สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,ประมง,เศรษฐกิจ,วัฒนธรรม,สงขลา
Author ภรณี หิรัญวรชาติ
Title การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชุมชนชาวประมงมุสลิม : บ้านแสนสุข จังหวัดสงขลา
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 245 Year 2542
Source หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

งานวิจัยชิ้นนี้มีข้อสมมติฐานถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชุมชนชาวประมงมุสลิมบ้านแสนสุข 5 ประการ คือ (1) การขยายตัวของอำนาจและกลไกรัฐ (2) การขยายตัวของเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ (3) สภาพนิเวศน์วิทยาของชุมชน (4) การเพิ่มขึ้นของประชากร (5) ความเชื่อทางศาสนาอิสลาม ผลจากการวิจัยทำให้ทราบว่าชุมชนแห่งนี้มีการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ (หน้า 231) เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ถูกผนวกเข้ากับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมากขึ้น และสูญเสียระบบการพึ่งตนเอง ระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมที่เป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพโดยยึดหลักศีลธรรม เปลี่ยนไปเป็นระบบการผลิตเพื่อการค้า แลกเปลี่ยนกับเงินตรา ส่งผลให้เกิดอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น และเกิดการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น จนเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยา และการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของชาวประมงที่ต้องปรับตัวด้วยการหันไปประกอบอาชีพในภาคการเกษตรในฤดูมรสุม บางครอบครัวก็ต้องกลายเป็นผู้ขายแรงงาน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความต้องการพื้นที่เพื่อการผลิตและการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทำให้ที่ดินถูกแบ่งออกเป็นผืนเล็ก ๆ (หน้า 234-238) อย่างไรก็ดี ค่านิยมซึ่งมีพื้นฐานมาจากความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่เน้นคุณธรรมในจิตใจ เน้นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แทนที่จะแสวงหาผลกำไรจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้น ได้ช่วยชะลอไม่ให้ระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่มีความสัมพันธ์กับกลไกของตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอก (หน้า 241)

Focus

ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อของชุมชนบ้านแสนสุข (ชื่อสมมติ) จังหวัดสงขลา ภายใต้ปัจจัยการขยายตัวของอำนาจและกลไกรัฐ การขยายตัวของพัฒนาการเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ ปัจจัยด้านสภาพนิเวศวิทยาของชุมชน การเพิ่มขึ้นของประชากร และความเชื่อทางศาสนาอิสลาม โดยเน้นการศึกษาในเรื่องการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจ (หน้า 4-5, 22)

Theoretical Issues

ผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดสำคัญในการศึกษา 2 ประการคือ 1) แนวคิดเศรษฐศาสตร์เชิงจริยธรรม (Moral Economy) ได้อธิบายความสัมพันธ์ทางสังคมแบบประเพณีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า มีลักษณะความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ ภายใต้ระเบียบทางจริยธรรมที่เป็นมาตรฐานในการควบคุมสมาชิกในหมู่บ้าน (หน้า 7) ทั้งผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์มีความเชื่อมโยงกันด้วยมิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ทางเครือญาติ (หน้า 9) 2) แนวคิดโครงสร้าง-หน้าที่ (Structural-Functionalism) มีแนวคิดว่า สังคมประกอบด้วยระบบต่างๆ ทำหน้าที่กันอย่างสอดคล้อง (หน้า 9) ซึ่งทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมมีความสัมพันธ์กันท่ามกลางการปรับตัวของชุมชนหมู่บ้านกับสังคมอื่น ๆ (หน้า 10) รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับสังคม โดยมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้คนในสังคมมารวมกัน (หน้า 11) ผลจากการศึกษาทำให้ทราบว่าชุมชนแห่งนี้มีการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ (Dual Economy) ระหว่างการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชุมชน 2 ประการ คือ เป็นการจัดระเบียบแบบยังชีพ ซึ่งเน้นการผลิตเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน ให้ความร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน (Reciprocity) บนพื้นฐานความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และยังใช้ระบบอุปถัมภ์แบบศีลธรรม ถึงแม้ว่าจะมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในชุมชนมากขึ้นก็ตาม และการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ ที่เน้นการประกอบอาชีพเพื่อการค้า ซึ่งมีความผูกพันอยู่กับระบบการตลาดภายนอกชุมชนท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น มีการหวังผลกำไรจากการค้า ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมหลายประการ เช่น เกิดระบบการจ้างงาน ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น และมีการติดต่อกับคนภายนอกมากขึ้น (หน้า 221, 231-232)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มไทยมุสลิมในชุมชนบ้านแสนสุข (ชื่อสมมติ) ตำบลสะกอม อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา โดยเลือกศึกษาในประเด็นเรื่องการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของชุมชนชาวประมงมุสลิม (หน้า 4)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาสะกอมเป็นภาษาถิ่นใต้ที่มีสำเนียงผสมผสานระหว่างภาษาสงขลากับภาษาตากใบ จึงมีสำเนียงอ่อนกว่าภาษาถิ่นใต้ทั่วไป และเป็นภาษาที่ผสมผสานระหว่างภาษาไทยถิ่นใต้กับภาษามลายูถิ่น ดังจะเห็นได้จากรูปศัพท์ที่มาจากภาษามลายูถิ่น เช่น กุโบ หมายถึง ป่าช้า กอตะ หมายถึง กล่องใส่ยาสูบ รวมถึงมีการกลายเสียงแบบต่างๆ ทั้งการกร่อนเสียงพยางค์หน้า เช่น ข้างหน้า เป็น ขะหน้า ผู้หญิง เป็น ผะหญิง การเปลี่ยนเสียงพยางค์หน้า เช่น ตะเข็บ เป็น จะเข็บ ตะวัน เป็น ตุหวัน การเติมเสียงพยางค์หน้า เช่น ตุด เป็น กะตุด พรก เป็น กะพรก และมีคำสร้อยหรือคำลงท้ายเพื่อบอกความรู้สึกต่างๆ ทำให้ภาษาสะกอมมีความสุภาพนุ่มนวล หรือเพื่อเป็นการแสดงอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น โร้ฟังน่อ คือ ฟังไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้ยังมีสำนวนสะกอมโดยเฉพาะ เช่น ทำสะหม้อ คือ ทำให้ขำหรือทำเป็นตัวตลก และมีการใช้คำสับกับภาษาถิ่นใต้ทั่วไป เช่น คำว่าพุงขึ้น ที่ใช้ในภาษาใต้ทั่วไป จะกลายเป็นขึ้นพุง หมายถึง ท้องอืด คำว่าทุกข์ร้อน กลายเป็น ร้อนทุกข์ และสำนวนเปรียบเทียบเชิงล้อเลียน เช่น ดำเหมือนมันหมกลืม (หน้า 74-75) ในสังคมชาวประมงที่บ้านแสนสุขมีคำเรียกชื่อแทนตัวเองด้วยภาษาอาหรับ เรียกผู้อาวุโสกว่าว่า บัง ซึ่งหมายถึง พี่ชาย และ นิ ก๊ะ หมายถึงพี่สาว เรียกผู้อาวุโสน้อยกว่าว่า เด๊ะ และเรียกพ่อว่า เจ๊ะ ป๊ะ หรือเป๊าะ สำหรับผู้ที่เคร่งศาสนาจะเรียกพ่อว่า เย๊าะ และเรียกแม่ว่า เม๊าะ ม๊ะ หรือแม๊ะ เรียกพี่ชายหรือพี่สาวของพ่อและแม่ว่า เว๊าะ เต๊ะ และดอ เรียกน้องชายหรือน้องสาวของพ่อและแม่ว่า เงาะ จิ๊ และจู ตามลำดับ เรียกปู่ ย่า ตา ยาย ว่าโต๊ะ เรียกทวดผู้หญิงและทวดผู้ชายว่า โต๊ะหยัง และเรียกคนรุ่นที่สูงกว่าทวดว่า โต๊ะหยุด (หน้า 101)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2541 ถึงมีนาคม พ.ศ.2542

