สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ทรัพยากรธรรมชาติ,เชียงราย
Author อุมัยวัชญ์ อารัธเพรีย
Title การเรียนรู้ของชาวมูเซอในการจัดการเกี่ยวกับความเสี่ยงของการพังทลายหน้าดิน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 86 Year 2543
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

หลังจากที่มูเซอประสบปัญหาการพังทลายของหน้าดิน และปัญหาเรื่องผลผลิตการเพาะปลูกไม่ค่อยได้ผลและไม่เพียงพอต่อการบริโภค จึงมีการหาวิธีเพื่อแก้ปัญหาแต่ก็ยังปลูกพืชชนิดเดิม ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งก็หาวิธีป้องกันและแก้ไขโดยการเปลี่ยนจากพืชไร่เป็นพืชสวนและหลังจากที่มูเซอตะหนักรู้ถึงปัญหาจึงมีการร่วมมือกันภายในชุมชน เพื่ออนุรักษ์ป่าไม้โดยการปลูกป่าเพิ่มเติมในพื้นที่ที่ถูกทำลาย การเรียนรู้ในการจัดการปัญหาการชะล้างพังทลายหน้าดินของมูเซอ ดังเช่น การเรียนรู้โดยการขุดร่องน้ำเป็นขั้นบันได การเปลี่ยนจากทำไร่ข้าวมาทำนาแบบขั้นบันได หรือการนำไม้ยืนต้นประเภทไม้ผลมาปลูกแทนพืชไร่ที่เป็นพืชล้มลุก ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่ามีการจัดการที่ดีและสามารถป้องกันการพังทลายของดินอย่างได้ผล

Focus

ศึกษาวิธีการเรียนรู้ระบบแนวคิดในการจัดการกับปัญหาการพังทลายหน้าดินในพื้นที่ทำกินของมูเซอ บ้านมูเซอป่ากล้วย ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มูเซอ เรียกตนเองว่า "ลาหู่" ชาวจีนเรียกว่า "โลไฮ" คนไทยเรียก "มูเซอ" ซึ่งเข้าใจว่าเป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า "พรานป่า" (หน้า 25)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2543

History of the Group and Community

มูเซอมีต้นกำเนิดดั้งเดิมอยู่บนที่ราบสูงธิเบต มีความสัมพันธ์กับชนเผ่าโลโลในตอนใต้ของจีนร่วมกับลีซอและอีก้อ ตอนหลังถูกจีนรุกรานถอยร่นลงมาทางตอนใต้ของจีน โดยกระจัดกระจายอยู่ตามพรมแดนของประเทศจีนแคว้นยูนนาน ประเทศพม่าจนถึงรัฐเชียงตุง ในภาคเหนือของไทยและจังหวัดน้ำทาของประเทศลาว ราว พ.ศ. 2383 ตั้งหมู่บ้านในแคว้นเชียงตุง ราวพ.ศ. 2423 ถูกพม่ารุกรานจึงอพยพเข้ามาในประเทศไทย อาศัยตามแนวชายแดนของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย (หน้า 25) ในอดีตมูเซอบ้านป่ากล้วยอาศัยอยู่ในเขตประเทศพม่า เมื่อทหารพม่ารบกับชนกลุ่มน้อยก็จะเกณฑ์มูเซอไปเป็นลูกหาบและหลายคนตายในสนามรบ จึงทำให้มูเซออพยพเข้ามาในประเทศไทย ตอนแรกอาศัยที่บ้านแม่หม้อ ตำบลเทิดไทอำเภอแม่จัน เพราะมีมูเซอกลุ่มแรกอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากขาดแคลนที่ทำกิน มูเซอบางส่วนจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านป่ากล้วยซึ่งเดิมเป็นบ้านของเย้า หลังจากนั้นเย้าจึงย้ายไปอยู่กับเย้าด้วยกันที่หมู่บ้านอื่น พวกมูเซอจึงย้ายเข้ามาอาศัยแทน(หน้า 53)

Settlement Pattern

การเลือกที่ตั้งหมู่บ้านของมูเซอจะอยู่ใกล้เขาหรือในหุบเขาบนที่สูงประมาณ 10,100 เมตร หรือ ประมาณ 3,000-4,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล การสร้างบ้านเรือนจะยกพื้นมีใต้ถุนบ้านไว้เลี้ยงสัตว์หรือตำข้าว (หน้า 27) บ้านเรือนจะตั้งบนเนินเขา มีถนนลาดยางผ่านหมู่บ้าน 1 สายและถนนเข้าสู่หมู่บ้านปูอิฐรูปตัวไอ กลางหมู่บ้านมีลานเอนกประสงค์และโบสถ์คริสต์ ถัดไปจะเป็นบ้านเรือนที่สร้างกระจายไปตามทางลาดของเนินเขา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้านติดกับโรงเรียนแม่ฟ้าหลวง ส่วนพื้นที่ทำกินจะอยู่ในเขตโครงการพัฒนาดอยตุง(หน้า 47)

Demography

บ้านมูเซอบ้านมูเซอป่ากล้วย มี 30 ครัวเรือน 39 ครอบครัวมีประชากร 147 คน เป็นชาย 70 คนและหญิง 77 คน (หน้า 54)

Economy

มูเซอพึ่งพาการประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยการทำไร่เลื่อนลอย พืชที่ปลูกจะเป็นข้าวและข้าวโพดเป็นหลัก สัตว์เลี้ยงสำคัญของมูเซอได้แก่ ไก่และหมู บางบ้านอาจมีม้าและล่อ สำหรับบรรทุกของ นอกจากนี้ยังมีอาชีพล่าสัตว์เพื่อนำเนื้อมาบริโภคหรือจำหน่ายเมื่อมีหน่วยงานของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ทำให้ชาวบ้านมีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากขึ้น เช่น รับจ้างดูแลสวนดอกไม้ที่พระตำหนักดอยตุง เป็นต้น รายได้ส่วนใหญ่ของชาวบ้านมาจากการรับจ้างเป็นหลัก มีรายได้วันละ 100-200 บาทต่อคน การขายผลผลิตทางการเกษตรถ้าเป็นพืชไร่จะขายต่อเมื่อเหลือจากการบริโภค ส่วนพืชสวนจะเน้นปลูกเพื่อจำหน่าย (หน้า 27, 55-56) รูปแบบการใช้พื้นที่ของชาวเขา มี 2 ลักษณะคือ 1. แบ่งรูปการเกษตรตามลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดิน ได้แก่ การเกษตรแบบย้ายที่หรือการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย การเกษตรแบบไร่หมุนเวียน 2 .แบ่งตามระยะเวลาที่ใช้ในการเพาะปลูก ได้แก่ รูปแบบที่ใช้พื้นที่เพาะปลูกในระยะเวลาสั้นและพักดินระยะยาว รูปแบบที่มีการใช้พื้นที่เพาะปลูกซ้ำเป็นเวลานานและใช้เวลาในการพักดินนาน(หน้า 28-29) ขั้นตอนของการใช้พื้นที่ทำไร่ของมูเซอ แบ่งได้เป็น 6 ขั้นตอนได้แก่ การเลือกพื้นที่ โดยหัวหน้าครอบครัวโดยจะมีการจับจองพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน การเผาไร่ การเตรียมพื้นที่ การปลูก มูเซอจะปลูกข้าวไร่เป็นพืชหลักในช่วงต้นฤดูฝนหรือปลายฤดูร้อน หลังจากปลูกข้าว 3 ปีแล้ว จะปลูกข้าวโพดแทน การดูแลรักษาและการเก็บเกี่ยว (หน้า 32-35) พื้นที่ทำกินของชาวบ้านอยู่ในเขตโครงการพัฒนาดอยตุง จำนวน 181 ไร่แบ่งเป็นพืชไร่/นา 76 ไร่ 2 งาน และพืชยืนต้น(ไม้ผล) 104 ไร่ 2 งาน ไม้ผลที่นิยมปลูกได้แก่ ลิ้นจี่และบ๊วยและปัจจุบันมีบริษัทเอกชนเข้ามาส่งเสริมการปลูก แมคคาเดเมีย อีกด้วย (หน้า 48,66,68)

Social Organization

ครอบครัวมูเซอประกอบด้วย หัวหน้าครอบครัว ภรรยาและลูก ส่วนมากหลายครอบครัวจะอยู่รวมในครัวเรือนเดียวกันภายใต้การปกครองของหัวหน้าครอบครัว มีเพียงส่วนน้อยที่อาศัยอยู่ครอบครัวเดียว มูเซอไม่มีการสืบตระกูล ไม่มีแซ่และการนับญาติไม่สลับซับซ้อนหรือมีมากเหมือนเผ่าอื่นๆ ผู้ชายมูเซอเมื่อแต่งงานแล้วจะไปอยู่กับครอบครัวของภรรยา (หน้า 27)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

มูเซอดั้งเดิมที่อยู่ใกล้สังคมพื้นราบที่เจริญแล้วจะได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาแต่หลังจากที่อพยพจากพม่าเข้าสู่ประเทศไทยในระยะเวลาประมาณร้อยกว่าปี ทำให้ความคิดทางศาสนาของไทใหญ่และไทเหนือผสมกับความเชื่อดั้งเดิมของมูเซอ มูเซอบางพวกได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เช่น มูเซอดำในประเทศไทย เป็นคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ (หน้า 28) เนื่องจากประชากรบ้านมูเซอป่ากล้วยสืบเชื้อสายของมูเซอดำ เรียกตนเองว่า "ลาหู่นะ" คนไทยเรียกว่ามูเซอคริสต์ เพราะลาหู่นะเกือบทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 54) เนื่องจากบ้านมูเซอป่ากล้วยนับถือศาสนาคริสต์จึงทำให้ความเชื่อเรื่องผีไม่หลงเหลือดังนั้นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับผีจึงไม่มี มีแต่ประเพณีการไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ประเพณีปีใหม่(กินวอ) และวันคริสต์มาส ประเพณีปีใหม่จะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยผู้อาวุโสของเผ่าเป็นผู้กำหนด ส่วนใหญ่จะตรงกับวันตรุษจีนของทุกปี(หน้า 60)

Education and Socialization

โรงเรียนแม่ฟ้าหลวง เปิดสอนระดับอนุบาลถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 (หน้า 47) ประชากรบ้านมูเซอป่ากล้วย ได้รับการศึกษาจำนวน 88 คน (ร้อยละ 59.86) ส่วนใหญ่ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาจะมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เพศหญิงและเพศชายได้รับการศึกษามีจำนวนใกล้เคียงกันคือ ร้อยละ 48.86 และร้อยละ 51.14 ตามลำดับ (หน้า 59)

Health and Medicine

ชาวบ้านส่วนใหญ่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเนื่องจากมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เหมาะสม หากมีการเจ็บป่วยไม่มากก็จะรักษาที่สถานีอนามัย หากเจ็บป่วยมากหรือคลอดบุตร จะไปรักษาที่โรงพยาบาลอำเภอแม่จันหรืออำเภอเมือง(หน้า 58-59)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ปัจจุบันมูเซอที่มีการศึกษาได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลภาษาไทยเพื่อสะดวกในการติดต่อราชการ(หน้า 27)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ผลกระทบที่เกิดจากการชะล้างพังทลายของดิน จำแนกได้เป็น 2 ประเภทคือ ผลเสียในพื้นที่ที่เกิดการชะล้างพังทลายของดิน เช่น การสูญเสียดินชั้นบน การสูญเสียธาตุอาหารในดิน การสูญเสียประสิทธิภาพของผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น ส่วนผลเสียในพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ไกลจากบริเวณที่เกิดการชะล้างพังทลายของดิน เช่น ทำให้เกิดการตกตะกอนและทางน้ำตื้นเขิน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางอุทกวิทยา (หน้า 8) ปัจจัยสำคัญของการอนุรักษ์ดินที่ควรพิจารณา คือ ทำอย่างไรจึงจะรักษาให้ดินอยู่กับที่ ควบคุมไม่ให้ดินต้องสูญเสียโดยการเซาะกร่อนจากน้ำและลม ทำอย่างไรจึงจะรักษาแร่ธาตุในดินให้คงความอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ และทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในด้านการอนุรักษ์ดิน ตลอดจนผู้ที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรดินได้มีความรู้ ความเข้าใจและหาแนวทางปฏิบัติให้เกิดผลตามความมุ่งหมายของการอนุรักษ์ดินได้ (หน้า 10) การป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน สามารถจำแนกได้เป็น 2 วิธีหลัก ได้แก่ วิธีกล(Mechanic Control) เช่น การทำขั้นบันไดดิน การควบคุมโดยทำทางระบายน้ำ การไถพรวนตามแนวระดับ การยกร่องตามแนวระดับ เป็นต้น อีกวิธีหนึ่งคือ การควบคุมโดยพืช เช่น การปลูกพืชให้เหมาะสมตามชั้นสมรรถนะที่ดินการปลูกพืชปกคลุมดินและการปลูกพืชเป็นแถบตามแนวระดับ โดยการปลูกพืชให้ขวางทิศทางความลาดชันไปตามแนวเส้นระดับ (หน้า12-16)

Map/Illustration

ตาราง - จำนวนการใช้ประโยชน์ที่ดินของชาวบ้าน(48) - จำนวนพื้นที่การเกษตรพืชยืนต้น(ไม้ผล)(48) - จำนวนพื้นที่การเกษตรพืชไร่/นา(49) - จำนวนครัวเรือนที่ประกอบอาชีพต่างๆ (57) - ระดับการศึกษาของประชากรบ้านมูเซอป่ากล้วยที่มีอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป(59) - การปลูกไม้ยืนต้นต่อไร่ ต่อครอบครัว โดยจำแนกเป็นชนิดของพืชที่ปลูก(66) ภาพ - การป้องกันการพังทลายของดินโดยวิธีกลแบบขั้นบันไดดิน(12) - การระบายน้ำด้วยระบบที่สร้างขึ้น(13) - การปลูกหญ้าแฝกแบบการระบายน้ำภายใต้ระบบของต้นพืช(20) - ระบบการป้องกันหน้าดินและการสร้างตัวของต้นหญ้าแฝก(20) - การอพยพของชาวเขาเผ่าต่างๆเข้าสู่ประเทศไทย(26) - แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำแผนที่จังหวัดเชียงราย(36) - แผนที่จังหวัดเชียงราย(50) - แผนที่แสดงที่ตั้งบ้านมูเซอป่ากล้วย ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย(51) - แผนที่หมู่บ้านมูเซอป่ากล้วย(52) - ลักษณะการพังทลายหน้าดินในพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่มีการป้องกัน(63) - ลักษณะการขุดร่องน้ำแบบขั้นบันไดในไร่ของมูเซอ(65) - การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำเกษตรของมูเซอจากไร่ข้าวมาเป็นไม้ยืนต้น(67) - ลักษณะการทำนาแบบขั้นบันไดของมูเซอ(68) - พื้นที่ป่าชุมชนของมูเซอที่มีการอนุรักษ์ไว้ตั้งแต่เริ่มตั้งหมู่บ้าน(70)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG ลาหู่, ทรัพยากรธรรมชาติ, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง