|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,การปกครอง,จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
ปิยนาถ บุนนาค |
Title |
นโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยต่อชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ.2475-2516) |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, หอสมุดแห่งชาติ |
Total Pages |
271 |
Year |
2534 |
Source |
โครงการเผยแพร่ผลงานวิจัย ฝ่ายวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ปัญหาการปกครองมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 - พ.ศ. 2516 มีปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ พลังอำนาจทางประวัติศาสตร์ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม การศึกษา เศรษฐกิจ และที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้มุสลิมเกิดความแปลกแยกกับรัฐบาลไทย ประกอบกับมีกลุ่มบุคคลที่พยายามแทรกแซงโดยอาศัยชาวบ้านเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกดินแดนและก่อความไม่สงบต่างๆ รัฐบาลแต่ละสมัยก็ได้ตระหนักถึงปัญหาและดำเนินการแก้ปัญหามาโดยตลอด จึงแบ่งนโยบายของรัฐออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะแรกภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองถึงสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามช่วงแรก(พ.ศ.2475-2487) ระยะที่สองสมัยรัฐบาลพลเรือน(พ.ศ.2487-2491) ระยะที่สามสมัยรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามช่วงที่สอง(พ.ศ.2491-2500) ระยะที่สี่ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2500 ถึงวิกฤตการณ์ทางการเมือง พ.ศ.2516 อย่างไรก็ดี ภาพรวมด้านนโยบายของรัฐที่ผ่านมามีลักษณะต้องการผสมผสานกลมกลืนมุสลิมให้มีสำนึกในการเป็นพลเมืองไทย ขณะเดียวกันก็มีลักษณะประนีประนอมและสนับสนุนความเป็นลักษณะเฉพาะในด้านศาสนา สังคม และวัฒนธรรมของประชาคมมุสลิมแบบบูรณาการที่มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ถึงกระนั้นก็ดี ปัญหาการปกครองคนไทยมุสลิมก็ยังคงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมิได้อยู่ที่นโยบายของรัฐเท่านั้น ยังมีข้าราชการผู้นำนโยบายไปปฏิบัติในพื้นที่ที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินนโยบาย ดังนั้นรัฐจึงควรจัดให้มีการประเมินผลการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ คนไทยมุสลิมยังจะต้องให้ความร่วมมือที่จะประนีประนอมความภักดีทางศาสนาและหน้าที่ในฐานะพลเมืองของประเทศเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อการปรับปรุงที่มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น (หน้า 228-238) |
|
Focus |
ศึกษานโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ในช่วงระหว่างภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ถึง เดือนตุลาคม พ.ศ.2516 ตั้งแต่ขั้นการก่อตัวของปัญหาจนถึงขึ้นการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยพิจารณานโยบายที่ดำเนินการผ่านกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง (หน้า 16) |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งของปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2516 คนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้นจังหวัดสตูล ส่วนใหญ่ยังพูดภาษาไทยไม่ได้ บางคนที่พูดภาษาไทยได้ก็ไม่นิยมพูด แต่จะพูดภาษามลายูในชีวิตประจำวัน และใช้ในการเรียนการสอนศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ อาจมีผู้รู้หลายคนรู้ภาษาอาหรับอีกด้วย (หน้า 36-37) ปัญหาด้านภาษาและการศึกษาถือเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสาร ที่นำไปสู่ปัญหาด้านการปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวคือในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีข้าราชการที่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านอยู่มาก คอยเอาเปรียบจากความไม่รู้หนังสือของชาวบ้าน ทำให้คนไทยมุสลิมเกิดความรู้สึกว่าพวกเขาถูกกดขี่ข่มเหง และคิดจะแยกดินแดนส่วนนี้ออกไปปกครองเอง บางคนต้องเข้าป่าไปเป็นโจร ข้าราชการบางกลุ่มยังขาดความเข้าใจในวัฒนธรรมของคนไทยมุสลิม โดยเฉพาะด้านการสื่อสาร ดังนั้นในการติดต่อกันระหว่างชาวบ้านกับทางราชการจึงต้องมีล่ามแปล ทำให้เสียเวลาและไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร บางครั้งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดกัน ทำให้ช่องว่างในความเข้าใจกันระหว่างชาวบ้านกับภาครัฐห่างเหินกันยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นช่องทางให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง และสร้างความแตกแยกระหว่างรัฐบาลกับคนไทยมุสลิมมากขึ้น (หน้า 65-69) ต่อมาในสมัยรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามได้ประกาศใช้รัฐนิยมอย่างเป็นทางการ จำนวน 12 ฉบับ โดยฉบับที่เกี่ยวข้องกับภาษาของคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ รัฐนิยมฉบับที่ 9 ที่กล่าวถึงภาษาและหนังสือกับหน้าที่พลเมืองดี โดยกำหนดให้คนไทยต้องอ่านและเขียนภาษาไทยได้ รวมถึงห้ามไม่ให้พูดภาษามลายูในการติดต่อราชการ ให้พูดภาษาไทย และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นชื่อไทย (หน้า 84) ถือเป็นนโยบายที่แข็งกร้าวและไม่ประสบผลสำเร็จ ในที่สุดรัฐบาลก็ต้องดำเนินการผ่อนปรนนโยบาย ส่วนจังหวัดสตูลแทบจะไม่มีปัญหาดังกล่าว เนื่องจากได้รับอิทธิพลทางการปกครองจากมณฑลนครศรีธรรมราชมาแต่เดิม วัฒนธรรมและภาษาจึงต่างจากสามจังหวัดข้างต้น ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาไทยได้และมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่มีผู้ให้สัมภาษณ์ว่า เจ้าพระยาธรรมกะมังคะรัตน์บุรี เจ้าเมืองสตูลสมัยก่อนได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านเรียนรู้ภาษาไทย นอกจากเรียนรู้ศาสนาอิสลามแล้ว ชาวบ้านจึงมีความรู้ภาษาไทยดีกว่าชาวบ้านในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส (หน้า 53-54) |
|
Study Period (Data Collection) |
ประมาณ 1 ปี โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ระหว่างวันที่ 2-13 พฤษภาคม 2530 (หน้า 251) |
|
History of the Group and Community |
พลังอำนาจแห่งประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งของปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในอดีตหัวเมืองมลายูซึ่งประกอบด้วยจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสในปัจจุบันนั้น เป็นเมืองประเทศราชของสุโขทัยและอยุธยามาก่อน โดยมีความสัมพันธ์เป็นแบบเจ้ากับข้า และต้องส่งเครื่องบรรณาการมา 3 ปี/ครั้ง ต่อมา พ.ศ. 2310 เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า เมืองปัตตานีได้ประกาศตนเป็นอิสระ และกองทัพไทยยกทัพไปปราบลงเมื่อ พ.ศ. 2329 ปัตตานีจึงขึ้นอยู่กับเมืองนครศรีธรรมราช อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2334 ได้แบ่งการปกครองให้เมืองกลันตันและไทรบุรีขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช เมืองตรังกานูและปัตตานีขึ้นกับเมืองสงขลา ขณะนั้นปัตตานีได้ถูกแยกออกเป็น 7 หัวเมืองเล็ก ๆ คือ สายบุรี ปัตตานี หนอกจิก ยะลา ยะหริ่ง ระแงะ และรามัน รวมถึงถูกลดฐานะเป็นเมืองตรี และมีเจ้าเมืองซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากรุงเทพฯ และในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้แบ่งเมืองไทรบุรีออกเป็น 4 หัวเมือง คือ ปลิส สตูล ไทรบุรี และกะบังปารู ที่เป็นอิสระต่อกันและขึ้นตรงต่อเมืองนครศรีธรรมราช จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการปฏิรูปการปกครองเป็นแบบศูนย์รวมอำนาจในระบบเทศาภิบาล โดยกระทรวงมหาไทยได้จัดให้รัฐกลันตันและตรังกานูอยู่ในความดูแลของข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต หัวเมืองทั้งเจ็ดอยู่ในความรับผิดชอบของมณฑลนครศรีธรรมราช ส่วนไทรบุรี ปลิส และสตูลให้รวมกันเป็นมณฑลไทรบุรี ทำให้เจ้าเมืองทั้งเจ็ดไม่พอใจ เนื่องจากถูกลิดรอนอำนาจลงอย่างมาก จึงก่อการกบฏขึ้น แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เจ้าผู้ครองเมืองระแงะและปัตตานีจึงถูกเนรเทศ ในปี พ.ศ. 2444 รัฐไทยได้รวมหัวเมืองทั้งเจ็ดเข้าด้วยกัน และได้ออกกฎข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณนี้ โดยมีผู้ช่วยราชการเมือง ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมืองมาช่วยพระยาหัวเมืองมลายูในการปกครอง มีผู้พิพากษาตัดสินคดีความตามพระธรรมนูญศาลหัวเมืองร.ศ.114 หัวเมืองดังกล่าวจะต้องถูกเรียกเก็บภาษีจากรัฐ โดยพระยาเมืองมลายูและขุนนางจะได้รับเบี้ยหวัดเป็นการตอบแทน ในปี พ.ศ.2452 รัฐบาลไทยต้องยอมโอนอำนาจอธิปไตยเหนือรัฐไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปลิส และเกาะใกล้เคียงให้แก่อังกฤษเพื่อแลกกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ส่วนสตูลก็ถูกผนวกเข้าในมณฑลภูเก็ตในเวลาต่อมา ต่อมารัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชหัตถเลขาวางหลักรัฐประศาสโนบายสำหรับข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่ในมณฑลปัตตานี มีสาระสำคัญ คือ ให้ยกเลิกหรือแก้ไขระเบียบการหรือวิธีปฏิบัติการที่ทำให้พลเมืองรู้สึกว่าเป็นการเบียดเบียนกดขี่ศาสนาอิสลาม และระเบียบการที่คิดค้นจัดทำขึ้นใหม่ก็ต้องไม่ขัดต่อศาสนาอิสลาม ส่วนข้าราชการที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ในมณฑลปัตตานีนั้นต้องซื่อสัตย์ สุจริต เยือกเย็น จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 จึงได้มีการแบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ภายใต้การปกครองของกระทรวงมหาดไทย และมีข้าราชการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด (หน้า 22-25, 70-78) |
|
Settlement Pattern |
จังหวัดชายแดนภาคใต้มีอาณาเขตส่วนใหญ่ติดต่อกับสหพันธรัฐมาเลเซียและแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ ฝั่งทะเลด้านตะวันออกของแหลมมลายู ประกอบด้วยจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ส่วนจังหวัดสตูลอยู่ทางฝั่งทะเลด้านตะวันตกของแหลมมลายู นับว่า สถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ยังอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯมาก (หน้า 50) |
|
Demography |
บุคคลที่ถูกสัมภาษณ์มีทั้งผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธรวมทั้งสิ้น 79 คน แบ่งเป็นเพศชาย 71 คน เพศหญิง 8 คน มีอายุระหว่าง 35-60 ปี การศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 ถึง ระดับปริญญาเอก มีทั้งผู้ที่เป็นข้าราชการ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น นักการเมือง ชาวนา ชาวประมง พ่อค้า และพระภิกษุ ดังตารางแสดงรายละเอียดตำแหน่งหน้าที่การงานของบุคคลดังกล่าว และข้อมูลแสดงจำนวนประชากรของจังหวัดชายแดนภาคใต้ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ตามหลักฐานทะเบียนราษฎรของกระทรวงมหาดไทยเมื่อ 30 ธันวาคม 2516 โดยให้รายละเอียดประชากรในแต่ละจังหวัดจำแนกตามเพศ ศาสนา และความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ (หน้า 253-259, 269) |
|
Economy |
เศรษฐกิจเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งของปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เกือบ 90% ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและทำประมง โดยมีการทำสวนยางเป็นหลัก รองลงมาคือการทำนา และทำสวนผลไม้ ประชากรส่วนใหญ่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงขนาดเล็ก อีกทั้งยังขาดการออมทรัพย์ ฐานะความเป็นอยู่จึงขึ้นกับราคายางเป็นสำคัญ ราวกลาง พ.ศ.2503 คนไทยมุสลิมต้องประสบปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ราคายางตกต่ำ รวมถึงการถูกจำกัดการประมง ประกอบกับค่าครองชีพก็สูงตามไปด้วย ผลที่ตามมา คือปัญหาการว่างงาน ทำให้พวกเขามีความรู้สึกว่ารัฐไม่ได้ส่งเสริมด้านปัจจัยที่เอื้อต่อเศรษฐกิจเท่าที่ควร เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีผู้ให้ข้อมูลที่สอดคล้องกันว่า คนมุสลิมส่วนใหญ่ได้รับความบีบคั้นอย่างมากในการที่จะหาให้ได้พอกิน ประกอบกับความล้มเหลวของรัฐบาลในการเพิ่มประสิทธิภาพการเยียวยา และจากความรู้สึกของมุสลิมในทางลบ เนื่องจากได้รับการปฏิบัติจากข้าราชการดุจเป็นพลเมืองชั้นสอง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะคิดเปรียบเทียบความแตกต่างนี้กับชาวมาเลเซีย (หน้า 55-58) |
|
Political Organization |
สถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมความจงรักภักดีและเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา มีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดและดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่สืบเนื่องมาจากโครงการพระราชดำริ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งในด้านการประกอบอาชีพ การศึกษา การแพทย์ และการสาธารณสุข รวมถึงการทำนุบำรุงศาสนาและวัฒนธรรมอิสลาม (หน้า 137) สถาบันรัฐสภา ในส่วนการปกครองเกี่ยวกับคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น รัฐสภามีส่วนร่วมในการให้ความเห็นชอบต่อรัฐบาลเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายที่สำคัญระหว่าง พ.ศ.2475-2516 เช่น การสร้างโรงเรียนประจำจังหวัดยะลาทดแทนโรงเรียนเก่าที่ทรุดโทรม/ พ.ร.บ.การใช้กฎหมายอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2489/ มติให้ยกเลิก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อ พ.ศ.2491 และ พ.ศ.2493/การร่วมมือกับตำรวจมลายู เจ้าหน้าที่จังหวัดและตำรวจปราบปรามท้องถิ่นเพื่อปราบปรามโจรจีนปักษ์ใต้ที่คุกคามสวัสดิภาพของประชาชนในอำเภอเบตง/รวมถึงการดำเนินการของวิทยุกระจายเสียงภาคมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 149-164) นอกจากนี้หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดและดำเนินนโยบายการปกครองคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังได้แก่ 1) กระทรวงหรือทบวงการเมืองเช่น กระทรวงศึกษาธิการ การทรวงมหาดไทย และสภาความมั่นคงแห่งชาติ 2)จังหวัดและอำเภอ 3) เทศบาลเมือง นครบาล เทศบาลตำบล และสหเทศบาล โดยดำเนินนโยบายในรูปของมติคณะรัฐมนตรี พระราชกฤษฎีกา ประกาศ และโครงการของกระทรวงต่าง ๆ (หน้า 171-172) การดำเนินนโยบายในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลแบ่งได้เป็น 4 ระยะ คือ ระยะแรก ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองถึงสมัยรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามช่วงแรก (พ.ศ.2475-2487) รัฐได้ดำเนินนโยบายในการปกครองประเทศตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎร อย่างไรก็ดีได้มีผู้วิจารณ์ผลการดำเนินนโยบายดังกล่าวว่าเป็นนโยบายผสมกลมกลืนทำลายเอกลักษณ์ของมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ (หน้า 80) นอกจากนี้ รัฐบาลยังดำเนินการสร้างชาติด้วยวัฒนธรรมเพื่อให้คนไทยทุกเชื้อชาติและศาสนามีความสำนึกของความเป็นไทยด้วยการประพฤติปฏิบัติเป็นแบบแผนเดียวกัน ดังข้อกำหนดในรัฐนิยม 3 ฉบับ คือ รัฐนิยมฉบับที่ 3 กำหนดให้ใช้คำว่าไทย แก่คนไทยทุกกลุ่มโดยไม่แบ่งแยก ซึ่งถือเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการว่าไทยมุสลิมเป็นคนไทยบนผืนแผ่นดินไทย/ รัฐนิยมฉบับที่ 9 การกำหนดให้คนไทยต้องอ่านและเขียนภาษาไทยได้/ รัฐนิยมฉบับที่ 10 กำหนดให้คนไทยต้องแต่งกายตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ว่าเป็นสุภาพชน ซึ่งทำให้คนไทยมุสลิมถูกจำกัดเสรีภาพในการปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี พ.ศ.2484 ได้มีการยกเลิกข้อยกเว้นเกี่ยวกับครอบครัวและมรดกสำหรับคนไทยมุสลิม โดยให้ใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์แทน นโยบายดังกล่าวยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกจากรัฐไทยมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ชาวบ้านไม่ให้ความสนใจต่อการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง ในขณะที่บรรดาผู้นำไทยมุสลิมมุ่งหมายให้นานาชาติบีบบังคับรัฐบาลไทยเรื่องการให้อิสระในการปกครองตนเองแก่มุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 82-84) ระยะที่สอง สมัยรัฐบาลพลเรือน (พ.ศ.2487-2491) ในช่วงนี้ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ นายอดุลย์ ณ สายบุรีได้ยื่นคำร้องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาณานิคมของอังกฤษขอให้ปลดปล่อยพวกตนให้พ้นจากอำนาจของไทย และความไม่พอใจของมุสลิมยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อไทยต้องประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์เข้าบริหารประเทศจึงได้เปลี่ยนแปลงมาใช้นโยบายผ่อนปรนมากขึ้น ด้วยการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลามพุทธศักราช 2488 โดยแต่งตั้งจุฬาราชมนตรี สถาบันการศึกษาอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยและกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เพื่อทำหน้าที่เชื่อมประสานระหว่างประชาคมมุสลิมกับรัฐบาล แต่มีข้อสังเกตว่าพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ได้ใช้คำว่า ประชาชนชาวไทยที่นับถืออิสลามเพื่อเน้นถึงความเป็นคนไทยของมุสลิม (หน้า 91-94, 176-177) นอกจากนี้รัฐยังได้ออกประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้พุทธศักราช 2489 แต่พระราชบัญญัติดังกล่าวกลับถูกมองว่าเป็นการก้าวก่ายประชาคมมุสลิม ต่อมา พ.ศ.2490 รัฐบาลจึงได้ตราพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลามขึ้นเพื่อจัดการทำนุบำรุงและป้องกันกรณีพิพาทเรื่องทรัพย์สินของมัสยิด ถึงกระนั้นก็ดีกลุ่มมุสลิมภายใต้การนำของฮัจยีสุหลงยังได้ยื่นคำร้องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ให้รัฐบาลแต่งตั้งผู้นำมุสลิมมาปกครองในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล และกำหนดว่าข้าราชการในพื้นที่ดังกล่าวต้องเป็นมุสลิมร้อยละ 80 ให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการและเป็นสื่อการสอนในโรงเรียนระดับประถม รวมถึงให้ใช้กฎหมายอิสลามในศาลกฎหมาย ส่วนภาษีที่เก็บได้ในท้องที่จะต้องใช้เพื่อสวัสดิการของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น และให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจสูงสุดในการกำหนดตัวบทกฎหมายเกี่ยวกับอิสลาม (หน้า 96-98) อย่างไรก็ดีเมื่อรัฐได้จับกุมฮัจยีสุหลงและพวกอีก 3 คนแล้ว ได้มีผู้นำไทยมุสลิมกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันตั้งสมาคมชาวมลายูแห่งปัตตานีใหญ่หรือชื่อภาษามลายูว่า Gabongan Malaya Pattani Raya (GAMPAR) ขึ้น โดยมีสำนักงานอยู่ที่กลันตัน ไทรบุรี ปีนัง และสิงคโปร์ ระหว่างนั้นได้มีการเรียกร้องให้รวมสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้ากับสหพันธรัฐมลายาที่เพิ่งสถาปนาขึ้น รัฐบาลจึงแต่งตั้งคนไทยมุสลิมเป็นข้าหลวงพิเศษทำหน้าที่ปรึกษาด้านกิจการศาสนาแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ดังกล่าว และส่ง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชไปสอบสวนข้อเท็จจริง รวมถึงปรับปรุงการปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 100-104) ระยะที่สาม สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามช่วงที่ 2 (พ.ศ.2491-2500) ได้ดำเนินนโยบายผ่อนปรนต่อมุสลิมโดยการตั้งนายอับดุลลา หวังปูเต๊ะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูลซึ่งเป็นชั้นหลานของรายาแห่งสตูลเข้าร่วมคณะรัฐบาลในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการการทรวงศึกษาธิการ แต่สถานการณ์ยังไม่ทันจะคลี่คลายก็เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ในจังหวัดนราธิวาส ในนาม กบฏดูซงญอ (หน้า 104-105) สถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าวยังคงได้รับแรงกระตุ้นจากภายนอก ทั้งสื่อมวลชน และบุคคลบางกลุ่มในมลายา รัฐบาลจึงต้องยอมรับกฎหมายอิสลามในเรื่องการแต่งงานและการสืบมรดก และให้มุสลิมแต่งกายตามประเพณีอิสลามในสถานที่ราชการได้ รวมถึงส่งเสริมการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 108) ส่วนคดีฮัจยีสุหลงซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานานก็ยุติลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2492 โดยศาลยกฟ้องคดีแบ่งแยกดินแดน แต่ตัดสินจำคุก 7 ปี โทษฐานกล่าวร้ายรัฐบาลในเอกสารที่แจกจ่ายไปยังประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ดีฮัจยีสุหลงและพวกอีก 3 คน ได้หายตัวไปอย่างลึกลับในปี พ.ศ.2497 ทำให้ชาวบ้านเกิดความคลาแคลงใจในบุคคลของรัฐบาลมากขึ้น ความรู้สึกแปลกแยกและความต้องการแยกดินแดนของผู้นำไทยมุสลิมยังคงปรากฏให้เห็นต่อมาเป็นครั้งคราว ซึ่งรัฐบาลได้พยายามระงับเหตุการณ์ไม่ให้ลุกลามขยายตัวต่อไป รวมถึงได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมด้านศาสนาและวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2500 พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เดินทางไปประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์มัสยิดกลางที่จังหวัดปัตตานี พร้อมกับเป็นประธานในพิธีเปิดงานเทศกาลฮารีรายอฮัจยี (หน้า 109-110) ระยะที่สี่ ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2500 ถึงวิกฤตการณ์ทางการเมือง พ.ศ.2516 ภายใต้รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้จำแนกกลุ่มผู้แบ่งแยกดินแดนออกเป็น 3 พวก คือ พวกที่หนึ่งต้องการตั้งเป็นสาธารณรัฐปัตตานี พวกที่สองต้องการตั้งเป็นรัฐอิสระ มีรายาปกครอง และพวกที่สามต้องการแยกตัวเองออกเป็นหน่วยบริหารอิสระมีฐานะเป็นเสมือนสหพันธรัฐ กลุ่มดังกล่าวยังได้รวมกันเข้าเป็นแนวร่วมชื่อว่า National Liberation Front of the Pattani Republic (NLFP) ภายใต้การนำของนายอดุลย์ ณ สายบุรี นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ซึ่งเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการต่อสู้กับรัฐบาลมาเลเซียและได้เข้ามาใช้ดินแดนในประเทศไทยเป็นแหล่งลี้ภัย และแหล่งฝึกอาวุธยุทโธปกรณ์ (หน้า 111-116, 62-63) อย่างไรก็ดี ปัญหาการปกครองคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงพ.ศ.2516 ส่วนหนึ่งเกิดจากการแทรกแซงเพื่อหาผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้าผู้ครองเมืองเก่า หลังจากที่กลุ่มนี้ต้องถูกทอนอำนาจและผลประโยชน์ลงอย่างมากหลังการปฏิรูปการปกครอง จึงมีการรวมตัวกันภายใต้กลุ่ม BLN, BN, BG โดยพยายามดำเนินการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้อำนาจการปกครองแก่พวกตน โดยอ้างว่าไทยมุสลิมไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนมลายู ดินแดนสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นของมลายู และการปกครองของไทยนั้นมีลักษณะที่ทำลายชนชาติมลายูและศาสนาอิสลาม ขบวนการดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากนักการเมือง พรรคการเมืองและประชาชนบางส่วนในรัฐกลันตัน รวมทั้งสื่อมวลชนในมาเลเซียและสิงคโปร์ (หน้า 59-62) ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียในการปราบปรามกองโจรผู้ก่อการร้ายตามพรมแดน ขณะเดียวกันก็ดำเนินการวางแผนงานในโครงการด้านการศึกษา โดยคำนึงถึงความรู้สึกด้านศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีของคนไทยมุสลิม ทั้งนี้เพื่อให้ราษฎรในท้องถิ่นเกิดความรู้สึกสำนึกในความเป็นไทย ดังจะเห็นได้จากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงมหาดไทยวางแนวทางการเรียกชื่อ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการระบุชื่อจังหวัดนั้นๆ เป็นเอกเทศเช่นเดียวกับจังหวัดอื่น โดยให้ใช้ชื่อจังหวัดชายแดนภาคใต้ในความหมายที่รวมถึงจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล และเปลี่ยนชื่อคณะกรรมการประสานราชการ 4 จังหวัดภาคใต้ เป็นคณะกรรมการประสานราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงกำหนดให้วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เป็นวันหยุดราชการของจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส และสตูล (หน้า 120) |
|
Belief System |
ศาสนาเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งของปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากศาสนาอิสลามมีบทบาทต่อความเชื่อและการประพฤติปฏิบัติตนทุกแง่มุมในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังมีที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า กลุ่มมุสลิมจึงเป็นกลุ่มที่มีศาสนานิยมสูง และถือว่ามาตรฐานที่กำหนดโดยศาสนานั้นมีความเด็ดขาด ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ ดังนั้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของวัฒนธรรมที่มุสลิมถือปฏิบัติก็เท่ากับเป็นการเปลี่ยนเนื้อหาของศาสนาอิสลาม สังคมจึงรู้สึกท้าทายและมักจะต่อต้านเป็นอันดับแรก (หน้า 32-34) นอกจากนี้ มุสลิมยังเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมเป็นประดุจพี่น้อง ดังที่ได้บัญญัติไว้ในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ว่า มุสลิมทุกคนเปรียบเสมือนเรือนร่างเดียวกัน อันนำไปสู่หลักการที่เรียกว่า อุมมาห์ คือความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกันโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติในรูปของ รัฐอิสลาม การปฏิบัติต่ออำนาจที่ไม่เป็นธรรมเพื่อสร้างสังคมใหม่ให้มีความเสมอภาคตามอุดมการณ์อิสลามถือว่าเป็นสิ่งที่พึงกระทำ หลักดังกล่าวกลับส่งผลให้มุสลิมมีความสัมพันธ์ไม่ดีนักกับผู้นับถือศาสนาอื่น รวมถึงมีความรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนไทย แต่เป็นมลายู (หน้า 32-38) อันก่อให้เกิดลักษณะชุมชนปิด ยากต่อการทำให้เกิดการถ่ายเททางวัฒนธรรม (Cultural Assimilation) ลักษณะเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญหาทางการเมืองการปกครองและการสร้างความเจริญก้าวหน้าในชาติ (หน้า 40) |
|
Education and Socialization |
ปัญหาด้านการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญต่อการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง อันส่งผลต่อปัญหาทางการเมืองการปกครองของรัฐ ดังจะเห็นได้จากสภาพการศึกษาของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีผู้รู้หนังสือไม่เกิน 30% จำนวนเด็กที่เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาก็มีเพียง 12.5-13.5% ของประชากรทั้งหมด เนื่องจากประชาชนขาดความสนใจในการศึกษาที่รัฐจัดให้ แต่มีความนิยมที่จะส่งบุตรหลานเข้าเรียนในสถาบันปอเนาะ ทั้งนี้ตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามกล่าวว่ามุสลิมทุกคนจะต้องทำการศึกษาในเรื่องศาสนาจนสามารถที่จะปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างถูกต้อง สังคมมุสลิมจึงยกย่องผู้ที่สำเร็จการศึกษาในวิชาศาสนามาก อีกทั้งผู้ปกครองยังไม่นิยมให้บุตรหลานเรียนภาษาไทย เนื่องจากเกรงว่าหากรู้ภาษาไทยแล้วเด็กจะหันเหไปจากภาษาและวัฒนธรรมเดิมของตน บางคนยังเชื่อว่าถ้าใช้ภาษาไทยแล้วจะถูกกลืนศาสนาและเป็นบาป โดยเข้าใจว่าภาษาไทยเป็นภาษาพุทธศาสนาเช่นเดียวกับที่ภาษามลายูเป็นภาษาของมุสลิม นอกจากนี้บางคนยังมีความไม่พอใจไทยด้วยสำนึกทางประวัติศาสตร์ มีมุสลิมเพียงจำนวนน้อยที่ส่งลูกหลานมาเรียนภาษาไทยเพราะเห็นความจำเป็น ถึงแม้ว่าเด็กๆ จำเป็นจะต้องเข้ารับการศึกษาภาคบังคับจากรัฐก็ตาม แต่เมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็จะใช้เวลาตอนหัวค่ำหัดอ่านคัมภีร์อัล-กุรอ่านหรือหนังสือมลายู (หน้า 41-48) อย่างไรก็ดี สภาพเศรษฐกิจของประชาชนก็เป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้เด็กต้องช่วยผู้ปกครองทำมาหากิน นักเรียนหญิงจำนวนไม่น้อยที่ต้องลาออกจากโรงเรียนก่อนจบชั้นประถมศึกษาเพื่อแต่งงาน ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามแก้ปัญหาด้านการศึกษาโดยการดำเนินนโยบายต่างๆ โดยรัฐบาลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามช่วงที่ 2 (พ.ศ.2491-2500) ได้ตั้งสถาบันศูนย์อิสลามเพื่อการศึกษาระดับกลางและระดับสูงโดยที่รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายด้านหอพักให้ และจัดหลักสูตรภาษามลายูให้โรงเรียนชั้นประถม นอกจากนี้ยังให้ความเสมอภาคในการเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนของทหาร ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจโดยมีการประกาศให้สิทธิพิเศษในการศึกษาต่อแก่เยาวชนมุสลิมในประเทศไทย (หน้า 108) ปี พ.ศ.2503 กระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนาการศึกษาผู้ใหญ่ และมุ่งที่จะให้มุสลิมพูดภาษาไทยได้โดยไม่ทำลายภาษามลายู ด้วยการเตรียมภาษาไทยก่อนเข้าเรียนประถม 1 ให้ความช่วยเหลือนักเรียนในชั้นเรียนปกติ เปิดการสอนศาสนาอิสลามในโรงเรียน จัดการศึกษานอกระบบโรงเรียน ปรับปรุงหลักสูตรและหนังสือเรียนให้สอดคล้องกับท้องถิ่น และปรับปรุงโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม (หน้า 139) รัฐบาลสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาการศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ 11 โครงการย่อย คือ โครงการสอนภาษาไทยแก่เด็กไทยมุสลิม โครงการปรับปรุงปอเนาะให้แปรสภาพเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม โครงการปรับปรุงส่งเสริมการศึกษาผู้ใหญ่ โครงการให้ทุนอุดหนุนการศึกษานักเรียนไทยมุสลิม โครงการปรับปรุงสัมมนาโต๊ะครูปอเนาะเพื่อรับพระราชทานเงินรางวัล โครงการวิจัยด้านการจัดการศึกษาทุกระดับ โครงการทดลองสอนเป็นทีม โครงการวิทยุโรงเรียน โครงการนิเทศการศึกษา โครงการตั้งศูนย์วิชาการ โครงการประชุมอบรมสัมมนาครู และโรงเรียนการช่างแบบซีโต้และวิทยาลัยครูยะลา (หน้า 116) รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาการศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น โครงการปรับปรุงโรงเรียนประชาบาลให้เป็นโรงเรียนชุมชน โครงการทุนการศึกษาระดับฝึกหัดครูของนักเรียนไทยมุสลิม โครงการจัดการศึกษาผู้ใหญ่ และโครงการจัดตั้งโทรทัศน์สาธารณะ รวมถึงโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย เช่นโครงการธรรมจาริกอิสลาม โครงการอบรมวิชาภาษามลายู โครงการศึกษาภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นของข้าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแข่งขันอ่านคัมภีร์อัล-กุรอ่านระหว่างประเทศ โครงการจัดส่งนักศึกษาไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้ามหาวิทยาลัยและโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน โครงการส่งเสริมการศึกษาแก่คนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ศึกษาในระดับอาชีวศึกษา และโครงการส่งเสริมไทยมุสลิมเข้ารับราชการ (หน้า 124, 192-198) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
รัฐนิยมฉบับที่ 10 ในสมัยรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม เกี่ยวข้องกับการแต่งกายของคนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยกำหนดให้คนไทยต้องแต่งกายตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ว่าเป็นสุภาพชน เช่น ผู้ชายสวมหมวกใส่เสื้อชั้นนอกคอเปิดหรือปิด สวมกางเกงขายาวแบบสากล สวมรองเท้าหุ้มส้นหรือหุ้มข้อและถุงเท้า ส่วนผู้หญิงต้องสวมหมวก ใส่เสื้อนอกคลุมไหล่ สวมผ้าถุง ใส่รองเท้าส้นหรือหุ้มส้น และถุงเท้า เป็นต้น สำหรับคนไทยมุสลิมได้รับคำสั่งไม่ให้สวมเครื่องแต่งกายแบบมุสลิม (หน้า 83-84) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้วิจัยได้กล่าวถึงการเรียกคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ข้อเสนอว่า อาจเรียกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมือง (Indigenous ethnic groups) เพราะเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมที่อยู่ในแหลมมลายูมาก่อน และยังคงอยู่ที่นี่มิได้อพยพไปไหน หรืออาจเรียกอย่างกว้างๆ ว่าชนกลุ่มน้อย เนื่องจากเป็นกลุ่มชนที่มีเอกลักษณ์ทางเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมร่วมกัน โดยแยกออกไปจากกลุ่มอื่นๆ และอยู่ในลักษณะที่ถูกกีดกันเลือกปฏิบัติ (หน้า 4-6) รัฐนิยมฉบับที่ 3 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ของคนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยกล่าวถึงเรื่องการเรียกคนไทย ซึ่งกำหนดให้เลิกการเรียกชาวไทย โดยใช้ชื่อที่ไม่ต้องตามเชื้อชาติและความนิยมของผู้ถูกเรียก แต่ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก ทั้งนี้รัฐบาลมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของประเทศ และความกลมเกลียวสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชาติไทยทั่วทุกภาคของประเทศ (หน้า 83) |
|
Social Cultural and Identity Change |
นโยบายรัฐนิยมของรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามทั้ง 3 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 83-84) มีลักษณะแข็งกร้าวและเร่งรัดให้คนไทยมุสลิมกลายเป็นไทยโดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขต่างๆ ทั้งทางประวัติศาสตร์ ศาสนา สังคม และวัฒนธรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของมุสลิม คือทำให้พวกเขามีความรู้สึกระแวงและไม่ไว้วางใจรัฐบาลอยู่ตลอดเวลาว่านโยบายและโครงการต่างๆ ของรัฐบาลจะทำลายวัฒนธรรมและวิถีชีวิตตามหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งยิ่งทำให้ปัญหาการปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น (หน้า 86) นอกจากนี้ นโยบายของรัฐทั้งสี่ระยะที่ผ่านมาได้รับการยอมรับว่าส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นนโยบายผสมกลมกลืน นักวิชาการบางท่านเรียกว่า เป็นนโยบายประสมประสานหรือนโยบายการสร้างบูรณาการทางการเมืองและการผสมผสานทางวัฒนธรรม ขณะที่ผู้วิจัยมีความเห็นว่าการดำเนินการของรัฐบาลส่วนใหญ่ชี้ว่ารัฐบาลอยากจะผสมผสานกลมกลืนคนไทยมุสลิมให้มีความสำนึกในการเป็นพลเมืองไทย แต่ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะประนีประนอมยอมรับสนับสนุนความเป็นลักษณะเฉพาะในด้านศาสนา สังคม และวัฒนธรรมของมุสลิม บางครั้งถ้ามีการเคลื่อนไหวที่จะส่งผลการทบกระเทือนต่อความเป็นปึกแผ่นภายในและเอกภาพของประเทศ รัฐบาลก็จะมีนโยบายปราบปรามและป้องปรามให้เหตุการณ์เข้าสู่ความสงบโดยเร็ว (หน้า 133) |
|
Other Issues |
ประเด็นความขัดแย้งกันของประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีปรากฏให้เห็นจากทัศนะของนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เขียนประวัติศาสตร์ปัตตานี ซึ่งได้ให้ภาพของประวัติศาสตร์ปัตตานีที่แตกต่างจากนักประวัติศาสตร์ไทย โดยกล่าวถึงปัตตานีในฐานะเมืองท่าศูนย์กลางการค้าในหัวเมืองมลายู และยังแสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ของปัตตานีมิใช่ประวัติศาสตร์ของกบฏ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อเอกราช และความปราชัยต่อกองทัพไทยในปี พ.ศ.2329 เป็นการสูญเสียเอกราชของปัตตานี ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวได้ส่งผลให้มีการต่อต้านอำนาจรัฐจากส่วนกลางโดยมีความรู้สึกเป็นคนละพวกกัน เช่นเดียวกับที่นักวิชาการรัฐศาสตร์ท่านหนึ่งได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับทัศนะที่ขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาล กับชาวเมืองปัตตานีในเรื่องของประวัติศาสตร์ว่า "...ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ไทย เราก็จะเห็นประวัติศาสตร์ของการขบถของเจ้าแขก 7 หัวเมือง แต่ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ของแง่มุมจากคนทางนั้น เราก็จะเห็นว่านี่คือประวัติศาสตร์ของการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเอกราชตลอดมา เป็นประวัติศาสตร์ที่งดงาม สิ่งนี้เรียกว่า discrepancy of perspectives คือ ทัศนะการมองซึ่งขัดกัน..." (หน้า 25-28) ประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกันนี้นักวิชาการทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาท่านหนึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในประวัติศาสตร์ มีใจความว่า "...ความสำนึกในประวัติศาสตร์ทำให้คนสี่จังหวัดภาคใต้รู้สึกเป็นเจ้าของแผ่นดินมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ถึงแม้ชาติไทยจะมีอิทธิพลเหนือดินแดนนี้มานานแล้ว แต่พวกเขาก็มิได้เป็นผู้อพยพมาจากไหน มีแผ่นดินแม่อยู่ในสี่จังหวัดภาคใต้ก่อนที่ไทยจะแผ่อิทธิพลลงไปในแหลมมลายูด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นความรู้สึกเป็นเจ้าของในแผ่นดินส่วนนี้จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้..." (หน้า 29-30) นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องสื่อมวลชนก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากในช่วง พ.ศ.2516 บริการด้านการสื่อสารวิทยุและโทรทัศน์ยังไม่ครอบคลุมทุกท้องที่ในจังหวัดภาคใต้ ประกอบกับประชาชนไม่ค่อยรู้ภาษาไทย จึงทำให้มีการรับข่าวสารจากสื่อของประเทศมาเลเซีย ซึ่งสามารถทำได้มากกว่าและชัดเจนกว่าทางฝ่ายไทย จึงทำให้ขาดความรู้ ความคิดเกี่ยวกับความเป็นพลเมืองไทย รวมถึงไม่อาจทราบความเคลื่อนไหวของทางราชการในทางที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงได้ (หน้า 52) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่ ตาราง และภาพประกอบในงานวิจัย เช่น แผนที่จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล (หน้า18-21) ตารางแสดงบทบาทของสถาบันรัฐสภาในกระบวนการกำหนดและดำเนินนโยบายการปกครองชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ.2475-2516) (หน้า 150-164) ภาพถ่ายวังเก่าของรายาปัตตานี (หน้า 33) การทำยางพาราของมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 56) มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี นราธิวาส สตูล และยะลา (หน้า122-123) |
|
|