|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),คะยาห์ กะเรนนี บเว(กะเหรี่ยง), ขบวนการ,องค์กรทางการเมือง,การต่อสู้เพื่อสิทธิในการปกครองตนเอง,ประเทศพม่า |
Author |
Ikeda Kazuto |
Title |
The Karen Nationalist Movement in the Independence Period of Burma: The Politics of “a Separate State” |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาญี่ปุ่น |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, กะแย กะยา บเว,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดสยามสมาคม |
Total Pages |
60 |
Year |
2543 |
Source |
สถาบันวิจัยวัฒนธรรมเอเชียอาฟริกา เล่มที่ 60 ปี 2000 |
Abstract |
ภายใต้การปกครองของอังกฤษซึ่งให้สิทธิพิเศษแก่ชนชาติกะเหรี่ยงอย่างมากมาย รวมถึงการรับประกันสิทธิของกะเหรี่ยงใน การปกครองตนเองภายหลังการให้เอกราช แต่เมื่อได้รับเอกราชพม่านำโดย AFPFL ซึ่งประสบปัญหาความแตกแยกภายใน ก็ ไม่ได้ให้เอกราชกับกะเหรี่ยงตามแนวคิดเรื่องรัฐแบ่งแยก ทำให้กะเหรี่ยงไม่พอใจและลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิของตน อย่างไรก็ ตามกะเหรี่ยงเป็นเชื้อชาติขนาดใหญ่มีแหล่งที่อยู่และสายพันธุ์มากมาย อีกทั้งผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายก็แตกต่างกัน กะเหรี่ยงเองจึงมีการแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะ KNU และ KYO ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีจุดหมายและวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกันไป |
|
Focus |
การต่อสู้ขององค์กรทางการเมืองต่างๆ ของกะเหรี่ยงเพื่อสิทธิในการปกครองและดินแดน อาศัยของตนเองในเขตสหภาพพม่า ในช่วงต่ออาณานิคมและการได้รับเอกราช |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
การแบ่งกลุ่มของกะเหรี่ยงในปัจจุบันเป็นการแบ่งตามภาษา โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือ กะเหรี่ยงสะกอและโปว์ ประมาณร้อยละ 70 ของจำนวนกะเหรี่ยงทั้งหมด ถิ่นอาศัยอยู่บนเขาสูงบริเวณทิศตะวันตกของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีและทิศตะวันออกของชายแดนพม่าไทย กะเหรี่ยงส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา รองลงมาคือคริสต์ศาสนาซึ่งมีจำนวนประมาณร้อยละ 10-20 ที่เหลือเป็นกะเหรี่ยงที่นับถือผีสาง (หน้า 42) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
มีเอกสารทางการหลายฉบับในช่วงที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษที่ระบุไว้ว่า ถิ่นที่อยู่ของชาวกะเหรี่ยงเป็น "รัฐแบ่งแยก (a separate state)" ซึ่งมีการตีความแตกต่างกันไป อังกฤษและพม่าตีความในฐานะที่รัฐกะเหรี่ยงเป็นหน่วยการปกครองหน่วยหนึ่งว่า เป็นรัฐที่มอบให้กะเหรี่ยงปกครองตนเอง ขณะเดียวกันกะเหรี่ยงกลับตีความว่า "รัฐแบ่งแยก" คือรัฐอิสระหรือมีฐานะเป็นประเทศหนึ่ง และความหมายนี้เองที่กลายเป็นเป้าหมายของการต่อสู้ของกะเหรี่ยงในเวลาต่อมา (หน้า 38-41) จุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์พม่าและกะเหรี่ยงคือ เมื่อมีการทำข้อตกลงระหว่างอองซานกับอัทลี (Atlee) และการกำหนดรัฐธรรมนูญในเดือนพฤษภาคม ปี 1947 โดย AFPFL เท่ากับว่าอังกฤษยอมรับเอกราชของพม่า และอังกฤษจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหากะเหรี่ยงในพม่าอีก ทาง AFPFL จะเป็นผู้จัดการปัญหานี้เอง (หน้า 51-54) ในปี 1947 AFPFL ต้องเผชิญกับปัญหาการรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น รวมไปถึงดินแดนของกะเหรี่ยงด้วย รัฐบาลพม่าแสดงท่าทีเกี่ยวกับการรวมประเทศครั้งแรกในการประชุมเตรียมร่างรัฐธรรมนูญซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 20-23 พฤษภาคม แนวคิดการรวมเป็นหนึ่งทางการเมืองของอองซานมีพื้นฐานมาจากแนวคิดของเลนินและสตาลิน โดยอองซานเสนอว่าพม่าประกอบไปด้วย ชุมชนแห่งชาติ (National Community) ซึ่งหมายถึงเชื้อชาติพม่าเท่านั้น ในที่นี้อาจตีความรวมถึงฉานได้ด้วย อีกส่วนหนึ่งคือ เชื้อชาติชนกลุ่มน้อย (National minority) หมายถึง จิ่งโป คะฉิ่นและกะเหรี่ยง เนื่องจากชนชาติเหล่านี้ไม่มีภาษาสากลและปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่เข้มแข็ง ทั้งนี้แนวคิดการแบ่งแยกเชื้อชาติประชากรของพม่าออกเป็นสองกลุ่มนี้สะท้อนให้เห็นโครงสร้างของรัฐธรรมนูญ AFPFL ได้เป็นอย่างดี (หน้า 68-70) ด้านการปกครอง AFPFL ตัดสินใจที่จะรวมอำนาจการปกครองและเขตแดนทั้งหมด รวมถึงพื้นที่ห่างไกลของกะเหรี่ยง โดยไม่ได้คำนึงถึงแนวคิดเรื่อง "รัฐแบ่งแยก" ทั้งนี้ เนื่องจากทาง AFPFL เกรงว่าหากปล่อยให้ดินแดนเหล่านี้มีอิสระมากเกินควรอาจส่งผลให้พลังการต่อสู้ของกะเหรี่ยงเพิ่มมากขึ้น (หน้า 73) แต่รัฐธรรมนูญนี้สร้างความไม่พอใจต่อฝ่ายกะเหรี่ยงมาก เดือนมิถุนายนฝ่ายBKNA, KYO ยกเว้น KNU, San Po Thin,และ Bakhaing กะเหรี่ยงในพื้นที่ห่างไกลได้จัดตั้ง "รัฐแบ่งแยก" ขึ้นโดยได้รับความยอมรับจากอังกฤษ แต่สร้างความกังวลใจให้กับฝ่ายพม่าเป็นอย่างมาก (หน้า 74-75) แต่ข้อตกลงของกะเหรี่ยงดังกล่าวต้องสะดุดลงเมื่อเกิดเหตุการณ์การสังหารผู้นำคนสำคัญของ AFPFL รวมถึงอองซานในวันที่ 19 กรกฏาคม (หน้า 79-80) กลุ่มกะเหรี่ยงจึงได้สลายตัวกันไป (หน้า 81,94) พลังการต่อสู้ของกะเหรี่ยงแตกแยกกันอีกครั้งก่อนการประชุมครั้งที่สองเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาเชื้อชาติกะเหรี่ยงแตกออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่าย KYO ที่ต้องการตั้ง KAC คณะกรรมการหารือด้านการปกครอง ซึ่งเป็นการประกันสิทธิในด้านการปกครองตนเองเท่านั้น ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายกะเหรี่ยงที่มีพื้นที่ห่างไกลยังคงยืนยันเรื่อง รัฐแบ่งแยกซึ่งครอบคลุมถึงเขตแดนและอำนาจในการปกครองตนเอง (หน้า 81-83,94-95) ความแตกแยกทวีความรุนแรงมากขึ้นไม่ใช่เฉพาะกลุ่ม KNU และ กลุ่ม KYO เท่านั้น ยังปรากฏความแตกแยกระหว่าง KNU กับกะเหรี่ยงในเขตห่างไกลและความแตกแยกกันเองภายในระหว่างกลุ่มกะเหรี่ยงพื้นที่ห่างไกล (หน้า 83-84) เป้าหมายของแต่ละกลุ่มต่างกันไปดังนี้ 1. KNU ต้องการตั้งรัฐเอกราชของกะเหรี่ยง 2. KYO ไปกล่าวที่เขตตะนาวศรี (tenaserim) ของกะเหรี่ยงเพื่ออธิบายเงื่อนไขที่ทางกะเหรี่ยงได้ตกลงไว้แล้ว 3. กะเหรี่ยงพื้นที่ห่างไกลยังต้องการให้ตั้งรัฐแบ่งแยกเขตสาละวินได้แบ่งแยกออกจากกลุ่มกะเหรี่ยงพื้นที่ห่างไกล 4. คาเรนนีเปลี่ยนท่าทีก่อนการประชุมโดยหันไปเข้ากับฝ่ายสหภาพพม่า ทำให้สุดท้ายฝ่ายคาเรนนีได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐธรรมนูญที่แตกต่างจากกะเหรี่ยงอื่นๆ (หน้า 83-86) ผลคือ รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้สิทธิเรื่องรัฐกะเหรี่ยงหรือแม้แต่เขตพิเศษกะเหรี่ยงเลย สิ่งที่รัฐธรรมนูญให้ความสนใจคือการตั้ง KAC เท่านั้น (หน้า 88-89) หลักการของรัฐธรรมนูญทำให้ KNU ยิ่งแข็งกร้าวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นรัฐบาลกลางพม่ากำลังประสบปัญหาเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์ หรือ PVO (People's Volunteer Organisation) ทำให้ปัญหาเรื่องกะเหรี่ยงไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไร (หน้า 90-91) อย่างไรก็ตาม ท่าทีของกะเหรี่ยงกลับเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ทหารกะเหรี่ยงกว่า 4 แสนคนได้เข้ายึดเมืองใหญ่กว่า 10 เมืองในเวลาเดียวกัน ในเดือนกันยายนหน่วย KNDO (Karen National Defense Organisation) ซึ่งเป็นกองกำลังป้องกันของ KNU ได้เข้ายึดเมืองท่าตอนและเมาะละแหม่ง (หน้า 91-92) ตามด้วยการรบครั้งใหญ่ในเมืองอินเสนในวันที่ 31 มกราคม 1949 |
|
Political Organization |
องค์กรการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกะเหรี่ยง ได้แก่ KNU (Karen National Union) แกนหลักคือกะเหรี่ยงสะกอและโปว์ KNPP (Karenni National Pregressive Party) ของกะเหรี่ยงคาเรนนี PNO (Pao National Organisation) และ SSNLO (Shan State Nationalities Liberation Organisation) (หน้า 42-43) องค์กร KCO หรือ Karen Central Organisation และ KYO (Karen Youth Organisation) ซึ่งเป็นองค์กรยุวชนกะเหรี่ยงที่เกิดขึ้นในปี 1945 และเติบโตอย่างรวดเร็ว (หน้า 50) ปี 1881 เป็นปีที่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเริ่มมีการเคลื่อนไหวและก่อตั้ง Karen National Association หรือ KNA ส่วนพม่ามีการก่อตั้งองค์กรครั้งแรกในปี 1906 ชื่อองค์กร Young Men's Burmese Association (YMBA) ความแตกต่างระหว่างองค์กรของกะเหรี่ยงกับพม่าคือ องค์กรของพม่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย ส่วนองค์กร KNA ของกะเหรี่ยงเป็นเพียงองค์กรทางศาสนาและวัฒนธรรม เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองในภายหลัง ฝ่ายพม่าในระยะนั้นต่อต้านเจ้าอาณานิคมอังกฤษ ขณะที่ฝ่ายกะเหรี่ยงเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษ แนวทางทางการเมืองของกะเหรี่ยงกับพม่าจึงขัดแย้งกัน ขณะนั้น Dr.San Crombie Po ได้จัดตั้ง "รัฐแบ่งแยก" ซึ่งมีการระบุอย่างชัดเจนในครั้งแรกว่า " รัฐกะเหรี่ยงพร้อมกับท่าเรือทางทะเลในสหภาพพม่า (A Karen State, with seaboard, in the United Burma)" (หน้า 57) โดยกำหนดลักษณะพิเศษเกี่ยวกับกะเหรี่ยงไว้ว่า ต้องเป็นกะเหรี่ยงตามการกำหนดโดยอังกฤษ ต้องเป็นกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์เท่านั้น และต้องเป็นกะเหรี่ยงที่นับถืออังกฤษ และในทางตรงกันข้าม ต้องไม่ไว้วางใจพม่าด้วยเช่นกัน ต่อมา Dr.San C. Po ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งกะเหรี่ยงในต้นทศวรรษ 1920 นอกจากนี้ Dr.San C. Po ยังได้ก่อตั้ง "a Karen country" โดยมีหลักการจากความไม่พอใจต่อความไม่ยุติธรรมที่ชนชาติกะเหรี่ยงไม่มีสิทธิ์บนถิ่นอาศัยของตน (หน้า 44-45) ซึ่งกลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดนี้คือ กลุ่มกะเหรี่ยงสะกอที่นับถือคริสต์เป็นหลัก (หน้า 52) ช่วงตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 7 กุมภาพันธ์ ทาง KCO ได้จัดการประชุมหารือกันในหมู่กะเหรี่ยงทั้งหมด (All Karen Congress) เนื่องจากความกังวลต่อผลของข้อตกลงระหว่างอองซานกับอัทลี ผลของการประชุมกะเหรี่ยง คือ หนึ่ง การก่อตั้งสหพันธ์กะเหรี่ยงร่วม (KNU) โดยผู้นำขององค์กรนี้เป็นกลุ่ม KCO และ KYO สมาชิกหลักเป็นกะเหรี่ยงสะกอและโปว์ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ ข้อตกลงที่สอง คือ การยอมรับข้อตกลงระหว่างอองซานกับอัทลี (หน้า 54-56) ต่อมากลุ่ม KNU ได้แตกออกเนื่องจากความคิดเห็นต่อผู้นำพม่าแตกต่างกัน กลุ่ม KYO เริ่มมีความสนิทสนมและสนับสนุนอองซาน แสดงบทบาทเป็นเสมือนผู้ประสานงานระหว่าง KNU กับ AFPFL (หน้า 59) ความแตกแยกนี้ ไม่ได้เกิดจากความแตกต่างทางอุดมการณ์ แต่เกิดจากทัศนคติต่อชาติพันธุ์พม่าที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการต่อรองกับ AFPFL และความต่างเรื่องวิธีการปกป้องสิทธิของกะเหรี่ยง (หน้า 60-61) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
1. แผนที่รัฐแนวร่วมเอกภาพกะเหรี่ยง (United Frontier Karen State) ปี 1945-6 (หน้า 49) 2. แผนที่รัฐปกครองตนเองกะเหรี่ยง (a Karen Autonomous State) (หน้า 78) 3. แผนที่พื้นที่ศูนย์กลางของคอทูเล ภายหลังการตั้งรัฐธรรมนูญ (หน้า 90) ตารางที่ 1 โครงสร้างผู้นำของ KNU ปี 1947 (หน้า 55) ตารางที่ 2 ผู้เข้าร่วมประชุมเชื้อชาติกะเหรี่ยงทั้งหมด ปี 1947 (หน้า 56) ตารางที่ 3 โครงสร้างผู้นำใหม่ของ KNU ปี 1947 (หน้า 59) ตารางที่ 4 สมาชิกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชนชาติกะเหรี่ยง (หน้า 66) ตารางที่ 5 ตารางการกำหนดสถานะของชาติพันธุ์ต่างๆ ในรัฐธรรมนูญโดย AFPFL (หน้า 72) |
|
|