรรมชาติต่างๆ รวมถึงให้ความสำคัญกับผีบรรพบุรุษ และมีความเชื่อเกี่ยวกับที่ดินของบรรพบุรุษจะช่วยคุ้มครองและส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรได้ผลดี ทำให้ยึดติดและอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นไม่มีการอพยพเคลื่อนย้ายมากนัก (หน้า 9) ผู้นำทางศาสนา (Samang) สืบทอดตำแหน่งทางฝ่ายบิดา ซึ่งมักจะอ้างถึงการมาจากสายตระกูลผู้ปกครอง ถ้าสายขาด ชาวบ้านจะเรียกร้องสมาชิกมี่มีความสัมพันธ์กับสายตระกูลจากหมู่บ้านอื่นๆ มาเป็นผู้นำทางศาสนาแทน (หน้า 7-8) การเปลี่ยนแปลงศาสนา กะเหรี่ยงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เคยเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นอย่างน้อยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่นเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะกะเหรี่ยงที่อาศัยในพื้นที่ราบนิมนต์พระสงฆ์ประกอบพิธีสำคัญในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ลัวะที่อาศัยในหมู่บ้านบนพื้นที่สูงผู้นำทางศาสนามีอำนาจในการปกครองหมู่บ้านประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในการเซ่นไหว้ผี เทพเจ้าเพื่อปกป้องหมู่บ้าน รวมถึงทำพิธีกรรมเพื่อการทำไร่ การเปลี่ยนแปลงศาสนาของลัวะมีนัยมากกว่ากะเหรี่ยง ลัวะเปลี่ยนศาสนาเนื่องจากเหตุผลของการเจ็บป่วยและไม่ประสบความสำเร็จในการรักษาตามวิถีการแบบดั้งเดิมซึ่งมักจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูง เมื่อสัดส่วนของครัวเรือนที่นับถือศาสนาคริสต์เพิ่มมากขึ้นในหมู่บ้านลัวะ จะต้องมีการพูดจาตกลงระหว่างกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์และกลุ่มที่นับถือผี เทพเจ้าแบบดั้งเดิม กลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์มักจะตกลงที่จะช่วยเหลือค่าใช้จ่าย แรงงาน สิ่งของในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ แม้ว่าจะไม่ได้เข้าร่วมในพิธีกรรม เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของหมู่บ้าน สำหรับในกลุ่มกะเหรี่ยงไม่มีการทำข้อตกลงในลักษณะเช่นนี้เนื่องจากผู้นำทางศาสนาของกะเหรี่ยงไม่มีบทบาทสำคัญต่อหมู่บ้าน และการใช้ที่ดินเหมือนกับหมู่บ้านลัวะ (หน้า 5) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ลัวะ จำนวนมากผสมผสานและกลายเป็นไทย มีหลายคนพูดว่า "ปู่ย่าตายายของพวกเราเป็นลัวะแต่เราเป็นไทย" อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของลัวะยังคงได้รับการรักษาไว้ในกลุ่มลัวะที่อาศัยบนพื้นที่สูง ภูเขา สำหรับลัวะที่อาศัยในพื้นที่หุบเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม และการกลายเป็นไทย พวกเขารู้สึกว่า ศาสนาลัวะนับถือเทพเจ้า ผี ป่า ภูเขา แต่ศาสนาพุทธเป็นวิถีชีวิตของกลุ่มคนที่อาศัยในพื้นที่ราบหุบเขาและพวกเขามีความเห็นว่าเมื่อพวกเขาเลิกนับถือผี และความเชื่อดั้งเดิมเมื่อใดพวกเขาก็จะกลายเป็นไทย (หน้า 3) กะเหรี่ยงแตกต่างไปจากลัวะ พวกเขาแบ่งแยกว่าใครเป็นกะเหรี่ยงและเป็นกลุ่มคนอื่นๆ แนวคิดนี้อาจจะมาจากเมื่อกะเหรี่ยงอาศัยในพม่าและมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ ในดินแดนแถบนี้ กะเหรี่ยงมักจะพูดกับเด็ก ๆ ของพวกเขาให้ประพฤติตัวดีถ้าทำไม่ดีพม่าจะมาเอาตัวไป และในประเทศไทยก็ยังคำพูดในลักษณะนี้เช่นกัน กะเหรี่ยงยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีของตนไว้แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่สูง ภูเขา หุบเขา หรือในเมือง พวกเขามีความคิดว่าวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงต้องรักษาและสืบทอดต่อไป (หน้า 3) |
|
Social Cultural and Identity Change |
กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะและกะเหรี่ยงซึ่งอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย ได้รับผลของการพัฒนาจากภายนอกส่งผลกระทบให้เกิดการปรับเปลี่ยนการตั้งถิ่นฐานและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์เข้าสู่สังคมไทย ลัวะประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนและเข้าสู่สังคมไทยได้อย่างกลมกลืนมากกว่ากะเหรี่ยง จากคำกล่าวของลัวะจำนวนมากว่า "ปู่ย่าตายายของพวกเราเป็นลัวะแต่พวกเราเป็นไทย" อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของลัวะยังคงได้รับการรักษาไว้บนพื้นที่สูง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงมานับถือศาสนาพุทธของลัวะแสดงนัยของการกลายเป็นไทยดังที่พวกเขามีความเห็นว่า "เมื่อลัวะเลิกนับถือผีและความเชื่อดั้งเดิมเมื่อใดพวกเขาก็จะกลายเป็นไทย" (หน้า 3) กะเหรี่ยงประสบความสำเร็จในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดในสังคมไทยได้มากกว่าลัวะ แต่โครงสร้างทางสังคมกะเหรี่ยงและพื้นที่ตั้งทำให้การดำรงอัตลักษณ์ของการเป็นกะเหรี่ยงยังคงอยู่ (หน้า 10) |
|
|