|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทย-ลาว ,ไทย-เขมร,คะแมร์ลือ,ความเชื่อ,พิธีกรรม,พิธีมงก็วลจองได,สุรินทร์ |
Author |
ประไพ เจริงบุญ |
Title |
การผสมผสานวัฒนธรรมชาวไทย-ลาว และ ชาวไทย-เขมร ในพิธีมงก็วลจองได บ้านดม |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ขแมร์ลือ คะแมร คนไทยเชื้อสายเขมร เขมรถิ่นไทย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
181 |
Year |
2540 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษยศาสตร์) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการผสมผสานในพิธีมงก็วลจองไดของไทย-เขมร กับ พิธีบายศรีสู่ขวัญของไทย-ลาว ที่บ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ อันเกิดจากการรวมกลุ่มกันทางสังคม โดยมีคติความเชื่อ วิธีการปฏิบัติตน และการดำเนินชีวิตที่คล้ายกัน จุดมุ่งหมายของพิธีกรรมเพื่อการสร้างกำลังใจและความเป็นศิริมงคลในการดำเนินชีวิต ได้แก่ การเรียกขวัญในพิธีแต่งงาน พิธีบวชนาค พิธีขึ้นบ้านใหม่ พิธีสะเดาะเคราะห์คนเจ็บป่วย และพิธีสู่ขวัญคนธรรมดา (ในโอกาสแสดงความยินดีเรื่องหน้าที่การงาน) |
|
Focus |
การผสมผสานในขั้นตอนการประกอบพิธีมงก็วลจองไดของไทย-เขมร หรือที่รู้จักกันในชื่อพิธีบายศรีสู่ขวัญของไทย-ลาว ที่บ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ (หน้า2-3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มี ไทย-เขมร ซึ่งเป็นชาวเขมรที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำกินที่หมู่บ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีพื้นที่ติดต่อกับชายแดนเขมร และไทย-ลาว ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ในอีสาน แต่ที่บ้านดมมีจำนวนน้อยกว่าไทย-เขมร (หน้า 23) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไทย-เขมร ใช้ภาษาเขมรสำหรับสื่อสารกับคนในหมู่บ้าน ใช้ในบทสวดและชื่อเรียกทางพิธีกรรมที่ต่างไปจาก ไทย-ลาว ทั่วไป เช่น มงก็วลจองได ที่มีความหมายว่าด้ายมงคลย้อมสีเหลืองซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการบายศรีสู่ขวัญ หรือเรียกเป็นภาษาถิ่นว่า "บายซะแร็ย" นอกจากนี้ไทย-เขมร ยังใช้ภาษาไทยภาคกลางสื่อสารกับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาเขมร ส่วน ไทย-ลาว ใช้ภาษาไทยลาว(ภาษาอีสาน) สื่อสารระหว่างกันปัจจุบันมีการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 2 กลุ่มในด้านภาษาที่แต่ละกลุ่มสามารถพูดภาษาของอีกกลุ่มได้ (หน้า 2-3) |
|
Study Period (Data Collection) |
เริ่มศึกษาข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2538 แต่ไม่ระบุวันสิ้นสุด ทั้งนี้งานวิจัยตีพิมพ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2540 |
|
History of the Group and Community |
บ้านดมเป็นหมู่บ้านเก่าแก่มีอายุเป็นร้อยปี แต่เดิมเป็นพื้นที่ป่าทึบ และไม่มีหนองน้ำ ชาวบ้านที่อพยพมาจึงรวมตัวกันสร้างพื้นที่สำหรับสร้างบ้านและหนองน้ำจนเกิดเป็น หมู่บ้านขึ้น และการรวมตัวหรือระดมพลกันครั้งนี้ ชาวบ้านจึงนำมาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านว่า บ้านดม (หน้า 22 ) |
|
Demography |
ไทย-เขมร เป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ในพื้นที่อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ และมีไทย-ลาว และส่วยอยู่ร่วมด้วยส่วนหนึ่ง ทั้งไทยลาวและส่วยเป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ในพื้นที่กิ่งอำเภอศรีณรงค์ อยู่ทางทิศเหนือของอำเภอสังขะ มีการรวมกลุ่มติดต่อค้าขายระหว่างกัน ประกอบกับไทย-เขมรอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา ซึ่งภาษาที่ใช้ส่วนใหญ่คือภาษาเขมร ดังนั้นกลุ่มชนต่างๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้จึงมีวิถีการดำเนินชีวิตที่คล้ายกัน (หน้า 17) โดยประชากรของบ้านดมที่มีมากเป็นอันดับ1 คือ ไทย-เขมร อันดับสอง คือไทย-ลาว รวมมีประชากรทั้งหมด 1,406 คน (ชาย 695คน และหญิง 711คน) มีครัวเรือนทั้งสิ้น 261 ครัวเรือน (หน้า 28) |
|
Economy |
ไทย-เขมร และ ไทย-ลาว ที่บ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ยังชีพด้วยการทำไร่ เพาะปลูก เนื่องจากพื้นที่ไม่แห้งแล้งและมีดินอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งมีปริมาณน้ำจาก หนองดม และ ห้วยเสนที่เพียงพอต่อการใช้ในชีวิตประจำวันและใช้เพื่อการเพาะปลูก แต่ในฤดูร้อนที่เกิดภาวะแห้งแล้งและในฤดูฝนที่ฝนตกชุกมากเกินไปก็ส่งผลเสียหายต่อการเพาะปลูกได้ (หน้า 24-26) นอกเหนือจากการทำนาข้าวทั้งนาดำและนาหว่านเป็นหลักแล้ว ยังมีการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปอ แตงโม เป็นอาชีพเสริมหลังฤดูเก็บเกี่ยวด้วย แต่รายได้จะขึ้นอยู่กับการให้ราคาของพ่อค้าคนกลางที่เข้ามารับซื้อผลผลิตในหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีการค้าขายพืชผัก อาหาร และสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน การรับจ้างขายแรงงานและการเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพรองที่ทำรายได้เสริมให้กับคนในหมู่บ้าน และส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจของบ้านดมอยู่ในเกณฑ์ดีและผู้คนก็มีสภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้การเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ ไก่ เป็ด หมู นั้นมีไว้เพื่อขาย และเพื่อเป็นอาหาร รวมทั้งมีการเลี้ยงวัว ควายที่ไม่ได้เลี้ยงเพื่อการใช้งาน แต่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารด้วย (หน้า 31-33) |
|
Social Organization |
โครงสร้างทางสังคมของบ้านดมเป็นระบบการพึ่งพาอาศัยและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อันเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัดของสังคมชนบท ดังเห็นได้จากการร่วมกันประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การรวมตัวกันในงานบุญ วันสำคัญทางศาสนา และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต เช่น การช่วยงานกันในพิธีแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ของคนในหมู่บ้าน และเนื่องจากบ้านดมเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จึงทำให้มีการรวมกลุ่มกันทางสังคมทั้งแบบที่รวมตัวกันขึ้นเองจากความสนใจของคนในหมู่บ้าน เช่น กลุ่มคนชรา กลุ่มทางชาติพันธุ์ คือ กลุ่มไทย-เขมรที่อยู่มาดั้งเดิม กับกลุ่มไทย-ลาวที่อพยพมาใหม่เพื่อหาที่ทำกิน รวมถึงการรวมกลุ่มที่เกิดจากการจัดตั้งของหน่วยงานของภาครัฐ เช่น กลุ่มยุวเกษตร กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน (หน้า 28-29) |
|
Political Organization |
มีการปกครองระบบราชการ ผู้ปกครองหมู่บ้านคือกำนัน เนื่องจากหมู่บ้านดมเป็นหมู่บ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ จึงมีสถานะเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอสังขะ กำนันจึงมีหน้าที่ประสานงานคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านการปกครอง ด้านการคลัง ด้านการพัฒนา ด้านประชาสัมพันธ์ ด้านการออมทรัพย์ ซึ่งเป็นการปกครองตามโครงสร้างของภาครัฐ นอกจากนี้หมู่บ้านดมยังแบ่งการปกครองหมู่บ้านในรูปแบบของคุ้มมี10 คุ้ม ซึ่งแต่ละคุ้มก็จะมีหัวหน้าคุ้มที่ได้รับความเชื่อถือคอยดูแลรับผิดชอบและประสานงานระหว่างกันอันเป็นลักษณะของการปกครองตนเองภายในหมู่บ้าน (หน้า 26-27) |
|
Belief System |
พิธีมงก็วลจองได หรือพิธีบายศรีสู่ขวัญ มีความสำคัญและมีบทบาทในด้านความเชื่อของ ไทย-ลาว และ ไทย-เขมร ที่มีอิทธิพลมาจากความเชื่อในเรื่องขวัญว่าจะทำให้เกิดความเป็นศิริมงคลแก่ผู้ประกอบพิธีและผู้เข้าร่วม โดยพิธีกรรมที่จัดขึ้นนั้นมีหลายโอกาสได้แก่ การแต่งงาน การขึ้นบ้านใหม่ การบวชนาค ที่จะต้องมีองค์ประกอบของพิธีการสู่ขวัญ คือ คน เวลา สถานที่ วัสดุอุปกรณ์และบทสู่ขวัญ ที่มีสาระสำคัญแตกต่างกันบางประการ ดังต่อไปนี้ (หน้า 38) สำหรับไทย-ลาว การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ มีองค์ประกอบดังนี้ คือ หมอสูตร หรือผู้ประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญมีคุณสมบัติต่างๆ คือ เป็นผู้ชายที่มีความอาวุโส ผ่านการบวชเรียนมาก่อนและมีประสบการณ์ในการทำพิธี ผู้ถูกเรียกขวัญ คือผู้ที่จัดให้มีพิธีสู่ขวัญ ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องการเรียกขวัญของตนกลับมาเพื่อความเป็นมงคล ทั้งนี้ผู้ถูกเรียกขวัญอาจเป็นพ่อแม่ ญาติ พี่น้องของบุคคลนั้นที่เป็นผู้กำหนดพิธีก็ได้ ผู้ร่วมพิธี คือชาวบ้านที่ยินดีเข้าร่วมพิธีและมาเพื่อช่วยเหลือจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ในการประกอบพิธีการเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนให้ความนับถือ สิ่งของต่างๆ สำหรับการเรียกขวัญ ได้แก่ พานบายศรี หรือที่เรียกว่า พาขวัญ หรือหมากเบ็ง นิยมจัดด้วยใบตองสดอย่างประณีต สวยงาม เพื่อความน่าเลื่อมใสและเพื่อเป็นสิ่งสวยงามสำหรับการเรียกขวัญให้กลับมา ซึ่งพานบายศรีสำหรับคนธรรมดาจะจัด 3-5 ชั้น ตามความเชื่อที่ว่า เลขคี่จะทำให้ขวัญอยู่ (คี่[หรือคีกในภาษาไทย-ลาว]อยู่-คู่หนี) และใบตองยังเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นใหม่ได้ เรื่อยๆ จึงถูกสมมติว่าเป็นเนื้อหนังที่ห่อหุ้มร่างกาย เครื่องคาย เป็นเครื่องบูชาครูของหมอสูตรขวัญ ประกอบด้วย ดอกไม้และเทียนอย่างละ 5 คู่ พร้อมเงินค่ายกครู (ส่วนมากที่พบประมาณ 100-500 บาท) ที่จัดใส่กรวยใบตองพร้อมกับดอกไม้ เทียน และด้ายสายสิญจน์เพื่อเป็นการตอบแทนหมอสูตรขวัญ ไข่ต้มสุก ด้วยความเชื่อที่ว่าไข่มีเปลือกหุ้มไว้จึงเหมือนกับขวัญที่อยู่ในร่างกายคนเรา หมอสูตรจึงทำนายลักษณะของไข่ที่ใช้ประกอบพิธี โดยส่วนใหญ่จะทำนายผลว่าเกิดลางดีเพื่อสร้างขวัญ และกำลังใจให้เจ้าของขวัญ กล้วยสุก ไทย-ลาวเชื่อว่า กล้วยเป็นสิ่งจำเป็นที่มารดาใช้ป้อนทารกเป็นอาหาร จึงใช้กล้วยน้ำว้า 4 ลูก เป็นเครื่องสังเวยเทวดาที่สถิตอยู่ทั้ง 4 ทิศ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า กล้วยเกิดจากปลีกล้วยที่เกิดใหม่ได้หลายครั้งจึงเปรียบได้กับการที่ขวัญออกจากร่างกายได้ก็กลับเข้ามาใหม่ได้อีกเช่นกัน เหล้า เปรียบเหมือนน้ำแห่งความบริสุทธิ์ที่สามารถสร้างความสนุกสนานได้ด้วย ทว่ามีการกำหนดว่าการสู่ขวัญนาคและพระสงฆ์จะต้องมีการใช้น้ำมนต์แทน ฝ้ายผูกแขน ต้องทำจากด้ายดิบ เพราะเชื่อว่าด้ายดิบเป็นสิ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ มีการใช้ด้ายดิบ 3 เส้นอันเป็นการหมายถึงพระรัตนตรัย โดยเชื่อว่าการผูกเป็นปมตรงกลางเส้นด้ายก็เพื่อไม่ให้สิ่งที่ดีงามหนีจากไป และการผูกด้ายที่ข้อมือก็เพราะว่ามีชีพจรอยู่บริเวณนี้จึงเชื่อว่าเป็นทางเข้า-ออกของขวัญ ดอกไม้และใบไม้ เป็นตัวแทนของความสวยงามและความหมายที่เป็นมงคล เช่น ดอกบานไม่รู้โรยเป็นตัวแทนของความมั่นคง และใบคูณ ใบยอ มีความหมายว่าให้คนยกย่องสรรเสริญ เสื้อผ้า เครื่องใช้ประจำตัวของเจ้าของขวัญ เพราะของใช้ประจำตัวจะมีกลิ่นกายและเหงื่อไคลจึงเป็นตัวแทนของเจ้าของขวัญ เมื่อนำมาประกอบในพิธีจะทำให้ขวัญจำกลิ่นเจ้าของได้และกลับเข้าสู่ตัวเจ้าของขวัญได้ เทียน เปรียบเหมือนแสงสว่างของชีวิต และเชื่อว่าการใช้เทียนเป็นการมอบกายถวายแด่พระรัตนตรัย เมื่อหมอสูตรขวัญได้จุดเทียนบูชาเริ่มพิธี ขันน้ำหอมหรือขันน้ำมนต์ น้ำมนต์ที่ทำจากน้ำบริสุทธิ์และผ่านการเจริญพุทธมนต์ จะใช้เมื่อพิธีเสร็จสิ้นเพื่อปัดเป่าความชั่วร้ายและสร้างความเป็นมงคลให้กับผู้ร่วมพิธี (เรียกว่าการมิดฟาย) และยังเชื่อว่าน้ำเป็นสัญลักษณ์ของความร่มเย็นเป็นสุขและความสามัคคี เครื่องสังเวยอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาหารในชีวิตประจำวัน เช่น หมากพลู ปูน ยา ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และมีไว้เพื่อต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน และข้าวสาร ทั้งไทย-ลาว และไทย-เขมรมีความเชื่อที่เหมือนกันว่า การนำข้าวสารมาประกอบพิธีกรรมด้วยการโยนใส่ผู้ถูกเรียกขวัญเป็นการขับไล่สิ่งชั่วร้าย เพราะข้าวสารที่ผ่านการปลุกเสกนั้นถือเป็นข้าวสารศักดิ์สิทธิ์ สำหรับองค์ประกอบในเรื่องเวลา สถานที่ในการประกอบพิธีกรรม ไทย-ลาวมีความเชื่อดังนี้ เวลา แต่เดิมนั้นเมื่อจะประกอบพิธีจะต้องคำนึงถึงฤกษ์งาม ยามดี โดยถือว่าวันฟูเป็น วันดี เช่น วันอาทิตย์ เดือนสิบสอง ส่วนวันจมเป็นวันไม่ดี เช่นวันเสาร์ เดือนยี่เป็นต้น แต่ในปัจจุบัน ด้วยสภาพสังคมและเงื่อนไขต่างๆที่เปลี่ยนไปจึงกำหนดให้ วัน เวลา ที่สะดวกที่สุด คือฤกษ์ดี ทั้งนี้หมอสูตรขวัญจะเป็นผู้ที่กำหนด วัน เวลา ในการประกอบพิธี สถานที่ ในการประกอบพิธีสู่ขวัญพระสงฆ์และพระพุทธรูปจะกระทำที่วัด ส่วนพิธีสู่ขวัญนาค พิธีสู่ขวัญแต่งงาน พิธีสู่ขวัญคนป่วย จะประกอบพิธีที่บ้านเจ้าของขวัญ เนื่องจากเชื่อว่า ขวัญและเจ้าของขวัญมีความผูกพันกับบ้าน นอกจากนี้หากมีพิธีสู่ขวัญแสดงความยินดีกับข้าราชการ ก็จะประกอบพิธีตามสถานที่ราชการ แต่ไม่ว่าจะเป็นพิธีสู่ขวัญแบบใดต่างก็มีขั้นตอนที่เหมือนกัน ได้แก่ ขั้นที่1 กล่าวคำไหว้พระ ขั้นที่2 กล่าวคำเชิญเทวดา ขั้นที่ 3 กล่าวคำสูตรขวัญ ขั้นที่ 4 กล่าวคำมิดฟาย ขั้นที่ 5 กล่าวคำผูกแขน ด้วยสำเนียงที่ไพเราะเพื่อสร้างความพอใจให้กับขวัญ และเพื่อจุดมุ่งหมายในการสร้างความสบายใจ ความมั่นใจในการดำเนินชีวิตให้กับเจ้าของขวัญ (หน้า 38-44) สำหรับ ไทย-เขมร ที่บ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ มีการประกอบพิธีมงก็วลจองได (บายศรีสู่ขวัญ) ที่แตกต่างจากไทย-ลาวทั่วไปในเรื่องบทสวดที่เป็นภาษาเขมร และมีพิธีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ 2 แบบ คือ การเฮาประลึง และการยัวประลึง (หรือซมประลึง) คำว่า ประลึงเป็นภาษาเขมร หมายถึง จิตวิญญาณ ชีวิต สติ รู้สึกตัว ซึ่งมีจุดมุ่งหมายของการประกอบพิธีกรรมเหมือนกัน คือต้องการให้ขวัญกลับมาอยู่กับตัวเจ้าของขวัญ พิธีเฮาประลึง ก็คือการเรียกขวัญในงานมงคล เช่น งานบวชนาค งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งเป็นการสู่ขวัญแบบพิธีการ โดยสิ่งที่ทำให้พิธีมีความสมบูรณ์ก็คือบทสวด รำเงื้อบ หรือ หรือบทสวดกำหราบ สำหรับบทสวดกำหราบเล็ก เนื้อหาเป็นการขออำนาจพระรัตนตรัย เพื่อกำหราบสิ่งชั่วร้าย ตามด้วยบทเรียกขวัญท้ายคำสวด ส่วนบทสวดกำหราบใหญ่จะประกอบด้วยการขออำนาจกำหราบสิ่งชั่วร้าย ต่อด้วยบทสวดขออำนาจจากกรู (เป็นภาษาเขมรมีความหมายว่า ครู) ได้แก่พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระพุทธเจ้า พระยม ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ นอกจากนี้ยังมีพิธีเฮาประลึงแบบไม่เป็นพิธีการที่ใช้ในช่วงเวลาการเข้าป่า ด้วยความเชื่อที่ว่าเมื่อคนเราออกไปตามป่าเขา ขวัญของคนนั้นก็ได้ตามไปด้วย จึงต้องมีการเรียกขวัญกลับคืน เมื่อกลับออกมาจากป่าแล้ว พิธีซมประลึง (ยัวประลึง) หมายถึงการขอขวัญ จะกระทำเมื่อมีผู้ไม่สบายที่อาจเกิดขึ้นจากการตกใจมากๆ จากอุบัติเหตุ หรือจากการฝันร้าย ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบพิธีมงก็วลจองไดของไทย-เขมรนั้นมีสิ่งที่แตกต่างจากพิธีบายศรีสู่ขวัญของไทย-ลาวทั่วไปอยู่ 3 สิ่งซึ่งมีสาเหตุมาจากการมีความเชื่อที่ต่างออกไป ได้แก่ ข้าวสุก เกิดจากการมีความเชื่อว่าคนเราเกิดมาได้เพราะความสำคัญของข้าวที่ประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดอกมะพร้าว เกิดจากการมีความเชื่อว่า ความหอมของดอกมะพร้าวเปรียบเหมือนการทำความดี คนทั่วไปยกย่องเชื่อถือ ศรัทธา และ หมากพลู ปูน ยา ซึ่งไทย-เขมร เชื่อว่ามีการกินกันมาตั้งแต่โบราณ ดังนั้นเมื่อการเชิญผีบรรพบุรุษ ผีบ้าน ผีเรือน สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพยานจึงต้องใช้หมาก พลู มาประกอบพิธีด้วย และในขั้นตอนการประกอบพิธีมงก็วลจองไดจะมีการสวดการผูกข้อมือก่อนจึงสวดอวยพร และผู้ที่มาทำพิธีจะเรียกว่าอาจารย์ ซึ่งต้องเคร่งครัดต่อการปฏิบัติตนในการดำเนินชีวิต เช่น ในช่วงเย็นถึงกลางคืนจะไม่กวาดบ้าน เพราะเชื่อว่าเป็นการนำสิ่งที่ดีออกไป และรับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา และจะไม่ประกอบพิธีผิดเวลาเป็นอันขาด ส่วน ค่าคาย หรือค่าครู สำหรับพิธีมงก็วลจองได ประกอบด้วย เงิน 12 บาท ดอกไม้ใส่กรวย 5 คู่ ไก่ 1 ตัว ข้าวสาร 1 ขันเล็ก ข้าวต้ม 1 อัน ผ้าขาว 1 ผืน ธูป เทียน น้ำหวาน 1 ขวด ทั้งนี้ขั้นตอนการประกอบพิธีมงก็วลจองไดของไทย-เขมร บ้านดมจะมีรูปแบบและขั้นตอนเฉพาะตัวซึ่งแตกต่างจากท้องถิ่นอื่นๆ คือ 1. ผู้ถูกเรียกขวัญและเจ้าภาพ เป็นผู้ริเริ่มว่าจะทำการสู่ขวัญมีหน้าที่ไปหาอาจารย์ผู้ทำพิธี โดยอาจารย์เป็นผู้ดูฤกษ์ยาม จากนั้นเจ้าภาพจึงจัดเตรียมงาน 2. การเตรียมงาน เจ้าภาพจะบอกญาติหรือแขกให้มาร่วมงานและร่วมจัดเตรียมอาหาร สถานที่ พานบายศรี 3. การจัดพิธี อาจารย์ผู้ทำพิธีจะไม่ประกอบพิธีผิดเวลา ดังนั้นคนที่จะรับการสู่ขวัญ ผู้ร่วมพิธี และอุปกรณ์ต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมก่อนพิธีเริ่ม ไม่เช่นนั้นการประกอบพิธีจะไม่เป็นผลสำเร็จ โดยมีขั้นตอนดังนี้ การไหว้ครู เป็นการบูชาพระคุณของครูอาจารย์และกล่าวคำไหว้พระเพื่อบูชาพระรัตนตรัย การสวดบทกำหราบ เป็นการเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นสักขีพยาน และสมมติผู้ทำพิธีเป็นเทพ คือ พระอิศวรเพื่อปราบสิ่งไม่เป็นมงคลจากผู้ที่ถูกเรียกขวัญ บทสวดพรผูกมือ เป็นการเชิญญาติพี่น้องที่มาเป็นสักขีพยานได้ร่วมผูกแขนเรียกขวัญแก่เจ้าของขวัญ บทสวดอวยพร เป็นการอวยพรให้แก่ผู้รับการสู่ขวัญในแต่ละโอกาส เช่น การบวชนาค การแต่งงาน การขึ้นบ้านใหม่ โดยมีเนื้อหาการสอนเรื่องการปฏิบัติตนที่แตกต่างกันไป การร่วมรับประทานอาหาร เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการประกอบพิธี โดยเจ้าภาพนำข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงขอบคุณผู้มาร่วมงาน (หน้า 56-75) |
|
Education and Socialization |
แหล่งการเรียนรู้ของไทย-เขมร และ ไทย-ลาว บ้านดม อำเภอสังขจังหวัดสุรินทร์ มี 3 ประเภท หนึ่งคือ การศึกษาในระบบของภาครัฐ ได้แก่ โรงเรียนดมวิทยาคาร สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 และมีโรงเรียนมัธยมสาขาสำหรับนักเรียนที่จบมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าศึกษาต่อ ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่จะเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยม สองคือ การศึกษานอกระบบที่ดำเนินการโดยภาครัฐกับเอกชน ด้วยการจัดตั้งโครงการฝึกอาชีพระยะสั้นสำหรับนักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อ เช่นการทอผ้า การเย็บปักถักร้อย สามคือ แหล่งการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ที่เป็นรูปแบบของ "ที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน" เพื่อการติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ (หน้า 29-30) นอกจากนี้ สิ่งที่มีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิต แบบแผน ค่านิยมในสังคมของไทย-เขมร ก็คือ การสืบทอดพิธีมงก็วลจองไดที่ได้สอดแทรกคติความเชื่อและการสั่งสอนการปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของสังคมอย่างถูกต้องตามหน้าที่ของแต่ละคนเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในการดำเนินชีวิต เช่น การสู่ขวัญนาค ที่มีเนื้อหาของบทสวดว่าด้วยการสั่งสอนให้ปฏิบัติตนและข้อห้ามในขณะที่อยู่ในวินัยสงฆ์ การสู่ขวัญแต่งงาน ที่มีเนื้อหาของบทสวดที่ว่าด้วยการวางตัว การปฏิบัติตนในการทำหน้าที่ภรรยาและสามี นับได้ว่าเป็นรูปแบบของการถ่ายทอดความรู้ ค่านิยมและแบบแผนการใช้ชีวิตจากอดีตสืบทอดมาจนปัจจุบัน (หน้า 107) |
|
Health and Medicine |
ไทย-เขมร และ ไทย-ลาว จะประกอบพิธีมงก็วลจองได หรือพิธีบายศรีสู่ขวัญ เมื่อมีคนในหมู่บ้านเจ็บป่วย หรือประสบอุบัติเหตุ ด้วยมีความเชื่อที่ว่า ขวัญของแต่ละคนมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด หากมีบุคคลใดมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ขวัญของคนนั้นก็จะหนีออกจากร่างกาย ดังนั้นเพื่อความเป็นมงคล หมอสูตรขวัญหรืออาจารย์ผู้ทำพิธีจะทำการกล่าวบทสวดเพื่อเรียกขวัญกลับมา ซึ่งจะมีผลต่อจิตใจของผู้ป่วยในการสร้างความมั่นใจ ความสบายใจมากกว่าการรักษาทางร่างกาย (หน้า 9-10 ) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องแต่งกายของหมอสูตร (ไทย-ลาว) จะเน้นที่ความสุภาพ เสื้อสีขาว กางเกงสีขาวหรือสีสุภาพและมีผ้าเบี่ยงหรือผ้าพาดบ่าเพื่อความแตกต่างจากผู้ร่วมพิธีคนอื่นๆ การแต่งกาย ของอาจารย์ผู้ทำพิธี (ไทย-เขมร) จะเน้นที่ความสุภาพและสวมเสื้อสีขาวเช่นกันแต่ไม่นิยมนุ่งโสร่งเหมือนไทย-ลาว ทั้งนี้เครื่องแต่งกายสีขาวแสดงถึงการทำพิธีอันบริสุทธิ์ (หน้า 133) ส่วนเครื่องแต่งกายของชาวบ้านดมนั้นจะมีลักษณะเฉพาะตนดังนี้ ผู้หญิง : นุ่งผ้าถุงไหม สวมเสื้อแขนกระบอกและผ้าแพรพาดบ่าที่ทอขึ้นเอง ผู้ชาย : นุ่งโสร่ง สวมเสื้อแขนสั้น หากเป็นการแต่งกายในพิธีศพจะใช้ผ้าถุงสีดำกับเสื้อสีขาวหรือสีดำและผ้าพาดบ่าสีดำ (หน้า 3) |
|
Folklore |
ตำนานเกี่ยวกับความเป็นมาของบ้านดม มีการเล่าสืบต่อกันมาว่า คำว่า "ดม" น่าจะมาจากภาษาเขมรคำว่า "ปรำดม" ที่แปลว่า ห้า ตามจำนวนของชาวบ้าน 5 คนที่ได้ช่วยกันก่อตั้งหมู่บ้านและอาจเป็นเพราะพื้นที่ของบ้านดมในครั้งเริ่มแรกมีสภาพเป็นป่าทึบ ดังนั้น กลุ่มคนที่อพยพเข้ามาจึงช่วยกันก่อสร้างบ้านเรือนจนกลายเป็นหมู่บ้าน การรวมตัวกันครั้งนั้น เรียกว่าเป็นการระดมพล จึงมีการเรียกขานกันต่อๆ มาว่าบ้านดม (หน้า 22-23) การละเล่น ปัจจุบันยังคงมีการละเล่นในโอกาสต่างๆ ได้แก่ การเล่นกันตรึม เจรียง การเล่นลูกช่วง (ภาษาเขมร เรียกว่า โชง) และการเล่นลูกสะบ้า (ภาษาเขมร เรียก ว่าอังโกย) (หน้า 3) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไทย-เขมร ไทย-ลาว ที่อาศัยอยู่ที่บ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์มีการปรับตัวที่จะรวมกลุ่มกันและแลกเปลี่ยนกันทางคติความเชื่อ วัฒนธรรม รวมทั้งการประกอบพิธีกรรมที่ผสมผสานกันที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต แม้ว่าทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์จะมีรูปแบบการดำรงชีวิตในลักษณะของตนที่ต่างกันก่อนที่จะอพยพมาอยู่รวมกันก็ตาม ทั้งนี้การที่ยังคงมีการประกอบพิธีมงก็วลจองไดในพิธีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น การแต่งงาน การเรียกขวัญคนป่วยไข้ ยังแสดงให้เห็นถึงการมีคติความเชื่อดั้งเดิมเหมือนเช่นในอดีต แม้ว่าจะมีแหล่งการเรียนรู้ในรูปแบบอื่นๆ เช่นโรงเรียนเข้ามาแทนที่มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีการประกอบพิธีกรรมลดลงบ้างแต่พิธีกรรมดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันเป็นการแสดงถึงการสืบทอดและรักษาเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนไว้ (หน้า 132) |
|
Social Cultural and Identity Change |
คนเขมร ได้ย้ายถิ่นฐานมายังบ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ และได้นำเอาวัฒนธรรม แบบแผนการดำเนินชีวิตของตนเองมาด้วย จึงมีการปะทะสังสรรค์กับแบบแผนทางวัฒนธรรมของกลุ่มคนพื้นเมืองเดิม จนเกิดการผสมผสานระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ สถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นเช่น วัด กุฏิ รวมทั้งพิธีกรรมที่มีการรับและแลกเปลี่ยนระหว่างกัน ดังเช่น พิธีมงก็วลจองไดของไทย-เขมร และ พิธีบายศรีสู่ขวัญของไทย-ลาว (หน้า 14-15) แต่ในปัจจุบันความสำคัญของการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เริ่มลดลง เนื่องจากผู้ที่เป็นหมอสูตร (ไทย-ลาว) หรืออาจารย์ผู้ทำพิธี (ไทย-เขมร)นั้นมีจำนวนลดลง เป็นเพราะการศึกษาสมัยใหม่จากภาครัฐเข้ามาแทนที่การศึกษาทางธรรม ประกอบกับอาจารย์ผู้ทำพิธีต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในชีวิตประจำวันที่ต้องใช้ความศรัทธาและความตั้งใจอย่างมากก็เป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันได้ยากกว่าสมัยก่อน ในบางหมู่บ้านจึงใช้วิธีการเชิญอาจารย์จากหมู่บ้านอื่นมาประกอบพิธีให้แทน หรือแต่เดิมอาจารย์ผู้ทำพิธี (หมอสูตร) ไม่สามารถปฏิเสธผู้มาเชิญไปทำพิธีได้ แต่ในปัจจุบันหากมีผู้มาเชิญพร้อมกัน 2 คน ก็จำเป็นต้องตกลงกันด้วยการซื้ออาจารย์ว่าจะไปทำพิธีให้ใคร รวมทั้งการบอกกล่าวผู้มาร่วมพิธีที่แต่เดิมจะเป็นคนเฒ่าคนแก่นำดอกไม้และเทียนไปบอกงาน ก็เปลี่ยนมาเป็นการพิมพ์การ์ดเพื่อแจ้งวัน เวลาที่จะทำพิธี โดยให้ผู้อื่นเป็นคนไปบอกกล่าว ส่วนขนมที่ใช้ประกอบเครื่องสังเวยจากเดิมที่ต้องทำเองเช่น ขนมนางเล็ด ขนมกันตรึม ก็เปลี่ยนมาเป็นการหาซื้อตามตลาด เช่น ขนมไข่ ขนมหวาน และถ้าหากบริเวณบ้านที่ทำพิธีคับแคบไป ในสมัยก่อนจะสร้างโรงพิธีที่ใช้ใบมะพร้าวมาทำเป็นหลังคา ทว่าปัจจุบันเปลี่ยนเป็นการใช้เต๊นท์แทน และสิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่พบการผูกแขนด้วยด้ายแล้วคงมีแต่การเรียกขวัญที่เหมือนเดิม ทั้งนี้ สาเหตุก็เนื่องมาจาก รูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น เพื่อความสะดวกสบายและเพื่อความรวดเร็วมากขึ้น ชาวบ้านดมจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบบางอย่างในการทำพิธี (หน้า 159-160) ด้านการผสมผสานของพิธีมงก็วลจองไดของไทย-ลาว และ ไทย-เขมร ที่บ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์นั้น ในเรื่องคติความเชื่อและการประกอบพิธี ประกอบด้วย - การผสมผสานด้านหมอสูตรและบุคคลที่เกี่ยวข้อง หมอสูตรนิยมสวมเสื้อสีขาวและกางเกงสีสุภาพซึ่งเป็นการแต่งกายที่ต่างจากผู้ร่วมพิธีและเป็นการแสดงถึงพิธีอันบริสุทธิ์ โดยหมอสูตรต้องเป็นผู้ที่ผ่านการบวชเรียน เป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตน ส่วนผู้ร่วมพิธีที่เป็นญาติจะมาเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานและเรียกขวัญและขจัดสิ่งไม่เป็นมงคลให้เจ้าของขวัญ (ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของพิธี) - การผสมผสานเรื่องวัสดุอุปกรณ์และเครื่องบัตรพลี ได้แก่ 1. ใบตอง ด้วยเชื่อว่าขวัญเป็นสิ่งละเอียดอ่อนและบริสุทธิ์ จึงนำใบตองที่เป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่เกิดตามธรรมชาติมาทำเป็นพานบายศรี 2. ข้าวต้ม เปรียบเหมือนความหนักแน่น อดทนและมีความรักที่เหนียวแน่น 3. กล้วยสุก กล้วยเป็นสิ่งที่มีบุญคุณต่อมนุษย์เพราะมารดาใช้กล้วยผสมข้าวป้อนลูก 4. ธูป เทียน เทียนใช้เพื่อบูชาพระรัตนตรัย ส่วนธูปนั้น ไทยเขมรใช้เพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชิญมาเป็นสักขีพยาน ทว่า ไทย-ลาว ไม่ใช้ธูปในการประกอบพิธี 5. ข้าวสาร ข้าวสารที่ผ่านการปลุกเสกและการประกอบพิธีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมื่อนำมาโยนใส่ผู้ถูกเรียกขวัญจะขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ 6. ข้าวสุก เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ เพราะคนเราเกิดมาต้องอาศัยข้าวเป็นส่วนประกอบ 7.ไข่ต้มสุก ไข่เป็นสัญลักษณ์ของการเกิด เพราะมีเปลือกห่อหุ้ม และหมอสูตรจะนำไข่มาทำนายว่าเจ้าของขวัญจะดำเนินชีวิตได้ราบรื่นหรือมีอุปสรรค 8. ดอกไม้ การนำดอกไม้มาใช้ในพิธีเพื่อความเป็นมงคล เช่น ไทย-ลาวจะใช้ดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย อันมีความหมายว่ารักกันไม่เสื่อมคลาย ส่วนไทย-เขมรนิยมใช้ดอกมะพร้าว แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองมีคนยกย่อง 9. ภาชนะ การทำพานบายศรีควรจัดทำในภาชนะที่สวยงามเพื่อเชิญขวัญมาสู่เจ้าของขวัญ โดยไทย-ลาวนิยมทำพานบายศรีในขันแล้ววางลงบนถาด ส่วนไทย-เขมรเชื่อว่าการทำพานบายศรี 3-5 ชั้นเป็นของบุคคลธรรมดา และ 7-9 ชั้นเป็นของผู้มีบรรดาศักดิ์ 10. ด้ายผูกแขน การนำด้ายมาผูกแขนเพื่อเป็นการเรียกขวัญให้เจ้าของขวัญและไล่สิ่งที่ไม่เป็นมงคล โดยไทย-ลาวนิยมนำฝ้ายมาทำเป็นด้ายดิบสีขาวร้อยใส่ไม้ ส่วน ไทย-เขมรจะนิยมนำด้ายมาย้อมขมิ้นเพื่อให้หอม 11. หมาก พลู ปูน ยา แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และเป็นสิ่งที่ใช้รับแขก รวมทั้งใช้เพื่อการอันเชิญเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นสักขีพยานจึงต้องเตรียมหมาก พลู ปูน ยา ไว้ต้อนรับ 12. เหล้า เหล้าขาวถือว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์เป็นการแสดงการคารวะเทวดา เพื่อเซ่นบรรพบุรุษและเชิญเป็นสักขีพยาน 13. ค่าคาย ชาวบ้านนำมาให้หมอสูตรเป็นค่ายกครูเพื่อเป็นการไหว้ครูให้การประกอบพิธีดำเนินไปด้วยดี - การผสมผสานเรื่องเวลา การประกอบพิธีให้ตรงกับฤกษ์ยามจะทำให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต โดยหมอสูตรเป็นผู้กำหนดวัน เดือนที่จะทำพิธี - การผสมผสานเรื่องสถานที่ บ้านเป็นสถานที่ที่มีความผูกพันกับเจ้าของขวัญ การประกอบพิธีจึงต้องทำขึ้นที่บ้าน เพราะเชื่อว่าขวัญต้องมีความผูกพันกับบ้านเช่นกัน แต่บางโอกาสอาจใช้สถานที่ทำงานหรือโรงพิธีประกอบพิธีได้ - การผสมผสานเรื่องคติความเชื่อ ประกอบด้วย - คน ต้องประกอบด้วยหมอสูตรหรืออาจารย์ผู้ทำพิธี ผู้รับการสู่ขวัญ และผู้ร่วมพิธีที่มาเป็นสักขีพยานและเรียกขวัญแก่เจ้าของขวัญ - เวลา การประกอบพิธีมีการอันเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงต้องประกอบพิธีให้ตรงกับฤกษ์ยามเพื่อความเป็นมงคลและปัดเป่าสิ่งไม่ดีได้เป็นผลสำเร็จ - สถานที่ สถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน การขึ้นบ้านใหม่ การบวชนาค การสะเดาะเคราะห์และการสู่ขวัญ จะใช้บ้านในการทำพิธีเพราะเชื่อว่าขวัญของคนเราจะอยู่ไม่ห่างจากตัวบ้าน - การผสมผสานเรื่องคติความเชื่อที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิต ได้แก่ - การสู่ขวัญแต่งงาน เป็นการสร้างขวัญ กำลังใจและสอนเรื่องการดำเนินชีวิตคู่ - การสู่ขวัญขึ้นบ้านใหม่ เป็นการสร้างขวัญ กำลังใจแก่เจ้าของบ้านและไล่สิ่งไม่ดีออกไป - การสู่ขวัญสะเดาะเคราะห์ เป็นการเรียกขวัญเมื่อเกิดอุปสรรคในการดำเนินชีวิตหรือเมื่อมีเคราะห์ที่อาจเกิดขึ้นโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้จึงต้องสะเดาะเคราะห์เพื่อให้เคราะห์หายไป - การสู่ขวัญคนธรรมดา เป็นการสร้างขวัญ กำลังใจและแสดงความยินดีในโอกาสต่างๆ เช่นการเลื่อนตำแหน่งการงานที่สูงขึ้น - การสู่ขวัญการบวชนาค เป็นการเรียกขวัญและสั่งสอนนาคให้รู้จักปฏิบัติตนในกรอบของสงฆ์หลังจากบวชเป็นพระแล้ว (หน้า 133-153) |
|
Map/Illustration |
1. ภาพแผนผังบ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ หน้า 24. 2. ภาพปราสาทภูมิโปน ปราสาทเก่าแก่ที่แสดงถึงวัฒนธรรมเก่าแก่ของชุมชนบ้านดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ หน้า 36. |
|
|