|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยดำ,การตั้งถิ่นฐาน,ประวัติศาสตร์,ประเทศไทย |
Author |
ม.ศรีบูรพา |
Title |
ไทยดำรำพัน |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
192 |
Year |
2522 |
Source |
โรงพิมพ์ศิริพรการพิมพ์ กรุงเทพฯ |
Abstract |
ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ได้มาจากหลักฐานที่เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชนต่างๆ และจากคำบอกเล่าของไทยดำซึ่งได้มาจากการสัมภาษณ์ รวมไปจนถึงขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อของไทยดำในที่ต่างๆ ถือได้ว่าเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่รวมเรื่องราวเกี่ยวกับไทยดำ |
|
Focus |
ประวัติความเป็นมาของชนเผ่าไทยดำตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงสมัยปัจจุบัน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยดำ ซึ่งเรียกตนเองว่า "ฝูไต" หรือ "ไต" ฝูไตก็คือผู้ไทยนั่นเอง (หน้า 110) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ตัวอักษรที่ใช้สำหรับเขียนของไทยดำ มีพยัญชนะ 37 ตัว สระ 14 ตัว (หน้า 73-74) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ชนเผ่าไทยได้อพยพจากภาคกลางของเมืองจีนมาอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำดำและลุ่มแม่น้ำแดงในแคว้นตังเกี๋ย (หน้า 12) จากพงศาวดารเมืองไล ได้กล่าวถึงไทยดำไว้ว่า ได้มีผู้ไทยขาว และผู้ไทยดำ ซึ่งอยู่ในดินแดงสิบสองจุไทยมาอยู่ปะปนกับชาวจีนที่เมืองไล ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแท้ฝั่งตะวันตกในดินแดนลาว (หน้า 29-31) ในช่วงสงครามอินโดจีน มีไทยดำบางส่วนหนีไปอยู่ที่ต้งเงี่ยและดาลัทในเวียดนามใต้ และในที่สุด เมื่อคอมมิวนิสต์เข้าครองเมืองเดียนเบียนฟู คือเมืองแถงเดิมของไทยดำ ไทยดำประมาณ 3,000 กว่าคนก็ได้อพยพมาอยู่ที่บ้านนางาม แขวงเชียงขวางของประเทศลาว ต่อมาเห็นว่าที่เชียงขวาง สถานที่ทำมาหากินคับแคบ ไทยดำส่วนหนึ่งจึงอพยพมาอยู่ที่แขวงเวียงจันทน์ ที่บ้านอีไล และสุดท้ายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2518 ไทยดำได้อพยพหลบหนีเข้าขอพึ่งไทยเป็นแหล่งสุดท้าย (หน้า 48-49) |
|
Settlement Pattern |
บ้านเรือนของไทยดำทำโรงเป็นที่อยู่อาศัย เฉลียงด้านสกัดทำเป็นวงโค้งดูกลมเหมือนกระโจม เรือนหลังหนึ่งอยู่กันได้หลายครอบครัว ที่กลางเรือนมีเตาไฟเรียงกันไป 2-4 เตา ตามแต่เรือนใหญ่-เล็ก เตาไฟนี้สำหรับใส่ไฟผิงเท่านั้น ส่วนเตาไฟสำหรับทำกับข้าวนั้นมีอีกเตาหนึ่งต่างหาก พื้นเรือนใช้ไม้ไผ่เฮี้ยะ ซึ่งเป็นไม้บางนำมาสานเป็นลาย ส่วนภาชนะเครื่องใช้มีเสื่อทอด้วยฟางบ้าง สานด้วยหวายบ้าง (หน้า 23-24) |
|
Economy |
ไทยดำมีอาชีพทำไร่ทำนา เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงไหม ทำไหม ทำไร่ฝ้าย ทอผ้า เก็บลูกเร่วจากป่าไปขาย (หน้า 24) |
|
Social Organization |
หนุ่มสาวไทยดำวัย 16-17 ปี จะเริ่ม "จีบ" กันในงานตรุษสงกรานต์ โดยผู้ชายบ้านหนึ่งจะไปเล่นรำแคนกับผู้หญิงอีกบ้านหนึ่ง เรียกตามภาษาไทยดำว่า "เล่นคอน" ทำให้ชาย-หญิงได้สนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อชอบพอกันผู้ชายก็จะให้พ่อแม่ไปสู่ขอ (หน้า 123-124) เมื่อฝ่ายชายได้สู่ขอตกลงกับฝ่ายหญิงแล้ว ฝ่ายชายก็จะจัดขบวนขันหมากไปยังบ้านฝ่ายหญิง เมื่อขันหมากมาถึง ทางฝ่ายหญิงก็จะจัดหาผู้หญิงมีอายุที่มีฐานะดีมาเป็นผู้จัดการปูที่นอนให้ คือ เอาที่ของชายทับลงบนที่นอนของหญิง เอาผ้าห่มของเจ้าบ่าววางทับลงบนผ้าห่มของเจ้าสาว เอาเครื่องนุ่งห่มของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมาวางปนเปเข้าด้วยกัน เป็นการแสดงว่าได้รวมกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว พิธีปูที่นอนนี้ ไทยดำเรียกว่า "พิธีปูเสื่อ" (หน้า 86-87) เมื่อถึงกำหนดที่จะอยู่กินด้วยกัน ฝ่ายชายจะต้องจัดหมู เป็ด ไก่ เป็นของไหว้ผี พร้อมกับกำไลเงินคู่หนึ่งหนักประมาณ 25 บาท ให้แก่บิดา-มารดาของฝ่ายหญิงเป็นสินสอด แล้วจึงทำการเซ่นไหว้ผีตามธรรมเนียม แล้วก็อยู่กินด้วยกันที่บ้านของฝ่ายหญิง ทำมาหาเลี้ยงบิดา-มารดาของหญิงอยู่เป็นเวลา 6 ปี ถ้าพ้นกำหนด 6 ปีไปแล้วจึงจะไปอยู่ที่อื่นได้ (หน้า 25) การสืบผีหรือสืบสกุลเป็นหน้าที่ของบุตรชาย ในกรณีที่สกุลนั้นมีบุตรชายหลายคน บุตรชายคนสุดท้องจะเป็นผู้สืบสกุล ส่วนผู้หญิงเมื่อแต่งงานก็ต้องเปลี่ยนไปใช้สกุลของฝ่ายชาย แต่เวลาที่มีการเสนเรือนของสกุลตนเอง ฝ่ายหญิงก็ต้องกลับไปร่วมงานเช่นเดิม ซึ่งพิธีเสนเรือนนี้บุตรชายจะเป็นฝ่ายจัด (หน้า 117) |
|
Political Organization |
แต่ละแคว้นแดนไทย มี "ท้าวใหญ่" หรือผู้ปกครองแคว้นเป็นผู้ปกครองสูงสุด มีที่ว่าการอำเภอเป็นที่รวมของหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ "ท้าวเมือง" โดยมี "ท้าวแสง" เป็นผู้ช่วย และแบ่งการปกครองออกเป็น 4 เหล่า ที่เลือกตั้งขึ้นมาตามลำดับอาวุโส ซึ่งต่างปกครองคนละเศษหนึ่งส่วนสี่ของเขตเมือง หัวหน้าหมู่บ้านก็มาจากการเลือกตั้ง เรียกว่า "ท้าวบ้าน" มีผู้ช่วยเรียกว่า "จ่าบ้าน" ซึ่งมีหน้าที่รับคำร้องของสาธารณชน และที่กองบังคับการอำเภอยังมี "ทุบา" ทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับพลเรือนและองค์โหม (องค์หมอ) ซึ่งเป็นโหร คอยทำนายฤกษ์ยามเมื่อจะมีงานต่าง ๆ ในหมู่บ้าน (หน้า 12-13) |
|
Belief System |
ในสังคมของไทยดำ เมื่อมีคนตายขึ้น จะมีการล้มวัวล้มควาย เพื่อให้ผู้ตายได้นำโค-กระบือนั้น ไว้ใช้เป็นพาหนะ และเมื่อเอาศพไปฝัง ถ้าผู้ตายเป็นผู้ชาย จะต้องนำไก่ตัวผู้ไปปล่อยไว้ที่ฝังศพ แต่ถ้าผู้ตายเป็นผู้หญิง ก็ต้องนำไก่ตัวเมียไปปล่อยไว้ ด้วยมีความเชื่อว่า ผู้ตายจะเลี้ยงไก่นั้นต่อไป และเมื่อฝังศพเสร็จแล้วกลับมาบ้าน ก็ต้องหาหมอมาอ่านมนต์ขับไล่ผีป่า เพราะผีป่าอาจจะได้กลิ่น โค-กระบือที่ล้ม จึงอาจจะมารบกวนให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย (หน้า 26) ในปีหนึ่งๆ ไทยดำจะมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการทำนา โดยมีการเซ่นไหว้ 2 ครั้ง คือในช่วงเดือน 5 ก่อนจะลงมือทำนา และเดือน 11 เมื่อได้ข้าวใหม่ เซ่นโดยการล้มกระบือ เป็ด ไก่ แต่ถ้าเป็นคนยากจนก็จะเอาเลือดเป็ด-ไก่มาทากระดูกโค-กระบือ แล้วเลี้ยงเหล้าข้าวปลาอาหารกันเป็นที่รื่นเริง (หน้า 27) นอกจากนี้ ก็จะมีพิธีเสนเฮือน คือการเซ่นไหว้ผีเรือน มีการเชิญผีบรรพบุรุษให้มากินเครื่องเซ่น ทำให้บรรพบุรุษไม่อดอยาก และดลบันดาลให้ลูกหลานในครอบครัวมีความสุข เกิดสิริมงคลแก่ครอบครัว และตลอดวันที่ทำพิธีเสนเรือนนั้นจะไม่มีการทำงาน ญาติพี่น้องตลอดจนแขกทุกคนที่มาจะอยู่ร่วมงานพิธีและนั่งสนทนาสลับกับการรับประทานอาหารกันไปตลอดทั้งวัน พิธีเสนนี้จะมีขึ้นเป็นประจำทุกปี หรืออาจจะสามปีต่อหนึ่งครั้ง แล้วแต่ฐานะของครอบครัว วันและเดือนที่จะทำพิธีนั้นจะเป็นเดือนไหนก็ได้ แล้วแต่หมอและเจ้าบ้านจะเห็นชอบ เดือนที่จัดกันมากคือเดือน 12 แต่เดือน 9-10 นั้นจะไม่จัดกันเลย เพราะเชื่อว่าในช่วง 2 เดือนนี้ ผีจะไปเข้าเฝ้าแถน (เทวดา) (หน้า 115-118) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาลเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยของไทยดำจะใช้วิธีการเซ่นผี โดยต้องหาหมอมดมาอ่านมนต์คนหนึ่ง และมีคนเป่าปี่คนหนึ่ง มนต์ที่อ่านนั้นมีใจความเชิญผีให้ช่วยรักษาและให้ขับผีป่าออกไป การเซ่นไหว้ ถ้าทำครั้งหนึ่งไม่หาย ก็ทำไป 2-3 ครั้งจนกว่าจะหายหรือตาย ในการทำพิธีแต่ละครั้ง ต้องมีค่าเบี้ยเลี้ยงให้แก่หมอเป็นเงิน หนึ่งสลึง ข้าวสาร 3 ถ้วย ไข่เป็ด 2 ฟอง (หน้า 25) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ผู้ชายนุ่งกางเกงขาแคบ ห่มเสื้ออย่างญวน เกล้าผมมวย ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ห่มเสื้ออย่างญวน ไว้ผมมวยเช่นเดียวกัน เมื่อมีสามีแล้ว จึงเกล้าผมสูง และนุ่งห่มสีดำ (หน้า 24) เครื่องประดับสำหรับผู้ชายจะมีกำไลมือและแหวน ส่วนผู้หญิงสวมปลอกคอ ต่างหู กำไลมือ ซึ่งส่วนมากมักทำจากเงิน (หน้า 27) ในอดีตทั้งชายและหญิงจะมีผ้าดำพันศีรษะเหมือนเช่นไทใหญ่ (หน้า 54) อย่างไรก็ตาม ในหน้า 125 ได้อ้างถึงการแต่งกายของหญิงไทยดำในอดีตไว้ว่า "ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน จะมีผ้ารัดหน้าอกสีแดง-เหลือง-ขาว-เขียว หรือสีอื่นๆ และเกล้าผมเทินไว้บนศีรษะเรียกว่า "ปั้นเกล้า" ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะต้องมีผ้ารัดอกสีดำ ปัก ถัก ลวดลายไว้ที่เชิงชายผ้าทั้งสองด้าน ตามภาษาพื้นบ้านเรียกว่า "ผ้าเบี่ยว" ส่วนผมที่เกล้าก็ล้มลงเสีย เรียกว่า "ผงะปั้นเกล้า" ซึ่งในปัจจุบันการแต่งกายแบบนี้ไม่มีแล้ว (หน้า 125) |
|
Folklore |
เรื่องราวของไทยดำที่ปรากฏในพงศาวดารล้านช้างกล่าวไว้ว่า มีผู้ใหญ่ 3 คน ชื่อ ปู่ลางเชิง, ขุนเค็ก และขุนคาน สร้างบ้านอยู่ในลุ่ม (หมายถึงดินแดนสิบสองจุไทย) เวลาได้ข้าวได้ปลาไม่ได้เซ่นไหว้บอกกล่าวแก่ผี ผีจึงโกรธบันดาลให้น้ำท่วมบ้านท่วมเมือง คนทั้งสามต้องต่อแพสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของตนเองและลูกเมีย จากนั้นจึงนำแพทวนน้ำขึ้นไปเมืองสวรรค์ ไปเฝ้าพระยาแถน (เทพเจ้าสูงสุด) ซึ่งประทับอยู่บนสวรรค์ เพื่อฟ้องร้องเรื่องผีทำให้น้ำท่วม เมื่อคนทั้งสามขึ้นไปถึงเมืองสวรรค์ พระยาแถนก็กรุณาให้ที่อยู่อย่างสบาย แต่พวกนี้ไม่เคยอยู่บนสวรรค์ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จะเหาะเหินเหมือนพวกเทวดาก็ทำไม่ได้ แทนที่จะมีความสุขก็กลับเบื่อหน่าย พากันไปเฝ้าพระยาแถน ทูลว่า "ข้อยนี้อยู่เมืองบนบ่แกว่น แล่นเมืองฟ้าบ่เป็น" ขออนุญาตกลับลงไปอยู่เมืองมนุษย์อย่างเดิม พระยาแถนก็อนุญาตให้กลับ และให้ควายมาด้วย คนทั้งสามลงมาจากสวรรค์มาอยู่ที่ตำบลซึ่งมีชื่อเรียกหลายอย่างคือ นาน้อย หรือนาบ่อน้อย หรือนาบ่อนน้อยอ้อยหนู ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ก็เลยมีควายช่วยเป็นแรงงานในการทำนา ต่อมามีผลน้ำเต้าใหญ่ผลหนึ่งเกิดขึ้น เมื่อเติบโตขึ้นเต็มที่ก็ได้ยินเสียงคนอยู่ในนั้นเป็นจำนวนมาก คนทั้งสามจึงเอาสิ่วไปเจาะน้ำเต้านั้น คนก็ไหลออกจากรูที่เจาะเป็นห้าสาย ต่างสายต่างแบ่งเชื้อชาติแยกกันไปเป็น ไทยลม, ไทยลี, ไทยเริง, ไทยลอ, ไทยควาง (หน้า 1-2) เมื่อมีคนออกมาจากลูกน้ำเต้ามากมายเช่นนั้น ปู่ลางเชิง, ขุนเค็กและขุนคานก็พยายามช่วยเหลือสอนให้ทำไร่ทำนา ทอผ้าซิ่น ให้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว แต่คนทั้งสามไม่สามารถจะควบคุมคนมากมายเหล่านั้นให้อยู่เรียบร้อยได้ ทั้งสามจึงต้องพากันขึ้นไปบนสวรรค์ รบกวนขอความช่วยเหลือจากพระยาแถนอีกครั้งหนึ่ง พระยาแถนได้ส่งเทวดาลงมาสององค์มาเป็นมนุษย์ ให้ชื่อว่า ขุนครู และ ขุนครอง แต่คนทั้งสองก็ปกครองรักษาความสงบไม่ไหว พระยาแถนต้องส่งเทวดาลงมาให้อีกองค์ ชื่อ ขุนบูลมลงมา พร้อมด้วยอาญาสิทธิ์ที่จะลงโทษคนผิด และให้เทวดาอีกหลายองค์มาเป็นมุขมนตรี แบ่งปันหน้าที่กันทำงานต่างๆ พ่อขุนบูลมได้ปรึกษากับพวกขุนนางของตนว่า ทำอย่างไรจึงให้คนในปกครอง "มีอันนุ่งอันกิน" พ่อขุนบูลมจึงขึ้นไปวิงวอนขอพระยาแถนให้ช่วยอีกครั้ง พระยาแถนได้ส่งพระวิษณุกรรมมาช่วยสร้างเมืองให้ แต่งไร่แต่งนา สอนการทอผ้าให้ดีกว่าแต่ก่อน สอนให้รู้จักพืชพันธุ์ที่เป็นยารักษาโรค และสอนดนตรีให้แก่พลเมืองอีกด้วย เมื่อได้ช่วยเหลือมากมายอย่างนี้แล้ว พระยาแถนก็บอกพ่อขุนบูลมว่า ต่อไปนี้ไม่ให้มารบกวนอีก เพราะทำให้หมดทุกอย่างแล้ว ไม่ยอมให้มนุษย์ขึ้นไปรบกวนเทพเจ้าบนสวรรค์อีกต่อไป ดังนั้นเส้นทางคมนาคมระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์จึงจบสิ้นลง (หน้า 1-5) นอกจากนี้ก็ยังมีการละเล่น โดยการเอาเม็ดฝ้ายห่อผ้าเป็นลูกกลมๆ ผู้ชายอยู่ฝั่งหนึ่ง ผู้หญิงอยู่อีกฝั่งหนึ่ง แล้วเอาลูกนั้นโยนใส่กัน ถ้าฝ่ายใดรับผิดทำผ้าเม็ดฝ้ายตกดิน ถือว่าแพ้ พวกที่ชนะก็จะเอาเหล้าให้พวกที่แพ้กิน และยังมีการนั่งล้อมเป็นวงขับรำแก้กันตามเพศภาษา มีเครื่องดนตรีคือปี่ เป่าเป็นจังหวะตามเพลงขับ (หน้า 27) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|