สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,การเลือกคู่สมรส,กรุงเทพฯ
Author วิทวัส ช้างศร
Title ค่านิยมในการเลือกคู่สมรสชายไทยมุสลิมในชุมชนมัสยิดมหานาค
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 250 Year 2544
Source คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาลักษณะและค่านิยมในการเลือกคู่สมรสนับรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในการเลือกคู่สมรสระหว่างอดีตกับปัจจุบันของชายไทยมุสลิมในชุมชนมัสยิดมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า ในภาพรวมชายไทยมุสลิมจะเลือกคู่สมรสด้วยตนเองมากกว่าผู้ใหญ่จัดหาให้ โดยจะเลือกคู่สมรสที่มีความคล้ายคลึงกับตนเองในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ศาสนา อายุ ระดับการศึกษา รายได้ ตำแหน่งทางสังคม และรสนิยม การเลือกคู่สมรสระหว่างอดีตกับปัจจุบันในภาพรวมมีความเปลี่ยนแปลงไม่เด่นชัด แต่พอจะกล่าวได้ว่า ชายไทยมุสลิมที่จะเลือกคู่สมรสในปัจจุบันจะให้ความสำคัญต่อ ความรัก ความใกล้ชิด และรูปร่างหน้าตาที่ดีของคู่สมรสมากกว่าชายไทยมุสลิมที่เลือกคู่สมรสในอดีต การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดระหว่างอดีตกับปัจจุบันคือ บทบาทและอิทธิพลของผู้ใหญ่และครอบครัวต่อการตัดสินใจเลือกคู่สมรสในปัจจุบันมีลดน้อยลงกว่าในอดีต (หน้า ง)

Focus

ค่านิยมและความเปลี่ยนแปลงในการเลือกคู่สมรสจากอดีตถึงปัจจุบัน ของชายไทยมุสลิมในชุมชนมัสยิดมหานาค (หน้า 204-207)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ไทยมุสลิมในชุมชนมหานาค กรุงเทพฯ

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมในกรณีศึกษาใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาหลัก ปัจจุบันบางคนมีความรู้ภาษาอาหรับในระดับดี (หน้า 238) หรือพออ่านได้แต่พูดไม่ได้ (หน้า 225,231) การใช้ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของมุสลิมในกรณีศึกษา เนื่องจากมีการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกอย่างกว้างขวาง หากพูดภาษาอาหรับกับบุคคลภายนอกกลุ่ม ก็ย่อมที่จะฟังไม่เข้าใจและสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นวัฒนธรรมในด้านภาษาพูดจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว (หน้า 201) โรงเรียนบำรุงอิสลามวิทยาซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาที่ตั้งขึ้นในระยะแรก พ.ศ. 2459-2460 เคยสอนศาสนาเป็นหลัก ต่อมากระทรวงศึกษาธิการหรือกระทรวงธรรมการในขณะนั้น ได้บังคับให้มีการสอนหลักวิชาภาษาไทย เพื่อไม่ให้ขัด พ.ร.บ.ประถมศึกษา ทางโรงเรียนจึงต้องปฏิบัติตามโดยมีความจำเป็นต้องว่าจ้างครูภาษาไทยที่เป็นมุสลิมมาทำการสอนด้วย (หน้า 96)

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลาการศึกษาวิจัย มิถุนายน 2543 - เมษายน 2544

History of the Group and Community

ในปี พ.ศ. 2334 ในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มุสลิมจำนวนมากเดินทางติดตามรายาปัตตานี (ตวนกูละบิดีน) ซึ่งถูกจับตัวส่งเข้ามายังกรุงเทพฯ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาพระราชทานที่ดินแถวย่างบางลำภู และตึกดินให้เป็นที่อยู่อาศัย และใช้เป็นที่ทำมาหากิน เมื่อมุสลิมบริเวณบางลำภู และตึกดินมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ได้มีการขยับขยายอพยพมาอยู่บริเวณสี่แยกมหานาค ตอนที่คลองมหานาคตัดกับคลองผดุงกรุงเกษมเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2345 - 2350 เพราะเป็นแหล่งทำการค้าสำหรับผู้ที่ทำมาหากินทางการค้า และเป็นบริเวณที่มีความสะดวกในการสัญจรทางน้ำ เหมาะสมที่จะใช้เดินทางไปปฏิบัติราชการในพระบรมมหาราชวัง สำหรับผู้ที่รับราชการ หรือใช้ติดต่อไปมาหาสู่กับมุสลิมในแหล่งอื่น ๆ มุสลิมรุ่นแรก ๆ โดยเฉพาะพวกที่เป็นช่างฝีมือได้ถวายตัวเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และมุสลิมรุ่นต่อ ๆ มาได้เข้ารับราชการตามความรู้ความสามารถของตนในรัชกาลนั้นเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน มุสลิมที่เข้ารับราชการได้รับพระราชการบรรดาศักดิ์ลดหลั่นกันไป อาทิ เช่น หลวงศิลปะศาสตร์ (สิน) มหานาค หลวงวิเศษ (สุข) ขุนสารพัดช่าง (นิ่ม) มหานาค ขุนบริหารคู้นิคม พระเทพฯ (หมึก) มหานาค ขุนรัตนภิบาล (เสงี่ยม) มหานาค เป็นต้น (หน้า 90)

Settlement Pattern

ชุมชนมัสยิดมหานาค มีพื้นที่ทั้งหมด 23.17 ไร่ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 ที่อยู่อาศัย (ถนนและอื่น ๆ) ประมาณ 13 ไร่ หรือ ร้อยละ 49 ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนที่ 2 สถานที่สำคัญ ประมาณ 10 ไร่ หรือ ร้อยละ 51 ของพื้นที่ทั้งหมด จำแนกเป็น มัสยิด ประมาณ 200 ตารางวา โรงเรียน ประมาณ 60 ตารางวา และกุโบร์ ประมาณ 3,600 ตารางวา (หน้า 82) การตั้งบ้านเรือนปลูกติด ๆ กันในบริเวณพื้นที่เล็ก ๆ ตามแนวถนนภายในชุมชนที่คดเคี้ยว ไม่ได้มีการวางผังล่วงหน้า ถนนภายในชุมชนเป็นคอนกรีตทั้งหมด ถนนภายในชุมชนช่วงต้นสามารถนำรถยนต์เข้าไปได้ แต่ค่อนข้างแคบรถยนต์ไม่สามารถสวนกันได้ ถนนภายในชุมชนช่วงในค่อนข้างแคบและคดเคี้ยว รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้ บริเวณทางเข้าชุมชนจะมีร้านค้าทั่วไป ร้านขายสินค้าที่เกี่ยวกับศาสนา คลินิก ร้านเสริมสวยและแผงลอยอยู่มากมาย ส่วนมากขายอาหารอิสลาม ขนม อาหารทั่วไปและเครื่องดื่มต่าง ๆ เมื่อเข้ามาภายในชุมชนประมาณ 30 เมตรจะเป็นที่ตั้งของมัสยิด ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนบำรุงอิสลามวิทยา สภาพด้านในของชุมชนมีบ้านเรือนปลูกอยู่มากมาย มีร้านค้าอยู่บ้าง และเป็นที่ตั้งของกุโบร์ (หน้า 79 - 80)

Demography

ชุมชนมัสยิดมหานาค มีจำนวนหลังคาเรือน 240 ครัวเรือน จำนวนประชากรรวม 1,208 คน ซึ่งจำแนกเป็น ชาย 599 คน หญิง 609 คน (หน้า 83)

Economy

อาชีพของชาวชุมชนมัสยิดมหานาคส่วนใหญ่หรือประมาณร้อยละ 70 ประกอบอาชีพค้าขาย ส่วนที่เหลือประกอบอาชีพรับราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจประมาณร้อยละ 15 นับรวมถึงพนักงานบริษัทเอกชนและอื่น ๆ อีกประมาณร้อยละ 15 การค้าขายส่วนใหญ่จะขายอาหาร ส่วนมากเป็นอาหารอิสลาม เช่น ข้าวหมกไก่ ข้าวเนื้อแดง ก๋วยเตี๋ยวแกง อาหารไทยประเภทข้าวแกงอาหารตามสั่ง ส่วนขนมและของกินเล่นจะเป็นแบบทั่ว ๆ ไป เช่น กล้วยเชื่อม ลูกชิ้นปิ้ง ขนมอิสลาม เช่น ขนมบาเยียร์ ร้านขายขนมส่วนใหญ่เป็นแผงลอยเล็ก ๆ และมีจำนวนมากหลายร้านในบริเวณด้านหน้าของชุมชนที่ติดกับถนนกรุงเกษม นอกจากนี้ก็มีร้านขายของชำ ร้านเสริมสวย ร้านขายสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาอิสลาม และเกือบทั้งหมดเป็นการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ (หน้า 84)

Social Organization

ภายในชุมชนมัสยิดมหานาค บ้านเรือนส่วนใหญ่จะเป็นบ้านสองชั้น และสร้างด้วยไม้ บนเนื้อที่เล็ก ๆ ประมาณ 15 - 30 ตารางวา บ้านหลายหลังภายในชุมชนจะอยู่รวมกับญาติพี่น้องหลาย ๆ คน หลาย ๆ รุ่น หรือมีครอบครัวเดียวมากว่าหนึ่งครอบครัว คือมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย หรืออีกลักษณะหนึ่งจะปลูกบ้านหลาย ๆ หลังในบริเวณเดียวกัน แต่ก็มักจะเป็นญาติพี่น้องกัน เช่น บุตรหลานที่สมรสแล้วแยกครัวเรือนออกไป ก็จะปลูกบ้านอยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกับบิดามารดาของตน อีกลักษณะหนึ่งจะเป็นบ้านหนึ่งหลังอยู่กันหลาย ๆ ครอบครัว แต่มีความเกี่ยวพันกันค่อนข้างน้อย คือค่อนข้างเป็นอิสระต่อกัน และลักษณะสุดท้ายเป็นลักษณะครัวเรือนเดียว คือบ้านหลังหนึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูก ๆ (หน้า 80) ความเปลี่ยนแปลงในการเลือกคู่ระหว่างอดีตกับปัจจุบันของชายไทยมุสลิมชุมชนมัสยิดมหานาค ในภาพรวมมีความเปลี่ยนแปลงไม่เด่นชัด แต่พอจะกล่าวได้ว่า ชายไทยมุสลิมที่จะเลือกคู่ในปัจจุบันจะให้ความสำคัญต่อความรัก ความใกล้ชิด และรูปร่างหน้าตาที่ดีของคู่สมรสมากว่าชายไทยมุสลิมที่เลือกคู่สมรสในอดีต การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดระหว่างอดีตกับปัจจุบันคือ บทบาทและอิทธิพลของผู้ใหญ่และครอบครัวต่อการตัดสินใจเลือกคู่สมรสในปัจจุบันลดน้อยกว่าในอดีต (หน้า 207)

Political Organization

การปกครองในชุมชนมัสยิดมหานาคมีลักษณะใกล้เคียงกับชุมชนมุสลิมอื่นๆ ทั่วไปคือ ประกอบไปด้วยคณะกรรมการชุมชนและคณะกรรมการมัสยิด ในทางหลักการนั้น คณะกรรมการมัสยิดจะดูแลในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา และคณะกรรมการชุมชนจะดูแลเรื่องทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติของชุมชนมหานาคนั้น ทั้งสองส่วนนี้จะทำงานผสานกัน เพียงแต่คณะกรรมการชุมชนจะมีหน้าที่ติดต่อผสานงานหน่วยงานของรัฐมากกว่าเท่านั้น แต่ทั้งสองคณะกรรมการก็ไม่ได้มีการแยกอำนาจหน้าที่จากกันเด็ดขาด และคณะกรรมการของทั้งสองส่วนการปกครองนี้บางท่านเป็นบุคคลเดียวกัน คือทำงานทั้งสองด้าน คณะกรรมการชุมชนในแต่ละชุดจะมีวาระ 2 ปี คือจะจัดให้มีการเลือกตั้งทุก ๆ 2 ปี หมุนเวียนกันไป ส่วนคณะกรรมการมัสยิดนั้นจะมีวาระที่นานกว่าคือ 4 ปี แต่มีแกนนำถาวรคือ อิหม่าม (ผู้นำทางศาสนาของชุมชน) บิหลั่น (ผู้เชญชวนอิสลามิกชนเข้าร่วมพิธีกรรม) ทั้งสามตำแหน่งนี้ในทางปฏิบัติสามารถปฏิบัติหน้าที่แทนกันได้และไม่มีการหมดวาระ นอกจากเสียชีวิตหรือลาออก (หน้า 87)

Belief System

กรณีศึกษาเป็นมุสลิมนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งอิสลามมีข้อกำหนดในการประพฤติปฏิบัติที่มีความชัดเจน และมีความละเอียดลออในทุก ๆ ขั้นตอนของชีวิต เป็นวิถีชีวิตของบุคคล ไม่ใช่เป็นเพียงความศรัทธาที่ปราศจากการปฏิบัติ (หน้า 202) ผู้ที่เป็นมุสลิมต้องนับถืออิสลามโดยการศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจ ยอมรับในเอกภาพของอัลลอฮ และยอมรับความเป็นศาสดาของมูฮัมหมัด ความเชื่อทั้งสองอย่างเป็นเนื้อหาของบทปฏิญาณตนที่ว่า "อัลอิลาฮะ อิลัลลอฮ มูฮัมมัด รซูลุล ลอฮ" แปลว่า ไม่มีพระเจ้านอกจากอัลลอฮ และมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลลออ หลักศรัทธาของอิสลามมี 6 ประการคือ ศรัทธาในเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า ศรัทธาในเทวทูตของพระเจ้า การศรัทธาในคัมภีร์ ศรัทธาต่อศาสนทูตหรือบรรดาศาสดาต่างๆ ศรัทธาต่อวันสุดท้ายและวันเกิดใหม่ และศรัทธาในลิขิต (กฎสภาวะ) ของพระเจ้า นอกจากนั้นอิสลามมีหลักปฏิบัติ 5 ประการคือ การปฏิบัติตนประกาศศรัทธา การบำเพ็ญนมัสการ การถือศีลอด การบริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ และการประกอบพิธีฮัจย์ (หน้า 27 - 32)

Education and Socialization

ชุมชนมัสยิดมหานาคมีโรงเรียนสอนศาสนาชื่อ "บำรุงอิสลามวิทยา" ในระยะแรกโรงเรียนแห่งนี้มีวัตถุประสงค์ในการสอนศาสนาเท่านั้น และไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนแต่อย่างใด ต่อมามีการสอนหลักภาษาไทย เพื่อไม่ให้ขัด พ.ร.บ.ประถมศึกษา ปัจจุบันโรงเรียนบำรุงอิสลามวิทยาเปิดทำการสอนในระดับประถมศึกษาตั้งแต่ประถมปีที่ 1-6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 109 คน ประกอบด้วยชาย 50 คน และหญิง 59 คน (หน้า 96-97) นอกจากนั้นในชุมชนมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งมีเด็กในการดูแลทั้งสิ้น 35 คน และเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง 2 คน รวมทั้งมีสถาบันฝึกอาชีพเซรอับดุลลาติ๊ป อาชีพที่ฝึกให้ชาวชุมชนมีหลากหลายอาชีพ ได้แก่ งานฝีมือ และการเรือน เช่น การทำยาหม่อง การทำอาหาร งานด้านไฟฟ้า ฯลฯ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณและวิทยากรจากหลายหน่วยงาน เช่น กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนสารพัดช่าง แต่ปัจจุบันกิจกรรมดังกล่าวได้หยุดชะงักไปประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ (หน้า 98)

Health and Medicine

ระบบการสาธารณสุข และการรักษาพยาบาลในชุมชนมัสยิดมหานาค เป็นไปตามระบบปัจจุบัน มีหน่วยงานที่ดำเนินงานภายในชุมชน ซึ่งได้แก่ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และศูนย์บริการสาธารณสุขที่ 20 สำนักอนามัย (หน้า 89)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้เขียนกล่าวถึงมัสยิดมหานาค ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมของชุมชนนี้ เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา มัสยิดหลังปัจจุบันคือมัสยิดที่สร้างขึ้นเป็นหลังที่สาม สร้างขึ้นหลังจากการเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในปี 2472 บนเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา เป็นอาคารคอนกรีต 2 ชั้นมั่นคงแข็งแรง ป้ายชื่อมัสยิดทำด้วยหินอ่อนสีเทาตัวหนังสือลงรักปิดทอง บริเวณด้านหน้ามีเก้าอี้ยาว และบริเวณชั้นล่างของมัสยิดที่เป็นพื้นที่โล่งยกพื้นบางส่วน ซึ่งมักจะมีชาวชุมชนวัยกลางคนมานั่งพักผ่อนหรือพบปะสังสรรค์กัน (หน้า 91)

Folklore

ในงานศึกษามีการกล่าวถึงตำนาน เพื่ออธิบายความเป็นมาของอิสลามในประเทศไทย โดยเฉพาะศาสนาอิสลามที่แพร่เข้ามาทางตะวันออกเข้าสู่แหลมมลายู และโดยเฉพาะการแพร่เข้ามายังเมืองไทรบุรี ซึ่งเป็นตำนานอินเดีย จากหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าศาสนาอิสลามได้แพร่เข้ามาทางแหลมมลายูนับพันปีแล้ว (หน้า 34)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

มุสลิมเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่มีรากฐานในประเทศไทยยาวนาน การผสมผสานทางวัฒนธรรมย่อมมีมากกว่ากลุ่มอื่น แต่ในทางปฏิบัติกลุ่มนี้กลับมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสมรส สำหรับมุสลิมการเลือกคู่จะมีแบบแผนที่แน่นอน เช่น จะต้องสมรสกับมุสลิมด้วยกันหรือต้องเปลี่ยนเข้ามาเป็นมุสลิมก่อน ต้องมีวัยเหมาะสม ห้ามสมรสกับญาติใกล้ชิด นับรวมถึงความพร้อมและข้อห้าม ข้อปฏิบัติในด้านอื่น ๆ อีก ซึ่งศาสนาได้บัญญัติไว้โดยชัดเจน (หน้า 2) นอกจากนี้ ผู้เขียนได้กล่าวถึง ลักษณะรากฐานของชุมชน ที่มีรากฐานยาวนาน มีลักษณะความเป็นชุมชนอย่างแท้จริง ที่เกิดจากบุคคลที่มีความรู้สึกร่วมว่าตนเป็นพวกเดียวกันมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง จึงมีการประสานงานร่วมมือแก้ไขปัญหาในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี ลักษณะที่เข้มแข็งของชุมชนนี้เป็นเสมือนเกราะป้องกันการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ลักษณะสำคัญนี้เกิดจากลักษณะพิเศษของศาสนาอิสลาม ที่ถือว่ามุสลิมทุกคนเป็นพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะมีพื้นเพเดิมมาจากที่แหล่งใด เพราะความเป็นมุสลิมนั้นไม่ได้ถูกกำหนดโดยภูมิศาสตร์ สัญชาติหรือปัจจัยอื่น นอกจากการนับถือศาสนาเดียวกัน ฉะนั้นถึงแม้ชุมชนแห่งนี้จะเกิดมาจากการรวมตัวของมุสลิมจากหลายภูมิภาค แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสมัครสมานสามัคคีลดน้อยลงหรือเกิดความแตกแยกแต่ประการใด และยังสามารถดำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงได้อย่างดียิ่ง (หน้า 202)

Social Cultural and Identity Change

ถึงแม้สังคมในปัจจุบันจะอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ เป็นยุคของการแพร่กระจายวัฒนธรรมตะวันตกอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง หลาย ๆ สังคมได้มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตความเป็นอยู่ ระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจ และด้านอื่นๆ เช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ของมุสลิมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุ (material culture) หรือสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ด้วยโสตประสาท เช่น ภาษา เครื่องแต่งกาย ที่อยู่อาศัย มีความเปลี่ยนแปลงกลืนกลายสูง แต่สำหรับค่านิยมในด้านการสมรส ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ (non-material culture) กลับแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ลักลั่นกันนั้น พอจะอธิบายได้ว่า ไทยมุสลิมมีการปฏิสัมพันธ์กับภายนอกกลุ่ม สิ่งที่เป็นเรื่องของวัตถุย่อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อการติดต่อปฏิสัมพันธ์เป็นไปอย่างราบรื่นและสัมฤทธิผล แต่สำหรับการเลือกคู่ที่เปลี่ยนแปลงน้อยนั้น เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่เป็นเรื่องความพึงพอใจระหว่างปัจเจกชน แต่ยังเป็นเรื่องของสังคมเพราะญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายที่จะต้องเกี่ยวดองกันด้วย (หน้า 201)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้ตาราง เพื่ออธิบายข้อมูลเปรียบเทียบเชิงปริมาณให้เห็นภาพที่ชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลเรื่องความคิดเห็นด้านต่าง ๆ เช่น ความคิดเห็นของผู้ให้ข่าวสำคัญต่ออายุของคู่สมรส (หน้า 110) ความคิดเห็นของผู้ให้ข่าวสำคัญต่อความรักกับคู่สมรส (หน้า 149) การใช้ภาพประกอบ เพื่ออธิบายสภาพทั่วไปและข้อมูลพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของชุมชนที่เป็นกรณีศึกษา เช่น ภาพชุมชนมัสยิดมหานาค (หน้า 80) ภาพสภาพถนนภายในชุมชน (หน้า 86) นอกจากนี้ผู้เขียนได้ใช้แผนภูมิ เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ ให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย เช่น ไดอะแกรมครอบครัวนายแอล (หน้า 222)

Text Analyst นฤมล ธรรมมานอก Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG มุสลิม, การเลือกคู่สมรส, กรุงเทพฯ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง