|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,การเลือกคู่สมรส,กรุงเทพฯ |
Author |
วิทวัส ช้างศร |
Title |
ค่านิยมในการเลือกคู่สมรสชายไทยมุสลิมในชุมชนมัสยิดมหานาค |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
250 |
Year |
2544 |
Source |
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาลักษณะและค่านิยมในการเลือกคู่สมรสนับรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในการเลือกคู่สมรสระหว่างอดีตกับปัจจุบันของชายไทยมุสลิมในชุมชนมัสยิดมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า ในภาพรวมชายไทยมุสลิมจะเลือกคู่สมรสด้วยตนเองมากกว่าผู้ใหญ่จัดหาให้ โดยจะเลือกคู่สมรสที่มีความคล้ายคลึงกับตนเองในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ศาสนา อายุ ระดับการศึกษา รายได้ ตำแหน่งทางสังคม และรสนิยม การเลือกคู่สมรสระหว่างอดีตกับปัจจุบันในภาพรวมมีความเปลี่ยนแปลงไม่เด่นชัด แต่พอจะกล่าวได้ว่า ชายไทยมุสลิมที่จะเลือกคู่สมรสในปัจจุบันจะให้ความสำคัญต่อ ความรัก ความใกล้ชิด และรูปร่างหน้าตาที่ดีของคู่สมรสมากกว่าชายไทยมุสลิมที่เลือกคู่สมรสในอดีต การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดระหว่างอดีตกับปัจจุบันคือ บทบาทและอิทธิพลของผู้ใหญ่และครอบครัวต่อการตัดสินใจเลือกคู่สมรสในปัจจุบันมีลดน้อยลงกว่าในอดีต (หน้า ง) |
|
Focus |
ค่านิยมและความเปลี่ยนแปลงในการเลือกคู่สมรสจากอดีตถึงปัจจุบัน ของชายไทยมุสลิมในชุมชนมัสยิดมหานาค (หน้า 204-207) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมุสลิมในชุมชนมหานาค กรุงเทพฯ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมในกรณีศึกษาใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาหลัก ปัจจุบันบางคนมีความรู้ภาษาอาหรับในระดับดี (หน้า 238) หรือพออ่านได้แต่พูดไม่ได้ (หน้า 225,231) การใช้ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของมุสลิมในกรณีศึกษา เนื่องจากมีการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกอย่างกว้างขวาง หากพูดภาษาอาหรับกับบุคคลภายนอกกลุ่ม ก็ย่อมที่จะฟังไม่เข้าใจและสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นวัฒนธรรมในด้านภาษาพูดจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว (หน้า 201) โรงเรียนบำรุงอิสลามวิทยาซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาที่ตั้งขึ้นในระยะแรก พ.ศ. 2459-2460 เคยสอนศาสนาเป็นหลัก ต่อมากระทรวงศึกษาธิการหรือกระทรวงธรรมการในขณะนั้น ได้บังคับให้มีการสอนหลักวิชาภาษาไทย เพื่อไม่ให้ขัด พ.ร.บ.ประถมศึกษา ทางโรงเรียนจึงต้องปฏิบัติตามโดยมีความจำเป็นต้องว่าจ้างครูภาษาไทยที่เป็นมุสลิมมาทำการสอนด้วย (หน้า 96) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาการศึกษาวิจัย มิถุนายน 2543 - เมษายน 2544 |
|
History of the Group and Community |
ในปี พ.ศ. 2334 ในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มุสลิมจำนวนมากเดินทางติดตามรายาปัตตานี (ตวนกูละบิดีน) ซึ่งถูกจับตัวส่งเข้ามายังกรุงเทพฯ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาพระราชทานที่ดินแถวย่างบางลำภู และตึกดินให้เป็นที่อยู่อาศัย และใช้เป็นที่ทำมาหากิน เมื่อมุสลิมบริเวณบางลำภู และตึกดินมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ได้มีการขยับขยายอพยพมาอยู่บริเวณสี่แยกมหานาค ตอนที่คลองมหานาคตัดกับคลองผดุงกรุงเกษมเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2345 - 2350 เพราะเป็นแหล่งทำการค้าสำหรับผู้ที่ทำมาหากินทางการค้า และเป็นบริเวณที่มีความสะดวกในการสัญจรทางน้ำ เหมาะสมที่จะใช้เดินทางไปปฏิบัติราชการในพระบรมมหาราชวัง สำหรับผู้ที่รับราชการ หรือใช้ติดต่อไปมาหาสู่กับมุสลิมในแหล่งอื่น ๆ มุสลิมรุ่นแรก ๆ โดยเฉพาะพวกที่เป็นช่างฝีมือได้ถวายตัวเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และมุสลิมรุ่นต่อ ๆ มาได้เข้ารับราชการตามความรู้ความสามารถของตนในรัชกาลนั้นเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน มุสลิมที่เข้ารับราชการได้รับพระราชการบรรดาศักดิ์ลดหลั่นกันไป อาทิ เช่น หลวงศิลปะศาสตร์ (สิน) มหานาค หลวงวิเศษ (สุข) ขุนสารพัดช่าง (นิ่ม) มหานาค ขุนบริหารคู้นิคม พระเทพฯ (หมึก) มหานาค ขุนรัตนภิบาล (เสงี่ยม) มหานาค เป็นต้น (หน้า 90) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนมัสยิดมหานาค มีพื้นที่ทั้งหมด 23.17 ไร่ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 ที่อยู่อาศัย (ถนนและอื่น ๆ) ประมาณ 13 ไร่ หรือ ร้อยละ 49 ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนที่ 2 สถานที่สำคัญ ประมาณ 10 ไร่ หรือ ร้อยละ 51 ของพื้นที่ทั้งหมด จำแนกเป็น มัสยิด ประมาณ 200 ตารางวา โรงเรียน ประมาณ 60 ตารางวา และกุโบร์ ประมาณ 3,600 ตารางวา (หน้า 82) การตั้งบ้านเรือนปลูกติด ๆ กันในบริเวณพื้นที่เล็ก ๆ ตามแนวถนนภายในชุมชนที่คดเคี้ยว ไม่ได้มีการวางผังล่วงหน้า ถนนภายในชุมชนเป็นคอนกรีตทั้งหมด ถนนภายในชุมชนช่วงต้นสามารถนำรถยนต์เข้าไปได้ แต่ค่อนข้างแคบรถยนต์ไม่สามารถสวนกันได้ ถนนภายในชุมชนช่วงในค่อนข้างแคบและคดเคี้ยว รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้ บริเวณทางเข้าชุมชนจะมีร้านค้าทั่วไป ร้านขายสินค้าที่เกี่ยวกับศาสนา คลินิก ร้านเสริมสวยและแผงลอยอยู่มากมาย ส่วนมากขายอาหารอิสลาม ขนม อาหารทั่วไปและเครื่องดื่มต่าง ๆ เมื่อเข้ามาภายในชุมชนประมาณ 30 เมตรจะเป็นที่ตั้งของมัสยิด ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนบำรุงอิสลามวิทยา สภาพด้านในของชุมชนมีบ้านเรือนปลูกอยู่มากมาย มีร้านค้าอยู่บ้าง และเป็นที่ตั้งของกุโบร์ (หน้า 79 - 80) |
|
Demography |
ชุมชนมัสยิดมหานาค มีจำนวนหลังคาเรือน 240 ครัวเรือน จำนวนประชากรรวม 1,208 คน ซึ่งจำแนกเป็น ชาย 599 คน หญิง 609 คน (หน้า 83) |
|
Economy |
อาชีพของชาวชุมชนมัสยิดมหานาคส่วนใหญ่หรือประมาณร้อยละ 70 ประกอบอาชีพค้าขาย ส่วนที่เหลือประกอบอาชีพรับราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจประมาณร้อยละ 15 นับรวมถึงพนักงานบริษัทเอกชนและอื่น ๆ อีกประมาณร้อยละ 15 การค้าขายส่วนใหญ่จะขายอาหาร ส่วนมากเป็นอาหารอิสลาม เช่น ข้าวหมกไก่ ข้าวเนื้อแดง ก๋วยเตี๋ยวแกง อาหารไทยประเภทข้าวแกงอาหารตามสั่ง ส่วนขนมและของกินเล่นจะเป็นแบบทั่ว ๆ ไป เช่น กล้วยเชื่อม ลูกชิ้นปิ้ง ขนมอิสลาม เช่น ขนมบาเยียร์ ร้านขายขนมส่วนใหญ่เป็นแผงลอยเล็ก ๆ และมีจำนวนมากหลายร้านในบริเวณด้านหน้าของชุมชนที่ติดกับถนนกรุงเกษม นอกจากนี้ก็มีร้านขายของชำ ร้านเสริมสวย ร้านขายสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาอิสลาม และเกือบทั้งหมดเป็นการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ (หน้า 84) |
|
Social Organization |
ภายในชุมชนมัสยิดมหานาค บ้านเรือนส่วนใหญ่จะเป็นบ้านสองชั้น และสร้างด้วยไม้ บนเนื้อที่เล็ก ๆ ประมาณ 15 - 30 ตารางวา บ้านหลายหลังภายในชุมชนจะอยู่รวมกับญาติพี่น้องหลาย ๆ คน หลาย ๆ รุ่น หรือมีครอบครัวเดียวมากว่าหนึ่งครอบครัว คือมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย หรืออีกลักษณะหนึ่งจะปลูกบ้านหลาย ๆ หลังในบริเวณเดียวกัน แต่ก็มักจะเป็นญาติพี่น้องกัน เช่น บุตรหลานที่สมรสแล้วแยกครัวเรือนออกไป ก็จะปลูกบ้านอยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกับบิดามารดาของตน อีกลักษณะหนึ่งจะเป็นบ้านหนึ่งหลังอยู่กันหลาย ๆ ครอบครัว แต่มีความเกี่ยวพันกันค่อนข้างน้อย คือค่อนข้างเป็นอิสระต่อกัน และลักษณะสุดท้ายเป็นลักษณะครัวเรือนเดียว คือบ้านหลังหนึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูก ๆ (หน้า 80) ความเปลี่ยนแปลงในการเลือกคู่ระหว่างอดีตกับปัจจุบันของชายไทยมุสลิมชุมชนมัสยิดมหานาค ในภาพรวมมีความเปลี่ยนแปลงไม่เด่นชัด แต่พอจะกล่าวได้ว่า ชายไทยมุสลิมที่จะเลือกคู่ในปัจจุบันจะให้ความสำคัญต่อความรัก ความใกล้ชิด และรูปร่างหน้าตาที่ดีของคู่สมรสมากว่าชายไทยมุสลิมที่เลือกคู่สมรสในอดีต การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดระหว่างอดีตกับปัจจุบันคือ บทบาทและอิทธิพลของผู้ใหญ่และครอบครัวต่อการตัดสินใจเลือกคู่สมรสในปัจจุบันลดน้อยกว่าในอดีต (หน้า 207) |
|
Political Organization |
การปกครองในชุมชนมัสยิดมหานาคมีลักษณะใกล้เคียงกับชุมชนมุสลิมอื่นๆ ทั่วไปคือ ประกอบไปด้วยคณะกรรมการชุมชนและคณะกรรมการมัสยิด ในทางหลักการนั้น คณะกรรมการมัสยิดจะดูแลในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา และคณะกรรมการชุมชนจะดูแลเรื่องทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติของชุมชนมหานาคนั้น ทั้งสองส่วนนี้จะทำงานผสานกัน เพียงแต่คณะกรรมการชุมชนจะมีหน้าที่ติดต่อผสานงานหน่วยงานของรัฐมากกว่าเท่านั้น แต่ทั้งสองคณะกรรมการก็ไม่ได้มีการแยกอำนาจหน้าที่จากกันเด็ดขาด และคณะกรรมการของทั้งสองส่วนการปกครองนี้บางท่านเป็นบุคคลเดียวกัน คือทำงานทั้งสองด้าน คณะกรรมการชุมชนในแต่ละชุดจะมีวาระ 2 ปี คือจะจัดให้มีการเลือกตั้งทุก ๆ 2 ปี หมุนเวียนกันไป ส่วนคณะกรรมการมัสยิดนั้นจะมีวาระที่นานกว่าคือ 4 ปี แต่มีแกนนำถาวรคือ อิหม่าม (ผู้นำทางศาสนาของชุมชน) บิหลั่น (ผู้เชญชวนอิสลามิกชนเข้าร่วมพิธีกรรม) ทั้งสามตำแหน่งนี้ในทางปฏิบัติสามารถปฏิบัติหน้าที่แทนกันได้และไม่มีการหมดวาระ นอกจากเสียชีวิตหรือลาออก (หน้า 87) |
|
Belief System |
กรณีศึกษาเป็นมุสลิมนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งอิสลามมีข้อกำหนดในการประพฤติปฏิบัติที่มีความชัดเจน และมีความละเอียดลออในทุก ๆ ขั้นตอนของชีวิต เป็นวิถีชีวิตของบุคคล ไม่ใช่เป็นเพียงความศรัทธาที่ปราศจากการปฏิบัติ (หน้า 202) ผู้ที่เป็นมุสลิมต้องนับถืออิสลามโดยการศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจ ยอมรับในเอกภาพของอัลลอฮ และยอมรับความเป็นศาสดาของมูฮัมหมัด ความเชื่อทั้งสองอย่างเป็นเนื้อหาของบทปฏิญาณตนที่ว่า "อัลอิลาฮะ อิลัลลอฮ มูฮัมมัด รซูลุล ลอฮ" แปลว่า ไม่มีพระเจ้านอกจากอัลลอฮ และมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลลออ หลักศรัทธาของอิสลามมี 6 ประการคือ ศรัทธาในเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า ศรัทธาในเทวทูตของพระเจ้า การศรัทธาในคัมภีร์ ศรัทธาต่อศาสนทูตหรือบรรดาศาสดาต่างๆ ศรัทธาต่อวันสุดท้ายและวันเกิดใหม่ และศรัทธาในลิขิต (กฎสภาวะ) ของพระเจ้า นอกจากนั้นอิสลามมีหลักปฏิบัติ 5 ประการคือ การปฏิบัติตนประกาศศรัทธา การบำเพ็ญนมัสการ การถือศีลอด การบริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ และการประกอบพิธีฮัจย์ (หน้า 27 - 32) |
|
Education and Socialization |
ชุมชนมัสยิดมหานาคมีโรงเรียนสอนศาสนาชื่อ "บำรุงอิสลามวิทยา" ในระยะแรกโรงเรียนแห่งนี้มีวัตถุประสงค์ในการสอนศาสนาเท่านั้น และไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนแต่อย่างใด ต่อมามีการสอนหลักภาษาไทย เพื่อไม่ให้ขัด พ.ร.บ.ประถมศึกษา ปัจจุบันโรงเรียนบำรุงอิสลามวิทยาเปิดทำการสอนในระดับประถมศึกษาตั้งแต่ประถมปีที่ 1-6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 109 คน ประกอบด้วยชาย 50 คน และหญิง 59 คน (หน้า 96-97) นอกจากนั้นในชุมชนมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งมีเด็กในการดูแลทั้งสิ้น 35 คน และเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง 2 คน รวมทั้งมีสถาบันฝึกอาชีพเซรอับดุลลาติ๊ป อาชีพที่ฝึกให้ชาวชุมชนมีหลากหลายอาชีพ ได้แก่ งานฝีมือ และการเรือน เช่น การทำยาหม่อง การทำอาหาร งานด้านไฟฟ้า ฯลฯ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณและวิทยากรจากหลายหน่วยงาน เช่น กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนสารพัดช่าง แต่ปัจจุบันกิจกรรมดังกล่าวได้หยุดชะงักไปประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ (หน้า 98) |
|
Health and Medicine |
ระบบการสาธารณสุข และการรักษาพยาบาลในชุมชนมัสยิดมหานาค เป็นไปตามระบบปัจจุบัน มีหน่วยงานที่ดำเนินงานภายในชุมชน ซึ่งได้แก่ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และศูนย์บริการสาธารณสุขที่ 20 สำนักอนามัย (หน้า 89) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนกล่าวถึงมัสยิดมหานาค ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมของชุมชนนี้ เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา มัสยิดหลังปัจจุบันคือมัสยิดที่สร้างขึ้นเป็นหลังที่สาม สร้างขึ้นหลังจากการเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในปี 2472 บนเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา เป็นอาคารคอนกรีต 2 ชั้นมั่นคงแข็งแรง ป้ายชื่อมัสยิดทำด้วยหินอ่อนสีเทาตัวหนังสือลงรักปิดทอง บริเวณด้านหน้ามีเก้าอี้ยาว และบริเวณชั้นล่างของมัสยิดที่เป็นพื้นที่โล่งยกพื้นบางส่วน ซึ่งมักจะมีชาวชุมชนวัยกลางคนมานั่งพักผ่อนหรือพบปะสังสรรค์กัน (หน้า 91) |
|
Folklore |
ในงานศึกษามีการกล่าวถึงตำนาน เพื่ออธิบายความเป็นมาของอิสลามในประเทศไทย โดยเฉพาะศาสนาอิสลามที่แพร่เข้ามาทางตะวันออกเข้าสู่แหลมมลายู และโดยเฉพาะการแพร่เข้ามายังเมืองไทรบุรี ซึ่งเป็นตำนานอินเดีย จากหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าศาสนาอิสลามได้แพร่เข้ามาทางแหลมมลายูนับพันปีแล้ว (หน้า 34) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มุสลิมเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่มีรากฐานในประเทศไทยยาวนาน การผสมผสานทางวัฒนธรรมย่อมมีมากกว่ากลุ่มอื่น แต่ในทางปฏิบัติกลุ่มนี้กลับมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสมรส สำหรับมุสลิมการเลือกคู่จะมีแบบแผนที่แน่นอน เช่น จะต้องสมรสกับมุสลิมด้วยกันหรือต้องเปลี่ยนเข้ามาเป็นมุสลิมก่อน ต้องมีวัยเหมาะสม ห้ามสมรสกับญาติใกล้ชิด นับรวมถึงความพร้อมและข้อห้าม ข้อปฏิบัติในด้านอื่น ๆ อีก ซึ่งศาสนาได้บัญญัติไว้โดยชัดเจน (หน้า 2) นอกจากนี้ ผู้เขียนได้กล่าวถึง ลักษณะรากฐานของชุมชน ที่มีรากฐานยาวนาน มีลักษณะความเป็นชุมชนอย่างแท้จริง ที่เกิดจากบุคคลที่มีความรู้สึกร่วมว่าตนเป็นพวกเดียวกันมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง จึงมีการประสานงานร่วมมือแก้ไขปัญหาในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี ลักษณะที่เข้มแข็งของชุมชนนี้เป็นเสมือนเกราะป้องกันการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ลักษณะสำคัญนี้เกิดจากลักษณะพิเศษของศาสนาอิสลาม ที่ถือว่ามุสลิมทุกคนเป็นพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะมีพื้นเพเดิมมาจากที่แหล่งใด เพราะความเป็นมุสลิมนั้นไม่ได้ถูกกำหนดโดยภูมิศาสตร์ สัญชาติหรือปัจจัยอื่น นอกจากการนับถือศาสนาเดียวกัน ฉะนั้นถึงแม้ชุมชนแห่งนี้จะเกิดมาจากการรวมตัวของมุสลิมจากหลายภูมิภาค แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสมัครสมานสามัคคีลดน้อยลงหรือเกิดความแตกแยกแต่ประการใด และยังสามารถดำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงได้อย่างดียิ่ง (หน้า 202) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ถึงแม้สังคมในปัจจุบันจะอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ เป็นยุคของการแพร่กระจายวัฒนธรรมตะวันตกอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง หลาย ๆ สังคมได้มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตความเป็นอยู่ ระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจ และด้านอื่นๆ เช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ของมุสลิมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุ (material culture) หรือสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ด้วยโสตประสาท เช่น ภาษา เครื่องแต่งกาย ที่อยู่อาศัย มีความเปลี่ยนแปลงกลืนกลายสูง แต่สำหรับค่านิยมในด้านการสมรส ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ (non-material culture) กลับแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ลักลั่นกันนั้น พอจะอธิบายได้ว่า ไทยมุสลิมมีการปฏิสัมพันธ์กับภายนอกกลุ่ม สิ่งที่เป็นเรื่องของวัตถุย่อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อการติดต่อปฏิสัมพันธ์เป็นไปอย่างราบรื่นและสัมฤทธิผล แต่สำหรับการเลือกคู่ที่เปลี่ยนแปลงน้อยนั้น เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่เป็นเรื่องความพึงพอใจระหว่างปัจเจกชน แต่ยังเป็นเรื่องของสังคมเพราะญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายที่จะต้องเกี่ยวดองกันด้วย (หน้า 201) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตาราง เพื่ออธิบายข้อมูลเปรียบเทียบเชิงปริมาณให้เห็นภาพที่ชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลเรื่องความคิดเห็นด้านต่าง ๆ เช่น ความคิดเห็นของผู้ให้ข่าวสำคัญต่ออายุของคู่สมรส (หน้า 110) ความคิดเห็นของผู้ให้ข่าวสำคัญต่อความรักกับคู่สมรส (หน้า 149) การใช้ภาพประกอบ เพื่ออธิบายสภาพทั่วไปและข้อมูลพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของชุมชนที่เป็นกรณีศึกษา เช่น ภาพชุมชนมัสยิดมหานาค (หน้า 80) ภาพสภาพถนนภายในชุมชน (หน้า 86) นอกจากนี้ผู้เขียนได้ใช้แผนภูมิ เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ ให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย เช่น ไดอะแกรมครอบครัวนายแอล (หน้า 222) |
|
|