สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ลาหู่คริสต์,เรื่องเล่า,ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์,เชียงใหม่
Author Yoichi Nishimoto
Title Lahu Narratives of Inferiority: Christianity and Minority in Ethnic Power Relations
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 200 Year 2543
Source The Centre for Inter-Ethnic Studies (CIES) Rajabhat Institute Chiang Rai, Ban Du, Amphoe Meung, Chiang Rai 57100, Thailand.
Abstract

การศึกษาวิจัยครั้งนี้สนใจเรื่องเล่าของลาหู่คริสต์ที่สะท้อนในการมองกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองว่าเป็นชนชั้นต่ำ โดยมองผ่านแนวคิดและเรื่องเล่าของลาหู่เกี่ยวกับความรู้ "Cu yi" และการมีดินแดนของลาหู่ ซึ่งค่อนข้างมีบทบาทสำคัญต่อความรู้สึกและแนวคิดของลาหู่คริสต์เกี่ยวกับอดีต ปัจจุบันและความคาดหวังในอนาคต ในกรณีเรื่องเล่าของลาหู่ที่มีความรู้สึกในเชิงลบกับกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองถูกผลิตขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ทางสังคม จิตสำนึกทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชน กลุ่มใหญ่และเป็นผู้ปกครอง เรื่องเล่ามีหลายรูปแบบและบางเรื่องเล่าเป็นการยืนยันความรู้สึกของประสบการณ์ทางสังคมของผู้คน และจิตสำนึกทางชาติพันธุ์ ดังที่ลาหู่รู้สึกต่อการอยู่อาศัยในดินแดนของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น แนวคิดของการต้องการมีดินแดนของตนเอง และวาทกรรมอื่นๆ แสดงสัญญะจากเรื่องราวที่เป็นจริงในสังคม โบสถ์คริสเตียนเป็นสถาบันที่นำคุณค่า มาตรฐาน สังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เข้ามาสู่ลาหู่คริสต์และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไปสู่แนวทางของระบบเศรษฐกิจในสังคมสมัยใหม่ และแนวคิดของกลุ่มลาหู่คริสต์ได้เข้าไปผสมผสานกับแนวคิดดั้งเดิมเข้ากันจนยากที่จะแยกออกได้ว่าแนวคิดใดเป็นแนวคิดดั้งเดิมและแนวคิดใดเป็นแนวคิดใหม่จากศาสนาคริสต์ แต่อย่างไรก็ตามแนวทางในการพัฒนาตามโครงการต่างๆ ของโบสถ์คริสเตียนก็ได้ส่งผลให้เกิดการลดทอนคุณค่าของแนวคิดแบบดั้งเดิม และเกิดการผลิตใหม่ของแนวคิดเกิดขึ้น เรื่องเล่าจึงไม่ใช่เรื่องที่พูดกันไปเท่านั้นแต่มีความหมายที่ซับซ้อนเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้คน ซึ่งเกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ และจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ของแต่และกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 170-175)

Focus

การศึกษาในงานวิจัยนี้เน้นการหาคำตอบเกี่ยวกับลักษณะประสบการณ์สังคมและจิตสำนึกเชิงประวัติศาสตร์ของลาหู่คริสต์ ที่สะท้อนในเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเองและอิทธิพลของคริสต์ศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการก่อตัวของประสบการณ์และจิตสำนึกเชิงประวัติศาสตร์ดังกล่าว (หน้า 5)

Theoretical Issues

ผู้วิจัยได้นำเสนอข้อเสนอเชิงทฤษฎีจากงานวิจัยชิ้นนี้ว่า การเล่าเรื่องไม่ใช่วัตถุก็มีรูปลักษณ์บางอย่างเฉพาะในกรณีของลาหู่จะมีรูปลักษณ์ในทางกล่าวถึงความต่ำต้อยของกลุ่มตนเอง (หน้า 170) รูปลักษณ์จะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ทางสังคมและจิตสำนึกเชิงประวัติศาสตร์ อย่างในกลุ่มลาหู่ที่มีประสบการณ์อันยาวนานของกระบวนการเป็นชนกลุ่มน้อย (หน้า 171) ในประเทศต่างๆ และลาหู่คริสต์จำเป็นต้องเรียนรู้วิถีของศาสนาคริสเตียนซึ่งดูว่ามีอารยะกว่าวัฒนธรรมของกลุ่มตนเอง (หน้า 172)

Ethnic Group in the Focus

ลาหู่คริสต์ ทั้งที่เป็นลาหู่แดงและลาหู่ดำ ที่นับถือศาสนาคริสต์ กลุ่มที่เรียกว่า "Thailand Lahu Baptist Convention (TLIBC)" โดยเฉพาะที่อยู่หมู่บ้าน T อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 13-14)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาลาหู่ถูกจัดอยู่ในตระกูลภาษาทิเบต-พม่า ในกลุ่มสายตระกูลย่อย โลโล และภาษาลาหู่มีหลายสำเนียง ลาหู่คริสต์ส่วนใหญ่ใช้สำเนียงลาหู่ดำ "Lahu Na" (หน้า 48-49)

Study Period (Data Collection)

ธันวาคม 1996-พฤศจิกายน 1997

History of the Group and Community

ชีวประวัติของ Cha Law หัวหน้าหมู่บ้านและเป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน Cha Law อายุประมาณ 80 ปี เขาเกิดในหมู่บ้าน Na Ka จังหวัดยูนนานทางตอนใต้ของจีนซึ่งติดกับชายแดนพม่า พ่อแม่ของ Cha Law ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่ Cha Law ได้พบกับมิชชันนารีเมื่อเป็นเด็กและได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์หลังจากนั้น ครอบครัวของเขาอพยพเข้ามาในพม่าในปี ค.ศ. 1944 แต่มีปัญหาเรื่องที่ดินและความขัดแย้งภายในพม่าในที่สุดครอบครัวของเขาและชาวบ้านอีกประมาณ 20-30 ครัวเรือนก็อพยพเข้ามาในประเทศไทยในปี ค.ศ. 1995 (หน้า 21-23)

Settlement Pattern

บ้านส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ไผ่ไม่แตกต่างกันมากนัก หมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ (หน้า 19)

Demography

หมู่บ้านประกอบด้วย 25 ครัวเรือน มีประชากรทั้งหมด 162 คน (หน้า19) ผู้สูงอายุในหมู่บ้านส่วนใหญ่เกิดในเมืองจีนและอพยพเข้ามาในพม่าในช่วงปี ค.ศ.1949 ในสมัยที่พรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจ คนรุ่นต่อมาเกิดในพม่า ซึ่งกลุ่มคนทั้งสองรุ่นนี้เจ็บปวดจากผลของสงคราม ความรุนแรง ฆาตกรรมและการเก็บภาษีของทหารไทใหญ่ พวกเขาได้หลบหนีสงครามเข้าสู่เมืองไทยและอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านประมาณ 25 ปีที่ผ่านมาในฐานะผู้ลี้ภัย (หน้า 23-24)

Economy

ในช่วงเริ่มแรกที่มีการอพยพเข้ามาตั้งหมู่บ้านทุกครัวเรือนทำไร่หมุนเวียน ระบบเศรษฐกิจไม่ขึ้นอยู่กับภายนอกมากนัก เมื่อมีการสร้างถนนเชียงใหม่-แม่อาย เมื่อถนนสร้างเสร็จมีคนเมืองหลายคนขายที่ดินใกล้ถนนและอพยพเข้ามาอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน T ต่อมามีโครงการพัฒนาชาวเขาจากรัฐบาลไทย ทำให้เกิดการเพิ่มการติดต่อมากขึ้นระหว่างลาหู่กับคนไทย ระบบเศรษฐกิจระดับประเทศที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เริ่มมีคนเข้ามาซื้อที่ดินในหมู่บ้าน T เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1988 ลาหู่ขายที่ดินโดยจุดประสงค์หลักเพื่อนำเงินมาใช้ในการทำบัตรประชาชน ในช่วงเวลานี้ลาหู่ยังทำไร่หมุนเวียน จนกระทั่งปี ค.ศ. 1992-1994 กรมป่าไม้เริ่มออกกฎหมายและจับกุมผู้บุกรุกป่า ทำให้คนในหมู่บ้านเปลี่ยนไปเป็นแรงงานร้บจ้าง ในไร่ โรงงานต่างๆ ทั้งในเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง การมีบัตรประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการโยกย้ายถิ่นได้ ปัจจุบันไม่มีครัวเรือนไหนที่ทำไร่อย่างเดียวส่วนใหญ่จะทำไร่และเป็นแรงงานรับจ้าง และมีบางส่วนที่เป็นแรงงานรับจ้างอย่างเดียว (หน้า 26-29)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

รัฐบาลไทยได้เข้ามาสำรวจหมู่บ้านในปี ค.ศ. 1990 เพื่อออกบัตรประชาชน ประเด็นการได้สัญชาติไทยเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงในกลุ่มลาหู่มาก หมู่บ้าน T สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ กลุ่มที่ได้รับบัตรขาวหรือบัตรประชาชนประมาณ 48 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มที่ได้รับบัตรสีนำเงิน "Partial citizenship" 19 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มที่ไม่มีบัตรประชาชน 19 เปอร์เซ็นต์ บางคนในหมู่บ้านกล่าวว่าการได้รับสัญชาติไทยต้องใช้เงินมากและต้องจ่ายเงินผ่านหัวหน้าหมู่บ้าน ถึงเจ้าหน้าที่อำเภอ ใช้เวลาในการดำเนินการนาน แต่หากไม่มีสัญชาติก็จะมีปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดด้านการศึกษา การเคลื่อนย้ายพื้นที่ และการกลายเป็นแรงงานชั้นล่าง จากความสำคัญของการได้รับสัญชาติทำให้หมู่บ้านลาหู่ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของรัฐบาลส่งผลกระทบซึ่งทำให้กลุ่มลาหู่รับรู้ว่าพวกเขาไม่มีดินแดน ไม่มีอำนาจ และลาหู่มักจะพูดเสมอว่า "ลาหู่ไม่มีประเทศต้องอาศัยอยู่ในประเทศของคนอื่น" (หน้า 24-26)

Belief System

ลาหู่คริสต์หลายคนยังเชื่อในเรื่องของเทพเจ้า วิญญาณ ตามธรรมชาติ โดยลาหู่ส่วนใหญ่จะเชื่อว่า Gui sha เป็นเทพเจ้าผู้สร้างทุกสิ่งสำหรับลาหู่คริสต์ได้รวมให้ Gui sha เป็นพระเจ้าในศาสนาคริสต์ แนวคิดในศาสนาคริสต์ได้เข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมของลาหู่คริสต์จนยากจะแยกออกได้ว่าแนวคิดใดเป็นความเชื่อดั้งเดิมและแนวคิดใดมาจากการรับศาสนาคริสต์ และลาหู่คริสต์มีความเชื่อในเรื่องการกลับมาจุติใหม่อีกครั้งพระเยซูและความเชื่อเกี่ยวกับปี 2000 ของลาหู่คริสต์ พวกเขายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงหรือไม่แต่เชื่อว่าจุดจบของโลกกำลังใกล้เข้ามา และจะมีสัญญาณบอกเช่น แผ่นดินไหว โรคร้าย (AIDS) ความอดอยาก ประเทศต่างๆ สู้รบกัน น้ำท่วม และโจรขโมย เป็นต้น (หน้า 151-156) พระเจ้าจะช่วยให้พวกเขาอยู่รอดและมีความหวังที่จะกอบกู้ดินแดนของตนเองกลับมาอีกครั้ง โบสถ์คริสเตียนในประเทศไทยเข้ามามีบทบาทสำหรับลาหู่คริสต์ในการปรับตัวเข้าสู่สังคมสมัยใหม่และโบสถ์ยังสนับสนุนวัฒนธรรมลาหู่และการเขียนตัวหนังสือลาหู่เพื่อต่อต้านการกลายเป็นไทย (หน้า 50-76)

Education and Socialization

ในหมู่บ้านไม่มีโรงเรียน เด็กๆ ไปโรงเรียนที่ถนนใหญ่ซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ 4 กิโลเมตร และรียนกับเด็กคนเมือง โดยมีรถกะบะของโรงเรียนมารับ-ส่งทุกวัน เด็กหลายคนเมื่อจบชั้นประถมศึกษาต้องออกมาช่วยทำงานในไร่หรือแต่งงาน มีเพียงส่วนน้อยที่ได้เรียนต่อระดับมัธยมและไม่มีคนที่เรียนต่อระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย เนื่องจากลาหู่คริสต์อพยพเข้ามาจากพม่าพวกเขาไม่ได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนมากนัก จากการสัมภาษณ์คนในหมู่บ้านมักจะพูดว่าไม่ได้รับการศึกษาแม้ว่าจะผ่านการเรียนระดับชั้นประถมศึกษาก็ตาม นอกเหนือจากการศึกษาจากรัฐ โบสถ์ได้สนับสนุนการเขียนตัวหนังสือลาหู่โดยใช้อักษรโรมัน ที่พัฒนาโดยมิชชันนารี แต่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก เนื่องตัวอักษรและภาษาลาหู่มีจำกัด และไม่ได้ใช้ประโยชน์ในสังคมไทย และมีผู้อ่านออกและเขียนได้อยู่ไม่มากนัก (หน้า 37-38)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ตามวัฒนธรรมของลาหู่จะมีการเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้านถ้าพวกเขามีเวลาในช่วงกลางวัน และสำหรับครัวเรือนเวลาหลังอาหารเย็นจะเป็นเวลาพูดคุยกันและนินทาเป็นหัวข้อสนทนาที่สนุกสนานสำหรับลาหู่คริสต์ เรื่องที่พูดกันบ่อยๆ คือเรื่องเกี่ยวกับลาหู่ โดยเฉพาะการพูดถึงลาหู่ไม่มีความรู้ ซึ่งปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าและบทสนาหลายครั้ง (หน้า 77) 1. เรื่องเล่าเกี่ยวกับความต่ำต้อยของลาหู่ เรื่องที่ได้ยินบ่อยๆ ในกลุ่มลาหู่คริสต์คือ การพูดถึง cu yi caw ve คือ พวกเขาและเธอมีความรู้ แต่ส่วนใหญ่จะพูดถึงในเชิงลบ ซึ่งปรากฏในหลายเรื่องเล่า เช่น ลาหู่ไม่มีความรู้ ลาหู่ไม่มีความคิด ลาหู่ไม่มีการศึกษา ลาหู่ไม่มีประเทศต้องอาศัยอยู่ในประเทศของผู้อื่น บ้านลาหู่ไม่ดี อาหารลาหู่ไม่ดี ลาหู่เป็นหนูหรือลิง ลาหู่อาศัยอยู่ในป่า เรื่องเล่ากล่าวถึงลาหู่ในสถานะเป็นชนชั้นล่างต่ำกว่าคนอื่น การพูดถึงเรื่องนี้มีในกลุ่มลาหู่คริสต์มากกว่ากลุ่มลาหู่ทั่วไป เรื่องเล่าปรากฏในตำนาน เทป หนังสือ เพลง ข้อความและบทสนทนา ซึ่งวาทกรรมของการเป็นชนชั้นต่ำกว่าคนอื่นไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อยู่ในจิตสำนึกอันยาวนานของการเป็นชนกลุ่มน้อยภายใต้การปกครองของผู้อื่น (หน้า 77-82) โครงการพัฒนาจากโบสถ์คริสต์ปัจจุบันได้เข้ามามีส่วนในการผลิตใหม่เพื่อกอบกู้ความรู้ และให้แนวคิดใหม่เกี่ยวกับความรู้คือการรู้หนังสือและการมีการศึกษา ก่อให้เกิดการลดทอนให้คุณค่าของแนวคิดเกี่ยวกับความรู้ดั้งเดิมของลาหู่ลง เรื่องเล่าของการที่ผู้คนต้องหาความรู้เพื่อให้ลาหู่กลับมามีอนาคตที่ดีอีกครั้ง ความรู้และการไม่มีตัวหนังสือกลายเป็นวาทกรรมในสังคมลาหู่คริสต์ (หน้า 97-110) 2. ตำนานที่มาของลาหู่ -ลาหู่สูญเสียอำนาจในการปกครอง นานมาแล้ว Gui sha เรียกทุกคนมาพบและพูดว่าจะให้ตราประทับเป็นเครื่องหมายของการเป็นผู้นำการปกครอง ลาหู่ได้ตราประทับนั้นไปและเป็นผู้ปกครองทุกชาติพันธุ์ เมื่อสาวรับใช้ไทใหญ่นำอาหารมาให้ ผู้นำได้จับหน้าอกของเธอ หญิงสาวร้องไม่ยอมหยุดและขอให้หัวหน้ามอบตราประทับให้ หัวหน้ามอบให้ไปทำให้เขาสูญเสียอำนาจในการปกครอง มีการพูดเสมอว่าลาหู่เสียอำนาจในการปกครองเพียงเพราะว่าจับหน้าอกหญิงสาวไทใหญ่ (หน้า 85-86) -ลาหู่สูญเสียประเทศ นานมาเล้วลาหู่มีดินแดนของตนเองชื่อว่า Muvh Meh Mi Meh อยู่ในจีน ชาวจีนใช้กำลังแย่ไปแต่ลาหู่ต่อสู้และชนะไล่ให้ชาวจีนอยู่ในถ้าเป็นเวลานาน ลาหู่จึงทำกับดักไว้หน้าถ้ำหากชาวจีนออกมาและออกไปล่าสัตว์หาอาหาร และมีหญิงสาวลาหู่เจ็ดคนได้ยินเสียงขลุ่ยที่ชาวจีนในถ้ำเป่าไพเราะมาก ชาวจีนพูดว่าจะให้ขลุ่ยทำให้พวกเธอเดินเข้าไปติดกับดักและตายทั้งเจ็ดคน และชาวจีนออกมาได้ก็เข้ายึดดินแดน ทำให้ล่าหู่ไม่มีประเทศของตนเอง (หน้า 87-88,113) -ลาหู่อพยพ เมื่อไม่มีอำนาจในการปกครองก็ไม่สามารถอยู่ได้ทำให้ลาหู่อพยพมายังดินแดนที่เชื่อว่า Mvuh Meh Mi Meh เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และไม่มีชาวจีนรุกราน แต่ลาหู่ก็ไม่สามารถอยู่อย่างสงบได้สุข และแตกแยกเป็นหลายกลุ่มทำให้พวกเขาอพยพลงใต้มายังดินแดนในพม่า ไทยและลาว (หน้า 87-88) -ลาหู่ไม่มีตัวหนังสือ นานมาแล้ว Gui sha เรียกให้ทุกคนมาและให้ตัวหนังสือแต่ชาวจีนไม่ได้มา Gui sha เขียนตัวหนังสือบนหนังสัตว์ให้อาข่า เขียนตัวหนังสือบนใบตาลให้ไทใหญ่ และเขียนตัวหนังสือให้ลาหู่บนแผ่นข้าว พวกเขาคิดว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่นานก็จะเสียทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะกินแผ่นข้าวจะได้จดจำไว้ในใจ ทำให้ลาหู่ไม่มีตัวหนังสือ สำหรับชาวจีน Gui sha ส่งอีกาไปเขียนตัวหนังสือบนลานข้าวทำให้ตัวหนังสือจีนคล้ายกับรอยเท้าอีกา (หน้า 88-89) 3. ตำนานและประสบการณ์ - เรื่องเล่าเกี่ยวกับดินแดนลาหู่และแนวคิดเกี่ยวกับดินแดนของลาหู่เป็นอุดมการณ์ที่สำคัญของกลุ่มลาหู่คริสต์ จากหลากหลายความรู้สึกของผู้คนที่เจ็บปวดจากการไม่มีดินแดนของตนเองและอาศัยในดินแดนหรือประเทศของผู้อื่น ซึ่งจากประสบการณ์ทางสังคมในฐานะที่เป็นชนกลุ่มน้อย แนวคิดเรื่อง ดินแดนของลาหู่อยู่ในสำนึกทางประวัติศาสตร์และถูกนำเสนอทั้งในอดีตและความ คาดหวังสำหรับอนาคต ในกลุ่มลาหู่คริสต์พูดถึงอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับดินแดนของลาหู่ ประเด็นหลักคือ ลาหู่เคยมีดินแดนของตนเองในอดีตและได้ถูกรุกรานจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอำนาจมากกว่าและเป็นผู้ปกครองไม่ว่าจะเป็นจีนหรือพม่าจนต้องอพยพโยกย้ายอาศัยอยู่ในดินแดนอื่นและตกอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นในปัจจุบัน ไม่ว่าเรื่องเล่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม แต่เรื่องเล่าเป็นสัญญะของเรื่องจริงในประสบการณ์ทางสังคมของพวกเขา - เรื่องราวเกี่ยวกับ A Shu Cu ซึ่งเป็นวีรบุรุษผู้อ้างคำทำนายของการเข้ามาของศาสนาคริสต์ในกลุ่มลาหู่ ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในกลุ่มลาหู่คริสต์แต่แทบจะไม่เป็นที่รู้จักในกลุ่มลาหู่ที่ไม่ใช่คริสเตียน เรื่องราวของ A Shu Fu Cu เป็นสะพานเชื่อมประวัติศาสตร์ระหว่างช่วงเวลาก่อนที่ลาหู่จะรับศาสนาคริสต์และช่วงเวลาที่ลาหู่กลายเป็นคริสเตียน และแสดงความสมเหตุสมผลของศาสนาใหม่ และทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างแนวคิดคิดดั้งเดิมเข้ากับแนวคิดของศาสนาใหม่จนยากที่จะแยกออกจากกัน ข้อมูลและข่าวสารในเรื่องราวของผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าดลใจให้รู้เหตุการณ์ภายหน้า มีความเกี่ยวข้องกับอนาคต และในวันนี้ลาหู่คริสต์ได้เข้าใจลำดับเวลาจากอดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ประวัติศาสตร์ทั้งหมดได้ถูกเข้าใจเหมือนกับแบบแผนที่ประกอบด้วยความรุ่งเรืองในอดีต สถานภาพปัจจุบันและความงดงามในอนาคต การหลุดพ้นบาปเมื่อถึงจุดจบของเวลากำลังใกล้เข้ามา ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเวลาและประวัติศาสตร์เกิดความแตกต่างระหว่างกลุ่มลาหู่คริสต์และกลุ่มลาหู่อื่นๆ และลาหู่คริสต์ได้รับเอาการนับปฏิทิน การศึกษา การใช้ตัวอักษรแบบตะวันตก และรูปแบบพิธีกรรมแบบใหม่ การบอกเล่าเรื่องราวมีส่วนช่วยสนับสนุนลำดับเวลาและประวัติศาสตร์ในแบบศาสนาคริสต์ 4. แนวเรื่องและสำนึกในตำนาน ตำนานกล่าวถึงการเป็นชนชั้นล่างของลาหู่ ไม่มีอำนาจ ล้าหลัง มีผลกระทบมาจากจิตสำนึกของตนเองในทางลบเกี่ยวกับการเป็นชนกลุ่มน้อย "Ethnic Minority Group" และตำนานยังแสดงให้เห็นการเปรียบเทียบตนเองกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น ไทใหญ่ ชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอำนาจ เป็นประชาการส่วนใหญ่ และเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ตำนานจึงเป็นส่วนแสดงความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ที่มีอารยธรรมและชาติพันธุ์กลุ่มน้อยที่ไม่มีอำนาจ ล้าหลัง ในหมู่บ้าน T ลาหู่คริสต์รับรู้ถึงการมีสถานะต่ำของตนเองและพยายามให้การศึกษากับเด็ก และมีพูดถึงการต่อสู้ของลาหู่กับพม่าเพื่ออำนาจในการปกครองตนเอง (หน้า 89-92) แต่ตำนานและเรื่องเล่าก็แสดงให้เห็นว่าในอดีตลาหู่เคยอยู่เหนือกว่าหรือเท่าเทียมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ และลาหู่ก็รู้สึกว่ากลุ่มชาติพันธุ์ของตนเป็นผู้มีศีลธรรมและมีจิตใจดี ทั้ง เหล่านี้ยังคงอยู่ในสังคมลาหู่ปัจจุบัน (หน้า 109) จิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์ลาหู่เกี่ยวกับดินแดนลาหู่ ถูกรวมเข้ากับการกลับมาจุติใหม่ครั้งที่ 2 ของพระเยซูและช่วงทศวรรษปี 2000 อย่างไรก็ตาม ช่วงปี 2000 ในความเห็นของลาหู่คริสต์ยังไม่แน่ใจนักเกี่ยวกับช่วงเวลาในอนาคต ตลอดถึงโครงการพัฒนาของโบสถ์และแนวคิดเกี่ยวกับการหลุดพ้นมีผลต่ออนาคตที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความเข้าใจ ประวัติศาสตร์และเวลาการนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านในความคิดของลาหู่ที่เชื่อในเรื่องปี 2000 แม้ว่าจะมีการรับรู้ที่ดีของความจริงที่รุนแรงหรือถูกต้องมากขึ้นแต่ลาหู่คริสต์ก็มีความคาดหวังที่สวยงามในอนาคตซึ่งเป็นสัญญะของการกอบกู้ดินแดนลาหู่และความหวังที่จะมีการสร้างใหม่ต่อไป (หน้า 111-169)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

สำหรับหมู่บ้านลาหู่คริสต์เพื่อนบ้านที่สำคัญคือ คนเมือง (คนไทยภาคเหนือ) พม่า ไทใหญ่ ลาหู่ที่ไม่นับถือคริสต์ คนไทยภาคกลาง รวมถึง ชาวตะวันตก ชาวเกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ของโลก ความสัมพันธ์ระหว่างลาหู่คริสต์กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ - คนเมืองเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ลาหู่ติดต่อด้วยมากที่สุดในชีวิตประจำวัน การเมืองของกลุ่มคนเมืองแสดงให้เห็นจาก เจ้าหน้าที่ประจำตำบล ตำรวจ ทหาร คนในหมู่บ้านรู้ว่าพวกเขาอยู่ภายใต้การปกครองของอำเภอแม่อาย แต่ยังไม่รับรู้ถึงการปกครองจากรัฐบาลไทยส่วนกลาง (จากกรุงเทพฯ) มากนัก และลาหู่ทำงานรับจ้างกับกลุ่มคนเมืองเป็นส่วนใหญ่แต่พวกเขาก็ไม่ชอบคนเมืองมากนัก เนื่องจากรู้สึกว่าถูกกดขี่ ต้องอยู่ภายใต้การปกครอง - ในช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ในพม่า กลุ่มเพื่อนบ้านที่สำคัญคือ ชาวพม่าและเนื่องจากลาหู่เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในประเทศของคนอื่น ความรู้สึกที่มีต่อรัฐบาลพม่าว่าเป็นฆาตกร ขโมยทุกอย่างไป แม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในประเทศไทยแต่ก็ยังคงพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพม่า โดยรับฟังข่าวสารจากรายการวิทยุ BBC ของพม่า ในช่วงเวลาว่างพวกเขาจะพูดถึงความเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในพม่าและกองทัพลาหู่สู้รบกับรัฐบาลพม่า คนในหมู่บ้านไม่ได้คิดว่าเขาเปลี่ยนมาอยู่ยังอีกประเทศหนึ่ง แต่ยังรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ภายใต้การปกครองของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า - ความสัมพันธ์ระหว่างลาหู่กับไทใหญ่และกับลาหู่ที่ไม่ได้นับถือคริสต์ พวกเขารู้สึกว่าอยู่เหนือกว่า ปัจจุบันไทใหญ่อพยพเข้ามาในประเทศไทยและทำงานในไร่หนักกว่าที่พวกเขาทำ และไม่มีบัตรประชาชน แม้ว่าในอดีตไทยใหญ่เคยเป็นผู้ปกครองแต่ในประเทศไทยสถานะเป็นผู้อพยพเข้ามาใหม่ มีการล้อเลียนหญิงสาวไทใหญ่ที่ทำงานในไร่ว่าพวกเขาจะไม่แต่งงานด้วย เนื่องจากพวกเธอไม่มีบัตรประชาชน สำหรับกลุ่มลาหู่แดงที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน T มากที่สุดมีปัญหาเรื่อง เอดส์ ยาเสพติด ภาพของพวกเขาทำให้ลาหู่คริสต์มองว่าพวกเขายังไม่รู้จักพระเจ้าที่แท้จริง - สำหรับกลุ่มชาวตะวันตก เกาหลี ญี่ปุ่น ลาหู่มองว่าเป็นคนฉลาด และเป็นคนร่ำรวยที่เข้ามาสอนศาสนาและให้ความช่วยเหลือในโครงการพัฒนาต่าง ๆ (หน้า 33-35)

Social Cultural and Identity Change

ศาสนาคริสต์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณค่าและโครงสร้างทางสังคมของลาหู่ เช่นโครงการพัฒนาเพื่อนำไปสู่ความมีอารยธรรมของโบสถ์คริสเตียน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างในกลุ่มย่อยของลาหู่ เช่น ลาหู่คริสต์พูดเสมอว่า ลาหู่ที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์เป็นกลุ่มที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าที่แท้จริงและไม่มีความรู้ "Cu yi" หรือเป็นกลุ่มที่ไม่รู้หนังสือไม่มีการศึกษา อีกทั้งโครงการพัฒนาของโบสถ์คริสเตียนได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ ไปสู่เศรษฐกิจในสังคมสมัยและได้ลดทอนคุณค่าของวัฒนธรรมดั้งเดิมของลาหู่ลง (หน้า 101-103)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ชัชฎาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ลาหู่, ลาหู่คริสต์, เรื่องเล่า, ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง