สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,วิถีชีวิต,ศาสนา,พิธีกรรม,กรุงเทพฯ
Author รัชนี ไผ่แก้ว
Title วิถีชีวิตชาวไทยมุสลิมชุมชนหนองจอก
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 152 Year 2545
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง
Abstract

ไทยมุสลิมชุมชนหนองจอกมีความสำนึกว่าตนเป็นมุสลิมอย่างแท้จริง มีความศรัทธาในศาสนาอิสลามและรับอิสลามเป็นวิถีในการดำเนินชีวิต ศาสนาอิสลามจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ผู้นำทางศาสนาเป็นผู้ที่มีบทบาทในสังคม โดยครอบครัว โรงเรียนสอนศาสนา และมัสยิดเป็นสถาบันที่สำคัญในการปลูกฝังความศรัทธาและส่งเสริมเยาวชนให้มีจริยธรรมอิสลาม และค่านิยมตามแบบฉบับของบรรพบุรุษในอดีต ยังผลให้เยาวชนเติบโตมาโดยมีความเป็นมุสลิมภายใต้วัฒนธรรมอิสลาม ปฏิบัติตนตามแบบแผนเดียวกัน รวมทั้งในด้านความศรัทธาต่อพระเจ้า อันเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่ในชุมชนต้องปลูกฝังแก่สมาชิกในครอบครัวของตน การใช้ภาษาอาหรับในพิธีกรรมทางศาสนาและการใช้คำภาษามลายูปะปนกับภาษาไทยในการสื่อสารของผู้อาวุโสบางคน เป็นวัฒนธรรมทางภาษาที่คนในชุมชนถ่ายทอดแก่คนรุ่นใหม่สืบต่อมา ปัจจุบันค่านิยมบางประการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ประกอบกับการพัฒนาจากภาครัฐบาลในด้านการคมนาคมและเศรษฐกิจ ทำให้คนในชุมชนต้องติดต่อกับคนภายนอกมากขึ้น ทำให้ชุมชนได้รับอิทธิพลของการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมจากภายนอกและทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอิสลามกับวัฒนธรรมภายนอก (หน้า 4-5)

Focus

ศึกษาวิถีชีวิตไทยมุสลิมในชุมชนหนองจอก โดยให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตดั้งเดิมซึ่งได้รับอิทธิพลจากหลักปฏิบัติทางศาสนา และวิถีชีวิตปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต

Theoretical Issues

ไม่มีประเด็นเชิงทฤษฎี หากแต่ผู้เขียนได้นำแนวคิดของการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมมาใช้ในการศึกษา เนื่องด้วยคนชุมชนหนองจอกมีการพบปะกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธมากขึ้น จึงเกิดการรับวัฒนธรรมในศาสนาพุทธเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมอิสลาม (หน้า 120) และผู้เขียนยังเสนอว่า การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมเกิดจากการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม จากวัฒนธรรมภายนอกซึ่งแพร่กระจายเข้ามาในชุมชน

Ethnic Group in the Focus

ศึกษากลุ่มมุสลิม ผู้ศึกษาให้คำนิยามไว้ว่า คือผู้นับถือศาสนาอิสลามผู้นอบน้อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮ์แต่เพียงผู้เดียว (หน้า 6) มุสลิมชุมชนหนองจอกนี้มีบรรพบุรุษที่ย้ายถิ่นฐานมาจากรัฐปัตตานี บางส่วนมาจากไทรบุรี และอยุธยา (หน้า 37)

Language and Linguistic Affiliations

บรรพบุรุษของมุสลิมชุมชนหนองจอกใช้ภาษามลายูในการสื่อสาร(หน้า 37) แต่ปัจจุบันนี้มุสลิมหนองจอกใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร แต่มีคำภาษาอาหรับและภาษามลายูมาผสมผสานบ้าง ชาวชุมชนบางคนพูดภาษามลายูเป็นคำๆปะปนกับภาษาไทย สำหรับภาษาอาหรับ ส่วนใหญ่จะใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา โดยพูดเป็นคำศัพท์เฉพาะโดยใช้คำทับศัพท์บางคำที่เกี่ยวกับศาสนา มุสลิมยังใช้ภาษาอาหรับในชีวิตประจำวันด้วย เพื่อเป็นการปฏิบัติตนตามครรลองของศาสนาอิสลาม เช่น เมื่อจะเข้านอน จะกล่าวภาษาอาหรับเพื่อเป็นการสรรเสริญอัลลอฮ์ (หน้า 121-132)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ

History of the Group and Community

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้มีการอพยพชาวปัตตานีมายังภาคกลางของประเทศไทย รวมทั้งกรุงเทพมหานคร 2 ครั้ง โดยมีสาเหตุจากพระยาปัตตานีก่อการกบฏ จึงทรงโปรดเกล้าฯให้ยกทัพไปตีเมืองปัตตานีและกวาดต้อนชาวเมืองปัตตานีมายังกรุงเทพมหานคร มุสลิมที่ถูกกวาดต้อนมาได้ตั้งถิ่นฐานอยู่รอบๆ ชานกรุง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้น 2 ครั้ง ทำให้มุสลิมในไทรบุรี ปัตตานีถูกกวาดต้อนเข้ามาในกรุงเทพมหานครตั้งบ้านเรือนอยู่นอกเมือง แถวคลองมหานาค คลองส้มป่อย และย่านนางเลิ้ง เมื่อชาวจีนขุดคลองแสนแสบเสร็จแล้ว จึงโปรดเกล้าฯให้มุสลิมที่ถูกกวาดต้อนมาจากปัตตานีและไทรบุรีไปถางป่าจับจองที่ดินตลอดแนวคลองแสนแสบ (หน้า 2,32-34)

Settlement Pattern

บรรพบุรุษของมุสลิมหนองจอกถูกกำหนดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามริมคลองแสนแสบเป็นกลุ่มๆ ลักษณะการตั้งบ้านเรือนจะอยู่ห่างกันตามพื้นที่ชายคลอง (หน้า 35,38) การปลูกสร้างบ้านเรือนนิยมปลูกติดกันเป็นกลุ่มๆ ตามแนวที่ดินซึ่งกลุ่มเครือญาติกลุ่มนั้นๆถือกรรมสิทธิ์ครอบครอง บางชุมชนจะมีบ้านเรือนปลูกติดต่อกันหนาแน่นในที่ดินขนาดเล็ก ที่ดินซึ่งปลูกสร้างบ้านเรือนส่วนใหญ่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ (หน้า 48)

Demography

จากข้อมูลของทางราชการ จำนวนประชากรของแขวงหนองจอกมีชาย 6,057 คน หญิง 6,172 คน แขวงกระทุ่มราย ชาย 9,849 คน หญิง 10,132 คน แขวงคู้ฝั่งเหนือ ชาย 4,035 คน หญิง 4,141 คน แขวงโคกแฝด ชาย 8,566 คน หญิง 8,801 คน (หน้า 43)

Economy

ในอดีต ชาวชุมชนหนองจอกมีอาชีพทำนาและเลี้ยงควายเพื่อไถนา สมาชิกในครอบครัวจะช่วยกันทำนา หากแรงงานไม่พอจึงจะจ้างเพื่อนบ้านมาช่วย ผลผลิตจากการทำนาจะเก็บไว้บริโภคและขายให้แก่พ่อค้าชาวจีน (หน้า 38) ปัจจุบันชาวชุมชนหนองจอกยังคงประกอบอาชีพทำนาตามแบบบรรพบุรุษและชาวชุมชนมีที่ดินทำนาเป็นของตนเองโดยส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น รับจ้าง ค้าขาย เลี้ยงสัตว์ และยังมีคนรุ่นใหม่ที่นิยมออกไปทำงานนอกชุมชน (หน้า 49)

Social Organization

ในอดีต ชาวชุมชนหนองจอกมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบเครือญาติ ภายใต้หลักปฏิบัติทางศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด (หน้า 38) ครอบครัวคือสถาบันทางสังคมที่ชาวชุมชนให้ความสำคัญที่สุด เนื่องจากครอบครัวมีหน้าที่ในการเพิ่มประชากรและด้านการถ่ายทอดระเบียบทางสังคมและวัฒนธรรมให้แก่สมาชิก จุดเริ่มต้นของครอบครัว คือ การแต่งงาน โดยมุสลิมต้องทำการแต่งงานตามบทบัญญัติที่ศาสนากำหนดไว้ มุสลิมหนองจอกนิยมเลือกแต่งงานกับคนที่เป็นมุสลิมเช่นเดียวกัน พิธีแต่งงานจะถูกจัดขึ้นที่มัสยิดหรืออาณาเขตของบ้านเจ้าสาว หลังจากนั้นจะมีพิธีรับเจ้าสาว ซึ่งจะมีขบวนแห่เจ้าสาวไปยังบ้านเจ้าบ่าว (หน้า 108-113) ปัจจุบันความสัมพันธ์ในชุมชนยังคงเป็นในรูปแบบเดิม คือการดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ศาสนากำหนดไว้ โดยมีผู้นำท้องถิ่นซึ่งมีบทบาทในชุมชน คือ ผู้นำทางศาสนา ซึ่งเมื่อเกิดความขัดแย้งในชุมชน ผู้นำศาสนาสามารถอบรมตักเตือน โดยใช้หลักการทางศาสนาปกครองคนในชุมชน (หน้า 92) และมีมัสยิดเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน (หน้า 150)

Political Organization

การปกครองของเขตหนองจอกแบ่งเป็น 8 แขวง 93 หมู่บ้าน โดยพื้นที่ซึ่งผู้เขียนใช้เป็นสถานที่ในการวิจัยมีทั้งหมด 4 แขวง คือ แขวงหนองจอกมี 13 หมู่บ้าน แขวงกระทุ่มรายมี 18 หมู่บ้าน แขวงคู้ฝั่งเหนือมี 8 หมู่บ้าน แขวงโคกแฝดมี 11 หมู่บ้าน (หน้า 42) ในระดับชุมชน การแบ่งเขตชุมชนจะใช้มัสยิดเป็นหลัก ระบบการปกครองของชุมชนจึงมีผู้นำทางศาสนาเป็นผู้นำชุมชน อิหม่ามซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาเป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความสำคัญมากกว่าผู้นำจากทางราชการ (หน้า 51)

Belief System

ชาวชุมชนหนองจอกนับถือศาสนาอิสลาม แต่ในอดีต ชาวชุมชนหนองจอกมีความเชื่อในเรื่องคาถาอาคมและอภินิหาร ผู้ที่มีคาถาอาคมชาวบ้านจะเรียกว่า "โต๊ะครู" ซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถทางคาถาอาคม เช่น สามารถท่องคาถาเป่าให้ต้นตาลเอนลงมาได้ วิชาดังกล่าวศาสนาอิสลามเรียกว่า "ฮิ้ลมู" นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อในเรื่องผี ซึ่งเรียกว่า "ญิน" หรือ "ชัยฏอน" เชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วจะถูกนำไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้ และญินก็มี 2 ประเภท คือญินที่ศรัทธาต่อพระเจ้าและญินที่ฝ่าฝืนคำสั่งพระเจ้า (หน้า 36) หลักคำสอนของศาสนาอิสลามเป็นสิ่งที่ชาวชุมชนหนองจอกยึดมั่นและปฏิบัติ จริยธรรมทางศาสนาอิสลามมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ชาวชุมชนปฏิบัติตามหลักศาสนา ทั้งการละหมาด การบริจาคซะกาต การถือศีลอด รวมทั้งยังมีความยึดมั่นศรัทธาเพื่อจะไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครมักกะฮ์ ให้ได้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต (หน้า 55-77) พิธีกรรมต่างๆ ในชุมชนมุสลิมหนองจอกเป็นพิธีกรรมตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม เช่น การประกอบพิธีโกนผมไฟหลังจากเมื่อมีเด็กเกิดใหม่ได้ 7 วัน พิธีเข้าสุหนัด หรือเรียกอีกอย่างว่าพิธีมาโซะยาวี คำว่า "สุหนัด" หรือ "สุนัด" มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า แบบอย่างหรือแนวทาง ซึ่งหมายความว่าเป็นการปฏิบัติตามที่ท่านนบีได้เคยกระทำมา คำว่ามาโซะยาวีมาจากภาษามลายู แปลว่า เข้าเป็นมุสลิม มาโซะ แปลว่าเข้า ยาวี เป็นศัพท์เรียกชื่อมุสลิมที่อยู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถบเกาะชวาโดยรวม เดิมชาวอาหรับเรียกเกาะสุมาตราว่าเกาะยาวี ยาวีจึงหมายถึง ชาวชวาจากสุมาตรานำศาสนาอิสลามเผยแผ่มาสู่มลายู รวมทั้งทางใต้ของไทย หนังสือต่างๆที่แต่งเป็นภาษามลายูเรียกอักษรของเขาว่า "อักษรยาวี" แต่สำหรับชาวอินโดนีเซียนั้น มุสลิมด้วยกันมักเรียกว่าพวกยาวา หรือยาวอ (หน้า 103-104) พิธีเข้าสุหนัด เป็นจารีตของชาวตะวันออกกลางเมื่อหลายพันปีมาแล้วเพื่อรักษาความสะอาดและป้องกันโรค มุสลิมถือว่าผู้ชายแท้ต้องเข้าสุหนัด หากไม่ผ่านพิธีกรรมนี้จะถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์และหากมีภรรยา ภรรยาก็จะรังเกียจ การเข้าสุหนัดจะนิยมทำกันที่บ้าน โดยชาวชุมชนจะนำเด็กผู้ชายอายุประมาณ 10 ขวบในชุมชนมารวมกันเพื่อเข้าร่วมพิธี เด็กชายจะแต่งตัวตามแบบชาวมลายูอย่างหรูหรา และจะทำการเดินขบวนแห่รอบ"แท่นปันจา" ซึ่งก็คือแท่นทำพิธี เมื่อแห่เด็กแล้ว เจ้าภาพจะนำเด็กไปอาบน้ำ โดยพยายามอาบทุกส่วนของร่างกายให้สะอาดที่สุด และเด็กก็จะนอนรอหมอเพื่อให้ขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ หมอที่ทำหน้าที่ขริบนั้นเดิมเป็นหมอพื้นบ้าน แต่ปัจจุบันความเจริญทางการแพทย์เข้าถึงชุมชน จึงมีหมอเสนารักษ์หรือหมอพื้นที่ที่มีความชำนาญด้านนี้เป็นพิเศษ สามารถใช้ยาชาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด หลังจากฉีดยาชาแล้ว หมอจะใช้ก้านไม้ขีดสอดเข้าไปเพื่อให้รู้ว่าจะต้องตัดส่วนใดออก จากนั้นจึงใช้คีมคีบเนื้อและใช้มีดโกนตัด เย็บแผลเป็นขั้นตอนสุดท้าย (หน้า 103-106) นอกจากพิธีกรรมที่กล่าวมาแล้ว พิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิตต่างๆ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ ก็ยังคงไว้ซึ่งหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม (หน้า 96-118)

Education and Socialization

มุสลิมชุมชนหนองจอกนั้นเชื่อว่าแม่เป็นบุคคลแรกที่จะต้องควบคุมดูแลอบรมลูก และสอนถึงจรรยามารยาทที่ดีงาม แม่จึงเป็นครูคนแรกของลูก บางครอบครัวได้ปลูกฝังจริยธรรมโดยการร้องเพลงกล่อมเด็กซึ่งเนื้อเพลงเป็นคำกล่าวปฏิญาณตนทางศาสนาให้เด็กฟังตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ครอบครัวส่วนใหญ่จะสอนให้เด็กกล่าวนามพระเจ้าตั้งแต่เริ่มพูดได้ และยังสร้างบรรยากาศแบบอิสลามในครอบครัว เช่น การฝึกให้เด็กรู้จักการปฏิบัติละหมาด (หน้า 78-79) นอกจากนี้ ยังมีการปลูกฝังในเรื่องหลักมารยาทอิสลามในชีวิตประจำวันให้แก่เด็กๆ เช่น มารยาทในการรับประทาน ผู้ใหญ่จะสั่งสอนเด็กๆ ว่าควรรับประทานอาหารให้หมดจาน เพราะหากเหลือไว้จะเป็นอาหารของชัยฏอนหรือมารร้าย (หน้า 79) ซึ่งการถ่ายทอดวัฒนธรรมในชุมชนนั้น ผู้เขียนเห็นว่ามี 2 วิธี คือ การสอน โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นผู้ปลูกฝังความศรัทธาในศาสนา อีกวิธีหนึ่งคือ การปฏิบัติ โดยผู้ใหญ่ในชุมชนจะดำเนินชีวิตตามครรลองของศาสนาเพื่อเป็นแบบอย่างให้เด็กรุ่นหลัง (หน้า 118-119) ในปัจจุบันเขตหนองจอกมีโรงเรียนมัธยมศึกษาเพียงแห่งเดียว ซึ่งชาวชุมชนหนองจอกโดยเฉพาะมุสลิมบ้านกระทุ่มรายนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียน ในเขตหนองจอกยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนศาสนา 3 แห่งสอนด้านศาสนา ภาษามลายูและภาษาอาหรับ ซึ่งชาวชุมชนนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียน โดยหลักศาสนากล่าวว่าผู้ที่ศึกษาศาสนาจะขอพรจากพระเจ้าได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ศึกษาศาสนา (หน้า 91-92)

Health and Medicine

ในอดีต เมื่อชาวบ้านเจ็บป่วยจะรักษาด้วยวิธีการเสกเป่าจากคนที่มีความเชี่ยวชาญและเรียนเกี่ยวกับการเสกเป่ารักษาโรคโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการใช้สมุนไพรในการรักษาโรคด้วย (หน้า 36) และยังมีหมอกลางบ้าน ซึ่งรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูก เช่น กระดูกแตก กระดูกคด โดยใช้น้ำมันในการรักษาและดึงกระดูกให้เข้าที่ ในปัจจุบันแม้การแพทย์สมัยใหม่มีความเจริญ คนก็นิยมไปรักษากระดูกกับหมอกลางบ้านเช่นเดิม (หน้า 90)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

บ้านเรือนของชาวชุมชนหนองจอกเดิมนิยมปลูกเป็นทรงปั้นหยา (มีหลังคาหักมุมค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาจะเทปิดลาดลงมาทั้งสี่ด้าน แต่ไม่ใช่ลักษณะของหน้าจั่ว บ้านบางหลังจะมีหน้ามุขบริเวณหน้าของบ้าน) หรือบ้านทรงสูงซึ่งขนาดของบ้านบ่งบอกฐานะของเจ้าของบ้าน ลักษณะของบ้านมีทั้งบ้านเดี่ยวและสองชั้น ไม่นิยมกั้นห้อง ตกแต่งบ้านด้วยการทาสีน้ำมันสนจึงทำให้เห็นเป็นสีแดงออกน้ำตาล (หน้า 81) ปัจจุบันการแต่งกายของมุสลิมหนองจอกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากต้องสัมพันธ์กับสังคมภายนอก ผู้ชายที่ทำงานนอกบ้านจะแต่งกายตามรูปแบบของงานที่ทำ คนที่ทำนาทำสวน หรือผู้สูงอายุจะนุ่งโสร่ง มีผ้าคาดเอวหรือพาดบ่า การละหมาดภายในชุมชนโดยเฉพาะในตอนเย็นหรือค่ำนิยมนุ่งผ้าโสร่ง เสื้อแขนยาว สวมหมวก สำหรับผู้หญิงมีการแต่งกายตามสมัยนิยมเมื่อออกไปนอกชุมชน ผู้ที่ทำงานอยู่บ้านจะนุ่งผ้าโสร่งหรือผ้าถุงยาวกรอมเท้า และนิยมคลุมฮิญาบ ผู้หญิงมุสลิมหนองจอกนิยมคลุมฮิญาบตั้งแต่เมื่อเริ่มเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยเฉพาะเวลาออกนอกบ้าน หรือเมื่อมีผู้ชายแปลกหน้ามาที่บ้าน นอกจากนี้ยังแต่งกายโดยปกปิดสิ่งอันพึงสงวน เช่นไม่สวมกางเกงขาสั้นหรือเสื้อไม่มีแขน (หน้า 83-84)

Folklore

เรื่องเล่าหรือนิทานในชุมชนมุสลิมหนองจอกมีทั้งเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับคนและสัตว์ ผู้เล่าส่วนใหญ่คือผู้อาวุโสในชุมชน เรื่องเล่าชุดที่ 1 เรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติบุคคล เป็นเรื่องของอูลู ชาวประมงที่มีคาถาอาคมสมัยเมื่อ 170 ปีก่อน ที่เมืองปัตตานียังเป็นเมืองหลวงของรัฐมลายู อูลูได้ช่วยจับคนร้ายที่เข้ามาอาละวาดในงานเฉลิมฉลองของพระราชา อูลูจึงได้รับความดีความชอบ โดยการได้เป็นราชองครักษ์ ทำงานจนได้ความดีความชอบ พระราชาจึงยกพระธิดาให้อภิเษกสมรส อูลูก็ได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ เวลาต่อมาในสมัยเดียวกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แม่ทัพอูลูนำทัพเมืองปัตตานีเข้าต่อสู้กับทัพของสยาม แต่ต่อสู้ไม่ได้เพราะมีกำลังน้อยกว่า จึงถูกกวาดต้อนมายังสยาม อูลูได้แต่งงานอีกครั้งหนึ่งและมาตั้งถิ่นฐานริมคลองแสนแสบหลังจากที่ชาวจีนขุดคลองแสนแสบเสร็จแล้ว เวลาผ่านไป 10 ปีเจ้าหญิงได้เป็นอิสระ และออกมาตามหาอูลูที่หนองจอก จนได้พบกันและแต่งงานกันอีกครั้งหนึ่ง ครอบครัวของอูลูซึ่งมีสามี 1 คน ภรรยา 2 คนและลูกๆจึงเป็นบรรพบรุษของคนในชุมชนหนองจอกปัจจุบัน เรื่องเล่าชุดที่ 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตไทยมุสลิมหนองจอกเมื่อครั้งอยู่ที่ปัตตานี และมาตั้งถิ่นฐานในหนองจอก บ่งบอกถึงสภาพแวดล้อมของชุมชนหนองจอกเมื่อครั้งก่อสร้างชุมชนใหม่ๆ เรื่องเล่าชุดที่ 3 และ 4เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อทั่วไป อันได้แก่เรื่องของผีบักดำ และญิน (หน้า 133-143) ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงเพลงกล่อมเด็กในชุมชนมุสลิมหนองจอก ซึ่งมีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับศาสนา พระเจ้า และการขอพรจากพระเจ้า (หน้า 143-146) นอกจากนิทานและเพลงกล่อมเด็กแล้ว ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับภูมินาม หรือประวัติที่มาของชื่อสถานที่ต่างๆในชุมชน อาทิ ศาลาแดง ซึ่งขณะนี้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนและสุเหร่าศาลาแดง เดิมเป็นเขตแบ่งระหว่างฉะเชิงเทรากับกรุงเทพฯ คนเรียกว่าศาลาแดน สุดท้ายจึงเพี้ยนมาเป็นศาลาแดง หรือที่มาของชื่อคลองลำปาทิว คลองนี้เมื่อขุดครั้งแรกจะเห็นปลาว่ายน้ำมาเป็นทิว จึงเรียกว่าคลองลำปลาทิว (หน้า146-147)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

มุสลิมในชุมชนหนองจอกไม่นิยมแต่งงานกับคนนอกศาสนา ทำให้ในชุมชนมีพลังของความเป็นอิสลามอย่างเหนียวแน่นและมีคนนอกชุมชนมาปะปนเป็นจำนวนน้อย (หน้า 52) คนในชุมชนหนองจอกปัจจุบัน มีการพบปะกับคนนอกชุมชนซึ่งนับถือศาสนาพุทธมากกว่าในอดีต ทำให้ชาวชุมชนรับวัฒนธรรมของศาสนาพุทธเข้ามาผสมกับวัฒนธรรมอิสลาม และเกิดการปฏิบัติสืบต่อกันจนกลายเป็นประเพณี เช่น พิธีขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งท่านศาสดากำหนดไว้ว่า เมื่อมุสลิมประสงค์จะปลูกบ้านใหม่ ก็ให้ปลูกได้เลย หลังจากนั้นก็เป็นพิธีเลี้ยงอาหาร และการวิงวอนขอดุอาฮ์จากพระผู้เป็นเจ้า แต่ชาวบ้านในชุมชนบางส่วนก็มีพิธีการลงเสาเอก เสาโท หรือการนำต้นกล้วย ต้นอ้อยมาผูกกับเสา เพื่อต้องการความเป็นศิริมงคลให้กับบ้านตนเอง (หน้า 120)

Social Cultural and Identity Change

แต่เดิมชาวชุมชนใช้คลองเป็นเส้นทางในการคมนาคม จึงนิยมปลูกบ้านโดยหันหน้าเข้าสู่คลอง ต่อมามีการตัดถนนผ่านขนานกับลำคลองหรือที่นา เชื่อมไปยังหมู่บ้านต่างๆ คลองหมดความสำคัญลงไป สภาพคลองจึงเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เต็มไปด้วยพืชน้ำ ทำให้เรือสัญจรไปมาไม่สะดวก (หน้า 48) ในอดีต ชาวชุมชนหนองจอกส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เนื่องจากมีที่นาเป็นของตนเอง และยังประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น รับจ้างหรือค้าขายควบคู่ไปด้วย แต่ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้คนในชุมชนบางส่วน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่นิยมออกไปทำงานนอกชุมชน หรือการขายที่นาบางส่วนเพื่อประกอบอาชีพที่ตอบสนองความต้องการของคนปัจจุบัน เช่น เปิดร้านขายสินค้า 24 ชั่วโมง (หน้า 49) ในด้านการเปลี่ยนแปลงของที่อยู่อาศัยนั้น จากเดิมที่บ้านเรือนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นรูปแบบของบ้านทรงปั้นหยา แต่ปัจจุบันบ้านเรือนลักษณะดังกล่าวมีน้อยเนื่องจากสภาพทางเศรษฐกิจ ทำให้ชาวบ้านหันมานิยมปลูกบ้าน 2 ชั้นทรงสเปนหลังคาหน้าจั่ว หากเป็นบ้านชั้นเดียวก็จะยกพื้นสูงประมาณ 2-3 ขั้นบันได ในตัวบ้านมีการกั้นห้องหลายห้องและมีห้องสุขาอยู่ในบ้าน มุสลิมสมัยใหม่ยังนิยมสร้างโรงจอดรถไว้ข้างๆบ้านอีกด้วย (หน้า 83)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ผู้เขียนนำเสนอข้อมูลภาพประกอบดังต่อไปนี้ ภาพที่ 1 การตั้งถิ่นฐานของมุสลิมในกรุงเทพ (หน้า 31) ภาพที่ 2 พื้นที่เขตหนองจอก (หน้า 54) ภาพที่ 3 การปลูกบ้านที่มีหลังคาทรงปั้นหยา (หน้า 82) ภาพที่ 4 การแต่งกายของมุสลิมในชุมชนหนองจอก (หน้า 84) ภาพที่ 5 แสดงปันจาในพิธีเข้าสุหนัด (หน้า 104) ผู้เขียนนำเสนอแผนภูมิดังต่อไปนี้ แผนภูมิที่ 1 วิวัฒนาการของจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส (หน้า 23) แผนภูมิที่ 2 วิวัฒนาการของมณฑลไทรบุรีจนแยกเป็นจังหวัดสตูล (หน้า 26)

Text Analyst พรรณปพร ภิรมย์วงษ์ Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG มุสลิม, วิถีชีวิต, ศาสนา, พิธีกรรม, กรุงเทพฯ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง