สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทยดำ,การตั้งถิ่นฐาน,ประวัติศาสตร์,ประเทศไทย
Author ม.ศรีบูรพา
Title ไทยดำรำพัน
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 192 Year 2522
Source โรงพิมพ์ศิริพรการพิมพ์ กรุงเทพฯ
Abstract

ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ได้มาจากหลักฐานที่เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชนต่างๆ และจากคำบอกเล่าของไทยดำซึ่งได้มาจากการสัมภาษณ์ รวมไปจนถึงขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อของไทยดำในที่ต่างๆ ถือได้ว่าเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่รวมเรื่องราวเกี่ยวกับไทยดำ

Focus

ประวัติความเป็นมาของชนเผ่าไทยดำตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงสมัยปัจจุบัน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ไทยดำ ซึ่งเรียกตนเองว่า "ฝูไต" หรือ "ไต" ฝูไตก็คือผู้ไทยนั่นเอง (หน้า 110)

Language and Linguistic Affiliations

ตัวอักษรที่ใช้สำหรับเขียนของไทยดำ มีพยัญชนะ 37 ตัว สระ 14 ตัว (หน้า 73-74)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ชนเผ่าไทยได้อพยพจากภาคกลางของเมืองจีนมาอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำดำและลุ่มแม่น้ำแดงในแคว้นตังเกี๋ย (หน้า 12) จากพงศาวดารเมืองไล ได้กล่าวถึงไทยดำไว้ว่า ได้มีผู้ไทยขาว และผู้ไทยดำ ซึ่งอยู่ในดินแดงสิบสองจุไทยมาอยู่ปะปนกับชาวจีนที่เมืองไล ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแท้ฝั่งตะวันตกในดินแดนลาว (หน้า 29-31) ในช่วงสงครามอินโดจีน มีไทยดำบางส่วนหนีไปอยู่ที่ต้งเงี่ยและดาลัทในเวียดนามใต้ และในที่สุด เมื่อคอมมิวนิสต์เข้าครองเมืองเดียนเบียนฟู คือเมืองแถงเดิมของไทยดำ ไทยดำประมาณ 3,000 กว่าคนก็ได้อพยพมาอยู่ที่บ้านนางาม แขวงเชียงขวางของประเทศลาว ต่อมาเห็นว่าที่เชียงขวาง สถานที่ทำมาหากินคับแคบ ไทยดำส่วนหนึ่งจึงอพยพมาอยู่ที่แขวงเวียงจันทน์ ที่บ้านอีไล และสุดท้ายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2518 ไทยดำได้อพยพหลบหนีเข้าขอพึ่งไทยเป็นแหล่งสุดท้าย (หน้า 48-49)

Settlement Pattern

บ้านเรือนของไทยดำทำโรงเป็นที่อยู่อาศัย เฉลียงด้านสกัดทำเป็นวงโค้งดูกลมเหมือนกระโจม เรือนหลังหนึ่งอยู่กันได้หลายครอบครัว ที่กลางเรือนมีเตาไฟเรียงกันไป 2-4 เตา ตามแต่เรือนใหญ่-เล็ก เตาไฟนี้สำหรับใส่ไฟผิงเท่านั้น ส่วนเตาไฟสำหรับทำกับข้าวนั้นมีอีกเตาหนึ่งต่างหาก พื้นเรือนใช้ไม้ไผ่เฮี้ยะ ซึ่งเป็นไม้บางนำมาสานเป็นลาย ส่วนภาชนะเครื่องใช้มีเสื่อทอด้วยฟางบ้าง สานด้วยหวายบ้าง (หน้า 23-24)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไทยดำมีอาชีพทำไร่ทำนา เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงไหม ทำไหม ทำไร่ฝ้าย ทอผ้า เก็บลูกเร่วจากป่าไปขาย (หน้า 24)

Social Organization

หนุ่มสาวไทยดำวัย 16-17 ปี จะเริ่ม "จีบ" กันในงานตรุษสงกรานต์ โดยผู้ชายบ้านหนึ่งจะไปเล่นรำแคนกับผู้หญิงอีกบ้านหนึ่ง เรียกตามภาษาไทยดำว่า "เล่นคอน" ทำให้ชาย-หญิงได้สนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อชอบพอกันผู้ชายก็จะให้พ่อแม่ไปสู่ขอ (หน้า 123-124) เมื่อฝ่ายชายได้สู่ขอตกลงกับฝ่ายหญิงแล้ว ฝ่ายชายก็จะจัดขบวนขันหมากไปยังบ้านฝ่ายหญิง เมื่อขันหมากมาถึง ทางฝ่ายหญิงก็จะจัดหาผู้หญิงมีอายุที่มีฐานะดีมาเป็นผู้จัดการปูที่นอนให้ คือ เอาที่ของชายทับลงบนที่นอนของหญิง เอาผ้าห่มของเจ้าบ่าววางทับลงบนผ้าห่มของเจ้าสาว เอาเครื่องนุ่งห่มของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมาวางปนเปเข้าด้วยกัน เป็นการแสดงว่าได้รวมกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว พิธีปูที่นอนนี้ ไทยดำเรียกว่า "พิธีปูเสื่อ" (หน้า 86-87) เมื่อถึงกำหนดที่จะอยู่กินด้วยกัน ฝ่ายชายจะต้องจัดหมู เป็ด ไก่ เป็นของไหว้ผี พร้อมกับกำไลเงินคู่หนึ่งหนักประมาณ 25 บาท ให้แก่บิดา-มารดาของฝ่ายหญิงเป็นสินสอด แล้วจึงทำการเซ่นไหว้ผีตามธรรมเนียม แล้วก็อยู่กินด้วยกันที่บ้านของฝ่ายหญิง ทำมาหาเลี้ยงบิดา-มารดาของหญิงอยู่เป็นเวลา 6 ปี ถ้าพ้นกำหนด 6 ปีไปแล้วจึงจะไปอยู่ที่อื่นได้ (หน้า 25) การสืบผีหรือสืบสกุลเป็นหน้าที่ของบุตรชาย ในกรณีที่สกุลนั้นมีบุตรชายหลายคน บุตรชายคนสุดท้องจะเป็นผู้สืบสกุล ส่วนผู้หญิงเมื่อแต่งงานก็ต้องเปลี่ยนไปใช้สกุลของฝ่ายชาย แต่เวลาที่มีการเสนเรือนของสกุลตนเอง ฝ่ายหญิงก็ต้องกลับไปร่วมงานเช่นเดิม ซึ่งพิธีเสนเรือนนี้บุตรชายจะเป็นฝ่ายจัด (หน้า 117)

Political Organization

แต่ละแคว้นแดนไทย มี "ท้าวใหญ่" หรือผู้ปกครองแคว้นเป็นผู้ปกครองสูงสุด มีที่ว่าการอำเภอเป็นที่รวมของหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ "ท้าวเมือง" โดยมี "ท้าวแสง" เป็นผู้ช่วย และแบ่งการปกครองออกเป็น 4 เหล่า ที่เลือกตั้งขึ้นมาตามลำดับอาวุโส ซึ่งต่างปกครองคนละเศษหนึ่งส่วนสี่ของเขตเมือง หัวหน้าหมู่บ้านก็มาจากการเลือกตั้ง เรียกว่า "ท้าวบ้าน" มีผู้ช่วยเรียกว่า "จ่าบ้าน" ซึ่งมีหน้าที่รับคำร้องของสาธารณชน และที่กองบังคับการอำเภอยังมี "ทุบา" ทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับพลเรือนและองค์โหม (องค์หมอ) ซึ่งเป็นโหร คอยทำนายฤกษ์ยามเมื่อจะมีงานต่าง ๆ ในหมู่บ้าน (หน้า 12-13)

Belief System

ในสังคมของไทยดำ เมื่อมีคนตายขึ้น จะมีการล้มวัวล้มควาย เพื่อให้ผู้ตายได้นำโค-กระบือนั้น ไว้ใช้เป็นพาหนะ และเมื่อเอาศพไปฝัง ถ้าผู้ตายเป็นผู้ชาย จะต้องนำไก่ตัวผู้ไปปล่อยไว้ที่ฝังศพ แต่ถ้าผู้ตายเป็นผู้หญิง ก็ต้องนำไก่ตัวเมียไปปล่อยไว้ ด้วยมีความเชื่อว่า ผู้ตายจะเลี้ยงไก่นั้นต่อไป และเมื่อฝังศพเสร็จแล้วกลับมาบ้าน ก็ต้องหาหมอมาอ่านมนต์ขับไล่ผีป่า เพราะผีป่าอาจจะได้กลิ่น โค-กระบือที่ล้ม จึงอาจจะมารบกวนให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย (หน้า 26) ในปีหนึ่งๆ ไทยดำจะมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการทำนา โดยมีการเซ่นไหว้ 2 ครั้ง คือในช่วงเดือน 5 ก่อนจะลงมือทำนา และเดือน 11 เมื่อได้ข้าวใหม่ เซ่นโดยการล้มกระบือ เป็ด ไก่ แต่ถ้าเป็นคนยากจนก็จะเอาเลือดเป็ด-ไก่มาทากระดูกโค-กระบือ แล้วเลี้ยงเหล้าข้าวปลาอาหารกันเป็นที่รื่นเริง (หน้า 27) นอกจากนี้ ก็จะมีพิธีเสนเฮือน คือการเซ่นไหว้ผีเรือน มีการเชิญผีบรรพบุรุษให้มากินเครื่องเซ่น ทำให้บรรพบุรุษไม่อดอยาก และดลบันดาลให้ลูกหลานในครอบครัวมีความสุข เกิดสิริมงคลแก่ครอบครัว และตลอดวันที่ทำพิธีเสนเรือนนั้นจะไม่มีการทำงาน ญาติพี่น้องตลอดจนแขกทุกคนที่มาจะอยู่ร่วมงานพิธีและนั่งสนทนาสลับกับการรับประทานอาหารกันไปตลอดทั้งวัน พิธีเสนนี้จะมีขึ้นเป็นประจำทุกปี หรืออาจจะสามปีต่อหนึ่งครั้ง แล้วแต่ฐานะของครอบครัว วันและเดือนที่จะทำพิธีนั้นจะเป็นเดือนไหนก็ได้ แล้วแต่หมอและเจ้าบ้านจะเห็นชอบ เดือนที่จัดกันมากคือเดือน 12 แต่เดือน 9-10 นั้นจะไม่จัดกันเลย เพราะเชื่อว่าในช่วง 2 เดือนนี้ ผีจะไปเข้าเฝ้าแถน (เทวดา) (หน้า 115-118)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

การรักษาพยาบาลเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยของไทยดำจะใช้วิธีการเซ่นผี โดยต้องหาหมอมดมาอ่านมนต์คนหนึ่ง และมีคนเป่าปี่คนหนึ่ง มนต์ที่อ่านนั้นมีใจความเชิญผีให้ช่วยรักษาและให้ขับผีป่าออกไป การเซ่นไหว้ ถ้าทำครั้งหนึ่งไม่หาย ก็ทำไป 2-3 ครั้งจนกว่าจะหายหรือตาย ในการทำพิธีแต่ละครั้ง ต้องมีค่าเบี้ยเลี้ยงให้แก่หมอเป็นเงิน หนึ่งสลึง ข้าวสาร 3 ถ้วย ไข่เป็ด 2 ฟอง (หน้า 25)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ผู้ชายนุ่งกางเกงขาแคบ ห่มเสื้ออย่างญวน เกล้าผมมวย ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ห่มเสื้ออย่างญวน ไว้ผมมวยเช่นเดียวกัน เมื่อมีสามีแล้ว จึงเกล้าผมสูง และนุ่งห่มสีดำ (หน้า 24) เครื่องประดับสำหรับผู้ชายจะมีกำไลมือและแหวน ส่วนผู้หญิงสวมปลอกคอ ต่างหู กำไลมือ ซึ่งส่วนมากมักทำจากเงิน (หน้า 27) ในอดีตทั้งชายและหญิงจะมีผ้าดำพันศีรษะเหมือนเช่นไทใหญ่ (หน้า 54) อย่างไรก็ตาม ในหน้า 125 ได้อ้างถึงการแต่งกายของหญิงไทยดำในอดีตไว้ว่า "ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน จะมีผ้ารัดหน้าอกสีแดง-เหลือง-ขาว-เขียว หรือสีอื่นๆ และเกล้าผมเทินไว้บนศีรษะเรียกว่า "ปั้นเกล้า" ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะต้องมีผ้ารัดอกสีดำ ปัก ถัก ลวดลายไว้ที่เชิงชายผ้าทั้งสองด้าน ตามภาษาพื้นบ้านเรียกว่า "ผ้าเบี่ยว" ส่วนผมที่เกล้าก็ล้มลงเสีย เรียกว่า "ผงะปั้นเกล้า" ซึ่งในปัจจุบันการแต่งกายแบบนี้ไม่มีแล้ว (หน้า 125)

Folklore

เรื่องราวของไทยดำที่ปรากฏในพงศาวดารล้านช้างกล่าวไว้ว่า มีผู้ใหญ่ 3 คน ชื่อ ปู่ลางเชิง, ขุนเค็ก และขุนคาน สร้างบ้านอยู่ในลุ่ม (หมายถึงดินแดนสิบสองจุไทย) เวลาได้ข้าวได้ปลาไม่ได้เซ่นไหว้บอกกล่าวแก่ผี ผีจึงโกรธบันดาลให้น้ำท่วมบ้านท่วมเมือง คนทั้งสามต้องต่อแพสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของตนเองและลูกเมีย จากนั้นจึงนำแพทวนน้ำขึ้นไปเมืองสวรรค์ ไปเฝ้าพระยาแถน (เทพเจ้าสูงสุด) ซึ่งประทับอยู่บนสวรรค์ เพื่อฟ้องร้องเรื่องผีทำให้น้ำท่วม เมื่อคนทั้งสามขึ้นไปถึงเมืองสวรรค์ พระยาแถนก็กรุณาให้ที่อยู่อย่างสบาย แต่พวกนี้ไม่เคยอยู่บนสวรรค์ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จะเหาะเหินเหมือนพวกเทวดาก็ทำไม่ได้ แทนที่จะมีความสุขก็กลับเบื่อหน่าย พากันไปเฝ้าพระยาแถน ทูลว่า "ข้อยนี้อยู่เมืองบนบ่แกว่น แล่นเมืองฟ้าบ่เป็น" ขออนุญาตกลับลงไปอยู่เมืองมนุษย์อย่างเดิม พระยาแถนก็อนุญาตให้กลับ และให้ควายมาด้วย คนทั้งสามลงมาจากสวรรค์มาอยู่ที่ตำบลซึ่งมีชื่อเรียกหลายอย่างคือ นาน้อย หรือนาบ่อน้อย หรือนาบ่อนน้อยอ้อยหนู ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ก็เลยมีควายช่วยเป็นแรงงานในการทำนา ต่อมามีผลน้ำเต้าใหญ่ผลหนึ่งเกิดขึ้น เมื่อเติบโตขึ้นเต็มที่ก็ได้ยินเสียงคนอยู่ในนั้นเป็นจำนวนมาก คนทั้งสามจึงเอาสิ่วไปเจาะน้ำเต้านั้น คนก็ไหลออกจากรูที่เจาะเป็นห้าสาย ต่างสายต่างแบ่งเชื้อชาติแยกกันไปเป็น ไทยลม, ไทยลี, ไทยเริง, ไทยลอ, ไทยควาง (หน้า 1-2) เมื่อมีคนออกมาจากลูกน้ำเต้ามากมายเช่นนั้น ปู่ลางเชิง, ขุนเค็กและขุนคานก็พยายามช่วยเหลือสอนให้ทำไร่ทำนา ทอผ้าซิ่น ให้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว แต่คนทั้งสามไม่สามารถจะควบคุมคนมากมายเหล่านั้นให้อยู่เรียบร้อยได้ ทั้งสามจึงต้องพากันขึ้นไปบนสวรรค์ รบกวนขอความช่วยเหลือจากพระยาแถนอีกครั้งหนึ่ง พระยาแถนได้ส่งเทวดาลงมาสององค์มาเป็นมนุษย์ ให้ชื่อว่า ขุนครู และ ขุนครอง แต่คนทั้งสองก็ปกครองรักษาความสงบไม่ไหว พระยาแถนต้องส่งเทวดาลงมาให้อีกองค์ ชื่อ ขุนบูลมลงมา พร้อมด้วยอาญาสิทธิ์ที่จะลงโทษคนผิด และให้เทวดาอีกหลายองค์มาเป็นมุขมนตรี แบ่งปันหน้าที่กันทำงานต่างๆ พ่อขุนบูลมได้ปรึกษากับพวกขุนนางของตนว่า ทำอย่างไรจึงให้คนในปกครอง "มีอันนุ่งอันกิน" พ่อขุนบูลมจึงขึ้นไปวิงวอนขอพระยาแถนให้ช่วยอีกครั้ง พระยาแถนได้ส่งพระวิษณุกรรมมาช่วยสร้างเมืองให้ แต่งไร่แต่งนา สอนการทอผ้าให้ดีกว่าแต่ก่อน สอนให้รู้จักพืชพันธุ์ที่เป็นยารักษาโรค และสอนดนตรีให้แก่พลเมืองอีกด้วย เมื่อได้ช่วยเหลือมากมายอย่างนี้แล้ว พระยาแถนก็บอกพ่อขุนบูลมว่า ต่อไปนี้ไม่ให้มารบกวนอีก เพราะทำให้หมดทุกอย่างแล้ว ไม่ยอมให้มนุษย์ขึ้นไปรบกวนเทพเจ้าบนสวรรค์อีกต่อไป ดังนั้นเส้นทางคมนาคมระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์จึงจบสิ้นลง (หน้า 1-5) นอกจากนี้ก็ยังมีการละเล่น โดยการเอาเม็ดฝ้ายห่อผ้าเป็นลูกกลมๆ ผู้ชายอยู่ฝั่งหนึ่ง ผู้หญิงอยู่อีกฝั่งหนึ่ง แล้วเอาลูกนั้นโยนใส่กัน ถ้าฝ่ายใดรับผิดทำผ้าเม็ดฝ้ายตกดิน ถือว่าแพ้ พวกที่ชนะก็จะเอาเหล้าให้พวกที่แพ้กิน และยังมีการนั่งล้อมเป็นวงขับรำแก้กันตามเพศภาษา มีเครื่องดนตรีคือปี่ เป่าเป็นจังหวะตามเพลงขับ (หน้า 27)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ชมพรรณ จันทิมา Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ไทยดำ, การตั้งถิ่นฐาน, ประวัติศาสตร์, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง