|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,คำเรียกญาติ,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,ภาษา,กรุงเทพฯ |
Author |
วราภรณ์ ติระ |
Title |
คำเรียกญาติของชาวไทยมุสลิมที่มีเชื้อสายต่างกันในกรุงเทพมหานคร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
141 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาศาสตร์ ภาควิชาภาษาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
การศึกษาเรื่องคำเรียกญาติของคนไทยมุสลิมที่มีเชื้อสายต่างกันในกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คำเรียกญาติพื้นฐานและไม่พื้นฐานของไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ เชื้อสายจาม-เขมร และเชื้อสายเปอร์เซีย และเพื่อชี้ให้เห็นลักษณะสำคัญทางวัฒนธรรมที่สะท้อนจากความหมายคำเรียกญาติดังกล่าว โดยพบว่าคำเรียกญาติที่ใช้โดยไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีมิติแห่งความแตกต่างที่ใช้แยกคำเรียกญาติพื้นฐานไม่เท่ากัน กล่าวคือ มุสลิมเชื้อสายมาเลย์มีมิติแห่งความแตกต่าง 5 ประการ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ และการให้เกียรติ ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรมี 6 ประการโดยมีมิติเรื่องฝ่ายพ่อ/แม่เพิ่มขึ้นมา ส่วนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียมี 5 ประการ เหมือนคำเรียกญาติพื้นฐานของภาษาไทย ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ และฝ่ายพ่อ/แม่ สำหรับคำเรียกญาติไม่พื้นฐานของไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีมิติแห่งความแตกต่างเหมือนกัน 8 ประการ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ ฝ่ายพ่อ/แม่ เพศของผู้พูด คำรื่นหู และการแต่งงานใหม่ จากการตีความระบบคำเรียกญาติของไทยมุสลิมในแง่ความสัมพันธ์กับลักษณะทางวัฒนธรรมพบว่า คำเรียกญาติของไทยมุสลิมสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของระบบอาวุโสหรือความแตกต่างทางอายุ และเน้นฝ่ายพ่อหรือเพศชายเป็นสำคัญ ในประเด็นสุดท้ายนี้เริ่มลดความสำคัญลงและกำลังจะกลายเป็นไม่เน้นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยเฉพาะ นอกจากนี้พบว่าวัฒนธรรมด้านต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับวัฒนธรรมไทย เช่น ในด้านการแต่งงาน การแต่งกาย การตั้งชื่อ บทบาทระหว่างชายและหญิง เป็นต้น ซึ่งสรุปได้ว่าไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนไว้มากที่สุด รองลงมาเป็นมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมร และมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้น้อยที่สุด |
|
Focus |
ผู้วิจัยมุ่งเน้นถึงการวิเคราะห์และเปรียบเทียบระบบและความหมายของคำเรียกญาติพื้นฐานและไม่พื้นฐานของคนไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ เชื้อสายจาม-เขมร และเชื้อสายเปอร์เซีย ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อแสดงให้เห็นระบบครอบครัวและเครือญาติของไทยมุสลิม รวมทั้งศึกษาลักษณะทางวัฒนธรรมผ่านคำเรียกญาติของคนไทยมุสลิมเชื้อสายดังกล่าว |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการศึกษา เป็นทั้งเพศชายและหญิงที่มีอายุระหว่าง 50-60 ปี โดยเป็นมุสลิมที่มีเชื้อสายมาเลย์ (ในชุมชนบ้านสมเด็จ) เชื้อสายจาม-เขมร (ในชุมชนบ้านครัว) และเชื้อสายเปอร์เซีย (ในชุมชนบางกอกใหญ่) ที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
มุสลิมเชื้อสายมาเลย์ มีถิ่นฐานอยู่แถบตอนใต้ของแหลมอินโดจีนหรือแหลมมลายู บริเวณประเทศมาเลเซียและภาคใต้ตอนล่างของไทย บางส่วนได้อยู่อาศัยในไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องมาจากการสงครามหลายครั้ง เช่น ในสมัย รัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2328) กรมพระราชวังบวรฯ ไปปราบเมืองปัตตานีและกวาดต้อนมุสลิมมาที่กรุงเทพฯ โดยผู้ที่เป็นเชื้อพระราชวงศ์ให้มาที่สี่แยกบ้านแขก ส่วนประชากรทั่วไปอยู่ที่ถนนตกถึงบ้านอู่ ประตูน้ำ (บริเวณคลองแสนแสบ) ถึงสามแยกท่าไข่ ปากลัด เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก ปทุมธานี หลังจากนั้น รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าได้ปราบปรามกบฏ และอพยพมิสลิมเชื้อสายมาเลย์ขึ้นมาไว้ในบริเวณกรุงเทพและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อป้องกันการก่อกบฏที่เมืองปัตตานี และนำมาเป็นแรงงานสร้างเมืองกรุงเทพฯ มุสลิมเชื้อสายจาม-เขมร จามเป็นกลุ่มชนผสมหลายเผ่าพันธุ์ เช่น ขอมเดิม อินเดีย มลายู และจีน เดิมจามมีประเทศของตนเอง คือ จัมปาประเทศ บริเวณปากแม่น้ำโขงไปทางตะวันออก ศาสนาอิสลามเริ่มเข้ามาโดยการนำของพ่อค้าอินเดียและมลายูบางส่วน ทำให้ชาวเมืองจัมปาส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม และมีการติดต่อกับไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนในสมัยพระเอกาทศรถ จามบางส่วนได้เข้ามาอาสาในกองทัพเพราะขาดแคลนทหาร เนื่องจากสมัยพระนเรศวรมีทหารอาสาชาวต่างชาติเกิดขึ้น เช่น ญี่ปุ่น มอญ โดยเฉพาะทหารจาม หรือที่เรียกว่า "แขกครัว" (เนื่องจากแขกจามมักอพยพมากันทั้งครอบครัว) จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาแตกจามได้อพยพมาอยู่ในบางกอกตามคลองแสนแสบ (บริเวณ เจริญผล ในปัจจุบัน) จนในสมัย ร.1 ได้เกิดกองอาสาจามอีกครั้งเพื่อสู้รบกับพม่า ถึงสมัย ร.4 การอพยพเข้ามาอีกครั้งของจาม-เขมรที่เป็นชาวพุทธรวมอยู่ด้วยโดยเป็นการติดตามเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ และให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ละแวกเดิม นั่นคือ บริเวณฝั่งตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติถึงอุรุพงษ์ หรือตามแนวถนนเจริญผล นอกจากนี้ยังตั้งถิ่นฐานบริเวณถนนเจริญนคร บริเวณต.น้ำเชี่ยว อ.แหลมงอบ จ.ตราด และที่ ต.เวียง จ.สุราษฎร์ธานี มุสลิมเชื้อสายเปอร์เซีย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมีพ่อค้าอาหรับและเปอร์เซียเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ทั้งนี้มีหลักฐานตามจดหมายเหตุว่า คนสมัยก่อนว่า "แขกเทศ" ตั้งบ้านเรือนอยู่ตั้งแต่สะพานประตูด้านตะวันตกของกรุงศรีอยุธยาไปจนถึงท่ากายี มีถาวรวัตถุร้างปรากฏอยู่ชาวบ้านเรียกจนถึงทุกวันนี้ว่า "กุฎีทอง" ด้วยตระกูลเฉกอะหมัดและตระกูลสุลต่านสุลัยมานเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยมากขึ้น โดยตระกูลเฉกอะหมัดได้เข้ามามีบทบาททางการค้าตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้เข้ารับใช้ในราชสำนัก สืบครองตำแหน่งจุฬาราชมนตรี การคลัง การพาณิชย์และการต่างประเทศ จนถึงสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รวมทั้งนำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์เข้ามาในไทย ส่วนตระกูลสุลต่านสุลัยมานเขามาตั้งแต่สมัยพระเอกาทศรถ ได้ปกครองเมืองสงขลา และมีความเจริญทางการค้ามากจึงได้ประกาศเป็นรัฐอิสระ แต่ก็ถูกปราบและกวาดต้อนมุสลิมในตระกูลสุลต่านสุลัยมานไปอยู่ที่ต่างๆ รวมทั้งเข้ามารับราชการในอยุธยาจนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และกลายเป็นผู้นำศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ ปัจจุบันอิสลามนิกายสุหนี่ตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่มในเขตกรุงเทพ เช่น ย่านรองเมือง สุรวงศ์ บางกอกใหญ่ บางกอกน้อย บางอ้อ โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ก็คือ มัสยิดต้นสน (กุฎีต้นสนหรือกุฎีใหญ่) ดังนั้นชุมชนมุสลิมเปอร์เซียบริเวณนี้จึงมีอายุมากกว่า 400 ปี นับตั้งแต่สมัยอยุธยา นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า "แขกแพ" เพราะจากการอพยพล่องแพมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วจึงตั้งชุมชนอยู่ตามริมแม่น้ำ (หน้า 33-36) |
|
Social Organization |
จากการวิเคราะห์ความหมายคำเรียกญาติของไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสาย สะท้อนให้เห็นลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมไทยมุสลิม ใน 3 ประเด็น ดังนี้ - ระบบอาวุโสหรือการเน้นความแตกต่างทางอายุ จากการศึกษาทางเอกสารผู้วิจัยพบว่า ลักษณะครอบครัวไทยมุสลิมในจังหวัดภาคใต้เป็นครอบครัวใหญ่ มีการนับถือระบบอาวุโส และสมาชิกในครอบครัวมีความผูกพันทางสายเลือด และรักใคร่ต่อกันแม้ว่าจะแยกครอบครัวออกไป ทั้งนี้สมาชิกแต่ละคนต่างร่วมมือกันในการทำมาหากินเท่าที่จะช่วยได้ เช่น ลูกชายคนโตมักจะออกไปช่วยพ่อแม่ทำงานนอกบ้าน ลูกหญิงคนโตช่วยดูแลงานบ้านและเลี้ยงน้อง เป็นต้น ดังนั้นลักษณะทางสังคมไทยมุสลิมจึงมีลักษณะคล้ายกับโครงสร้างทางสังคมไทยทั่วไป ในเรื่องอำนาจในการตัดสินใจ อยู่ที่ผู้อาวุโสในครอบครัวเป็นสำคัญ เช่นในการเลือกคู่ครอง ซึ่งมีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดหาให้ แต่ก็ต้องได้รับการยินยอมจากทั้งหนุ่มสาว ส่วนการคลุมถุงชนเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ในศาสนาอิสลาม วิธีการนี้ไม่เพียงเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง ยังเป็นการประสานความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติทั้ง 2 ฝ่ายด้วย หรือแม้เรื่องการเลือกสถานศึกษา การซื้อบ้าน ผู้มีอาวุโสน้อยยังปรึกษากับผู้ที่อาวุโสมากว่าก่อนตัดสินใจทำอะไร - การเน้นฝ่ายพ่อหรือการถือเพศชายเป็นสำคัญ จากการใช้คำเรียกญาติพื้นฐานของไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์และจาม-เขมรสะท้อนให้เห็นถึงการเน้นฝ่ายชายหรือถือเพศชายเป็นสำคัญ เช่น ในเชื้อสายมาเลย์และจาม-เขมรมีคำเรียก "พ่อ" ถึง 3 และ 4 คำตามลำดับ ส่วนคำเรียก "แม่" ทั้ง 2 เชื้อสายมี 2 และ 3 คำตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคำเรียกญาติของไทยมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียจะไม่มีการสะท้อนให้เห็นในประเด็นนี้อย่างชัดเจน แต่จากการสัมภาษณ์พบว่า หลักศาสนามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมที่เน้นความสำคัญฝ่ายชายเช่นเดียวกับมุสลิมเชื้อสายอื่นๆ ซึ่งเห็นได้จากพิธีแต่งงานจะต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นพยาน ซึ่งต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นและเป็นไปตามข้อกำหนดต่างๆ ทั้งนี้ ผู้ที่ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจะต้องเป็นผู้ชาย ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรมถึงแม้ว่าจะเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆได้ นอกจากนี้ ระบบชายเป็นใหญ่ยังสะท้อนออกมาในสังคมไทยมุสลิมในเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว เพราะผู้ชายทำหน้าที่ในการดูแลหาเลี้ยงครอบครัว จึงได้รับการยกย่องและมีอำนาจมากกว่า รวมทั้งในเรื่องการจัดการทรัพย์สินเงินทองภายในครอบครัว หรือแม้แต่การทำนิติกรรมต่างๆ ผู้ชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์ตามหลักกฎหมายอิสลาม - การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไทยมุสลิม การเปลี่ยนแปลงทางภาษาและวัฒนธรรมเกิดจากอิทธิพลสิ่งที่ใกล้เคียงกัน เจ้าของภาษาหรือผู้พูดเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงไปในการใช้ภาษาของตน เนื่องจากรับเอาลักษณะบางอย่างในระบบของภาษาอื่นมา ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของทั้งภาษากับวัฒนธรรมต้องไปด้วยกัน (หน้า 113-123) การแต่งงาน แบบคลุมถุงชนถือเป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักศาสนาอิสลาม ดังนั้น จึงต้องเป็นไปตามความสมัครใจของทั้งฝ่ายหญิงและชาย ภายใต้ความเห็นชอบของผู้อาวุโสในครอบครัว และต้องประกอบด้วยหลัก 5 ประการ คือ 1) ผู้ที่จะทำการแต่งงานต้องเป็นมุสลิม 2) มีหญิงที่จะเข้าพิธีการแต่งงาน 3) ฝ่ายหญิงมีผู้ปกครอง 4) มีการกล่าวบอกและกล่าวรับ 5) มีพยานอย่างน้อย 2 คน ถ้าขาดประการใดประการหนึ่งถือว่าการแต่งงานนั้นไม่สมบูรณ์ ส่วนพิธีแต่งงาน (นิกะห์) ต้องตามหลักเกณฑ์ศาสนา แต่ในรายละเอียดย่อย เช่น ขันหมาก การกินเลี้ยงอาจแตกต่างไปตามท้องถิ่น โดยพิธีมักเริ่มในเวลากลางคืน (19.00-22.00) โดยมีญาติเจ้าบ่าว เจ้าสาว พร้อมทั้งอิหม่ามและพยาน ฟังคำรับการแต่งงาน แล้วอวยพร หรืออาจมีการทำขวัญแก่บ่าวสาว (หน้า 114-115) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เหตุที่ไทยมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรมีการใช้คำเรียกญาติเหมือนกลุ่มไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ในระบบคำเรียกพื้นฐาน เนื่องจากการอยู่ร่วมกันภายในชุมชน และมีการแต่งงานระหว่างทั้ง 2 เชื้อสาย จึงทำให้มีการสัมผัสกับคำเรียกญาติที่เป็นคำเฉพาะกลุ่มมุสลิมเชื้อสายมาเลย์เกิดขึ้น (หน้า 69) |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากการเปลี่ยนแปลงของทั้งภาษาและวัฒนธรรมที่รับเอาลักษณะทางวัฒนธรรมบางอย่างเข้ามา ส่งผลให้ในปัจจุบัน วัฒนธรรมไทยมุสลิมมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมไทยมากขึ้น ดังนี้ - การแต่งงาน ไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ไม่นิยมจัดเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรส เพราะไม่ใช่ประเพณีและวัฒนธรรมอิสลาม หากจะจัดต้องมั่นใจว่าไม่มีการกระทำใด ๆ ที่ขัดต่อหลักศาสนบัญญัติ ในขณะที่ไทยมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรนิยมให้มีการเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ได้รับการรับรองจากสำนักจุฬาราชมนตรีแล้วว่า ขั้นตอนการประกอบอาหารถูกต้องตามหลักการศาสนา ส่วนไทยมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียส่วนใหญ่ก็นิยมให้มีงานเลี้ยงฉลอง แต่ไม่จำเป็นว่าสถานที่ที่จัดนั้นต้องได้รับการรับรองจากสำนักจุฬาราชมนตรี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสะดวก เช่น ใกล้บ้านหรือราคาเป็นที่พอใจ เป็นต้น - การแต่งกาย ของผู้หญิงมุสลิมมีลักษณะการแต่งกายคล้ายของคนไทยมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการใช้ผ้าคลุมศีรษะ (ฮิบญาบ) ซึ่งไม่เคร่งครัดเหมือนมุสลิมเชื้อสายมาเลย์บางคน (ซึ่งแม้แต่อยู่บ้านก็ยังคลุมฮิญาบ) ส่วนใหญ่จะคลุมเมื่อออกจากบ้านและไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายจาม-เขมร จะคลุมเวลาที่ออกนอกบ้าน และไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ส่วนสตรีมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียจะคลุมฮิญาบเฉพาะเวลาที่ไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น มีส่วนน้อยที่จะคลุมผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน - การตั้งชื่อ ไทยมุสลิมทั้งสามเชื้อสายนิยมใช้ชื่อตัวและชื่อสกุลแบบคนไทยทั่วไป ในขณะที่ไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมการตั้งชื่อและนามสกุลตามวัฒนธรรมดั้งเดิม คือ ผู้ชายจะตั้งชื่อตามพระผู้เป็นเจ้า หรือชื่อลูก ๆ ของศาสดา หรือเป็นภาษาอาหรับหรือมาเลย์ ส่วนผู้หญิงนิยมตั้งชื่อตามชื่อภรรยาของศาสดา อย่างไรก็ตาม มุสลิมทั้งสามเชื้อสายยังคงมีการตั้งชื่อตัวและนามสกุลที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมบ้าง - การรับประทานอาหาร ไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ส่วนใหญ่จะรับประทานอาหารจากร้านอาหารมุสลิมเท่านั้น ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นจริง ๆ อนุโลมให้รับประทานอาหารที่ไม่ใช่อาหารมุสลิมได้ สำหรับมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมร จะกินอาหารทั้งจากร้านอาหารมุสลิม และร้านอาหารอื่น เช่น ร้าน fast food เป็นต้น ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียนิยมเช่นเดียวกับเชื้อสายจาม-เขมร แต่จะเลือกอาหารที่ศาสนาอนุญาต - การทำบุญทำทาน วัฒนธรรมเกี่ยวกับการทำบุญให้ผู้ตายได้เปลี่ยนแปลงไป มีลักษณะคล้ายวัฒนธรรมไทย คือ ปัจจุบันจะมีการทำบุญให้ผู้ตายเมื่อครบ 7 วัน 40 วัน และ 100 วัน - ด้านบทบาทชายและหญิง แม้ว่าลักษณะทางวัฒนธรรมของไทยมุสลิมจะให้ความสำคัญกับฝ่ายพ่อและเพศชาย แต่ในปัจจุบันเรื่องการรับมรดกลูกชายก็ไม่จำเป็นที่จะได้รับมรดกมากที่สุดเสมอไป ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดและความพึงพอใจของผู้ให้ โดยแบ่งมรดกให้เท่า ๆ กันตามกฏหมายไทย ไม่ได้แบ่งตามหลักกฏหมายอิสลาม (ผู้ชายได้ 2 ส่วน ผู้หญิงได้ 1 ส่วน) นอกจากนี้ในเรื่องการอยู่อาศัยหลังการแต่งงาน ในทางปฏิบัติแล้ว ฝ่ายหญิงจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย แต่ปัจจุบัน มุสลิมเชื้อสายมาเลย์และจาม-เขมรยังคงมีความเห็นเช่นเดิม ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียมีอิสระ ซึ่งอาจอยู่กับฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง หรือแยกออกไปอยู่ตามลำพังก็ได้ ปัจจัยทีสำคัญต่อการเลือกที่อยู่อาศัย คือ ฐานะทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งความสะดวกในการเดินทางไปทำงานด้วย และการเปลี่ยนแปลงในบทบาทระหว่างเพศในอีกประเด็นคือ หน้าที่ในการหาเลี้ยงครอบครัวและดูแลบ้าน ในปัจจุบันมีเพียงมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียที่เห็นว่าการหาเลี้ยงครอบครัวและการดูแลบ้านเป็นหน้าที่ของสามีและภรรยา ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายมาเลย์และจาม-เขมรยังคงยึดมั่นในความคิดเดิม โดยผู้ชายมีหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว ส่วนผู้หญิงทำหน้าที่ดูแลบ้าน - ด้านภาษา ไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์มีการสัมผัสภาษากับภาษาไทยน้อยที่สุด เพราะยังคงรักษาวัฒนธรรมของตนมากกว่ามุสลิมเชื้อสายอื่น เนื่องจากมีการใช้คำเรียกญาติที่เป็นคำเฉพาะกลุ่มของตนทั้งในคำเรียกญาติพื้นฐานและไม่พื้นฐาน และยังคงพูดภาษามาเลย์ในชีวิตประจำวัน ส่วนมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรมีการสัมผัสภาษาไทยรองลงมา เพราะได้ธำรงรักษาวัฒนธรรมเดิมไว้ได้อยู่บ้าง แต่มีการใช้คำเรียกญาติภาษาเขมรร่วมอยู่ด้วย ส่วนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียมีการสัมผัสภาษาไทยมากที่สุด เนื่องจาก มีการใช้คำเรียกญาติเป็นภาษาไทยทั้งหมด และไม่มีการใช้คำเรียกญาติในภาษาเปอร์เซีย ซึ่งเป็นผลมาจากความแตกต่างทางเชื้อชาติลดน้อยลง เนื่องจากการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ต่างกัน ความแตกต่างทางภาษาก็ลดน้อยลงเช่นกัน (หน้า 123-128) |
|
Other Issues |
การใช้คำเรียกญาติพื้นฐาน จำนวนของคำที่ใช้เรียกญาติของไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสาย กลุ่มมุสลิมเชื้อสายมาเลย์และเปอร์เซียจะมีจำนวนคำเรียกญาติพื้นฐานใกล้เคียงกัน สำหรับมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรจะมีจำนวนคำเรียกมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากมีการใช้คำเรียกญาติถึง 3 ภาษา คือ ใช้ภาษาไทยควบคู่ไปกับคำเรียกญาติที่ใช้เหมือนกับกลุ่มมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ และคำเรียกญาติภาษาเขมร ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายมาเลย์มีการใช้เพียง 2 ภาษาคือ เป็นภาษาไทยควบคู่ไปกับคำเรียกญาติที่เป็นคำเฉพาะกลุ่มของตน ส่วนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียมีการใช้คำเรียกญาติภาษาไทยเพียงภาษาเดียว ระบบคำเรียกญาติพื้นฐาน มีการนำมิติต่างๆ เพื่อแยกความแตกต่างของคำเรียกญาติ ซึ่งไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายต่างก็มีมิติแห่งความแตกต่างที่ใช้ที่ต่างๆ กัน โดยมิติทั้งหมดที่ใช้สำหรับระบบคำเรียกญาติพื้นฐานมี 6 มิติ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ ฝ่ายพ่อ/แม่ และการให้เกียรติ (หน้า 69-70) การใช้คำเรียกญาติไม่พื้นฐาน ไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีการใช้คำเรียกญาติไม่พื้นฐานเหมือนกัน โดยใช้ภาษาไทยควบคู่ไปกับคำเรียกญาติที่เป็นคำเฉพาะกลุ่มของตน ยกเว้นไทยมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียที่ใช้คำเรียกญาติภาษาไทยมาตรฐานเพียงภาษาเดียวในการเรียกญาติทุกประเภท โดยไม่มีการใช้ภาษาเปอร์เซียซึ่งเป็นคำเฉพาะกลุ่มของตน และไม่มีการใช้คำเรียกญาติที่มาจากภาษาอื่นเลย จำนวนคำที่ใช้เรียกญาติไม่พื้นฐานมีจำนวนเท่ากันในกลุ่มมุสลิมเชื้อสายมาเลย์และเชื้อสายเปอร์เซีย ส่วนมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรมีจำนวนคำที่ใช้เรียกญาติไม่พื้นฐานมากที่สุด ระบบคำเรียกญาติไม่พื้นฐาน โดยไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีมิติที่ใช้แยกความแตกต่างของคำเรียกญาติแต่ละคำเป็นจำนวน 8 ประการ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ ฝ่ายพ่อ/แม่ คำรื่นหู เพศของผู้พูด และการแต่งงานใหม่ (หน้า 104-106) |
|
Map/Illustration |
ตารางแสดงความหมายคำเรียกญาติพื้นฐานของไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ เชื้อสายจาม-เขมร เชื้อสายเปอร์เซีย (หน้า 48, 59 และ 66), ตารางแสดงความหมายคำเรียกญาติไม่พื้นฐานของไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ เชื้อสายจาม-เขมร เชื้อสายเปอร์เซีย (หน้า 88, 95 และ 101 ตามลำดับ) ตารางแสดงการรักษาวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม (หน้า 129) |
|
|