|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ชุมชนเมือง,การดูแลสุขภาพ,พิธีกรรม,การปรับตัว,เชียงใหม่ |
Author |
ลีศึก ฤทธิ์เนติกุล |
Title |
การปรับตัวกับวิถีชีวิตใหม่ในชุมชนเมืองของชาวเขาเผ่าม้ง : กรณีศึกษาเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
62 |
Year |
2540 |
Source |
ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่, กรมประชาสงเคราะห์ และสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ |
Abstract |
พรรณนาเกี่ยวกับวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพ มีการใช้วิธีการแบบพื้นบ้านควบคู่กับการใช้วิธีแพทย์สมัยใหม่ วัฒนธรรมการควบคุมทางสังคมที่ใช้ทั้งจารีตประเพณีและการใช้กฎหมายบ้านเมืองนั้น มักมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม ในด้านศิลปะและการ แสดงนั้นม้งในชุมชนเมืองเชียงใหม่ยังคงรักษาศิลปะดั้งเดิมไว้
ในขณะที่คนรุ่นใหม่บางส่วนได้ ปรับเปลี่ยนการเต้นรำของยุคสมัยปัจจุบันมาใช้ด้วย ความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ วิญญาณต่าง ๆ และยังมี การปฏิบัติการเซ่นไหว้เช่นเดิม โดยที่ม้งถือว่าการลงมาในเมืองเชียงใหม่เป็นการลงมาทำมาหากินเท่านั้น บ้านพิธีกรรมจริง ๆ ก็คือ ชุมชนดั้งเดิม ในด้านเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงจากการทำการเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพมาสู่การประกอบอาชีพอุตสาหกรรมในครัวเรือน และการค้าขายโดยเชื่อมโยงเครือข่ายทางการค้าระหว่างม้งด้วยกันเองกับคนพื้นราบ และคนต่างประเทศ ในปัจจุบันการปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับคนพื้นราบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถอยู่ร่วมกันได้ |
|
Focus |
ศึกษาการปรับตัวของชาวเขาเผ่าม้งในชุมชนเมือง ในด้านเศรษฐกิจ สังคม การดูแลสุขภาพ ความสัมพันธ์กับชุมชนเดิมและความมุ่งหวังที่จะทำให้คนรุ่นใหม่อยู่รอดในสังคมและวัฒนธรรมใหม่ (หน้า 2) |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยใช้แนวคิดเรื่องการปรับตัว เพื่ออธิบายตามสมมติฐานที่ว่า ชาวเขาเผ่าม้งในชุมชนเมืองเชียงใหม่ จะต้องมีการปรับตัวในด้านต่าง ๆ ดังนี้ (หน้า 18-19, 39-40)
- ด้านการดูแลสุขภาพ พบว่า ยังคงใช้วิธีการแบบพื้นบ้าน เช่น การเรียกขวัญ การนวด การใช้ยาสมุนไพรร่วมกับการแพทย์สมัยใหม่
- ด้านเนติธรรม พบว่า ถ้าเป็นคดีแพ่งหรือเรื่องเล็กน้อย จะใช้กฏจารีตประเพณี หากเป็นเรื่องใหญ่จะใช้กฏหมาย
- ด้านเศรษฐกิจ พบว่า เปลี่ยนจากการทำการเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพมากเป็นการทำการค้า เป็นผู้ผลิตพ่อค้าคนกลาง พ่อค้าปลีก โดยมีเครือข่ายทางธุรกิจกับคนม้งด้วยกันเอง คนพื้นราบ และคนต่างชาติ นอกจากนี้บางส่วนยังมาขายแรงงานในปั๊มน้ำมัน และร้านค้าต่าง ๆ
- ด้านคติธรรม พบว่า ยังคงมีความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา อำนาจเหนือธรรมชาติ
- ด้านศิลปกรรม พบว่า ยังมีการปฏิบัติและเข้าใจด้านศิลปะที่สำคัญ ๆ และเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมในชีวิตประจำวัน และสืบทอดปฏิบัติตามกันอยู่
- ด้านวัตถุธรรม พบว่า ม้งรุ่นใหม่ในชุมชนเมืองยังคงให้ความเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุต่าง ๆ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการดำรงชีพในปัจจุบัน
- ความสัมพันธ์กับชุมชนดั้งเดิม พบว่า ในตอนแรกถูกมองว่าเป็นคนแปลกแยกในสังคมเมืองและได้รับความกดดันจากสังคมรอบด้าน ด้วยความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านอย่างธรรมดาทั่วไป |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวเขาเผ่าม้ง (ที่อพยพมาอยู่ในชุมชนเมือง อำเภอเมืองเชียงใหม่) (หน้า 16) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้วิจัยกล่าวถึงการจำแนกเผ่าพันธุ์ชาวเขา โดยอาศัยหลักการทางภาษา ใน Tribal Research Institute (1995) ว่าเผ่าม้งจัดอยู่ในตระกูล Austro-Thai |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเริ่มทำการศึกษาเมื่อใด และใช้เวลาในนานเท่าไร แต่ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ม้งในทุกฤดูกาล (หน้า 16) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์จีนได้เริ่มต้นบันทึกการอพยพของชนชาติม้งจากที่ราบลุ่ม หยางเจ เมื่อประมาณ 4,675 ปีมาแล้ว ไปยังภูเขาทางทิศตะวันตก และพื้นที่อันขรุขระในมณฑลหูหนาน มณฑลกวางสี และต่อมาปรากฏว่า ม้งได้อพยพต่อไปยังภูเขาสูงในเขตประเทศเวียดนาม ลาว และไทยตามลำดับ ในปี ค.ศ.1975 รัฐบาลลาวพ่ายแพ้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ม้งในประเทศลาวส่วนหนึ่งได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้ง (หน้า 5)
จากปัญหาต่าง ๆ ของชาวเขา คือ การตัดไม้ทำลายป่า การปลูกฝิ่น ความมั่นคงชายแดน และมาตรฐานการดำรงชีวิต เป็นสาเหตุให้ม้งเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีการอพยพมาอยู่ในเมือง ในลักษณะเช่าบ้าน ซื้อบ้านเอง อาศัยอยู่กับนายจ้าง ประกอบอาชีพรับราชการ ค้าขาย และรับจ้าง การดำรงชีวิตในชุมชนใหม่ที่ล้อมรอบด้วยกลุ่มชนอื่น ๆ ที่มีประเพณีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน จึงต้องมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด (หน้า 2) |
|
Economy |
ม้งในอดีตทำการเกษตรกรมจารีตประเพณี ที่เรียกว่า การทำการเกษตรแบบย้ายที่ (shifting cultivation) เพื่อการยังชีพ มีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หลายชนิดควบคู่กัน มีการแบ่งแรงงานในครัวเรือนอย่างเป็นระบบ สิ่งของจำเป็นที่ต้องพึ่งพาจากสังคมภายนอก คือ เกลือและผ้า นอกจากนี้ถ่านไฟฉาย รองเท้า เข็มขัด ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน แต่ถือว่าฟุ่มเฟือย
ส่วนม้งในชุมชนเมืองเชียงใหม่ ได้ผลิตสินค้า เช่น ปลอกหมอน, ผ้าคลุมเตียง, รูปหล่อเรซิ่น บางส่วนจำหน่ายปลีก บางส่วนขายส่งให้กับพ่อค้า คนพื้นราบ และม้งด้วยกันเอง และส่งออกต่างประเทศ และบางรายพ่อค้าคนกลาง รับซื้อวัตถุดิบ เช่น ด้าย ผ้า สินค้าหัตถกรรมและสินค้าการเกษตร เช่น มันฝรั่ง แครรอท มะเขือ ฯลฯ ส่งต่อไปกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ม้งยังมีพวกที่ทำธุรกิจจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมุ่งเน้นขายให้แก่ลูกค้าที่เป็นม้งหรือชาวเขาด้วยกันเอง หรือบางคนเป็นพ่อค้าปลีก รับสินค้าจากม้งหรือชาวเขาด้วยกัน ชาวพื้นราบ และชาวเขาเผ่าอื่น ๆ บางรายขายของข้างทางเท้า บางคนจำหน่ายที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ส่วนบางรายกลายเป็นแรงงาน เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวที่รับจ้างหล่อเรซิ่น รับจ้างทั่วไป ทำงานปั๊มน้ำมัน เสริฟอาหาร ในปัจจุบันหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำมาหากิน เป็นหน้าที่ของคนหนุ่ม ในการตัดสินใจเรื่องเศรษฐกิจของครอบครัว (หน้า 31-33) |
|
Social Organization |
ไม่มีข้อมูลชัดเจน มีแต่การกล่าวถึงการจัดระเบียบสังคมในยุคสังคมหมู่บ้านตอนต้น ที่ม้งแต่ละชุมชนเป็นกลุ่มเครือญาติสายตรงเท่านั้น คือ เป็นกลุ่มแซ่เดียวกันที่สืบเชื้อสายและสามารถนับญาติได้ประมาณ 3-4 ชั่วอายุคน การแต่งงานกันจึงเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างต่างชุมชนให้เป็นเครือญาติอย่างหลวม ๆ (หน้า 27)
ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์กลุ่มม้งตระกูลต่าง ๆ มักมีการแต่งงานระหว่างกัน จึงถือได้ว่าทุกตระกูลเป็นเครือญาติกัน (หน้า 31) |
|
Political Organization |
ผู้วิจัยได้แบ่งลำดับขั้นการควบคุมทางสังคมไว้ 4 ขั้น ได้แก่ (หน้า 25-31)
- ยุคสังคมบ้านป่า : กฎจารีตประเพณีที่ใช้ควบคุมการกระทำความผิดต่อวัตถุหรือทัรพย์สินทางธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาาจเหนือธรรมชาติ (spirit) ส่วนความผิดต่อบุคคลถือเป็นความผิดระหว่างตระกูลหรือกลุ่ม ความผิดฐานลักทรัพย์ การล่วงประเวณีผิดผัวผิดเมีย และการฆาตกรรมถือว่าเป็นการกระทำผิดโดยเจตนา ต้องได้รับโทษด้วยการทำร้ายร่างกายอย่างทารุณ ตามความรุนแรงของความผิดจนถึงการประหารชีวิต
- ยุคสังคมบ้านตอนต้น : ผู้นำชุมชนจะได้รับพระราชทานของ 3 สิ่งจากเจ้าเมือง ซึ่งแสดงถึงสิทธิ์ในการปกครองชุมชน
- ยุคสังคมบ้าน : มีการใช้กฎหมายร่วมกับกฎจารีตประเพณี เป็นการควบคุมทางสังคมแต่พยายามรักษาความสัมพันธ์ให้คงเดิม ด้วยการตกลงเจรจาร่วมด้วย
- ยุคสังคมเมือง : ใช้กฎหมายมากกว่าการใช้กฎจารีตประเพณี เช่นเดียวกับยุคสังคมบ้าน ซึ่งสามารถยอมความกันได้ แม้ในกรณีความผิดฐานฆาตกรรม
(หน้า 25-31) |
|
Belief System |
ไม่มีข้อมูลที่บ่งบอกว่าม้งที่อาศัยในอำเภอเมืองเชียงใหม่นับถือศาสนาใด กล่าวแต่เพียงว่าเป็นม้งที่ไม่ใช่คริสเตียน ความเชื่อและพิธีกรรมยังคงอยู่ และในแต่ละปีจะใช้เวลากลับไปรวมกับญาติในชุมชนเดิม
- ความเชื่อ : ม้งเชื่อในเรื่องจักรวาล เชื่อในเรื่องของผู้สร้างมนุษย์ซึ่งเป็นองค์เดียวกับพระยะโฮวาในศาสนาคริสต์ และแบ่งเป็นฝ่ายธรรม อธรรม และฝ่ายเป็นกลาง (ได้แก่ เจ้าป่าเจ้าเขา และผีบ้านผีเรือน)
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อในเรื่องวิญญาณ 3 ดวง ที่จะอยู่ในร่างกายของมนุษย์ เมื่อใดที่วิญญาณดวงใดแยกออกไปนาน ๆ จะทำให้ร่างกายเจ็บป่วย และยังมีความเชื่อในวิญญาณผีบรรพบุรษ ผีป่าดอย (native spirits) วิญญาณชั่วร้าย (evil spirits) และผีบ้าน (house spirits)
- พิธีกรรม : พิธีกรรมที่สำคัญ เช่น การ "หลือเต้า" (Lwn Tauj) เป็นพิธีกรรมปัดรังควาญประจำม้งตระกูลหยาง เป็นต้น
(หน้า 33) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
การตั้งถิ่นฐานใหม่ในชุมชนเมืองที่สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากชุมชนเดิมโดยสิ้นเชิง ในตอนแรกการปรับตัวทางด้านร่างกายกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ทำให้เกิดการเจ็บป่วยบ่อย ๆ เช่น เป็นไข้ ท้องเสีย เป็นต้น เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยม้งจะเลือกใช้บริการทางแพทย์เป็นอันดับแรก โดยใช้บริการจากสถานพยาบาลเอกชนมากกว่าสถานพยาบาลของรัฐ แม้ว่าราคาจะแพงกว่าก็ตาม เนื่องจากสถานพยาบาลเอกชนพูดจาสุภาพ ให้บริการที่อบอุ่น ในขณะเดียวกันจะมีการบำบัดรักษาโดยวิธีพื้นบ้านประกอบกัน เริ่มจาก
- การวินิจฉัยโรค ด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่
1.การทำนาย (Fortuneteller) : เรียนรู้มาจากชาวจีนโบราณโดยวิธีนับสัตว์ประจำวัน หรือทำนายจากแผ่นป้าย หรือวิธีที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
2.การดูไข่ (Egg Teller or Nchuav qe) : ใช้เพื่อการหาสาเหตุของการเจ็บป่วยและควรทำการรักษาด้วยวิธีใด
3.การตรวจใบหู (Ear Teller or Saib pob ntseg) : ผู้วินิจฉัยสามารถอ่านสาเหตุการเจ็บป่วยจากสีและเส้นเลือดฝอยบนใบหู
4.การเข้าทรง (ShamanismTeller) : วิธีการนี้ไม่สามารถทำเองได้ในชุมชนเมือง ต้องให้หมอผีทำพิธีดูให้ เพื่อเป็นการวินิจฉัยว่าจะทำการรักษาด้วยวิธีการอย่างไรต่อไป
5.การบน (Fee Yeng) : เป็นการร้องวิญญาณผู้คุ้มครองฟ้าดินมาปกป้องคุ้มครองรักษา โดยสัญญาว่า หากหายป่วยจะทำการเซ่นไหว้ด้วยวัว ควาย หมู เป็ดหรือไก่ พร้อมด้วยเหล้า และเศษกระดาษเงินกระดาษทอง
6.การคลำท้อง (Xuas Plab) : เป็นการวินิจฉัยอาการเกี่ยวกับท้อง เช่น การปวดจุกเสียดท้อง การมีครรภ์ตั้งอยู่ในท่าผิดปกติ
- การรักษา (Traditional Healing) ได้แก่
1.การรักษาด้วยการใช้ยาสมุนไพร (Herbalist) : ม้งในชุมชนเมืองจะปลูกพืชสมุนไพรที่ใช้บ่อย ๆ ไว้บนบ้าน โดยแบ่งยาออกเป็น 3 ประเภท คือ ประเภทยาบำรุง ใช้ไก่ตุ๋นบำรุงสุขภาพ ประเภทรักษาอาการทั่วไป เช่น ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ท้องเสีย เป็นต้น และยาประเภทรักษาโรคร้ายแรง ได้แก่ การรักษาโรคเกี่ยวกับอวัยวะภายใน เช่น ตับอักเสบ ยาสมานกระดูก เป็นต้น แต่ยาประเภทนี้มักจะต้องเก็บรวบรวมมาจากป่าเพราะปลูกไม่ค่อยขึ้น
2.การรักษาด้วยการนวด (masseuse) : ใช้กับอาการปวดศรีษะปวดกล้ามเนื้อ ปวดท้อง โดยใช้เขาเลียงผาดูดเลือดดำมารวมกันแล้วใช้ของมีคมกรีดให้เลือดดำทะลักออก หรืออีกวิธีหนึ่งคือ ใช้ไข่ต้มผ่าเอาเหรียญเงินสอดแล้วนวดเบา ๆ ตามส่วนที่ปวด หลังจากนวดจะพบว่าเหรียญมีสีดำ ม้งเชื่อว่าสีดำนั้น คือ พิษ
3.การรักษาด้วยการกีดเลือด (Zaws Tso) : ใช้รักษาอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว ที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่เป็นพิษ
4.การรักษาด้วยการเข้าทรงหรืออัวเน้ง (shamanism) : มี 2 ประเภท คือ เน้งมัวเด๊อ (เน้งตาขาว) เป็นศาสตร์ที่เรียนรู้มา ใช้อุปกรณ์ง่าย พิธีกรรมมีเพียงหมอผีกับคนไข้เท่านั้น เป็นการข่มขู่ให้ผีร้ายออกจากร่างผู้ป่วย และเน้งมัวดู๊ (เน้งตาดำ) หมอผีไม่สามารถเรียนรู้เองได้แต่เกิดได้ด้วยวิธีการทางวิญญาณ การรักษาโดยเน้งมัวดู๊ หมายถึง วิญญาณผู้ป่วยได้นำไปยังปรโลก ส่วนการเข้าทรงของหมอผีหมายถึงการขี่ม้าเข้ามาสู่ปรโลกเพื่อไถ่ตัววิญญาณผู้ป่วยกลับมา ซึ่งจะต้องกลับไปทำพิธีกรรมยังบ้านเดิม (หน้า 21-25) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไม่มีข้อมูลบ่งบอกว่าม้งที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมืองแต่งตัวอย่างไร มีแต่การแบ่งเป็น 3 กลุ่ม โดยอาศัยศิลปะบนเสื้อผ้า คือ กลุ่มม้งขาว กลุ่มม้งเขียว และกลุ่มม้งกัวบ๊า (หน้า 34)
ดนตรีของม้งไม่ใช่การแสดงออกของจังหวะ หรือระดับตามตัวโน้ตของดนตรีสากล แต่เสียงดนตรีแต่ละเสียงที่เปล่งออกมานั้นเป็นคำพูดที่คนฟังเข้าใจเหมือนกับฟังจากคำพูด ท่าทางการเต้นต่าง ๆ ก็เป็นการแสดงถึงความละเมียดละไมหรือความเก่งกาจของผู้เต้น (หน้า 33) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไม่มีข้อมูลชัดเจน กล่าวถึง ที่มาของชื่อ "ม้ง" (Momg or Hmong) เป็นภาษาจีน ซึ่งทราบได้จากการสัมภาษณ์ผู้อาวุโสม้งถึงเรื่องความสัมพันธ์กับชาวจีน ยังมีคำเรียกอื่นในเชิงดูหมิ่นอีก เช่น แม้ว (Miao) เหมียวซือ (Miaozu) เป็นต้น (หน้า 3-4)
และกล่าวถึงชุมชนมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างชุมชนใหม่ในเมืองและชุมชนเดิมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม |
|
Social Cultural and Identity Change |
ไม่มีข้อมูลที่กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปงทางสังคมและวัฒนธรรมโดยตรง แต่ม้งในชุมชนเมืองมีการปรับตัวชีวิตความเป็นอยู่เกือบทุกด้าน ได้แก่ ด้านการดูแลสุขภาพ ด้านเนติธรรม ด้านเศรษฐกิจ ด้านคติธรรม ด้านศิลปกรรม ด้านวัตถุธรรม และการปรับตัวกับเพื่อนบ้านที่เป็นคนพื้นราบ ดังที่ได้กล่าวมาในหัวข้อข้างต้น |
|
Map/Illustration |
ภาพเกี่ยวกับการปรับตัวทางวัฒนธรรม (หน้า 58-62) |
|
|