สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,คำเรียกญาติ,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,ภาษา,กรุงเทพฯ
Author วราภรณ์ ติระ
Title คำเรียกญาติของชาวไทยมุสลิมที่มีเชื้อสายต่างกันในกรุงเทพมหานคร
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 141 Year 2545
Source หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาศาสตร์ ภาควิชาภาษาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

การศึกษาเรื่องคำเรียกญาติของคนไทยมุสลิมที่มีเชื้อสายต่างกันในกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คำเรียกญาติพื้นฐานและไม่พื้นฐานของไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ เชื้อสายจาม-เขมร และเชื้อสายเปอร์เซีย และเพื่อชี้ให้เห็นลักษณะสำคัญทางวัฒนธรรมที่สะท้อนจากความหมายคำเรียกญาติดังกล่าว โดยพบว่าคำเรียกญาติที่ใช้โดยไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีมิติแห่งความแตกต่างที่ใช้แยกคำเรียกญาติพื้นฐานไม่เท่ากัน กล่าวคือ มุสลิมเชื้อสายมาเลย์มีมิติแห่งความแตกต่าง 5 ประการ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ และการให้เกียรติ ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรมี 6 ประการโดยมีมิติเรื่องฝ่ายพ่อ/แม่เพิ่มขึ้นมา ส่วนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียมี 5 ประการ เหมือนคำเรียกญาติพื้นฐานของภาษาไทย ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ และฝ่ายพ่อ/แม่ สำหรับคำเรียกญาติไม่พื้นฐานของไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีมิติแห่งความแตกต่างเหมือนกัน 8 ประการ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ ฝ่ายพ่อ/แม่ เพศของผู้พูด คำรื่นหู และการแต่งงานใหม่ จากการตีความระบบคำเรียกญาติของไทยมุสลิมในแง่ความสัมพันธ์กับลักษณะทางวัฒนธรรมพบว่า คำเรียกญาติของไทยมุสลิมสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของระบบอาวุโสหรือความแตกต่างทางอายุ และเน้นฝ่ายพ่อหรือเพศชายเป็นสำคัญ ในประเด็นสุดท้ายนี้เริ่มลดความสำคัญลงและกำลังจะกลายเป็นไม่เน้นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยเฉพาะ นอกจากนี้พบว่าวัฒนธรรมด้านต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับวัฒนธรรมไทย เช่น ในด้านการแต่งงาน การแต่งกาย การตั้งชื่อ บทบาทระหว่างชายและหญิง เป็นต้น ซึ่งสรุปได้ว่าไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนไว้มากที่สุด รองลงมาเป็นมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมร และมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้น้อยที่สุด

Focus

ผู้วิจัยมุ่งเน้นถึงการวิเคราะห์และเปรียบเทียบระบบและความหมายของคำเรียกญาติพื้นฐานและไม่พื้นฐานของคนไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ เชื้อสายจาม-เขมร และเชื้อสายเปอร์เซีย ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อแสดงให้เห็นระบบครอบครัวและเครือญาติของไทยมุสลิม รวมทั้งศึกษาลักษณะทางวัฒนธรรมผ่านคำเรียกญาติของคนไทยมุสลิมเชื้อสายดังกล่าว

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มุสลิมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการศึกษา เป็นทั้งเพศชายและหญิงที่มีอายุระหว่าง 50-60 ปี โดยเป็นมุสลิมที่มีเชื้อสายมาเลย์ (ในชุมชนบ้านสมเด็จ) เชื้อสายจาม-เขมร (ในชุมชนบ้านครัว) และเชื้อสายเปอร์เซีย (ในชุมชนบางกอกใหญ่) ที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร (หน้า 4)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

มุสลิมเชื้อสายมาเลย์ มีถิ่นฐานอยู่แถบตอนใต้ของแหลมอินโดจีนหรือแหลมมลายู บริเวณประเทศมาเลเซียและภาคใต้ตอนล่างของไทย บางส่วนได้อยู่อาศัยในไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องมาจากการสงครามหลายครั้ง เช่น ในสมัย รัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2328) กรมพระราชวังบวรฯ ไปปราบเมืองปัตตานีและกวาดต้อนมุสลิมมาที่กรุงเทพฯ โดยผู้ที่เป็นเชื้อพระราชวงศ์ให้มาที่สี่แยกบ้านแขก ส่วนประชากรทั่วไปอยู่ที่ถนนตกถึงบ้านอู่ ประตูน้ำ (บริเวณคลองแสนแสบ) ถึงสามแยกท่าไข่ ปากลัด เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก ปทุมธานี หลังจากนั้น รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าได้ปราบปรามกบฏ และอพยพมิสลิมเชื้อสายมาเลย์ขึ้นมาไว้ในบริเวณกรุงเทพและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อป้องกันการก่อกบฏที่เมืองปัตตานี และนำมาเป็นแรงงานสร้างเมืองกรุงเทพฯ มุสลิมเชื้อสายจาม-เขมร จามเป็นกลุ่มชนผสมหลายเผ่าพันธุ์ เช่น ขอมเดิม อินเดีย มลายู และจีน เดิมจามมีประเทศของตนเอง คือ จัมปาประเทศ บริเวณปากแม่น้ำโขงไปทางตะวันออก ศาสนาอิสลามเริ่มเข้ามาโดยการนำของพ่อค้าอินเดียและมลายูบางส่วน ทำให้ชาวเมืองจัมปาส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม และมีการติดต่อกับไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนในสมัยพระเอกาทศรถ จามบางส่วนได้เข้ามาอาสาในกองทัพเพราะขาดแคลนทหาร เนื่องจากสมัยพระนเรศวรมีทหารอาสาชาวต่างชาติเกิดขึ้น เช่น ญี่ปุ่น มอญ โดยเฉพาะทหารจาม หรือที่เรียกว่า "แขกครัว" (เนื่องจากแขกจามมักอพยพมากันทั้งครอบครัว) จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาแตกจามได้อพยพมาอยู่ในบางกอกตามคลองแสนแสบ (บริเวณ เจริญผล ในปัจจุบัน) จนในสมัย ร.1 ได้เกิดกองอาสาจามอีกครั้งเพื่อสู้รบกับพม่า ถึงสมัย ร.4 การอพยพเข้ามาอีกครั้งของจาม-เขมรที่เป็นชาวพุทธรวมอยู่ด้วยโดยเป็นการติดตามเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ และให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ละแวกเดิม นั่นคือ บริเวณฝั่งตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติถึงอุรุพงษ์ หรือตามแนวถนนเจริญผล นอกจากนี้ยังตั้งถิ่นฐานบริเวณถนนเจริญนคร บริเวณต.น้ำเชี่ยว อ.แหลมงอบ จ.ตราด และที่ ต.เวียง จ.สุราษฎร์ธานี มุสลิมเชื้อสายเปอร์เซีย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมีพ่อค้าอาหรับและเปอร์เซียเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ทั้งนี้มีหลักฐานตามจดหมายเหตุว่า คนสมัยก่อนว่า "แขกเทศ" ตั้งบ้านเรือนอยู่ตั้งแต่สะพานประตูด้านตะวันตกของกรุงศรีอยุธยาไปจนถึงท่ากายี มีถาวรวัตถุร้างปรากฏอยู่ชาวบ้านเรียกจนถึงทุกวันนี้ว่า "กุฎีทอง" ด้วยตระกูลเฉกอะหมัดและตระกูลสุลต่านสุลัยมานเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยมากขึ้น โดยตระกูลเฉกอะหมัดได้เข้ามามีบทบาททางการค้าตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้เข้ารับใช้ในราชสำนัก สืบครองตำแหน่งจุฬาราชมนตรี การคลัง การพาณิชย์และการต่างประเทศ จนถึงสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รวมทั้งนำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์เข้ามาในไทย ส่วนตระกูลสุลต่านสุลัยมานเขามาตั้งแต่สมัยพระเอกาทศรถ ได้ปกครองเมืองสงขลา และมีความเจริญทางการค้ามากจึงได้ประกาศเป็นรัฐอิสระ แต่ก็ถูกปราบและกวาดต้อนมุสลิมในตระกูลสุลต่านสุลัยมานไปอยู่ที่ต่างๆ รวมทั้งเข้ามารับราชการในอยุธยาจนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และกลายเป็นผู้นำศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ ปัจจุบันอิสลามนิกายสุหนี่ตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่มในเขตกรุงเทพ เช่น ย่านรองเมือง สุรวงศ์ บางกอกใหญ่ บางกอกน้อย บางอ้อ โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ก็คือ มัสยิดต้นสน (กุฎีต้นสนหรือกุฎีใหญ่) ดังนั้นชุมชนมุสลิมเปอร์เซียบริเวณนี้จึงมีอายุมากกว่า 400 ปี นับตั้งแต่สมัยอยุธยา นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า "แขกแพ" เพราะจากการอพยพล่องแพมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วจึงตั้งชุมชนอยู่ตามริมแม่น้ำ (หน้า 33-36)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

จากการวิเคราะห์ความหมายคำเรียกญาติของไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสาย สะท้อนให้เห็นลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมไทยมุสลิม ใน 3 ประเด็น ดังนี้ - ระบบอาวุโสหรือการเน้นความแตกต่างทางอายุ จากการศึกษาทางเอกสารผู้วิจัยพบว่า ลักษณะครอบครัวไทยมุสลิมในจังหวัดภาคใต้เป็นครอบครัวใหญ่ มีการนับถือระบบอาวุโส และสมาชิกในครอบครัวมีความผูกพันทางสายเลือด และรักใคร่ต่อกันแม้ว่าจะแยกครอบครัวออกไป ทั้งนี้สมาชิกแต่ละคนต่างร่วมมือกันในการทำมาหากินเท่าที่จะช่วยได้ เช่น ลูกชายคนโตมักจะออกไปช่วยพ่อแม่ทำงานนอกบ้าน ลูกหญิงคนโตช่วยดูแลงานบ้านและเลี้ยงน้อง เป็นต้น ดังนั้นลักษณะทางสังคมไทยมุสลิมจึงมีลักษณะคล้ายกับโครงสร้างทางสังคมไทยทั่วไป ในเรื่องอำนาจในการตัดสินใจ อยู่ที่ผู้อาวุโสในครอบครัวเป็นสำคัญ เช่นในการเลือกคู่ครอง ซึ่งมีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดหาให้ แต่ก็ต้องได้รับการยินยอมจากทั้งหนุ่มสาว ส่วนการคลุมถุงชนเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ในศาสนาอิสลาม วิธีการนี้ไม่เพียงเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง ยังเป็นการประสานความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติทั้ง 2 ฝ่ายด้วย หรือแม้เรื่องการเลือกสถานศึกษา การซื้อบ้าน ผู้มีอาวุโสน้อยยังปรึกษากับผู้ที่อาวุโสมากว่าก่อนตัดสินใจทำอะไร - การเน้นฝ่ายพ่อหรือการถือเพศชายเป็นสำคัญ จากการใช้คำเรียกญาติพื้นฐานของไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์และจาม-เขมรสะท้อนให้เห็นถึงการเน้นฝ่ายชายหรือถือเพศชายเป็นสำคัญ เช่น ในเชื้อสายมาเลย์และจาม-เขมรมีคำเรียก "พ่อ" ถึง 3 และ 4 คำตามลำดับ ส่วนคำเรียก "แม่" ทั้ง 2 เชื้อสายมี 2 และ 3 คำตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคำเรียกญาติของไทยมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียจะไม่มีการสะท้อนให้เห็นในประเด็นนี้อย่างชัดเจน แต่จากการสัมภาษณ์พบว่า หลักศาสนามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมที่เน้นความสำคัญฝ่ายชายเช่นเดียวกับมุสลิมเชื้อสายอื่นๆ ซึ่งเห็นได้จากพิธีแต่งงานจะต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นพยาน ซึ่งต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นและเป็นไปตามข้อกำหนดต่างๆ ทั้งนี้ ผู้ที่ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจะต้องเป็นผู้ชาย ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรมถึงแม้ว่าจะเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆได้ นอกจากนี้ ระบบชายเป็นใหญ่ยังสะท้อนออกมาในสังคมไทยมุสลิมในเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว เพราะผู้ชายทำหน้าที่ในการดูแลหาเลี้ยงครอบครัว จึงได้รับการยกย่องและมีอำนาจมากกว่า รวมทั้งในเรื่องการจัดการทรัพย์สินเงินทองภายในครอบครัว หรือแม้แต่การทำนิติกรรมต่างๆ ผู้ชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์ตามหลักกฎหมายอิสลาม - การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไทยมุสลิม การเปลี่ยนแปลงทางภาษาและวัฒนธรรมเกิดจากอิทธิพลสิ่งที่ใกล้เคียงกัน เจ้าของภาษาหรือผู้พูดเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงไปในการใช้ภาษาของตน เนื่องจากรับเอาลักษณะบางอย่างในระบบของภาษาอื่นมา ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของทั้งภาษากับวัฒนธรรมต้องไปด้วยกัน (หน้า 113-123) การแต่งงาน แบบคลุมถุงชนถือเป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักศาสนาอิสลาม ดังนั้น จึงต้องเป็นไปตามความสมัครใจของทั้งฝ่ายหญิงและชาย ภายใต้ความเห็นชอบของผู้อาวุโสในครอบครัว และต้องประกอบด้วยหลัก 5 ประการ คือ 1) ผู้ที่จะทำการแต่งงานต้องเป็นมุสลิม 2) มีหญิงที่จะเข้าพิธีการแต่งงาน 3) ฝ่ายหญิงมีผู้ปกครอง 4) มีการกล่าวบอกและกล่าวรับ 5) มีพยานอย่างน้อย 2 คน ถ้าขาดประการใดประการหนึ่งถือว่าการแต่งงานนั้นไม่สมบูรณ์ ส่วนพิธีแต่งงาน (นิกะห์) ต้องตามหลักเกณฑ์ศาสนา แต่ในรายละเอียดย่อย เช่น ขันหมาก การกินเลี้ยงอาจแตกต่างไปตามท้องถิ่น โดยพิธีมักเริ่มในเวลากลางคืน (19.00-22.00) โดยมีญาติเจ้าบ่าว เจ้าสาว พร้อมทั้งอิหม่ามและพยาน ฟังคำรับการแต่งงาน แล้วอวยพร หรืออาจมีการทำขวัญแก่บ่าวสาว (หน้า 114-115)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เหตุที่ไทยมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรมีการใช้คำเรียกญาติเหมือนกลุ่มไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ในระบบคำเรียกพื้นฐาน เนื่องจากการอยู่ร่วมกันภายในชุมชน และมีการแต่งงานระหว่างทั้ง 2 เชื้อสาย จึงทำให้มีการสัมผัสกับคำเรียกญาติที่เป็นคำเฉพาะกลุ่มมุสลิมเชื้อสายมาเลย์เกิดขึ้น (หน้า 69)

Social Cultural and Identity Change

จากการเปลี่ยนแปลงของทั้งภาษาและวัฒนธรรมที่รับเอาลักษณะทางวัฒนธรรมบางอย่างเข้ามา ส่งผลให้ในปัจจุบัน วัฒนธรรมไทยมุสลิมมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมไทยมากขึ้น ดังนี้ - การแต่งงาน ไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ไม่นิยมจัดเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรส เพราะไม่ใช่ประเพณีและวัฒนธรรมอิสลาม หากจะจัดต้องมั่นใจว่าไม่มีการกระทำใด ๆ ที่ขัดต่อหลักศาสนบัญญัติ ในขณะที่ไทยมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรนิยมให้มีการเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ได้รับการรับรองจากสำนักจุฬาราชมนตรีแล้วว่า ขั้นตอนการประกอบอาหารถูกต้องตามหลักการศาสนา ส่วนไทยมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียส่วนใหญ่ก็นิยมให้มีงานเลี้ยงฉลอง แต่ไม่จำเป็นว่าสถานที่ที่จัดนั้นต้องได้รับการรับรองจากสำนักจุฬาราชมนตรี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสะดวก เช่น ใกล้บ้านหรือราคาเป็นที่พอใจ เป็นต้น - การแต่งกาย ของผู้หญิงมุสลิมมีลักษณะการแต่งกายคล้ายของคนไทยมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการใช้ผ้าคลุมศีรษะ (ฮิบญาบ) ซึ่งไม่เคร่งครัดเหมือนมุสลิมเชื้อสายมาเลย์บางคน (ซึ่งแม้แต่อยู่บ้านก็ยังคลุมฮิญาบ) ส่วนใหญ่จะคลุมเมื่อออกจากบ้านและไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายจาม-เขมร จะคลุมเวลาที่ออกนอกบ้าน และไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ส่วนสตรีมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียจะคลุมฮิญาบเฉพาะเวลาที่ไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น มีส่วนน้อยที่จะคลุมผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน - การตั้งชื่อ ไทยมุสลิมทั้งสามเชื้อสายนิยมใช้ชื่อตัวและชื่อสกุลแบบคนไทยทั่วไป ในขณะที่ไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมการตั้งชื่อและนามสกุลตามวัฒนธรรมดั้งเดิม คือ ผู้ชายจะตั้งชื่อตามพระผู้เป็นเจ้า หรือชื่อลูก ๆ ของศาสดา หรือเป็นภาษาอาหรับหรือมาเลย์ ส่วนผู้หญิงนิยมตั้งชื่อตามชื่อภรรยาของศาสดา อย่างไรก็ตาม มุสลิมทั้งสามเชื้อสายยังคงมีการตั้งชื่อตัวและนามสกุลที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมบ้าง - การรับประทานอาหาร ไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ส่วนใหญ่จะรับประทานอาหารจากร้านอาหารมุสลิมเท่านั้น ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นจริง ๆ อนุโลมให้รับประทานอาหารที่ไม่ใช่อาหารมุสลิมได้ สำหรับมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมร จะกินอาหารทั้งจากร้านอาหารมุสลิม และร้านอาหารอื่น เช่น ร้าน fast food เป็นต้น ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียนิยมเช่นเดียวกับเชื้อสายจาม-เขมร แต่จะเลือกอาหารที่ศาสนาอนุญาต - การทำบุญทำทาน วัฒนธรรมเกี่ยวกับการทำบุญให้ผู้ตายได้เปลี่ยนแปลงไป มีลักษณะคล้ายวัฒนธรรมไทย คือ ปัจจุบันจะมีการทำบุญให้ผู้ตายเมื่อครบ 7 วัน 40 วัน และ 100 วัน - ด้านบทบาทชายและหญิง แม้ว่าลักษณะทางวัฒนธรรมของไทยมุสลิมจะให้ความสำคัญกับฝ่ายพ่อและเพศชาย แต่ในปัจจุบันเรื่องการรับมรดกลูกชายก็ไม่จำเป็นที่จะได้รับมรดกมากที่สุดเสมอไป ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดและความพึงพอใจของผู้ให้ โดยแบ่งมรดกให้เท่า ๆ กันตามกฏหมายไทย ไม่ได้แบ่งตามหลักกฏหมายอิสลาม (ผู้ชายได้ 2 ส่วน ผู้หญิงได้ 1 ส่วน) นอกจากนี้ในเรื่องการอยู่อาศัยหลังการแต่งงาน ในทางปฏิบัติแล้ว ฝ่ายหญิงจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย แต่ปัจจุบัน มุสลิมเชื้อสายมาเลย์และจาม-เขมรยังคงมีความเห็นเช่นเดิม ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียมีอิสระ ซึ่งอาจอยู่กับฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง หรือแยกออกไปอยู่ตามลำพังก็ได้ ปัจจัยทีสำคัญต่อการเลือกที่อยู่อาศัย คือ ฐานะทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งความสะดวกในการเดินทางไปทำงานด้วย และการเปลี่ยนแปลงในบทบาทระหว่างเพศในอีกประเด็นคือ หน้าที่ในการหาเลี้ยงครอบครัวและดูแลบ้าน ในปัจจุบันมีเพียงมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียที่เห็นว่าการหาเลี้ยงครอบครัวและการดูแลบ้านเป็นหน้าที่ของสามีและภรรยา ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายมาเลย์และจาม-เขมรยังคงยึดมั่นในความคิดเดิม โดยผู้ชายมีหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว ส่วนผู้หญิงทำหน้าที่ดูแลบ้าน - ด้านภาษา ไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์มีการสัมผัสภาษากับภาษาไทยน้อยที่สุด เพราะยังคงรักษาวัฒนธรรมของตนมากกว่ามุสลิมเชื้อสายอื่น เนื่องจากมีการใช้คำเรียกญาติที่เป็นคำเฉพาะกลุ่มของตนทั้งในคำเรียกญาติพื้นฐานและไม่พื้นฐาน และยังคงพูดภาษามาเลย์ในชีวิตประจำวัน ส่วนมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรมีการสัมผัสภาษาไทยรองลงมา เพราะได้ธำรงรักษาวัฒนธรรมเดิมไว้ได้อยู่บ้าง แต่มีการใช้คำเรียกญาติภาษาเขมรร่วมอยู่ด้วย ส่วนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียมีการสัมผัสภาษาไทยมากที่สุด เนื่องจาก มีการใช้คำเรียกญาติเป็นภาษาไทยทั้งหมด และไม่มีการใช้คำเรียกญาติในภาษาเปอร์เซีย ซึ่งเป็นผลมาจากความแตกต่างทางเชื้อชาติลดน้อยลง เนื่องจากการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ต่างกัน ความแตกต่างทางภาษาก็ลดน้อยลงเช่นกัน (หน้า 123-128)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

การใช้คำเรียกญาติพื้นฐาน จำนวนของคำที่ใช้เรียกญาติของไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสาย กลุ่มมุสลิมเชื้อสายมาเลย์และเปอร์เซียจะมีจำนวนคำเรียกญาติพื้นฐานใกล้เคียงกัน สำหรับมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรจะมีจำนวนคำเรียกมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากมีการใช้คำเรียกญาติถึง 3 ภาษา คือ ใช้ภาษาไทยควบคู่ไปกับคำเรียกญาติที่ใช้เหมือนกับกลุ่มมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ และคำเรียกญาติภาษาเขมร ในขณะที่มุสลิมเชื้อสายมาเลย์มีการใช้เพียง 2 ภาษาคือ เป็นภาษาไทยควบคู่ไปกับคำเรียกญาติที่เป็นคำเฉพาะกลุ่มของตน ส่วนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียมีการใช้คำเรียกญาติภาษาไทยเพียงภาษาเดียว ระบบคำเรียกญาติพื้นฐาน มีการนำมิติต่างๆ เพื่อแยกความแตกต่างของคำเรียกญาติ ซึ่งไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายต่างก็มีมิติแห่งความแตกต่างที่ใช้ที่ต่างๆ กัน โดยมิติทั้งหมดที่ใช้สำหรับระบบคำเรียกญาติพื้นฐานมี 6 มิติ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ ฝ่ายพ่อ/แม่ และการให้เกียรติ (หน้า 69-70) การใช้คำเรียกญาติไม่พื้นฐาน ไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีการใช้คำเรียกญาติไม่พื้นฐานเหมือนกัน โดยใช้ภาษาไทยควบคู่ไปกับคำเรียกญาติที่เป็นคำเฉพาะกลุ่มของตน ยกเว้นไทยมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียที่ใช้คำเรียกญาติภาษาไทยมาตรฐานเพียงภาษาเดียวในการเรียกญาติทุกประเภท โดยไม่มีการใช้ภาษาเปอร์เซียซึ่งเป็นคำเฉพาะกลุ่มของตน และไม่มีการใช้คำเรียกญาติที่มาจากภาษาอื่นเลย จำนวนคำที่ใช้เรียกญาติไม่พื้นฐานมีจำนวนเท่ากันในกลุ่มมุสลิมเชื้อสายมาเลย์และเชื้อสายเปอร์เซีย ส่วนมุสลิมเชื้อสายจาม-เขมรมีจำนวนคำที่ใช้เรียกญาติไม่พื้นฐานมากที่สุด ระบบคำเรียกญาติไม่พื้นฐาน โดยไทยมุสลิมทั้ง 3 เชื้อสายมีมิติที่ใช้แยกความแตกต่างของคำเรียกญาติแต่ละคำเป็นจำนวน 8 ประการ ได้แก่ รุ่นอายุ สายเลือด อายุ เพศ ฝ่ายพ่อ/แม่ คำรื่นหู เพศของผู้พูด และการแต่งงานใหม่ (หน้า 104-106)

Map/Illustration

ตารางแสดงความหมายคำเรียกญาติพื้นฐานของไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ เชื้อสายจาม-เขมร เชื้อสายเปอร์เซีย (หน้า 48, 59 และ 66), ตารางแสดงความหมายคำเรียกญาติไม่พื้นฐานของไทยมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ เชื้อสายจาม-เขมร เชื้อสายเปอร์เซีย (หน้า 88, 95 และ 101 ตามลำดับ) ตารางแสดงการรักษาวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม (หน้า 129)

Text Analyst ศรายุทธ โรจน์รัตนรักษ์ Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG มุสลิม, คำเรียกญาติ, การเปลี่ยนแปลง, วัฒนธรรม, ภาษา, กรุงเทพฯ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง