|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,สังคมวัฒนธรรม,การแต่งงาน,สถานภาพทางสังคม,เพชรบูรณ์ |
Author |
ธงชัย ศรีเมือง |
Title |
สถานภาพภายหลังการแต่งงานของสตรีเผ่าม้ง กรณีศึกษาบ้านทับเบิก ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
119 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพัฒนาชนบทศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
งานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาสถานภาพภายหลังการแต่งงานของสตรีเผ่าม้ง กรณีศึกษาบ้านทับเบิก ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ มีวัตถุประสงค์ศึกษาถึงลักษณะสถานภาพภายหลังการแต่งงานของสตรีเผ่าม้ง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงสถานภาพภายหลังการแต่งงานรวมถึงปัจจัยหรือเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงสถานภาพภายหลังการแต่งงาน พบว่า สถานภาพภายหลังการแต่งงานของสตรีม้งมีหลายสถานภาพ คือ ในฐานะลูกสะใภ้ ในฐานะภรรยา และในฐานะการเป็นมารดา สตรีที่อยู่ในฐานะดังกล่าวมีสถานภาพและบทบาทที่อยู่ในวงจำกัดและเป็นรองบุรุษ เป็นลักษณะผู้ตามที่ดี ได้รับสิทธิในการนับถือผีบรรพบุรุษของสามี และอยู่อาศัยร่วมกับญาติในครอบครัวฝ่ายสามี ส่วนสิทธิและอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมในครอบครัวพบว่า มีสิทธิและอำนาจที่จำกัดและมีความแตกต่างตามรูปแบบครอบครัว คือ ในครอบครัวขยาย การตัดสินใจขึ้นอยู่กับบิดาและมารดาของสามี ส่วนหน้าที่ของสตรีพบว่า เป็นแรงงานสำคัญในครอบครัวและการปรนนิบัติรับใช้สามี ตลอดจนญาติฝ่ายของสามี ในขณะที่รูปแบบครอบครัวเดี่ยวพบว่า อำนาจและสิทธิในการตัดสินใจในครอบครัว สามีเป็นผู้ตัดสินใจที่มีอำนาจเด็ดขาด แม้ว่าสตรีจะมีสิทธิในการออกความเห็น ส่วนปัจจัยที่ทำให้สตรีมีสถานภาพเป็นรองผู้ชาย พบว่า มากจากปัจจัยค่านิยมเรื่องระบบชายเป็นใหญ่ ผนวกกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เน้นเรื่องเงินตรา งานของผู้ชายจึงถูกให้คุณค่าและความสำคัญ ในขณะที่งานของผู้หญิงในการดูแลครอบครัวและเลี้ยงบุตรมีคุณค่าน้อยลง |
|
Focus |
งานชิ้นนี้มุ่งเน้นศึกษาสถานภาพหลังการแต่งงานของสตรีเผ่าม้ง โดยศึกษาข้อมูลพื้นฐานของชุมชน สถานภาพและบทบาทในครอบครัวของสตรีในฐานะต่างๆ คือ ลูกสะใภ้ ภรรยา และมารดา ในฐานะที่แตกต่างกันนี้ สถานภาพและบทบาทที่แสดงออกย่อมแตกต่างกันด้วย โดยเน้นศึกษาเฉพาะสถานภาพสตรีที่สมรสในครอบครัวม้ง บ้านทับเบิก ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ นอกจากนี้ยังพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสถานภาพและปัจจัยหรือเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลงสถานภาพดังกล่าวอีกด้วย (หน้า4-5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง บ้านทับเบิก ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาม้งจัดอยู่ในตระกูลภาษาแม้ว-เย้า (Mioa-Yao) เดิมเป็นภาษาถิ่นหนึ่งของตระกูลทิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) ต่อมานักภาษาศาสตร์เห็นว่าควรจัดเป็นตระกูลหนึ่งต่างหาก เนื่องจากแม้วกับเย้าไม่มีความใกล้ชิดกับตระกูลทิเบต-พม่า และไม่มีเชื้อสายหรือบรรพบุรุษเป็นคนจีนหรือพูดภาษาจีนเลย ดังนั้นภาษาม้งจึงเป็นตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน (Hmong-Mien) แบ่งเป็นภาษาย่อยที่สำคัญ 2 ภาษา คือ ภาษาม้ง(น)จั๊ว (Mong Njua) หรือที่เรียกกันในภาษาไทยว่า ภาษาม้งเขียว (ม้งดำ ม้งน้ำเงิน หรือม้งลาย) ภาษา(ฮ)ม้งเด๊อว (Hmong Daw) หรือที่เรียกกันในภาษาไทยว่า ภาษาม้งขาว ระบบเสียงภาษาม้ง มีเสียงพยัญชนะที่ปรากฏในภาษามากกว่าภาษาทั่วไป ระบบเสียงวรรณยุกต์มีลักษณะเด่น คือ มีเสียงวรรณยุกต์มากกว่า 5 เสียง และมีเสียงวรรณยุกต์สนธิที่เป็นระบบปรากฏอยู่ในภาษา นอกจากนี้ ลักษณะทางเสียงที่สำคัญๆ อีก 2 ลักษณะเกิดร่วมกับเสียงวรรณยุกต์บางตัว คือ เสียงก้องแบบพ่นลมร่วมด้วย และการปิดเส้นเสียงร่วมกับการออกเสียงวรรณยุกต์ ประโยคภาษาม้งมีลักษณะทั่วไปเป็นภาษาคำโดด วิธีสร้างประโยคด้วยการนำคำมาเรียงต่อกันคล้ายภาษาไทย ประกอบด้วยประธาน กริยา และกรรม ในคำๆ หนึ่งยังประกอบด้วยพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ แต่จะไม่มีเสียงพยัญชนะสะกด ลักษณะเด่นที่พบคือ มีเสียงวรรณยุกต์สนธิ เช่น เด๋เตาะหมี (แปลว่า สุนัขกัดแมว) คำลักษณะนาม ก็มีเช่นเดียวกับภาษาไทย แต่ต่างกันที่ประโยคในภาษาม้งคำลักษณะนามจะอยู่หน้าคำนาม เช่น ม้าสองตัว แต่ภาษาม้งจะเป็น อ๊อ ตู่ แหน่ง (สองตัวม้า) ม้งมีเพียงภาษาพูดเท่านั้น ไม่มีภาษาเขียน ปัจจุบันมีการประดิษฐ์ภาษาม้งเป็นภาษาเขียนโดยหมอสอนศาสนาคริสต์ เป็นภาษาเขียนที่ใช้สำเนียงออกเสียงคำในภาษาม้ง โดยใช้อักษรภาษาอังกฤษเป็นตัวสะกดในการออกเสียง ภาษาพูด โดยทั่วไปจะประกอบกันด้วย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ - พยัญชนะ พยัญชนะของภาษาม้งเขียวและภาษาม้งขาวมีไม่เท่ากัน คือ 54 ตัว และ 57 ตัว ตามลำดับ - สระ ภาษาม้งเขียวมี 13 ตัว ส่วนภาษาม้งขาวมี 12 ตัว - เสียงวรรณยุกต์ ทั้งภาษาม้งเขียวและม้งขาว มี 8 เสียง 7 รูป การสื่อสารภายในหมู่บ้านจะพูดกันเป็นภาษาม้ง เช่นเดียวกับการเผยแพร่ข่าวสารผ่านหอกระจายข่าวและการประชุมภายในหมู่บ้าน แต่ถ้าหากมีคนภายนอกมาร่วมประชุมด้วยจะใช้ภาษาม้งแล้วจึงสรุปเป็นภาษาไทยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ภายในหมู่บ้านยังใช้ภาษาม้งเป็นหลัก ผู้สูงอายุและผู้หญิงม้งมักจะไม่ค่อยพูดภาษาไทยจากต่างถิ่น นอกจากนี้ภาษาไทยถิ่น (ลาวหล่ม) ม้งสามารถพูดได้เป็นอย่างดี จากการที่ไปติดต่อค้าขายกับคนภายนอกหมู่บ้าน (หน้า 44-47) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตั้งแต่ตุลาคม พ.ศ. 2542 - เมษายน พ.ศ. 2543 รวมระยะเวลา 7 เดือน |
|
History of the Group and Community |
บรรพบุรุษม้งได้อพยพมาจากแขวงไชยบุรี ประเทศลาว เมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว เข้าสู่ประเทศไทยในเขตพื้นที่ติดต่อ 3 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ม้งที่บ้านทับเบิกเป็น "ม้งเหล่า" แปลว่า ม้งเก่า ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานก่อนกลุ่มชนใดๆ จนตั้งเป็นชุมชนบนพื้นที่สูงที่มีวิถีชีวิตอย่างเรียบง่าย พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก ที่ตั้งของหมู่บ้านก่อนที่จะตั้งเป็นหมู่บ้านตามกฎหมายนั้น ได้เลือกพื้นที่บริเวณห้วยน้ำหมันติดกับภูขี้เถ้าและภูร่องกล้า จึงเรียกชื่อถิ่นฐานตนเองว่า "ป่ายาบ" ซึ่งมีระบบนิเวศน์ที่ดีใกล้แหล่งน้ำ มีอากาศเย็นช่วยป้องกันโรคมาลาเรีย และเหมาะแก่การปลูกฝิ่น จากนั้นได้อพยพมาจากเขต อ.ด่านซ้าย จ.เลย มาตั้งที่บ้านทับเบิก อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2468 จนถึงปัจจุบัน เพื่อความสะดวกในการติดต่อหน่วยราชการ เดิมชื่อหมู่บ้านคือ "ถ้ำเบิด" อันเป็นชื่อถ้ำที่คนรู้จักกันดี ส่วนชื่อ "ทับเบิก" เป็นคำที่ไม่มีความหมายหรือมีที่มา อาจเป็นการฟังเพี้ยนเสียงของข้าราชการ ในปี พ.ศ. 2505 คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดตั้งเป็น "นิมคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาดอยทับเบิก" ควบคุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และเลย เป็นศูนย์การปฏิบัติการใหญ่ประจำแต่ละจังหวัดและรับผิดชอบจังหวัดใกล้เคียง ต่อมากรมประชาสงเคราะห์จึงได้เปลี่ยนชื่อนิคมฯ นี้เป็น "ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเพชรบูรณ์" ต่อมามีการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ. 2508 จึงได้มีการคัดเลือกผู้นำชุมชนชาวเขามาฝึกอบรมและกลับไปพัฒนาชุมชนของตนเอง มีการสร้างสนามบินขนาดเล็กเพื่อขนส่งเวชภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง และวัสดุการเกษตร แต่ก็เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์ พรรคคอมมิวนิสต์ปลุกระดมชาวบ้านทับเบิกเข้าร่วมต่อต้านทางราชการ ทำให้ชาวบ้านบางส่วนต้องอพยพหนีไปอยู่ที่ห้วยปง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านบนสันเขาแผงม้า การสู้รบดำเนินเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2525 สงครามจึงยุติลง ด้วยการประกาศใช้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ มีผลให้ชาวบ้านที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ามอบตัวต่อทางราชการในนาม "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" และได้มาอยู่ในหมู่บ้านเดิมต่อไป (หน้า 32-34) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการตั้งถิ่นฐาน บ้านทับเบิกตั้งบนไหล่เขา 2 ลูก เชิงเขาลูกแรกเป็นเชิงเขาที่ค่อนข้างกลมแล้วทอดยาวไต่ระดับความสูงมากขึ้นไปทางทิศเหนือ การตั้งบ้านเรือนที่หนาแน่นใกล้ชิดกันในส่วนที่เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างกลม จากนั้นการตั้งบ้านเรือนจะเริ่มห่างกันตามสันเขาที่ทอดยาว อันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนและวัดซึ่งเป็นพื้นที่ที่สูงสุด ส่วนเชิงเขาอีกลูกที่ต่ำกว่าลูกแรกเป็นที่ตั้งบ้านทับเบิกหมู่ 16 การตั้งบ้านเรือนจะกระจายไปตามข้างถนนที่คดเคี้ยวเป็นแนวยาวไปตามสันเขา ทำให้การตั้งบ้านกระจายความหนาแน่นออกไป ในส่วนนี้เป็นที่ตั้งของหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา และสถานีอนามัย (หน้า 35) ลักษณะบ้านเรือน โครงสร้างบ้านเป็นเสาไม้เนื้อแข็ง และตีโครงหลังคาไม้ไผ่แล้วมุงด้วยหญ้าคาหรือสังกะสี ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่สับฟากหรือไม้เนื้ออ่อนผ่าซีกตีปิด แต่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตู 2 ด้าน เรียกว่า ประดูเล็กและประตูใหญ่ (ประตูผี) หากเป็นญาติพี่น้องที่นับถือผีเดียวกันมักปลูกบ้านใกล้ๆกัน ไม่ล้อมรั้วแบ่งเขตบ้าน ทิศทางบ้านหันไปตามไหล่เขา แต่จะไม่หันไปในองศาเดียวกันเพราะเชื่อว่าเป็นการแย่งกันทำมาหากิน พื้นที่นอกบ้านจะแบ่งไว้เก็บฟืนและเป็นห้องน้ำ มีการจัดสรรพื้นที่ภายในเป็นสัดส่วนเป็นห้องนอน ห้องเก็บของ ส่วนพื้นที่กลางบ้านสำหรับเตาไฟเพื่อประกอบอาหารและให้ความอบอุ่นรูปแบบบ้านม้งในปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างมาก โดยแสดงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของเจ้าของ โดยแบ่งลักษณะบ้านได้ 2 แบบ คือ 1.ลักษณะบ้านแบบเดิม เป็นบ้านชั้นเดียว เสาบ้านใช้ปูน หลังคามุงกระเบื้องลอน ฝาบ้านก่อด้วยอิฐบล็อกฉาบปูนซีเมนต์ มีหน้าต่าง พื้นบ้านปูด้วยกระเบื้องปูพื้น ภายในตัวบ้านนอกจากห้องนอนแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ ห้องครัวแยกเป็นสัดส่วน 2.ลักษณะบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ เป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นล่างสร้างด้วยอิฐบล็อกฉาบปูน พื้นลาดปูนผมหินคลุก ใช้เป็นที่จอดรถยนต์ เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ และผลผลิตทางการเกษตร ส่วนชั้นที่ 2 แยกเป็นห้องนอน เก็บตู้เสื้อผ้า และเป็นพื้นที่พักผ่อน จะต่อเติมบริเวณเล็กๆ หลังบ้านสำหรับเป็นห้องครัว (หน้า 48-50) |
|
Demography |
ข้อมูลจำนวนประชากรในปี พ.ศ. 2542 โดยหมู่ที่ 14 มีจำนวนครัวเรือน 191 ครัวเรือน มี102 ครอบครัว ประชากรรวม 891 คน โดยแบ่งเป็นชาย 443 คน และ หญิง 448 คน และหมู่ที่ 16 มีจำนวนครัวเรือน 83 ครัวเรือน มี 92 ครอบครัว ประชากรรวม 728 คน แบ่งเป็นชาย 371 คน และหญิง 257 คน (หน้า 43) |
|
Economy |
ตั้งแต่ม้งมอบตัวเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ในปี พ.ศ.2525 ได้เปลี่ยนจากการผลิตเพื่อบริโภคมาเป็นเพื่อการค้ามากขึ้น รัฐให้เข้ามาควบคุมการใช้ทรัพยากร เช่น การส่งเสริมให้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ท้อ ลิ้นจี่ ไผ่ตง แทนการปลูกฝิ่น และกำหนดพื้นที่ทำกินเพื่อไม่ให้บุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติ พืชเศรษฐกิจที่ส่งเสริมให้เพาะปลูกประสบปัญหาเรื่องตลาด ม้งจึงได้ปลูกกะหล่ำปลีทดแทนพืชเดิม ส่วนข้าวไร่ยังคงปลูกไว้สำหรับการบริโภคในครอบครัว ปัจจุบันกะหล่ำปลีเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของม้ง ตลาดที่รับซื้อได้แก่ พ่อค้าคนกลางที่เข้ามารับซื้อ ตลาดผักข้างสถานีเสียงอดิศรใน อ.หล่มสัก และการนำมาส่งขายที่ตลาดไทและปากคลองตลาดในกรุงเทพ นอกจากนี้ยังมีการปลูกขิง ที่ทำรายได้ดีอีกชนิดหนึ่ง เป็นการปลูกบางครอบครัวเพราะมักทำให้ดินเสียการปลูกในปีต่อไปจะทำให้รากเน่า แรงงานที่ใช้ในการเพาะปลูกยังคงเป็นแรงานสมาชิกในครอบครัว การเปลี่ยนแปลงการผลิตด้านเทคโนโลยี ม้งนำอุปกรณ์หรือเครื่องมือในการผลิต เช่น รถไถแทรคเตอร์ ส่วนสารเคมีหรือปุ๋ยเคมีม้งยังไม่นำมาใช้ ส่วนใหญ่ใช้มูลไก่ นอกจากการปลูกพืชแล้ว การเลี้ยงสัตว์ คือ วัว ควาย หมู และไก่ เลี้ยงไว้ตามธรรมชาติปล่อยให้หากินเอง ยกเว้นหมูที่ต้องทำคอก ส่วนวัวจะนำมารวมเป็นฝูงแล้วไปไว้ชายป่าให้หากินเอง ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะนำมารวมฝูงจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันดูแล ส่วนครอบครัวที่มีจำนวนวัวไม่มากจะนิยมเลี้ยงเองที่บ้าน (หน้า 43-44) |
|
Social Organization |
ระบบครอบครัวและเครือญาติ ม้งถือครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด เนื่องจากทำหน้าที่ในการขัดเกลาและถ่ายทอดวัฒนธรรมไปสู่สมาชิกใหม่ให้สามารถดำเนินชีวิตตามแบบแผนบรรทัดฐานของสังคมได้ และยังให้ความสำคัญกับฝ่ายชายเป็นหลัก เพราะเมื่อผู้หญิงแต่งงานต้องหันมานับถือผีฝ่ายสามีและอยู่ในบ้านเป็นแรงงานในครอบครัว ลูกหลานต้องสืบสกุลฝ่ายบิดา และญาติพี่น้องทางสายเลือดบิดาจะเป็นผู้สืบแซ่สกุลต่อๆ กันไป การสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวจะตกแก่ลูกชายคนโต และมีลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่ นิยมแต่งงานกันในเผ่าม้งด้วยกัน แต่มีห้ามแต่งงานในคนแซ่สกุลเดียวกัน หน้าที่และบทบาทของผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะมีความสำคัญในการตัดสินใจ ผู้หญิงก็มีสิทธิในการเสนอความคิดเห็นและร่วมปรึกษาหารือเรื่องภายในครอบครัว แต่การตัดสินใจยังขึ้นอยู่กับหัวหน้าครอบครัว ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ พิจารณาได้คำเรียกญาติจาก 3 คำ ได้แก่ 1. คนแซ่เดียวกัน แม้จะอยู่ห่างไกลกันหรือไม่ใช่ญาติโดยตรงแต่ถือเป็นพี่น้องกัน 2. ลูกพี่ลูกน้อง เป็นกลุ่มที่มีแซ่เดียวกันและเป็นพี่น้องกัน ความสัมพันธ์ระดับนี้สามารถที่จะปรึกษาหารือ กันและกันได้ แต่ก็อาจจะไม่สามารถทำพิธีกรรมบางอย่างร่วมกันได้ 3. การนับถือผีเดียวกัน เป็นความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดเพราะนับถือผีบรรพบุรุษเดียวกัน ความสัมพันธ์ระดับเครือญาติถือเป็นพื้นฐานโครงสร้างทางสังคมแยกเป็นตระกูลใหญ่ๆ เช่น แซ่เถา แซ่สง สิ่งที่เป็นตัวกำหนดสถานภาพและบทบาทของม้งไม่ให้เบี่ยงเบนไปจากปทัสถานและค่านิยมดั้งเดิม ก็คือ ระบบเครือญาติ (หน้า 40-41) สถานภาพภายหลังแต่งงานของสตรีม้ง - สถานภาพที่สังคมกำหนด โดยสถานภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิดคือ สถานภาพความเป็นหญิง เมื่อเข้าสู่พิธีแต่งงานสถานภาพที่ได้มาภายหลัง คือ 1.ในฐานะที่เป็นลูกสะใภ้ 2.ในฐานะการเป็นภรรยา 3.ในฐานะเป็นมารดาให้กำเนิดบุตร บทบาทในครอบครัวของสตรีที่สมรสเป็นหน้าที่หรือพฤติกรรมอันพึงคาดหมายที่สตรีจะกระทำ ในสังคมม้งกำหนดให้แสดงบทบาทในบทบาทต่างๆ โดยได้รับการปลูกฝัง ถ่ายทอดความคิดความเชื่อต่อๆ กัน ผ่านการขัดเกลาทางสังคม จนกลายเป็นวัฒนธรรมในการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ยังมีตัวกำหนดบทบาทของสตรีที่สมรสด้วยมาตรการลงโทษทางอ้อม เช่น การนินทา ดูหมิ่น บทบาทและหน้าที่ของสตรีที่พึงมีต่อสมาชิกในครอบครัว มีดังนี้ ก.สถานภาพการเป็นลูกสะใภ้ หลังผ่านพิธีแต่งงานแล้วจะต้องมาอยู่ร่วมกับครอบครัวสามี ออกจากแซ่สกุลเดิม และผีสกุลเดิม โดยนับถือผีแซ่ของสามีแทน ทั้งนี้บทบาทและแหน้าที่ในฐานะดังกล่าว ได้แก่ ให้ความเคารพยกย่อง เชื่อฟัง เลี้ยงดูปรนนิบัติ ส่งเสริมสวัสดิการทั้งทางกายและจิตใจ และดูแลยามเจ็บป่วย ข.สถานภาพการเป็นภรรยา จะต้องปฎิบัติ ดังนี้ 1. จัดการงานดี ทั้งงานบ้านงานเรือน และแบ่งเวลาทำงานให้เหมาะสมเพราะต้องทำทั้งงานบ้านและงานนอกบ้านด้วย 2. ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลญาติทั้ง 2 ฝ่ายด้วยดี อันเป็นหน้าที่ภรรยาในการผูกน้ำใจด้วยการยกย่องนับถือ 3. ไม่ประพฤติล่วงใจสามี โดยหลังจากแต่งงานแล้วจะเลือกคบแต่เพื่อนที่เป็นสตรีด้วยกันเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา 4. รักษาทรัพย์ที่หามาได้ 5. ขยันในภาระหน้าที่ต่างๆ งานบ้านและออกไร่นาแต่เช้ามืด ไปจนถึงช่วงเย็นกลับจากไร่นา ยังคงต้องดูแลลูกพร้อมกับเย็บปักเสื้อผ้า จะมีเวลาว่างเพียงช่วงเทศกาลปีใหม่เท่านั้น ค.สถานภาพการเป็นมารดา บทบาทและหน้าที่ที่ควรมีต่อบุตร ได้แก่ ห้ามปรามป้องกันจากความชั่ว ดูแลฝึกอบรมให้ตั้งอยู่ในความดี โดยเฉพาะบุตรสาวจะต้องมีความประพฤติที่เหมาะสม ให้การศึกษา เป็นธุระเรื่องจะมีคู่ครองที่สมควร และมอบทรัพย์ให้เมื่อถึงโอกาส คือ เมื่อแต่งงานและแยกครอบครัวจากบิดามารดาของตน (หน้า 93-96) |
|
Political Organization |
การปกครองดั้งเดิมของชาวม้งจะเป็นระบบอาวุโสภายในหมู่บ้าน คือ ผู้อาวุโสของแซ่สกุลที่มีสมาชิกมากที่สุด ดังนั้นหากเกิดกรณีพิพาทขึ้นในสกุลเดียวกัน ผู้อาวุโสจะเป็นผู้ตัดสินแต่หากเป็นกรณีระหว่างแซ่สกุลจะให้ผู้อาวุโสแซ่สกุลอื่นๆ มาพิจารณาและลงโทษ ภายหลังมีการจัดตั้งเป็นหมู่บ้านตาม พรบ.ลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ปัจจัยทั้งภายนอกและภายในของชุมชน ส่งผลต่อการเกิดทัศนคติและค่านิยมทางการเมืองใหม่ โดยเปลี่ยนจากระบบอาวุโสมาเป็นการเลือกตั้งจากสมาชิกของชุมชน และได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการ มีอำนาจหน้าที่เป็นของผู้แทนรัฐในการดูแลตามกฎเกณฑ์ของรัฐ แม้ว่าม้งบ้านทับเบิกจะรับรูปแบบการปกครองท้องถิ่นมา แต่ยังเป็นสังคมจารีตประเพณี สมาชิกในชุมชนยังคงยึดถือร่วมกัน ดังนั้นการให้การยอมรับนับถืออาวุโส เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น แต่หากไม่สามารถที่จะยุติได้จะเป็นไปตามคำตัดสินของผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมหมู่บ้าน นอกจากนี้คณะกรรมการหมู่บ้านได้ร่างกฎเกณฑ์มาเป็นลายลักษณ์อักษรและประกาศให้รับทราบถึงกฎเกณฑ์ของหมู่บ้าน เช่น ห้ามตัดไม้บริเวณหมู่บ้าน ห้ามเช่าไร่ ขายไร่ในบริเวณบ้านทับเบิก เป็นต้น (หน้า 41-42) |
|
Belief System |
การนับถือผี ม้งมีความเชื่อเรื่องผีทั้งที่เป็นผีดีและผีร้าย ตามระบบความเชื่อสามารถจำแนกตามสถานที่ 2 แบบ คือ 1.ภายในบริเวณบ้าน โครงสร้างภายในบ้านตามจารีตแล้วประกอบด้วยพื้นที่สำคัญ 5 แห่ง คือ หิ้งผีสืกลั้งหรือสืก๊ะ เสากลางบ้าน เตาไฟเล็ก และเตาไฟใหญ่ บริเวณเหล่านี้จะมีผีสถิตย์อยู่ สำหรับผีที่ประตูหน้าบ้าน เตาไฟเล็ก และเตาไฟใหญ่ มีความสำคัญในการดูแลให้บ้านมีสภาพอยู่ดีปกติสุข ผีประตูช่วยป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินไหลออกนอกบ้าน ผีเตาไฟเล็กและผีเตาไฟใหญ่ช่วยให้บ้านมีอาหารการกินสมบูรณ์ และชีวิตทุกคนในบ้านมีความสุขสบาย 2.บริเวณหมู่บ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านม้งแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ โดยส่วนมากมักเป็นก้อนหินใหญ่ หน้าผาสูง หรือต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในหมู่บ้าน หรือใกล้หมู่บ้าน ม้งเชื่อและนับถือเทพเหล่านี้ เพื่อให้ดูแลปกปักษ์รักษาหมู่บ้าน ทุกๆ ปีจะมีการเซ่นไหว้ที่บริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อเรื่องขวัญ ม้งเรียกขวัญว่า "ปลี่ว์" ซึ่งเชื่อว่าอยู่ในร่างกายของมนุษย์ตั้งแต่ 4-9 แห่ง เมื่อขวัญออกจากร่างกายจะทำให้เกิดการเจ็บป่วย การตายนั้นแสดงว่าขวัญออกไปจากร่างกายทั้งหมด ดังนั้นเมื่อขวัญตกใจ หนีออกไปต้องทำพิธีเรียกขวัญกลับมา ผู้ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับอำนาจเหนือธรรมชาติได้แก่ หมอผี (ตสี เน้ง) จะตรวจสอบว่าเกิดจาการกระทำของผีชนิดไหนหรือสาเหตุของการป่วยไข้ ทั้งนี้อาจกระทำได้โดยการใช้ไม้คู้เสี่ยงทาย (กัวะ) หรือกระกอบพิธีติดต่อกับผี (อัวเน้ง) การนับถือศาสนาพุทธ การเผยแพร่ศาสนาพุทธเข้ามาในหมู่บ้านในปี 2501 โดยการนำครูบาเสมอ การเข้ามาของครูบาเสมอนั้นมุ่งเพื่อประโยชน์ของตนเอง จะเห็นได้จากมุ่งลาภสักการะ ชอบท่องเที่ยวโดยต้องมีคนหามเกี้ยวให้ จัดขบวน ถือธงสีเหลืองนำหน้า จนในที่สุดชาวบ้านขับไล่ออกจากหมู่บ้านในปี 2506 จนในปี 2530 มีการเผยแพร่ศาสนาอีกครั้ง โดยอดีตข้าราชการที่เข้ามาบวชเป็นพระสงฆ์ ปฏิบัติตามกิจของสงฆ์อย่างเคร่งครัด ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับบ้านพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กันต่างคนต่างอยู่ ปัจจัยในการก่อสร้างศาสนวัตถุทางวัดจะเรี่ยไรจากภายนอกหมู่บ้าน แต่มีความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน เนื่องจากทางโรงเรียนจะนำนักเรียนไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่วัด การนับถือศาสนาคริสต์ การเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์โปแตสแตนท์ เริ่มปี พ.ศ.2527 โดยมีหมอสอนศาสนาเข้ามาจาก อ.เขาค้อ การให้ความสนใจเข้ามานับถือศาสนาคริสต์ของชาวม้งทับเบิกนั้นเกิดจากความสนใจอยากรู้เกี่ยวกับศาสนา ได้เข้ามาพูดคุยจนกลายเป็นคริสเตียน และในที่สุดเลิกนับถือผี (หน้า62-68) นอกจากนี้ยังมีประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต เช่น ประเพณีปีใหม่และการเล่นลูกข่วง ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด และประเพณีเกี่ยวกับการตาย (หน้า 50-62) |
|
Education and Socialization |
ระบบการศึกษาที่ม้งได้รับจากภาครัฐไม่มีความแน่นอน ไม่มีหลักสูตร ไม่กำหนดระยะเวลา การเรียนการสอนระยะสั้นๆ โดยเริ่มในปี พ.ศ. 2504 ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เข้าไปให้การศึกษาแบบเคลื่อนที่ตามพื้นที่ใกล้เคียง โดยมุ่งให้ชาวเขาสามารถพูด อ่าน เขียนภาษาไทยได้ และยังมีครูประชาบาลของ ต.วังบาลได้เข้ามาให้การศึกษาด้วย จนในปี พ.ศ.2511 เกิดการสู้รบรุนแรงทำให้หน่วยราชการถอนที่ตั้งออกจากพื้นที่ และม้งได้เข้าร่วมอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2511-2525 มีเพียงเด็กม้งเท่านั้นที่ได้รับการศึกษาจากนักศึกษาที่หนีเข้าป่า ให้เรียนรู้ภาษาไทยและอุดมการณ์ความคิดด้วย หลังสงครามยุติ และในปีพ.ศ. 2528 โรงเรียนบ้านทับเบิกร่วมใจสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของชาวบ้านและราชการ โดยทำการเรียนการสอนระดับประถมศึกษา ในปี พ.ศ. 2539 ได้ขยายการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนต้น จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2542 โรงเรียนมีจำนวนครูรวมทั้งสิ้น 32 คน มีนักเรียนรวม 600 คน (หน้า 68-69) |
|
Health and Medicine |
เมื่อแรกการตั้งถิ่นฐาน ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดที่ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อเจ็บป่วย ดังนั้น การรักษาตามความเชื่อและการนับถือผี โดยมีหมอผี หมอคาถาและหมอสมุนไพรจึงมีบทบาทในการประกอบพิธีกรรม จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2504 ตชด. มีหน้าที่ในการจัดการศึกษา สอนหนังสือ และยังให้บริการเรื่องการพยาบาลด้วย ถ้าหากมีผู้ป่วยอาการหนักจะขอเฮลิคอปเตอร์มารับไปรักษาในโรงพยาบาลต่อไป หลังการจัดตั้ง นิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาทับเบิก ในปี พ.ศ.2505 งานสาธารณสุขได้เข้ามาจนถึงปี พ.ศ.2511 ก่อนจะเกิดการแทรกซึมของพรรคคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งเหตุการณ์ยุติลงในปี พ.ศ. 2525 ม้งจำนวนหนึ่งได้รับการเรียนรู้และผ่านการปฏิบัติงานมาแล้วเมื่อครั้งเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ ได้มีบทบาทในด้านงานสาธารณสุข ต่อมาในปี พ.ศ.2535 ได้มีการจัดตั้งสถานีอนามัยทับเบิกขึ้น การวางแผนครอบครัว ม้งไม่นิยมการคุมกำเนิด เนื่องจากต้องการมีบุตรมากเพื่อช่วยกันประกอบอาชีพภายในครัวเรือน และมีบุตรชายไว้สืบสกุลและสามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชรา ส่วนบุตรสาวนั้นเป็นแรงงานก่อนจะแยกไปอยู่กับสามี ในการให้บริการวางแผนครอบครัว มีการให้บริการคุมกำเนิดทั้งแบบถาวร แบบกึ่งถาวร (การใช้ยาฝัง) และแบบชั่วคราว (การใช้ยาเม็ด ยาฉีด ใส่ห่วง และถุงยาง) โดยกลุ่มอายุที่เข้ารับบริการมีตั้งแต่ต่ำว่า 20 จำนวน 98 คน และอายุ 21-35 ปี จำนวน 157 คน โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่มาใช้บริการมากกว่าผู้ชาย นิยมแบบชั่วคราวมากกว่า โดยทั่วไปแล้วชุมชนม้งนี้เข้าใจในเรื่องการวางแผนครอบครัวจากสื่อต่างๆ เป็นอย่างดี แต่ยังยึดมั่นในความเชื่อและมีทัศนคติเดิมอยู่ นอกจากนี้จากการเปิดโอกาสให้มีความสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวจึงนิยมในกลุ่มหนุ่มสาว (หน้า 69-71) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขากว้างสีน้ำเงินหรือดำ ใส่เสื้อประจำเผ่าแขนยาวมีผ้าปักลวดลายที่เป็นงานฝีมือของผู้หญิงในครอบครัว ซึ่งจะเห็นได้ในกลุ่มคนวัยกลางคนขึ้นไป ส่วนวัยรุ่นผู้ชายนิยมสวมกางเกงและเสื้อแบบคนพื้นราบ และเด็กชายนิยมสวมกางเกงวอร์ม เสื้อยืดแขนสั้น ส่วนชุดของผู้หญิงในช่วงผู้สูงอายุจะนุ่งกางเกงสีดำหรือน้ำเงินเช่นกัน มีผ้าปิดด้านหน้าและหลังมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ขอบผ้าปิดจะเย็บขอบด้วยสีฟ้าหรือขาว ตรงกลางผืนอาจมีลวดลาย ชายผ้าด้ายที่ผูกมัดกับเอวมักจะต่อด้วยผ้าสีแดง เสื้อของผู้หญิงจะมีลวดลายที่สาบเสื้อ คอเสื้อด้านหลังจะมีผ้าปักลวดลายหัตถกรรมเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสผืนเล็ก ผู้หญิงวัยกลางคนนิยมนุ่งผ้าถุงหรือกางเกงวอร์มสวมเสื้อประจำเผ่า สำหรับวัยรุ่นหญิงนิยมสวมเสื้อกางเกงตามแบบคนพื้นราบ การแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่าที่มีความสวยงาม การประดับด้วยเครื่องเงินหรือเหรียญเงิน จะนำมาแต่งในช่วงวันปีใหม่ม้ง หรือเพื่อต้อนรับบุคคลสำคัญ ปัจจุบันเครื่องเงินหรือเหรียญเงินจะเป็นโลหะเทียม จึงไม่สามารถแสดงถึงความมีฐานะของเหมือนสมัยก่อน (หน้า 48) เพลงที่ใช้ในงานศพ เริ่มต้นด้วยการสวดแล้วตามด้วยเพลงแคนสลับการตีกลอง ในวันแรกจะมีการสวด เตอ กี๋ (taw kev) เป็นการสวดเบิกทางหรือชี้ทางให้ผู้ตายไปยังโลกของผู้ตาย เมื่อสวดเสร็จจะเริ่มต้นเพลงแคนสลับการตีกลองเป็นช่วงๆ เพลงที่เล่นในงานศพที่สำคัญ ได้แก่ เพลงเกล้ง เตอ กี๋ (qeej taw kev) เป็นการเป่าเพลงแคนแล่นรับการสวดเตอ กี๋ เป็นสัญลักษณ์บอกวิญญาณให้ผู้ตายรู้ว่าตนเองตายแล้ว เรื่องราวของเพลงแคนจะบอกทางเดินให้ผู้ตายเดินทางไปโลกของผู้ตาย และเรื่องโลกภูมิที่สาม และเพลงเกล้ง ตู เซี๋ยะ (qeej tu sav) เพลงมีเรื่องราวในทำนองสอนถึงหลักความจริงของชีวิต คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และแทรกการบรรยายความดีของผู้ตาย ความอาลัยในการจากไป (หน้า 60) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงของสถานภาพภายหลังการแต่งงานของสตรีม้ง - ผ่านพิธีการแต่งงานตามประเพณี จะนิยมแต่งอายุประมาณ 14-17 ปี เมื่อผ่านพิธีกรรมสังคมจะยอมรับในฐานะของสตรี อันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงสิทธิหน้าที่รวมทั้งบทบาทที่สังคมได้กำหนด และกำหนดภาพลักษณ์ที่แตกต่างไปจากบุคคลอื่น ดังนี้ 1.ได้รับสิทธิการเป็นลูกสะใภ้ เมื่อสตรีสตรีเข้าพิธีแต่งงานแล้วจะต้องมาอยู่ร่วมกับครอบครัวสามี ต้องออกจากแซ่สกุล ขาดผีจากสกุลเดิมไปเข้าอยู่กับผีแซ่ของสามี ซึ่งมีหน้าที่ต้องดูแลปรนนิบัติบิดามารดาและผู้อาวุโส นอกจากนี้มีหน้าที่เป็นแรงงานที่สำคัญของครอบครัวด้วย ลูกสะใภ้ต้องเคารพเชื่อฟังและนอบน้อมต่อบิดามารดาของสามี 2.ได้รับสิทธิการเป็นภรรยาซึ่งมีหน้าที่ต้องปรนนิบัติสามี รับผิดชอบทั้งงานในบ้านและนอกบ้าน ต้องเป็นผู้เสียสละเวลาให้กับครอบครัว มีความขยัน อดทน 3.ได้รับสิทธิของการเป็นมารดาเมื่อให้กำเนิดบุตร ซึ่งมีหน้าที่ที่ต้องเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตร มารดาต้องเป็นผู้ให้ความรักและเสียสละทุ่มเทชีวิตเพื่อบุตร ส่วนการเข้าสู่ฐานะภรรยาของหัวหน้าครอบครัวนั้น ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสามี หากเมื่อแยกครอบครัวใหม่ จะเกิดขึ้นเมื่อสามารถสะสมทรัพย์ไว้มากพอที่จะสร้างครอบครัวใหม่ได้ ในสังคมม้งเมื่อสตรีเข้าสู่สถานภาพเป็นภรรยาแล้วมีการเปลี่ยนแปลงได้ยาก เนื่องจากมีสถานภาพหลักของตนเองอยู่ คือ เป็นภรรยาที่ยึดตามสถานภาพของสามี และการเป็นแม่เมื่อมีบุตร ทั้งนี้ยังเกี่ยวข้องกับแบบแผนของการประพฤติที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของแต่ละบุคคลเป็นไปตามวัฒนธรรมม้ง ปัจจัยหรือเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงสถานภาพภายหลังการแต่งงาน 1.ปัจจัยวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ผนวกกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ให้ความสำคัญเรื่องเงินตรา งานของผู้ชายจึงมีค่าและสำคัญมากขึ้น ในขณะที่งานของผู้หญิงถูกลดทอนคุณค่า ทำให้สตรมีบทบาทรองจากสามี 2.ปัจจัยด้านการประกอบอาชีพ เนื่องจากผู้ชายรับผิดชอบในเรื่องเศรษฐกิจของครอบครัว ในขณะที่สตรีรับผิดชอบงานบ้านและเลี้ยงดูบุตร ทำให้ต้องพึ่งพาสามีในทางเศรษฐกิจ เป็นการยกสถานภาพสามีให้สูงขึ้น 3.ปัจจัยทางด้านรูปแบบของระบบครอบครัวและเครือญาติ การที่สตรีมาอยู่ร่วมกับญาติของสามีในลักษณะครอบครัวขยาย สตรีที่อยู่ในฐานะภรรยาและลูกสะใภ้นอกจากจะต้องปรนนิบัติสามีแล้ว ยังต้องรับใช้ญาติของสามีอีกด้วย ซึ่งถือเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่เมื่อแยกครอบครัวอยู่ต่างหากในลักษณะครอบครัวเดี่ยวจะไม่ต้องรับใช้ญาติของสามี นอกจากนี้ในลักษณะครอบครัวขยายสตรีในฐานะลูกสะใภ้แทบจะไม่มีสิทธิและอำนาจในครอบครัวเลย การตัดสินใจทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับบิดามารดาของสามี และไม่ใช่ผู้ควบคุมดูแลการใช้จ่ายในครอบครัวแต่เมื่อแยกเป็นครอบครัวเดี่ยวสถานภาพกลายเป็นภรรยาหัวหน้าครอบครัวจะทำให้มีสถานภาพและบทบาทที่สูงกว่าเดิม (หน้า 99-101) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงพื้นที่ศึกษา (หน้า 39) ตารางแสดงข้อมูลครัวเรือน ครอบครัว และประชากร (หน้า 43) ตารางแสดงประโยคภาษาม้ง (หน้า 45-46) |
|
|