|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เย้า,เครื่องเงิน,เครื่องประดับ,เชียงใหม่,ภาคเหนือ |
Author |
สุปราณี เปียวิเศษ |
Title |
เครื่องเงินเย้าหมู่บ้านปางควาย อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
88 |
Year |
2540 |
Source |
หลักสูตรศิลปบัณฑิต (ศิลปะไทย) ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
เครื่องเงินเย้าสะท้อนถึงวิถีชีวิตของชนเผ่าเย้า แต่ละประเภทออกแบบให้มีความเหมาะสมกับการสวมใส่ในโอกาสต่างๆ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อ และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ลวดลายดังกล่าวล้วนได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติรอบๆ ตัว ทั้งนี้ในการออกแบบลวดลายยังขึ้นอยู่กับรูปแบบและรูปทรงของเครื่องเงินแต่ละประเภท รวมถึงค่านิยมและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ลวดลายของผู้ผลิต จนกระทั่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น โดยในการประดิษฐ์ลวดลายช่างจะใช้เทคนิคการตอกลวดลายเป็นหลัก และจะใช้เทคนิคการดุนเพื่อสร้างลวดลายให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังพบการใช้เทคนิคจากเครื่องมือสร้างลวดลายเลขาคณิตเป็นตัวเชื่อมลายอื่นๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ยังคล้ายคลึงกับลวดลายที่พบบนผ้าปักเย้าอีกด้วย (หน้า 75-85) |
|
Focus |
ศึกษาประวัติความเป็นมา กระบวนการผลิต พัฒนาการด้านรูปแบบและลวดลาย ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างหัตถกรรมเครื่องเงินเย้ากับพิธีกรรมและวัฒนธรรม ที่หมู่บ้านปางควาย อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
เย้าหมู่บ้านปางควาย อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาเย้าใช้ตัวหนังสือจีนเป็นภาษาเขียน และอ่านเป็นภาษาเย้า มีวรรณยุกต์เสียงสูงเสียงต่ำ บางคำคล้ายภาษาแม้ว ยกตัวอย่างคำศัพท์ เช่น บุ๊ง-กระดูก, คัมปุ้ย-แก้ม, ซุจ๋าว-ขา เท้า, มุ่งม่าย-คิ้ว, มุจิ้ง บีเอ-ขนตา อย่างไรก็ดีพบว่าเย้าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยบางส่วนสามารถอ่าน เขียนภาษาจีนกลางได้เป็นอย่างดี (หน้า 13-14) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2539 ถึงเดือนตุลาคม 2540 โดยเป็นการเก็บข้อมูลภาคสนามระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2540 |
|
History of the Group and Community |
สันนิษฐานว่าบรรพชนของเย้ามีถิ่นฐานอยู่ที่มณฑลฮูหนาน เกี่ยวข้องกับชาวฉางซาหมานและอูหลิงหมาน หนังสือเหลียงซูในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ได้บันทึกถึงชาวป่าม่อเย้า หรือคนที่บังคับไม่ได้ ส่วนคำว่าเย้าไม่เคยปรากฏในเอกสารจีนมาก่อนสมัยราชวงศ์ถัง อย่างไรก็ดีชนเผ่าเย้าในประเทศไทยนั้นอพยพลงมาทางใต้เข้าสู่ตอนเหนือของเวียดนาม ลาว และทางตะวันออกของพม่าบริเวณรัฐเชียงตุง จากนั้นจึงเข้าสู่ประเทศไทยและตั้งถิ่นฐานอยู่บนดอยหลวง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นจึงมีการอพยพไปตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่าน และลำปาง (หน้า 11-12) ส่วนเย้ากลุ่มแรกที่หมู่บ้านปางควายอพยพมาจากลาว โดยมีนายโอ่งหว่าง แซ่ฟ่านเป็นผู้นำกลุ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณดอยอ่างขาง และต่อมานายเย่าเฟย แซ่เติ๋นได้นำเย้าอีกกลุ่มหนึ่งจากพม่าเข้ามาสมทบ (หน้า 20) |
|
Demography |
หมู่บ้านปางควาย มีนายแดนชัย ปัญญา เป็นผู้ใหญ่บ้าน (พ.ศ.2540) หมู่บ้านนี้เกิดจากการรวม 2 หมู่บ้านเข้าด้วยกัน คือ หมู่บ้านปางควาย มีประชากรชาย 618 คน หญิง 603 คน และหมู่บ้านห้วยขาน มีประชากรชาย 73 คน หญิง 67 คน (หน้า 20) |
|
Economy |
อาชีพหลักของครอบครัวเย้าคือ เกษตรกรรม นอกจากนี้ยังมีความสามารถด้านการทำเครื่องเงินและเย็บปักถักร้อยเสื่อผ้า เพื่อนำไปขายทั้งภายในและภายนอกหมู่บ้าน (หน้า 19-20) |
|
Social Organization |
สังคมของเย้าเป็นสังคมแบบดั้งเดิมที่ส่วนใหญ่จะแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ การควบคุมทางสังคมเป็นแบบพ่อกับลูก โดยผู้ชายมีอำนาจควบคุมลูกเมียของตน (หน้า 19) |
|
Political Organization |
สังคมของเย้าอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านและมีผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่ดูแลปกครอง |
|
Belief System |
ชนเผ่าเย้ามีความเชื่อว่าโลกมนุษย์อยู่ภายใต้การปกครองของโลกเทวดา และวิญญาณสิงสถิตอยู่ในธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีวิญญาณของผีบรรพบุรุษทำหน้าที่คุ้มครองลูกหลาน ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีพิธีกรรมเชื่อมความสัมพันธ์กับผีเทวดา ผีบรรพบุรุษ และผีทั่วไป เพื่อให้ผีเหล่านั้นปกป้องคุ้มครองและบันดาลให้เกิดแต่งสิ่งดี ๆ (หน้า 18) นอกจากนี้ความเชื่อของชนเผ่าเย้ายังสะท้อนออกมาให้เห็นในงานหัตถกรรมเครื่องเงินดังลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายน้ำเต้า ลายต้นมะพร้าว ลายปลา เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ลายพญานาค เป็นลายดั้งเดิมที่อาจสืบเนื่องมาจากลวดลายมังกร ลายกระดิ่ง เกี่ยวข้องกับเครื่องรางของเย้า โดยจะติดกระดิ่งไว้ที่หมวดของเด็กเพื่อป้องกันผี เป็นต้น (หน้า 82-83) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
หัตถกรรมเครื่องเงินเย้าสามารถจำแนกรูปแบบและเทคนิคการผลิตที่สอดคล้องกับหน้าที่การใช้งานได้เป็น 2 ประเภท คือ เครื่องเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ สร้อยข้อมือ แหวน ต่างหู กำไร และเครื่องเงินที่ใช้ในพิธีกรรม ได้แก่ สร้อยประดับศีรษะ สร้อยประดับด้านหน้า สร้อยประดับด้านหลัง สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กระดุม กำไร ต่างหู แหวน และพู่ไหมสีแดง เอกลักษณ์ของเครื่องเงินเย้า คือ การใช้เทคนิคการตอกลายกับเครื่องเงินทุกประเภท เนื่องจากเป็นเทคนิคที่ไม่ทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้สวมใส่ และใช้เทคนิคการดุนเพื่อเสริมลวดลาย ลวดลายที่นิยมมีทั้งที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ และสิ่งที่พบในชีวิตประจำวัน เช่น ลายแมงมุมหรือจิงโจ้น้ำ นก ผีเสื้อ พญานาค ปลา ลายน้ำเต้า ต้นมะพร้าว ดอกทานตะวัน เกสรดอกไม้ ลายกระบอก ไม้แคะหู ไม้จิ้มฟัน มีด ดาบ และลายกระดิ่ง เป็นต้น โดยลายกระดิ่งนั้นถือเป็นลายสำคัญของเทคนิคการดุน เนื่องจากใช้เชื่อมติดกับเครื่องเงินประเภทต่างๆ ที่มีกระดิ่งเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ ยังพบเทคนิคการใช้เครื่องมือสร้างลวดลายเลขาคณิตเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมลายอื่น ๆ เข้าด้วยกัน (หน้า 32-40, 61-73) |