History of the Group and Community

สะกอมมาจากคำว่า สะฆอร์ เป็นภาษามลายู หมายถึงต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใบเล็ก ๆ ลูกสีแดง ต่อมาเพี้ยนมาเป็นสะกอม หมู่บ้านนี้จึงมีชื่อว่าบ้านสะกอม อย่างไรก็ดี มีประวัติเล่าสืบกันมาเกี่ยวกับชุมชนบ้านสะกอม (ชุมชนบ้านแสนสุข) เป็น 2 ประการคือ ประการแรก ชาวสะกอมเป็นคนที่อพยพมาจากอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ประการที่สอง สันนิษฐานว่าผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ที่ตำบลสะกอมนี้เป็นพวกทหารที่แตกทัพมาตั้งแต่สมัยเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.2310 โดยชนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามสายจุฬาราชมนตรีในสมัยอยุธยา ส่วนคนพุทธหรือคนจีนได้อพยพเข้ามาทีหลัง (หน้า 64) ส่วนประวัติความเป็นมาของอำเภอเทพานั้น แต่เดิมเป็นเมืองขึ้นของเมืองพัทลุง ภายหลังเมื่อแยกเมืองสงขลาออกจากเมืองพัทลุง เทพาจึงกลายเป็นเมืองขึ้นของสงขลา ในพงศาวดารหลายฉบับได้กล่าวถึงเมืองเทพาในปี พ.ศ.2312 โดยแสดงให้เห็นถึงการเป็นจุดแวะพักระหว่างเมืองสงขลากับเมืองปัตตานี (หน้า 58) จนกระทั่งเมืองสงขลาถูกยึดครองโดยเจ้าเมืองในตระกูล ณ สงขลา ระหว่างปี พ.ศ. 2318-2444 (หน้า 29) ทำให้อาณาบริเวณเมืองสงขลาขยายออกไปกว้างขวางมากยิ่งขึ้น และมีเมืองจะนะซึ่งกินอาณาบริเวณอำเภอจะนะ สะบ้าย้อย และเทพา เป็นเมืองขึ้น เช่นเดียวกับจารึกวัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพมหานคร ตรงกับศักราช 1190 (พ.ศ.2371) ได้กล่าวถึงเมืองเทพาว่าเป็นเมืองขึ้นของเมืองสงขลา และมีบทบาทสำหรับเป็นแหล่งต่อเรือ (หน้า 58) อนึ่งในปีพ.ศ.2439 ได้มีการปฏิรูปการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล จึงได้มีการยุบเมืองเทพาเป็นอำเภอเทพา (หน้า 59)

