|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,วิถีชีวิต,ศาสนา,พิธีกรรม,กรุงเทพฯ |
Author |
รัชนี ไผ่แก้ว |
Title |
วิถีชีวิตชาวไทยมุสลิมชุมชนหนองจอก |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
152 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง |
Abstract |
ไทยมุสลิมชุมชนหนองจอกมีความสำนึกว่าตนเป็นมุสลิมอย่างแท้จริง มีความศรัทธาในศาสนาอิสลามและรับอิสลามเป็นวิถีในการดำเนินชีวิต ศาสนาอิสลามจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ผู้นำทางศาสนาเป็นผู้ที่มีบทบาทในสังคม โดยครอบครัว โรงเรียนสอนศาสนา และมัสยิดเป็นสถาบันที่สำคัญในการปลูกฝังความศรัทธาและส่งเสริมเยาวชนให้มีจริยธรรมอิสลาม และค่านิยมตามแบบฉบับของบรรพบุรุษในอดีต ยังผลให้เยาวชนเติบโตมาโดยมีความเป็นมุสลิมภายใต้วัฒนธรรมอิสลาม ปฏิบัติตนตามแบบแผนเดียวกัน รวมทั้งในด้านความศรัทธาต่อพระเจ้า อันเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่ในชุมชนต้องปลูกฝังแก่สมาชิกในครอบครัวของตน การใช้ภาษาอาหรับในพิธีกรรมทางศาสนาและการใช้คำภาษามลายูปะปนกับภาษาไทยในการสื่อสารของผู้อาวุโสบางคน เป็นวัฒนธรรมทางภาษาที่คนในชุมชนถ่ายทอดแก่คนรุ่นใหม่สืบต่อมา ปัจจุบันค่านิยมบางประการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ประกอบกับการพัฒนาจากภาครัฐบาลในด้านการคมนาคมและเศรษฐกิจ ทำให้คนในชุมชนต้องติดต่อกับคนภายนอกมากขึ้น ทำให้ชุมชนได้รับอิทธิพลของการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมจากภายนอกและทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอิสลามกับวัฒนธรรมภายนอก (หน้า 4-5) |
|
Focus |
ศึกษาวิถีชีวิตไทยมุสลิมในชุมชนหนองจอก โดยให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตดั้งเดิมซึ่งได้รับอิทธิพลจากหลักปฏิบัติทางศาสนา และวิถีชีวิตปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต |
|
Theoretical Issues |
ไม่มีประเด็นเชิงทฤษฎี หากแต่ผู้เขียนได้นำแนวคิดของการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมมาใช้ในการศึกษา เนื่องด้วยคนชุมชนหนองจอกมีการพบปะกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธมากขึ้น จึงเกิดการรับวัฒนธรรมในศาสนาพุทธเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมอิสลาม (หน้า 120) และผู้เขียนยังเสนอว่า การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมเกิดจากการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม จากวัฒนธรรมภายนอกซึ่งแพร่กระจายเข้ามาในชุมชน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษากลุ่มมุสลิม ผู้ศึกษาให้คำนิยามไว้ว่า คือผู้นับถือศาสนาอิสลามผู้นอบน้อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮ์แต่เพียงผู้เดียว (หน้า 6) มุสลิมชุมชนหนองจอกนี้มีบรรพบุรุษที่ย้ายถิ่นฐานมาจากรัฐปัตตานี บางส่วนมาจากไทรบุรี และอยุธยา (หน้า 37) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
บรรพบุรุษของมุสลิมชุมชนหนองจอกใช้ภาษามลายูในการสื่อสาร(หน้า 37) แต่ปัจจุบันนี้มุสลิมหนองจอกใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร แต่มีคำภาษาอาหรับและภาษามลายูมาผสมผสานบ้าง ชาวชุมชนบางคนพูดภาษามลายูเป็นคำๆปะปนกับภาษาไทย สำหรับภาษาอาหรับ ส่วนใหญ่จะใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา โดยพูดเป็นคำศัพท์เฉพาะโดยใช้คำทับศัพท์บางคำที่เกี่ยวกับศาสนา มุสลิมยังใช้ภาษาอาหรับในชีวิตประจำวันด้วย เพื่อเป็นการปฏิบัติตนตามครรลองของศาสนาอิสลาม เช่น เมื่อจะเข้านอน จะกล่าวภาษาอาหรับเพื่อเป็นการสรรเสริญอัลลอฮ์ (หน้า 121-132) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้มีการอพยพชาวปัตตานีมายังภาคกลางของประเทศไทย รวมทั้งกรุงเทพมหานคร 2 ครั้ง โดยมีสาเหตุจากพระยาปัตตานีก่อการกบฏ จึงทรงโปรดเกล้าฯให้ยกทัพไปตีเมืองปัตตานีและกวาดต้อนชาวเมืองปัตตานีมายังกรุงเทพมหานคร มุสลิมที่ถูกกวาดต้อนมาได้ตั้งถิ่นฐานอยู่รอบๆ ชานกรุง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้น 2 ครั้ง ทำให้มุสลิมในไทรบุรี ปัตตานีถูกกวาดต้อนเข้ามาในกรุงเทพมหานครตั้งบ้านเรือนอยู่นอกเมือง แถวคลองมหานาค คลองส้มป่อย และย่านนางเลิ้ง เมื่อชาวจีนขุดคลองแสนแสบเสร็จแล้ว จึงโปรดเกล้าฯให้มุสลิมที่ถูกกวาดต้อนมาจากปัตตานีและไทรบุรีไปถางป่าจับจองที่ดินตลอดแนวคลองแสนแสบ (หน้า 2,32-34) |
|
Settlement Pattern |
บรรพบุรุษของมุสลิมหนองจอกถูกกำหนดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามริมคลองแสนแสบเป็นกลุ่มๆ ลักษณะการตั้งบ้านเรือนจะอยู่ห่างกันตามพื้นที่ชายคลอง (หน้า 35,38) การปลูกสร้างบ้านเรือนนิยมปลูกติดกันเป็นกลุ่มๆ ตามแนวที่ดินซึ่งกลุ่มเครือญาติกลุ่มนั้นๆถือกรรมสิทธิ์ครอบครอง บางชุมชนจะมีบ้านเรือนปลูกติดต่อกันหนาแน่นในที่ดินขนาดเล็ก ที่ดินซึ่งปลูกสร้างบ้านเรือนส่วนใหญ่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ (หน้า 48) |
|
Demography |
จากข้อมูลของทางราชการ จำนวนประชากรของแขวงหนองจอกมีชาย 6,057 คน หญิง 6,172 คน แขวงกระทุ่มราย ชาย 9,849 คน หญิง 10,132 คน แขวงคู้ฝั่งเหนือ ชาย 4,035 คน หญิง 4,141 คน แขวงโคกแฝด ชาย 8,566 คน หญิง 8,801 คน (หน้า 43) |
|
Economy |
ในอดีต ชาวชุมชนหนองจอกมีอาชีพทำนาและเลี้ยงควายเพื่อไถนา สมาชิกในครอบครัวจะช่วยกันทำนา หากแรงงานไม่พอจึงจะจ้างเพื่อนบ้านมาช่วย ผลผลิตจากการทำนาจะเก็บไว้บริโภคและขายให้แก่พ่อค้าชาวจีน (หน้า 38) ปัจจุบันชาวชุมชนหนองจอกยังคงประกอบอาชีพทำนาตามแบบบรรพบุรุษและชาวชุมชนมีที่ดินทำนาเป็นของตนเองโดยส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น รับจ้าง ค้าขาย เลี้ยงสัตว์ และยังมีคนรุ่นใหม่ที่นิยมออกไปทำงานนอกชุมชน (หน้า 49) |
|
Social Organization |
ในอดีต ชาวชุมชนหนองจอกมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบเครือญาติ ภายใต้หลักปฏิบัติทางศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด (หน้า 38) ครอบครัวคือสถาบันทางสังคมที่ชาวชุมชนให้ความสำคัญที่สุด เนื่องจากครอบครัวมีหน้าที่ในการเพิ่มประชากรและด้านการถ่ายทอดระเบียบทางสังคมและวัฒนธรรมให้แก่สมาชิก จุดเริ่มต้นของครอบครัว คือ การแต่งงาน โดยมุสลิมต้องทำการแต่งงานตามบทบัญญัติที่ศาสนากำหนดไว้ มุสลิมหนองจอกนิยมเลือกแต่งงานกับคนที่เป็นมุสลิมเช่นเดียวกัน พิธีแต่งงานจะถูกจัดขึ้นที่มัสยิดหรืออาณาเขตของบ้านเจ้าสาว หลังจากนั้นจะมีพิธีรับเจ้าสาว ซึ่งจะมีขบวนแห่เจ้าสาวไปยังบ้านเจ้าบ่าว (หน้า 108-113) ปัจจุบันความสัมพันธ์ในชุมชนยังคงเป็นในรูปแบบเดิม คือการดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ศาสนากำหนดไว้ โดยมีผู้นำท้องถิ่นซึ่งมีบทบาทในชุมชน คือ ผู้นำทางศาสนา ซึ่งเมื่อเกิดความขัดแย้งในชุมชน ผู้นำศาสนาสามารถอบรมตักเตือน โดยใช้หลักการทางศาสนาปกครองคนในชุมชน (หน้า 92) และมีมัสยิดเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน (หน้า 150) |
|
Political Organization |
การปกครองของเขตหนองจอกแบ่งเป็น 8 แขวง 93 หมู่บ้าน โดยพื้นที่ซึ่งผู้เขียนใช้เป็นสถานที่ในการวิจัยมีทั้งหมด 4 แขวง คือ แขวงหนองจอกมี 13 หมู่บ้าน แขวงกระทุ่มรายมี 18 หมู่บ้าน แขวงคู้ฝั่งเหนือมี 8 หมู่บ้าน แขวงโคกแฝดมี 11 หมู่บ้าน (หน้า 42) ในระดับชุมชน การแบ่งเขตชุมชนจะใช้มัสยิดเป็นหลัก ระบบการปกครองของชุมชนจึงมีผู้นำทางศาสนาเป็นผู้นำชุมชน อิหม่ามซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาเป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความสำคัญมากกว่าผู้นำจากทางราชการ (หน้า 51) |
|
Belief System |
ชาวชุมชนหนองจอกนับถือศาสนาอิสลาม แต่ในอดีต ชาวชุมชนหนองจอกมีความเชื่อในเรื่องคาถาอาคมและอภินิหาร ผู้ที่มีคาถาอาคมชาวบ้านจะเรียกว่า "โต๊ะครู" ซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถทางคาถาอาคม เช่น สามารถท่องคาถาเป่าให้ต้นตาลเอนลงมาได้ วิชาดังกล่าวศาสนาอิสลามเรียกว่า "ฮิ้ลมู" นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อในเรื่องผี ซึ่งเรียกว่า "ญิน" หรือ "ชัยฏอน" เชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วจะถูกนำไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้ และญินก็มี 2 ประเภท คือญินที่ศรัทธาต่อพระเจ้าและญินที่ฝ่าฝืนคำสั่งพระเจ้า (หน้า 36) หลักคำสอนของศาสนาอิสลามเป็นสิ่งที่ชาวชุมชนหนองจอกยึดมั่นและปฏิบัติ จริยธรรมทางศาสนาอิสลามมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ชาวชุมชนปฏิบัติตามหลักศาสนา ทั้งการละหมาด การบริจาคซะกาต การถือศีลอด รวมทั้งยังมีความยึดมั่นศรัทธาเพื่อจะไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครมักกะฮ์ ให้ได้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต (หน้า 55-77) พิธีกรรมต่างๆ ในชุมชนมุสลิมหนองจอกเป็นพิธีกรรมตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม เช่น การประกอบพิธีโกนผมไฟหลังจากเมื่อมีเด็กเกิดใหม่ได้ 7 วัน พิธีเข้าสุหนัด หรือเรียกอีกอย่างว่าพิธีมาโซะยาวี คำว่า "สุหนัด" หรือ "สุนัด" มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า แบบอย่างหรือแนวทาง ซึ่งหมายความว่าเป็นการปฏิบัติตามที่ท่านนบีได้เคยกระทำมา คำว่ามาโซะยาวีมาจากภาษามลายู แปลว่า เข้าเป็นมุสลิม มาโซะ แปลว่าเข้า ยาวี เป็นศัพท์เรียกชื่อมุสลิมที่อยู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถบเกาะชวาโดยรวม เดิมชาวอาหรับเรียกเกาะสุมาตราว่าเกาะยาวี ยาวีจึงหมายถึง ชาวชวาจากสุมาตรานำศาสนาอิสลามเผยแผ่มาสู่มลายู รวมทั้งทางใต้ของไทย หนังสือต่างๆที่แต่งเป็นภาษามลายูเรียกอักษรของเขาว่า "อักษรยาวี" แต่สำหรับชาวอินโดนีเซียนั้น มุสลิมด้วยกันมักเรียกว่าพวกยาวา หรือยาวอ (หน้า 103-104) พิธีเข้าสุหนัด เป็นจารีตของชาวตะวันออกกลางเมื่อหลายพันปีมาแล้วเพื่อรักษาความสะอาดและป้องกันโรค มุสลิมถือว่าผู้ชายแท้ต้องเข้าสุหนัด หากไม่ผ่านพิธีกรรมนี้จะถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์และหากมีภรรยา ภรรยาก็จะรังเกียจ การเข้าสุหนัดจะนิยมทำกันที่บ้าน โดยชาวชุมชนจะนำเด็กผู้ชายอายุประมาณ 10 ขวบในชุมชนมารวมกันเพื่อเข้าร่วมพิธี เด็กชายจะแต่งตัวตามแบบชาวมลายูอย่างหรูหรา และจะทำการเดินขบวนแห่รอบ"แท่นปันจา" ซึ่งก็คือแท่นทำพิธี เมื่อแห่เด็กแล้ว เจ้าภาพจะนำเด็กไปอาบน้ำ โดยพยายามอาบทุกส่วนของร่างกายให้สะอาดที่สุด และเด็กก็จะนอนรอหมอเพื่อให้ขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ หมอที่ทำหน้าที่ขริบนั้นเดิมเป็นหมอพื้นบ้าน แต่ปัจจุบันความเจริญทางการแพทย์เข้าถึงชุมชน จึงมีหมอเสนารักษ์หรือหมอพื้นที่ที่มีความชำนาญด้านนี้เป็นพิเศษ สามารถใช้ยาชาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด หลังจากฉีดยาชาแล้ว หมอจะใช้ก้านไม้ขีดสอดเข้าไปเพื่อให้รู้ว่าจะต้องตัดส่วนใดออก จากนั้นจึงใช้คีมคีบเนื้อและใช้มีดโกนตัด เย็บแผลเป็นขั้นตอนสุดท้าย (หน้า 103-106) นอกจากพิธีกรรมที่กล่าวมาแล้ว พิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิตต่างๆ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ ก็ยังคงไว้ซึ่งหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม (หน้า 96-118) |
|
Education and Socialization |
มุสลิมชุมชนหนองจอกนั้นเชื่อว่าแม่เป็นบุคคลแรกที่จะต้องควบคุมดูแลอบรมลูก และสอนถึงจรรยามารยาทที่ดีงาม แม่จึงเป็นครูคนแรกของลูก บางครอบครัวได้ปลูกฝังจริยธรรมโดยการร้องเพลงกล่อมเด็กซึ่งเนื้อเพลงเป็นคำกล่าวปฏิญาณตนทางศาสนาให้เด็กฟังตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ครอบครัวส่วนใหญ่จะสอนให้เด็กกล่าวนามพระเจ้าตั้งแต่เริ่มพูดได้ และยังสร้างบรรยากาศแบบอิสลามในครอบครัว เช่น การฝึกให้เด็กรู้จักการปฏิบัติละหมาด (หน้า 78-79) นอกจากนี้ ยังมีการปลูกฝังในเรื่องหลักมารยาทอิสลามในชีวิตประจำวันให้แก่เด็กๆ เช่น มารยาทในการรับประทาน ผู้ใหญ่จะสั่งสอนเด็กๆ ว่าควรรับประทานอาหารให้หมดจาน เพราะหากเหลือไว้จะเป็นอาหารของชัยฏอนหรือมารร้าย (หน้า 79) ซึ่งการถ่ายทอดวัฒนธรรมในชุมชนนั้น ผู้เขียนเห็นว่ามี 2 วิธี คือ การสอน โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นผู้ปลูกฝังความศรัทธาในศาสนา อีกวิธีหนึ่งคือ การปฏิบัติ โดยผู้ใหญ่ในชุมชนจะดำเนินชีวิตตามครรลองของศาสนาเพื่อเป็นแบบอย่างให้เด็กรุ่นหลัง (หน้า 118-119) ในปัจจุบันเขตหนองจอกมีโรงเรียนมัธยมศึกษาเพียงแห่งเดียว ซึ่งชาวชุมชนหนองจอกโดยเฉพาะมุสลิมบ้านกระทุ่มรายนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียน ในเขตหนองจอกยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนศาสนา 3 แห่งสอนด้านศาสนา ภาษามลายูและภาษาอาหรับ ซึ่งชาวชุมชนนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียน โดยหลักศาสนากล่าวว่าผู้ที่ศึกษาศาสนาจะขอพรจากพระเจ้าได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ศึกษาศาสนา (หน้า 91-92) |
|
Health and Medicine |
ในอดีต เมื่อชาวบ้านเจ็บป่วยจะรักษาด้วยวิธีการเสกเป่าจากคนที่มีความเชี่ยวชาญและเรียนเกี่ยวกับการเสกเป่ารักษาโรคโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการใช้สมุนไพรในการรักษาโรคด้วย (หน้า 36) และยังมีหมอกลางบ้าน ซึ่งรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูก เช่น กระดูกแตก กระดูกคด โดยใช้น้ำมันในการรักษาและดึงกระดูกให้เข้าที่ ในปัจจุบันแม้การแพทย์สมัยใหม่มีความเจริญ คนก็นิยมไปรักษากระดูกกับหมอกลางบ้านเช่นเดิม (หน้า 90) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
บ้านเรือนของชาวชุมชนหนองจอกเดิมนิยมปลูกเป็นทรงปั้นหยา (มีหลังคาหักมุมค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาจะเทปิดลาดลงมาทั้งสี่ด้าน แต่ไม่ใช่ลักษณะของหน้าจั่ว บ้านบางหลังจะมีหน้ามุขบริเวณหน้าของบ้าน) หรือบ้านทรงสูงซึ่งขนาดของบ้านบ่งบอกฐานะของเจ้าของบ้าน ลักษณะของบ้านมีทั้งบ้านเดี่ยวและสองชั้น ไม่นิยมกั้นห้อง ตกแต่งบ้านด้วยการทาสีน้ำมันสนจึงทำให้เห็นเป็นสีแดงออกน้ำตาล (หน้า 81) ปัจจุบันการแต่งกายของมุสลิมหนองจอกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากต้องสัมพันธ์กับสังคมภายนอก ผู้ชายที่ทำงานนอกบ้านจะแต่งกายตามรูปแบบของงานที่ทำ คนที่ทำนาทำสวน หรือผู้สูงอายุจะนุ่งโสร่ง มีผ้าคาดเอวหรือพาดบ่า การละหมาดภายในชุมชนโดยเฉพาะในตอนเย็นหรือค่ำนิยมนุ่งผ้าโสร่ง เสื้อแขนยาว สวมหมวก สำหรับผู้หญิงมีการแต่งกายตามสมัยนิยมเมื่อออกไปนอกชุมชน ผู้ที่ทำงานอยู่บ้านจะนุ่งผ้าโสร่งหรือผ้าถุงยาวกรอมเท้า และนิยมคลุมฮิญาบ ผู้หญิงมุสลิมหนองจอกนิยมคลุมฮิญาบตั้งแต่เมื่อเริ่มเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยเฉพาะเวลาออกนอกบ้าน หรือเมื่อมีผู้ชายแปลกหน้ามาที่บ้าน นอกจากนี้ยังแต่งกายโดยปกปิดสิ่งอันพึงสงวน เช่นไม่สวมกางเกงขาสั้นหรือเสื้อไม่มีแขน (หน้า 83-84) |
|
Folklore |
เรื่องเล่าหรือนิทานในชุมชนมุสลิมหนองจอกมีทั้งเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับคนและสัตว์ ผู้เล่าส่วนใหญ่คือผู้อาวุโสในชุมชน เรื่องเล่าชุดที่ 1 เรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติบุคคล เป็นเรื่องของอูลู ชาวประมงที่มีคาถาอาคมสมัยเมื่อ 170 ปีก่อน ที่เมืองปัตตานียังเป็นเมืองหลวงของรัฐมลายู อูลูได้ช่วยจับคนร้ายที่เข้ามาอาละวาดในงานเฉลิมฉลองของพระราชา อูลูจึงได้รับความดีความชอบ โดยการได้เป็นราชองครักษ์ ทำงานจนได้ความดีความชอบ พระราชาจึงยกพระธิดาให้อภิเษกสมรส อูลูก็ได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ เวลาต่อมาในสมัยเดียวกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แม่ทัพอูลูนำทัพเมืองปัตตานีเข้าต่อสู้กับทัพของสยาม แต่ต่อสู้ไม่ได้เพราะมีกำลังน้อยกว่า จึงถูกกวาดต้อนมายังสยาม อูลูได้แต่งงานอีกครั้งหนึ่งและมาตั้งถิ่นฐานริมคลองแสนแสบหลังจากที่ชาวจีนขุดคลองแสนแสบเสร็จแล้ว เวลาผ่านไป 10 ปีเจ้าหญิงได้เป็นอิสระ และออกมาตามหาอูลูที่หนองจอก จนได้พบกันและแต่งงานกันอีกครั้งหนึ่ง ครอบครัวของอูลูซึ่งมีสามี 1 คน ภรรยา 2 คนและลูกๆจึงเป็นบรรพบรุษของคนในชุมชนหนองจอกปัจจุบัน เรื่องเล่าชุดที่ 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตไทยมุสลิมหนองจอกเมื่อครั้งอยู่ที่ปัตตานี และมาตั้งถิ่นฐานในหนองจอก บ่งบอกถึงสภาพแวดล้อมของชุมชนหนองจอกเมื่อครั้งก่อสร้างชุมชนใหม่ๆ เรื่องเล่าชุดที่ 3 และ 4เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อทั่วไป อันได้แก่เรื่องของผีบักดำ และญิน (หน้า 133-143) ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงเพลงกล่อมเด็กในชุมชนมุสลิมหนองจอก ซึ่งมีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับศาสนา พระเจ้า และการขอพรจากพระเจ้า (หน้า 143-146) นอกจากนิทานและเพลงกล่อมเด็กแล้ว ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับภูมินาม หรือประวัติที่มาของชื่อสถานที่ต่างๆในชุมชน อาทิ ศาลาแดง ซึ่งขณะนี้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนและสุเหร่าศาลาแดง เดิมเป็นเขตแบ่งระหว่างฉะเชิงเทรากับกรุงเทพฯ คนเรียกว่าศาลาแดน สุดท้ายจึงเพี้ยนมาเป็นศาลาแดง หรือที่มาของชื่อคลองลำปาทิว คลองนี้เมื่อขุดครั้งแรกจะเห็นปลาว่ายน้ำมาเป็นทิว จึงเรียกว่าคลองลำปลาทิว (หน้า146-147) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มุสลิมในชุมชนหนองจอกไม่นิยมแต่งงานกับคนนอกศาสนา ทำให้ในชุมชนมีพลังของความเป็นอิสลามอย่างเหนียวแน่นและมีคนนอกชุมชนมาปะปนเป็นจำนวนน้อย (หน้า 52) คนในชุมชนหนองจอกปัจจุบัน มีการพบปะกับคนนอกชุมชนซึ่งนับถือศาสนาพุทธมากกว่าในอดีต ทำให้ชาวชุมชนรับวัฒนธรรมของศาสนาพุทธเข้ามาผสมกับวัฒนธรรมอิสลาม และเกิดการปฏิบัติสืบต่อกันจนกลายเป็นประเพณี เช่น พิธีขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งท่านศาสดากำหนดไว้ว่า เมื่อมุสลิมประสงค์จะปลูกบ้านใหม่ ก็ให้ปลูกได้เลย หลังจากนั้นก็เป็นพิธีเลี้ยงอาหาร และการวิงวอนขอดุอาฮ์จากพระผู้เป็นเจ้า แต่ชาวบ้านในชุมชนบางส่วนก็มีพิธีการลงเสาเอก เสาโท หรือการนำต้นกล้วย ต้นอ้อยมาผูกกับเสา เพื่อต้องการความเป็นศิริมงคลให้กับบ้านตนเอง (หน้า 120) |
|
Social Cultural and Identity Change |
แต่เดิมชาวชุมชนใช้คลองเป็นเส้นทางในการคมนาคม จึงนิยมปลูกบ้านโดยหันหน้าเข้าสู่คลอง ต่อมามีการตัดถนนผ่านขนานกับลำคลองหรือที่นา เชื่อมไปยังหมู่บ้านต่างๆ คลองหมดความสำคัญลงไป สภาพคลองจึงเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เต็มไปด้วยพืชน้ำ ทำให้เรือสัญจรไปมาไม่สะดวก (หน้า 48) ในอดีต ชาวชุมชนหนองจอกส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เนื่องจากมีที่นาเป็นของตนเอง และยังประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น รับจ้างหรือค้าขายควบคู่ไปด้วย แต่ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้คนในชุมชนบางส่วน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่นิยมออกไปทำงานนอกชุมชน หรือการขายที่นาบางส่วนเพื่อประกอบอาชีพที่ตอบสนองความต้องการของคนปัจจุบัน เช่น เปิดร้านขายสินค้า 24 ชั่วโมง (หน้า 49) ในด้านการเปลี่ยนแปลงของที่อยู่อาศัยนั้น จากเดิมที่บ้านเรือนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นรูปแบบของบ้านทรงปั้นหยา แต่ปัจจุบันบ้านเรือนลักษณะดังกล่าวมีน้อยเนื่องจากสภาพทางเศรษฐกิจ ทำให้ชาวบ้านหันมานิยมปลูกบ้าน 2 ชั้นทรงสเปนหลังคาหน้าจั่ว หากเป็นบ้านชั้นเดียวก็จะยกพื้นสูงประมาณ 2-3 ขั้นบันได ในตัวบ้านมีการกั้นห้องหลายห้องและมีห้องสุขาอยู่ในบ้าน มุสลิมสมัยใหม่ยังนิยมสร้างโรงจอดรถไว้ข้างๆบ้านอีกด้วย (หน้า 83) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนนำเสนอข้อมูลภาพประกอบดังต่อไปนี้ ภาพที่ 1 การตั้งถิ่นฐานของมุสลิมในกรุงเทพ (หน้า 31) ภาพที่ 2 พื้นที่เขตหนองจอก (หน้า 54) ภาพที่ 3 การปลูกบ้านที่มีหลังคาทรงปั้นหยา (หน้า 82) ภาพที่ 4 การแต่งกายของมุสลิมในชุมชนหนองจอก (หน้า 84) ภาพที่ 5 แสดงปันจาในพิธีเข้าสุหนัด (หน้า 104) ผู้เขียนนำเสนอแผนภูมิดังต่อไปนี้ แผนภูมิที่ 1 วิวัฒนาการของจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส (หน้า 23) แผนภูมิที่ 2 วิวัฒนาการของมณฑลไทรบุรีจนแยกเป็นจังหวัดสตูล (หน้า 26) |
|
|