|
Folklore |
มีตำนานเกี่ยวกับกำเนิดชนเผ่าเย้าสองเรื่อง เรื่องแรกกล่าวถึงกำเนิดเของเย้าจากเมล็ดฟักทอง กล่าวว่านานมาแล้วมีเทวดาเปี้ยนโกฮูงเป็นผู้สร้างโลก สวรรค์ และมนุษย์ชายหญิง อยู่มาวันหนึ่งได้เกิดน้ำท่วมโลก ทำให้ผู้คนล้มตาย เหลือเพียงหญิงชายคู่หนึ่งซึ่งเป็นพี่น้องกัน เมื่อโลกกลับเข้าสู่สภาวะปกติทั้งสองจึงได้เสาะแสวงหาเพื่อนมนุษย์ จนมาพบกับเทวดาที่แปลงกายเป็นชายชราและบอกให้พี่น้องคู่นี้แต่งงานกันเพื่อสร้างมนุษย์ต่อไป เมื่อทั้งสองร่วมเป็นสามีภรรยากันแล้ว น้องสาวผู้เป็นภรรยาได้ตั้งครรภ์ให้กำเนิดลูกฟักและมีเทพธิดาองค์หนึ่งเสด็จลงมาผ่าลูกฟัก จากนั้นได้สั่งให้พี่ชายผู้เป็นสามีโยนเมล็ดฟักลงบนที่ราบและโยนเนื้อฟักขึ้นไปบนดอย แต่ได้เกิดอุบัติเหตุทำให้พี่ชายเกิดความสับสนจึงโยนเนื้อฟักลงบนที่ราบ กลายเป็นคนพื้นราบ และโยนเมล็ดฟักขึ้นไปบนดอย กลายเป็นคนเย้าและชาวเขาเผ่าต่างๆ 6 คู่ ซึ่งต่อมาได้เป็นบรรพบุรุษของชาวดอย จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดฝนแล้ง ผู้คนทยอยล้มตาย เย้ากลุ่มหนึ่งจึงได้แล่นเรือข้ามทะเล หมายจะไปหาแผ่นดินใหม่ ในจำนวนนั้นมีเรือลำหนึ่งลอยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์และมีชีวิตอมตะ ส่วนลำเรือได้ถูกกระแสน้ำพัดตกลงสู่สะดือทะเล ทำให้พวกเย้าที่ออกเดินทางมาด้วยกันและเห็นเหตุการณ์ตกใจกลัว จึงบนบาลให้ผีสาวดาวช่วยจนกระทั่งมาถึงฝั่งที่อำเภอเลาะเชียง จังหวัดเล่าเจี้ยว มณฑลกวางตุ้ง จึงแยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ตามดอยต่างๆ และเป็นบรรพบุรุษของเย้า 12 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลแซ่เติน แซ่ฟ่าน แซ่จ๋าว แซ่ฟ่ง แซ่ลี้ แซ่หยั้ง แซ่เจียว แซ่จั้น แซ่ว่าง แซ่ลิ่ว แซ่ฉิ้น และแซ่ต้อง (หน้า 14-16) อีกเรื่องหนึ่งกล่าวว่ามีสามีภรรยาเผ่าเย้าคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันมานานแล้วแต่ยังไม่มีบุตรสืบสกุล สามีจึงโทษภรรยา เธอเสียใจอย่างมากจึงเดินออกจากบ้านจนได้มาพบกับชายชราและเล่าความทุกข์ให้ชายผู้นั้นฟัง ชายชราได้ให้ผลไม้ 12 กลีบเพื่อให้หญิงผู้นั้นนำไปให้สามีรับประทาน ในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรออกมา 12 คน ซึ่งเป็นผู้มีพละกำลังและอยู่ยงคงกะพัน ทำให้กษัตริย์จีนเกิดความเกรงกลัวถึงกับยอมยกลูกสาวและบ้านเมืองให้ปกครอง นอกจากนี้ หัวเมืองต่างๆ ยังพากันนอบน้อม จนกระทั่งพี่น้อง 12 คน เกิดทะนงในอำนาจของตนและขึ้นไปสู้รบกับเทวดาบนสวรรค์ แต่พ่ายแพ้จนต้องตาย แม้แต่วิญญาณก็ยังไม่มีที่จุติ เทวดาเกิดความสงสารจึงอบรมสั่งสอนและให้ทำหน้าที่เป็นผู้คอยบันทึกตรวจสอบความประพฤติของมนุษย์ที่ตายไปแล้ว