Settlement Pattern

ชุมชนบ้านแสนสุขมีทางหลวงหมายเลข 43 ตัดผ่านและแบ่งพื้นที่ของหมู่บ้านออกเป็น 2 ส่วน คือ พื้นที่ด้านเหนือของถนนเป็นที่ตั้งของบ้านเรือนและร้านค้าตลอดแนวชายฝั่งอ่าวไทย มีสถานที่สำคัญตั้งอยู่บริเวณเกือบใจกลางของหมู่บ้าน คือ มัสยิด สุสาน และโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ในส่วนนี้มีกลุ่มบ้านเรือนของไทยพุทธร่วมอยู่ด้วย ส่วนพื้นที่ด้านใต้ของทางหลวงฯส่วนใหญ่เป็นสวนยางพารา มีบ้านเรือนกระจายตัวอย่างเบาบาง มีโรงเรียนบ้านแสนสุขซึ่งเปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นจุดหมายตาที่สำคัญ ด้านตะวันออกของหมู่บ้านติดกับสถาบันเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและศูนย์อนุรักษ์ป่า ทิศตะวันตกติดกับ อ.จะนะ บริเวณนี้ถือเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของตลาดนัดถึง 2 แห่ง อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของท่าจอดเรือหมู่บ้าน (แผนภาพที่ 10; หน้า 66) ลักษณะทางกายภาพของชุมชนบ้านแสนสุขจะมีบ้านเรือนหนาแน่นบริเวณริมคลอง และตามชายฝั่งทะเล ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ ยกพื้นสูง ซึ่งชาวบ้านจะช่วยกันสร้าง นอกจากนี้ยังมีบ้านสมัยใหม่ก่ออิฐถือปูน ซึ่งชาวบ้านคิดว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญ และเป็นสิ่งแสดงฐานะของเจ้าของบ้าน (หน้า 69-71) การตั้งถิ่นฐานภายหลังการแต่งงาน ตามธรรมเนียมของศาสนาอิสลามเมื่อคู่บ่าวสาวแต่งงานกันแล้ว จะต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง (Matrilocal) ประมาณ 2-3 ปี เมื่อมีเงินเก็บพอที่จะสร้างบ้านของตนได้แล้วจึงแยกครอบครัวออกไปในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านเดิมและญาติพี่น้อง (หน้า 99)

Demography

ชุมชนบ้านแสนสุขมีจำนวนประชากรทั้งหมด 1,858 คน จำนวน 322 ครัวเรือน แยกออกเป็นชาย 942 คน และหญิง 916 คน จำแนกตามช่วงอายุได้ดังนี้ 1) แรกเกิด-12 ปี ชาย 250 คน หญิง 196 คน 2) 13-18 ปี ชาย 108 คน หญิง 118 คน 3) 19-50 ปี ชาย 435 คน หญิง 464 คน 4) 51-60 ปี ชาย 55 คน หญิง 47 คน 5) มากกว่า 60 ปี ชาย 94 คน หญิง 91 คน ในจำนวนนี้นับถือศาสนาพุทธคิดเป็นร้อยละ 3.44 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ที่เหลือร้อยละ 96.55 นับถือศาสนาอิสลาม (หน้า 67) นอกจากนี้ยังปรากฏตารางแสดงข้อมูลของผู้ให้ข่าวสำคัญจำนวน 14 คน โดยระบุเพศ อายุ การนับถือศาสนา การศึกษา อาชีพ และจำนวนบุตร (หน้า 23)

Economy

ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลภาคสนามเกี่ยวกับการประกอบอาชีพของชาวบ้านแสนสุขที่มีอายุระหว่าง 16-60 ปี โดยจำแนกเป็นอาชีพประมงร้อยละ 73 ทำสวนยางพาราร้อยละ 13.1 รับจ้างร้อยละ 6.5 ค้าขายร้อยละ 4.7 เพาะปลูกร้อยละ 0.3 รับราชการร้อยละ 0.4 (หน้า 76) ชุมชนบ้านแสนสุขมีการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจเป็นแบบทวิลักษณ์ คือ เป็นการผสมผสานกันระหว่างการจัดระเบียบแบบยังชีพกับการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ ที่แต่ละครัวเรือนจะเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยพื้นฐานในการผลิต และใช้แรงงานจากสมาชิกในครัวเรือนเป็นหลัก รองจากนั้นจะเป็นแรงงานจากเครือญาติ มีการช่วยเหลือตอบแทนซึ่งกันและกัน (Exchange Labor) โดยมีสถานภาพทางเครือญาติเป็นตัวกำหนดบทบาทในการทำงานร่วมกัน (หน้า 100, 222) เมื่อว่างเว้นจากการผลิตในครัวเรือนหรือการทำประมงจะมีการปรับตัวด้วยการเป็นแรงงานรับจ้างในภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก และมีการปลูกพืชผักเพื่อบริโภคในครัวเรือน ถ้าเหลือจึงจะนำไปขายเป็นการเสริมรายได้ นอกจากนี้แรงงานบางส่วนยังไปรับจ้างนอกภาคการเกษตรกรรม ส่วนแรงงานคนหนุ่มสาวนิยมไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม (หน้า 223) อย่างไรก็ดีการที่ชุมชนมุสลิมตั้งอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรมอิสลาม โดยยึดหลักการจากอัลกุรอาน และอัลหะดีษ ทั้งในเรื่องหลักการศรัทธา ศีลธรรมจรรยา และหลักกฎหมายอิสลาม ซึ่งเรียกว่า "เศรษฐศาสตร์อิสลาม" (หน้า 119) นั้น ได้ช่วยชะลอไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (หน้า 241) ปัจจุบันวิถีชีวิตของชาวบ้านแสนสุขล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์อยู่กับตลาด และเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านในชุมชนนำผลิตผลของตนออกไปจำหน่าย ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งจะมีพ่อค้าคนกลางในหมู่บ้านและลูกค้าจากภายนอกรับซื้อผลผลิตเหล่านั้นอยู่แล้วก็ตาม ตลาดสำคัญที่เป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยน ได้แก่ ตลาดอำเภอจะนะ ตลาดอำเภอเทพา ตลาดอำเภอนาทวี และตลาดอำเภอหาดใหญ่ (หน้า 228)