เพื่อส่งไปรับผลบุญและกรรมที่กระทำไว้ (หน้า 16-18) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชนเผ่าเย้าเรียกตนเองว่าเมี่ยนหรืออิวเมี่ยน อยู่ทางตะวันออกของมณฑลไกวเจา ยูนาน ฮุนหนำ และกวางลีในประเทศจีน ในจดหมายเหตุจีนโบราณสันนิษฐานว่า เย้าอาจเป็นกลุ่มเดียวกับเย้า-เร็น (Yao-Ren) ในลุ่มน้ำจีนตอนใต้ และได้รับการขนานนามต่าง ๆ เช่น สมัยราชวงศ์ชู เรียก เชียงแมน สมัยราชวงศ์ถังและซุง เรียก ตุงแมน ธีแมน และแมน สมัยราชวงศ์หยวน เรียก แม้วมน บ้างก็เรียก Man หรือ Nan Man หมายถึงคนป่าเถื่อนทางใต้ ซันจือ หมายถึงบุตรของภูเขา และพ่าน หู ซุง หมายถึงเชื้อสายของพ่านหู สามารถจำแนกตามความแตกต่างทางวัฒนธรรมเย้าเป็นกลุ่มย่อย ๆ เช่น แพนเย้า (Pan Yao) คือกลุ่มที่มีอาชีพแกะสลักไม้ ฮุงเย้า (Hung Yao) คือกลุ่มที่พันศีรษะด้วยผ้าแดง นานเติงเย้า (Nan Ting Yao) คือกลุ่มที่สวมเสื้อสีน้ำเงินล้วน เป็นต้น ในประเทศไทยพบฮุงเย้าเพียงกลุ่มเดียว ชนเผ่าเย้ามีความเชื่อบางอย่างที่เป็น Totem ร่วมกัน คือ เชื่อว่าพวกตนสืบบรรพบุรุษมาจากพันฮู และไม่ยอมกินเนื้อสุนัขหรือเนื้อบางชนิด (หน้า 11-13, 19) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีตกระบวนการผลิตเครื่องเงินเย้าจะมีการประดับตกแต่งลวดลายและรูปทรงตามความเหมาะสมและประโยชน์ใช้สอยในแต่ละโอกาส แต่ปัจจุบันเครื่องเงินเย้าเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวและนักสะสมโดยทั่วไป กระบวนการผลิตจึงเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนดังกล่าว และจากการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าและรับวัฒนธรรมจากภายนอกทำให้เครื่องเงินมีการพัฒนารูปแบบจากเดิม โดยจะพบลายที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อน้อยลง รวมถึงมีการนำลายกระดิ่งมาพัฒนารูปแบบให้มีความสวยงามและเหมาะสมกับเครื่องเงินแต่ละประเภท รูปแบบของกำไรถูกพัฒนาให้มีตุ้งติ้งประดับ ห่วงคอจากเดิมที่เป็นชั้นเดียวก็พัฒนาให้เป็นห้าชั้น ส่วนเครื่องเงินที่มีอายุเก่าแก่นั้นค่อนข้างจะหาได้ยาก เนื่องจากถูกรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์และตามร้านค้าโบราณวัตถุ (หน้า 82-84) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนผัง ตาราง และภาพลายเส้นประกอบการวิเคราะห์เชิงปริมาณและคุณภาพในรายงานการวิจัย ได้แก่ แผนผังการสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์ของชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 27) ตารางแสดงอายุ ประเภท และจำนวนเครื่องเงิน (หน้า 42-46) ตารางแสดงจำนวนลวดลายของเครื่องประดับแต่ละประเภท (หน้า 48-55, 57, 59-60) ภาพลายเส้นของเครื่องประดับ (หน้า 61-71) ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคลวดลายกับประเภทของเครื่องเงิน (หน้า 77) ตารางแสดงจำนวนเครื่องเงินแต่ละประเภทที่ใช้เทคนิคการตอกและเทคนิคการดุน (หน้า 78) ตารางข้อมูลเชิงปริมาณในการจำแนกลวดลายเครื่องประดับแต่ละประเภท (หน้า 80) ตารางแสดงจำนวนลวดลายที่พบมากที่สุดและน้อยที่สุดของเทคนิคการตอกและการดุนบนเครื่องเงินประเภทต่าง ๆ (หน้า 81-82) |
|
|