Social Organization

ประเพณีการสมรสของมุสลิมนั้น ก่อนที่จะมีการแต่งงานกันคู่บ่าวสาวจะต้องดูใจกันมาแล้วระยะหนึ่ง และมีผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเห็นชอบด้วย โดยญาติของฝ่ายชายจะไปเจรจากับญาติของฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงจะให้คำตอบภายใน 7 วัน ซึ่งถือเป็นช่วงที่ฝ่ายหญิงจะได้มีโอกาสทำความรู้จักฝ่ายชายให้มากขึ้นก่อนตัดสินใจ เมื่อฝ่ายหญิงตกลงแล้วญาติของฝ่ายชายจึงจะไปตกลงเรื่องวันแต่งงาน สินสอด ของหมั้น และมะฮัร (เงินหรือสิ่งของที่ฝ่ายชายมอบให้หญิงที่จะสมรส และเป็นสิทธิ์ของหญิงโดยเฉพาะ) จากนั้นจึงหาวันดีที่จะประกอบพิธีแต่งงาน ซึ่งจะมีขึ้นที่บ้านฝ่ายหญิง ในการหมั้นนั้นตามประเพณีไทยมุสลิมมี 2 ลักษณะ คือ หมั้นก่อนทำพิธีนิกะห์ (แต่งงานตามหลักศาสนา) โดยเจ้าบ่าวจะถูกต้องตัวเจ้าสาวไม่ได้ และจะกระทำกันระหว่างผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย และการหมั้นหลังพิธีนิกะห์ ซึ่งเจ้าบ่าวสามารถถูกต้องตัวเจ้าสาวได้ ทั้งนี้ในการแห่ขันหมากนั้นจะต้องมีจำนวนของอย่างน้อย 5 ขัน ที่สำคัญคือ เงินหรือของมะฮัร ขันหมาก ขันพลู ขันของหมั้น และขนมต่าง ๆ และช่วงสำคัญที่สุดของการแต่งงาน คือ นิกะห์ ซึ่งต้องประกอบด้วยองค์ 5 ได้แก่ วลี (คือผู้ปกครองของผู้หญิงซึ่งเป็นเพศชายที่มีสติสัมปชัญญะ และไม่อยู่ระหว่างประกอบพิธีฮัจญ์) เจ้าบ่าว พยาน 2 คน (ต้องเป็นมุสลิมที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และบรรลุนิติภาวะ) ประธานผู้ทำพิธีนิกะห์และมะฮัร ในการทำพิธีแต่งงานทางศาสนาอิสลามจะมีโต๊ะอิหม่ามและคอเต็บเป็นผู้ดำเนินการหลัก ขณะที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าวนั่งบัลลังก์ จะมีญาติมิตรของทั้งสองฝ่ายมาร่วมแสดงความยินดี และจะเชิญญาติผู้ใหญ่ที่นับถือมาทำพิธีกินสมางัด โดยนำส้มแขก เกลือ ข้าว มาป้อนคู่บ่าวสาวเพื่อเป็นสิริมงคล จากนั้นจะเชิญญาติผู้ใหญ่ที่มาในงานจำนวน 3 คนมาป้อนข้าวเหนียว 3 สี (ขาว แดง เหลือง) ไข่ และขนมให้กับคู่บ่าวสาว เสร็จแล้วพ่อแม่ฝ่ายหญิงเริ่ม "ปาเด๊าะมาแกปูโละ" คือ บอกกล่าวเชิญชวนกินข้าวเหนียว กรณีผู้หญิงที่มีสามีแล้วจะแต่งงานใหม่ได้ก็ต่อเมื่อสามีเสียชีวิตหรือสามีหายไป 4 เดือน หรือประจำเดือนมา 2 ครั้งแล้วสามียังไม่กลับมา (หน้า 87-92) ความสัมพันธ์ภายหลังจากการสมรสนั้นมีกฎหมายอิสลามเป็นฐานรองรับ ซึ่งส่วนมากมุสลิมจะนิยมจดทะเบียนสมรสตามหลักการของศาสนา และจะมีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยในภายหลัง เช่น หลังจากให้กำเนิดบุตร หรือบุตรมีอายุครบ 15 ปีแล้วต้องทำบัตรประชาชน ส่วนบทบัญญัติทางศาสนาเกี่ยวกับประเพณีการแต่งงานทางศาสนาอิสลามอนุโลมให้ชายมีภรรยาได้ถึง 4 คน ต่อเมื่อชายนั้นสามารถให้ความยุติธรรมแก่ภรรยาทั้งหลายได้ไม่บกพร่อง ในอดีตที่ผ่านมาคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านนิยมแต่งงานกันเองภายในชุมชนเป็นหลัก โดยหลักของศาสนาอิสลามได้ระบุว่าคนมุสลิมต้องแต่งงานกับคนมุสลิมเท่านั้น กรณีที่เป็นคนนอกศาสนาจะต้องให้เข้านับถือศาสนาอิสลามก่อน ดังปรากฏว่าภายในชุมชนมีทั้งลูกเขยและลูกสะใภ้ที่เป็นไทยพุทธและจีน (หน้า 93-97) ในสังคมมุสลิมภรรยาจะต้องเชื่อฟังสามีและอยู่กับบ้านเพื่อดูแลงานภายในบ้านและลูก ๆ ซึ่งตามหลักศาสนาอิสลามจะให้สิทธิในการศึกษาและการรับมรดกน้อยกว่าผู้ชาย ฝ่ายชายจะรับภาระเลี้ยงดูครอบครัว และติดต่อกับทางราชการหรือสังคมภายนอก ปัจจุบันสภาวะทางเศรษฐกิจบีบบังคับให้ผู้หญิงต้องช่วยแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงดูครอบครัว จึงปรากฏว่ามีผู้หญิงในหมู่บ้านบางคนไปรับราชการเป็นครู บ้างก็ไปรับจ้างที่โรงงานใกล้ ๆ หมู่บ้าน และเกิดค่านิยมแบบใหม่ว่าผู้หญิงที่อยู่บ้านเฉย ๆ คือ คนขี้เกียจ อย่างไรก็ดีปัญหาที่สำคัญของชุมชนบ้านแสนสุข คือ คนหนุ่มสาวนิยมแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทางสังคม เช่น การมีบุตรเร็ว หรือมีบุตรมาก ขาดความรู้เรื่องสุขภาพอนามัย ความไม่พร้อมทางด้านวุฒิภาวะและทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้เกิดการหย่าร้างตามมา (หน้า 98-99) หลังจากแต่งงานแล้วคู่บ่าวสาวจะอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายหญิงประมาณ 2-3 ปี เมื่อมีเงินเก็บแล้วจึงแยกไปตั้งบ้านเรือนเอง แต่จะยังอยู่บริเวณใกล้ ๆ กับครอบครัวเดิมหรือญาติพี่น้อง ระบบเครือญาติของชุมชนบ้านแสนสุขจึงให้ความสำคัญต่อการนับญาติของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายเท่าเทียมกัน (Bilateral) รวมไปถึงสามีและภรรยาของญาติข้างพ่อและญาติข้างแม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ก่อให้เกิดความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพประมง (หน้า 99-100) ดังนั้นสถาบันครอบครัวชาวประมงมุสลิมบ้านแสนสุขส่วนใหญ่จึงมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 2 ชั่วคน คือ พ่อ แม่ และลูกที่ยังเป็นโสด แต่ยังพบรูปแบบของครอบครัวขยายด้วย โดยอำนาจการตัดสินปัญหาสำคัญ ๆ ของครอบครัวมักจะอยู่กับผู้อาวุโสที่เป็นเพศชาย ลักษณะครอบครัวที่พบโดยมากจะเป็นครอบครัวขยายในแนวยืน (Vertical Extended Family) ที่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายโลหิตโดยตรงตั้งแต่สองชั่วคนขึ้นไป (หน้า 86) นอกจากนี้ยังพบว่ามีลักษณะของครอบครัวพหุภรรยา (Polygynous Family) อันเกิดจากการที่ฝ่ายชายมีภรรยาหลายคนแล้วนำภรรยามาอยู่ร่วมในครัวเรือนเดียวกัน หรือแยกครอบครัวออกไป (หน้า 87) การแบ่งมรดกของมุสลิมบ้านแสนสุขนั้น ตามหลักกฎหมายอิสลามได้กล่าวถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ในการแบ่งมรดกสำหรับกรณีที่ไม่มีการทำพินัยกรรมไว้ล่วงหน้าว่า หากพ่อหรือแม่เสียชีวิตจะต้องแบ่งมรดกให้กับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ครึ่งหนึ่งก่อน จากนั้นจึงนำอีกครึ่งหนึ่งมาแบ่งให้กับลูกๆ ทุกคน โดยลูกผู้ชายจะได้รับส่วนแบ่งเป็นสองเท่าของลูกผู้หญิง ส่วนถ้ามีการเขียนพินัยกรรมไว้แล้ว จะเป็นผลก็ต่อเมื่อได้มีการนำพินัยกรรมนั้นไปฝากและกล่าวมอบมรดกต่อหน้าโต๊ะอิหม่ามและญาติๆ ของผู้ที่ครอบครัวเคารพนับถือแล้ว ซึ่งโดยมากจะเป็นการแบ่งมรดกให้กับลูกคนที่จะอยู่เลี้ยงดูพ่อแม่ในบั้นปลายชีวิตมากกว่าคนอื่น ๆ (หน้า 104) นอกจากนี้ชาวประมงบ้านแสนสุขยังเคยมีการรวมตัวกับชาวประมงในชุมชนอื่น ๆ ใกล้เคียงเพื่อเรียกร้องให้เรือขนาดใหญ่ออกหาปลาในน่านน้ำจังหวัดสงขลา 3 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขารู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ประมงเข้าข้างนายทุนและอำนาจมากกว่าชาวบ้านธรรมดา ในปี พ.ศ.2532 จึงได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มสาธิตเครื่องมือประมงพื้นบ้านที่ส่งเสริมจากทางราชการ และมีการสนับสนุนจากองค์กรพัฒนาเอกชน ทำให้ตัวแทนกลุ่มได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่มประมงอื่น ๆ ในจังหวัดสงขลา และทำให้ทราบถึงปัญหาการทำประมงของพื้นที่ต่าง ๆ ต่อมาเมื่อเกิดปัญหาระหว่างเรือปลากระตักและเรือประมงพื้นบ้าน จังหวัดสงขลาอีกในปี พ.ศ.2542 ชาวประมงพื้นบ้านในชุมชนบ้านแสนสุขไม่ได้ร่วมปิดปากอ่าวประท้วง เนื่องจากไม่ได้ต้องการให้เรือปลากระตักหรือเรือประมงขนาดใหญ่ต้องเลิกหาปลาในทันที เพียงแต่ต้องการให้เรือขนาดใหญ่หาปลาในน้ำลึก ไม่มาก้าวก่ายเขตพื้นที่ประมงด้านหน้าชุมชน ทั้งนี้เนื่องจากผู้นำกลุ่มประมงในปัจจุบันยึดอยู่ในกรอบของศาสนาอิสลาม ซึ่งความคิดเห็นดังกล่าวก็ได้รับการยอมรับจากชุมชนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง (หน้า 157-158)

Political Organization

ในสังคมไทยมุสลิมมีการจัดระดับ (Rank) คือการจัดตำแหน่งหน้าที่บริหารศาสนกิจ ได้แก่ กรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย มีจุฬาราชมนตรีเป็นประธานโดยตำแหน่ง คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด คณะกรรมการประจำมัสยิด มีตำแหน่งดะโต๊ะยุติธรรมประจำศาลจังหวัด ทั้งนี้เพื่อสะดวกต่อการปกครองในการแบ่งแยกหน้าที่ให้ชัดเจนขึ้น (หน้า 114) คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจะได้มาโดยวิธีการมอบให้อิหม่ามตามมัสยิดต่างๆ ในจังหวัดนั้น เสนอชื่อ และร่วมกันคัดเลือก สำหรับสถานภาพทางศาสนาอิสลาม ได้แก่ 1) โต๊ะครูผู้สอนวิชาศาสนาอิสลาม 2) กรรมการอิสลามกลาง กรรมการอิสลามประจำจังหวัด กรรมการอิสลามประจำมัสยิด อันมีอิหม่าม คอเต็บ บิลาล 3) ชายไทยมุสลิมที่สวมหมวกขาวเป็นประจำ 4) ชายไทยที่นับถือศาสนาอิสลามโดยทั่วไป โดยบุคคลทั้ง 4 ประเภทนี้ได้รับการคาดหวังทางสังคมแตกต่างกัน (หน้า 115)

Belief System

แม้ว่าในปัจจุบันสภาพสังคมและวัฒนธรรมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มุสลิมต้องปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นการปรับตัวภายใต้ขอบเขตบทบัญญัติทางศาสนาอิสลาม ทั้งในเรื่องหลักศรัทธา หลักปฏิบัติ และหลักจริยธรรมทางศาสนา โดยมุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม (หน้า 104-114) ดังจะเห็นได้จากวิถีชีวิตของชุมชนบ้านแสนสุขที่เกี่ยวข้องผูกพันอยู่กับศาสนาอิสลามตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น พิธีกรรมเกี่ยวกับการตายของมุสลิม ซึ่งจะมีพิธีอาบน้ำศพที่บ้านผู้ตาย โดยจะรดน้ำศพตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงเท้า 3 ครั้ง แล้วจึงอาบน้ำละหมาดให้ศพ ก่อนนำมาห่อ และนำศพไปกุโบเพื่อละหมาดและทำพิธีฝังตามศาสนาอิสลาม (หน้า 103) นอกจากนี้มุสลิมยังมีความเชื่อว่าแพะเป็นสัตว์ที่เป็นบารกัต หมายถึง การสร้างเสริมให้เกิดผลดีแก่ผู้บริโภค ซึ่งตามชีวประวัติของศาสดานบีมหัมมัดเคยมีอาชีพเลี้ยงแพะ แกะ ทำให้มุสลิมเกิดจิตสำนึกในเรื่องนี้ แพะเป็นสิ่งหวงห้าม และยกระดับเหนือสัตว์อื่นใด จึงไม่มีการทำร้าย ลักขโมย หรือฆ่าแพะเพื่อจำหน่ายเป็นอันขาด แต่จะนิยมนำมาทำเป็นอาหารในงานมงคลต่าง ๆ หรือโอกาสแก้บน เป็นต้น (หน้า 77) ดังนั้นการได้ลิ้มรสแพะถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวบ้าน

Education and Socialization

สถาบันการศึกษาประจำชุมชน ได้แก่ โรงเรียนบ้านแสนสุข โดยเด็กๆ ในชุมชนบ้านแสนสุขจะเริ่มเข้าเรียนเมื่ออายุ 6 ขวบ หลังจากจบการศึกษาภาคบังคับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้ว มีเด็กเพียงครึ่งหนึ่ง (ประมาณ 25 คน) ที่ได้เรียนในชั้นมัธยมต่อ หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว ส่วนมากจะไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในอำเภอจะนะ มีเด็กเพียง 7 คน ในหมู่บ้านที่ไปเรียนโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามควบคู่กับการสอนแบบสายสามัญที่จังหวัดปัตตานี และมีเด็กอีก 2 คนที่ไปเรียนในโรงเรียนปอเนาะ ซึ่งสอนด้านศาสนาเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม เด็กส่วนมากที่ไม่ได้เรียนศาสนาจากโรงเรียนปอเนาะก็สามารถไปเรียนศาสนาที่โรงเรียนประจำมัสยิด (ตาฎีกา) ซึ่งเปิดสอนเด็กชั้น ป.1-ป.6 ในวันเสาร์-อาทิตย์ โดยมีครูในหมู่บ้านที่มีความรู้ทางศาสนามาช่วยสอน เมื่อจบการศึกษาจะได้ใบประกาศนียบัตรรับรองจากจุฬาราชมนตรี เพื่อใช้ในการเรียนศาสนาในระดับสูงต่อไป (หน้า 82-84) นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดความรู้จากผู้อาวุโส หรือหัวหน้าครอบครัวที่เป็นผู้มีประสบการณ์ ตลอดจนเทคนิค วิธีการหาและจับปลา โดยจะเป็นผู้นำในการออกหาปลาในแต่ละครั้ง บรรดาลูกหลานที่ได้ร่วมออกหาปลาด้วยจะเคารพเชื่อฟัง และจดจำประสบการณ์ต่าง ๆ จากการออกหาปลาในแต่ละครั้งไว้ (หน้า 139)

Health and Medicine

ชาวบ้านในชุมชนบ้านแสนสุขประสบปัญหาด้านสุขภาพอนามัยจากโรคท้องร่วง อาหารเป็นพิษ ไข้หวัด โรคผิวหนัง ตาแดง ปอดบวม ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาความยากจนเป็นหลัก และการขาดโอกาสเข้ารับบริการทางการแพทย์จากรัฐ โดยชาวบ้านจำนวนมากยังมีค่านิยมในการรักษาตัวด้วยวิธีการแบบพื้นบ้าน เป็นต้นว่าการหาหมอน้ำมนต์หรือใช้สมุนไพร นอกจากนี้ยังประสบปัญหาด้านการวางแผนครอบครัว เนื่องจากวิธีคุมกำเนิดยังไม่เป็นที่ยอมรับของชุมชน รวมถึงปัญหาเรื่องการคลอดบุตร โดยโรงพยาบาลอยู่ไกลจากชุมชน ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเดินทาง และชาวบ้านมีฐานะยากจน ไม่สามารถไปฝากครรภ์กับโรงพยาบาลได้ จึงต้องทำคลอดเอง (หน้า 84-85)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

หัตถกรรมพื้นบ้านที่ปรากฏในงานวิจัย เช่น การทำประมงของชาวบ้าน ในอดีตจะใช้เรือไม่มีเครื่องยนต์ ซึ่งมี 2 ประเภท คือ เรือยอกอง เป็นเรือขนาดเล็กที่ทำขึ้นอย่างง่าย ๆ มีพื้นสีเดียวกันตลอดทั้งลำ ไม่มีลวดลาย และเรือกอและ จัดเป็นเรือขนาดใหญ่ ต่อด้วยไม้กระดาน ส่วนหัวและส่วนท้ายสูงจากลำเรือ นิยมทาสีและเขียนลวดลายด้วยสีฉูดฉาดเป็นลายไทย หรือลายอินโดนีเซีย โดยการวาดลายของเรือจะไม่ใช้ดินสอร่างแบบบนเรือก่อน แต่จะวาดลงไปบนตัวเรือเลย มีทั้งลายกนก บัวคว่ำบัวหงาย หนุมานเหินหาว หรือเมฆขลาล่อแก้ว ตรงหัวเรือมักทำเป็นรูปหัวพญานาค หรือทำเป็นรูปนกในตำนาน เช่น นกกาเฆาะซูรอ หรือนกกากะสุระ ซึ่งเชื่อว่าเป็นนกการเวกหรือนกสวรรค์ที่บินเทียมเมฆ ปัจจุบันวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ได้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้มีการดัดแปลงเรือกอและเพื่อติดตั้งเครื่องเรือหางยาว โดยการทำเป็นเรือท้ายตัด เรือกอและจึงหมดความนิยมไปในที่สุด ส่วนอุปกรณ์หาปลาที่ใช้กันมากในอดีต ได้แก่ อวน แห เบ็ด โป๊ะ โดยชาวบ้านจะทำขึ้นใช้เอง และกล่าวถึงจะปู กล่องไม้สำหรับใส่ข้าวของชาวประมง แต่ปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว เนื่องจากมีความนิยมใช้กระติกที่ทำจากพลาสติกมากกว่า รวมถึงก้อตะหรือเกาะตะ ซึ่งเป็นหีบไม้สำหรับใส่ยาสูบ และเครื่องยาสูบ (หน้า 131-138) สถาปัตยกรรมที่ปรากฏในงานวิจัย คือ บ้านเรือน ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ แบบแรกจะเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงแบบเดียวกับเรือนไทยทางภาคใต้ มักมีชานยื่นออกมาเพื่อใช้เป็นที่นั่งเล่น ห้องครัวโดยมากมักจะสร้างให้มีพื้นต่ำกว่าห้องปกติ ส่วนห้องน้ำมักสร้างไว้ใต้ถุนหลังบ้าน บางหลังจะสร้างแยกออกจากตัวบ้าน แบบที่สอง เป็นบ้านก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว สร้างตามความนิยมแบบคนในตลาด ไม่นิยมสร้างรั้วล้อมรอบ ตรงบริเวณบันไดทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านนิยมตั้งอ่างใส่น้ำ หรือมีโอ่งกักเก็บน้ำไว้ล้างทำความสะอาดเท้าก่อนขึ้นบ้าน อย่างไรก็ดีลักษณะเด่นของบ้านมุสลิม คือ ภายในบ้านนิยมประดับด้วยภาพอักษรภาษาอาหรับที่เป็นโองการในอัล-กุรอานหรือหะดิษ (วจนะของพระศาสดามุหัมมัด) ที่เขียนเป็นคำสอนทางศาสนาหรือแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า แต่จะไม่พบศิลปะอิสลามที่แสดงเรื่องราวหรือรูปของคน เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเลียนแบบพระผู้เป็นเจ้าจะมีก็เพียงรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ นอกจากนี้บางบ้านยังมีรูปวาดของการประกอบพิธีฮัจญ์ที่เมกกะ และแทบทุกบ้านจะต้องมีกรงนกแขวนอยู่ด้วย เนื่องจากการเลี้ยงนกถือเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในสายเลือดของลูกผู้ชายเชื้อสายมลายู ซึ่งมีทั้งนกเขาชวาและนกกรงหัวจุก (หน้า 69-72)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชุมชนมุสลิมจะไม่มีค่านิยมขายที่ดินในเขตชุมชนให้กับบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่มุสลิม เพราะกลัวว่าผืนดินในชุมชนจะกลายเป็นของคนพุทธหมด มุสลิมจะไม่มีที่อยู่ และมุสลิมโดยมากต้องการอยู่อาศัยร่วมกับผู้ที่นับถือศรัทธาในศาสนาเดียวกันมากกว่า (หน้า 151) นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อำเภอส่วนมากยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมมลายูที่มีอยู่ในสายเลือดคนไทยมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายที่มิดชิด ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนมองว่าพวกเขาแต่งกายรุ่มร่าม เป็นคนไม่ทันสมัย หรือในการตั้งชื่อภาษาอาหรับที่มักจะสะกดยากและอ่านยาก ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่พอใจถึงกับไม่ยอมตั้งชื่อให้ก็มี (หน้า 155)

Social Cultural and Identity Change

เมื่อมีการตัดถนนเชื่อมต่อระหว่างอำเภอหาดใหญ่และจังหวัดปัตตานีในปีพ.ศ.2515 ทำให้ชุมชนบ้านแสนสุขมีการคมนาคมที่สะดวกขึ้น เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มีการค้าขายกับชุมชนภายนอกและนักท่องเที่ยว จึงเกิดความต้องการผลผลิตจากการประมงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่จากภายนอกมาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำประมง ผลที่ตามมาก็คือทรัพยากรทางทะเลเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว และวิถีชีวิตของชาวประมงเปลี่ยนแปลงไป ชาวประมงบางคนต้องไปกู้เงินจากคนกลางมาซื้ออุปกรณ์ในการทำประมง รวมถึงน้ำมันและน้ำแข็ง และต้องขายสินค้าให้คนกลางซึ่งเป็นเจ้าของเงินกู้ เกิดความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์ที่เป็นเถ้าแก่ และผู้รับอุปถัมภ์ที่เป็นชาวประมง ชาวประมงจึงต้องมาหาเถ้าแก่ทุกครั้งก่อนออกเรือ และเมื่อมีการกว้านซื้อที่ดินริมทะเลเพื่อทำรีสอร์ท และร้านอาหาร ทำให้ชาวบ้านจากที่เคยมีสถานภาพเป็นเจ้าของที่ดินต้องกลายมาเป็นผู้เช่าที่ดิน ครอบครัวของชาวประมงบางครอบครัวเปลี่ยนอาชีพไปทำการค้า เปิดร้านขายของชำ ร้านอาหารกันมากขึ้น จากการปรับตัวมีอาชีพที่หลากหลาย เกิดความแตกต่างในฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างครอบครัว ทำให้บางคนหรือบางครอบครัวมีอำนาจทางเศรษฐกิจในชุมชนมากขึ้นกว่าเดิม (หน้า 151-154) นอกจากนี้ภายหลังจากที่บทบาทของยางพาราในฐานะพืชเศรษฐกิจปรากฏเด่นชัดขึ้น จึงมีการปลูกยางพาราเพื่อการค้า เกิดกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องกับยางพารา เช่น รับจ้างกรีดยาง ซื้อน้ำยางและยางแผ่น ขายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับยางพารา มีโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับยางพาราเข้ามาตั้งใกล้ชุมชน เกิดอาชีพรับจ้างในโรงงาน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่านิยมที่สำคัญของชุมชน จากเดิมที่ถือว่าคนที่เป็นเจ้าของที่ดินหรือที่นามาก ๆ คือคนร่ำรวย กลายเป็นหันมายกย่องเจ้าของสวนยางพาราแทน เพราะสามารถสร้างรายได้ดีกว่าการทำนา และการประมง คนที่มีสวนยางมาก ๆ จึงกลายเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหม่ (หน้า 197)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

มุสลิมบ้านแสนสุขจะรับประทานข้าวพันธุ์พื้นบ้านซึ่งมีราคาถูกกว่าข้าวหอมมะลิ และหุงข้าวด้วยเตาไฟฟ้า รายการอาหารจะมีปลาเป็นส่วนประกอบหลัก รองลงมา คือ ไข่ เนื้อเป็ด และเนื้อไก่ที่เลี้ยงไว้ สัตว์จำพวกแพะ แกะ และวัวจะบริโภคในโอกาสพิเศษเท่านั้น และจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่ตายเองหรือที่ถูกเชือดโดยคนนอกศาสนาอิสลาม อาหารหลักแต่ละมื้อจะต้องมีน้ำบูดูที่ได้จากการหมักปลา มี 2 ชนิด คือ บูดูแบบเค็ม สำหรับจิ้มผักสดรับประทานกับข้าวสวย บูดูแบบหวานหรือน้ำเคย สำหรับคลุกข้าวยำ (นาซิกาบู) ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าการกินข้าวยำจะทำให้มีพลังงานในการประกอบงานต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนี้ยังมีข้าวมัน (นาซิดาแม) รับประทานกับแกงกะทิ ซึ่งนิยมแกงด้วยเนื้อไก่หรือเนื้อวัว และตอแมะ คือ แกงกะทิชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบของปลาและเครื่องเทศ ส่วนโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น การทำบุญหลังเสร็จสิ้นการถือศีลอด ชาวบ้านจะรับประทานขนมจีน (ละซอ) กับแกงน้ำยา แกงไตปลา โดยลักษณะเด่นของขนมจีนแบบมุสลิมนั้นจะมีพริกสดตำกับเกลือป่นปรุงรส (หน้า 76-79) อาหารหวานที่นิยม ได้แก่ ข้าวเหนียวโรยหน้าต่างๆ ส่วนขนมที่ทำในเทศกาลปีใหม่ของมุสลิมภาคใต้ คือ ขนมบุหงาปุดะซึ่งทำจากข้าวเหนียว มะพร้าวอ่อน น้ำตาลทราย และเกลือ และขนมอาซูรอ ซึ่งเป็นขนมที่ได้จากการนำอาหารหลาย ๆ อย่างมากวนรวมกัน คล้ายขนมเปียกปูน โดยชาวบ้านจะช่วยกันกวนในเดือนมูฮรอม อันเป็นเดือนแรกของปฏิทินอาหรับ ทั้งนี้ขนมดังกล่าวมีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับศาสดาของศาสนาอิสลามที่ต้องการช่วยเหลือทหารยากไร้ พระองค์จึงขอรับบริจาคอาหารจากผู้มีจิตเมตตา แต่เนื่องจากอาหารนั้นมีหลายชนิดจึงต้องนำมากวนและแจกจ่ายให้กับเหล่าทหารด้วยความเสมอภาค นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมการดื่มน้ำชา กาแฟ โดยชาวบ้านจะนิยมไปนั่งที่ร้านน้ำชาในหมู่บ้านเพื่อพบปะสังสรรค์กัน (หน้า 80-81)

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่ ตาราง และภาพประกอบคำอธิบาย เช่น ตารางแสดงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ให้ข่าวสำคัญ ตารางจำแนกจำนวนประชากรแยกตามช่วงอายุ และภาพแสดงลักษณะบ้านของชุมชนบ้านแสนสุข (หน้า 23,67,72)

Text Analyst ดวงใจ พิชิตณรงค์ชัย Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG มุสลิม, ประมง, เศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, สงขลา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง