|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยพุทธ,ไทยมุสลิม,การผสมผสาน,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,ประเพณี,สงขลา |
Author |
อาดีช วารีกูล |
Title |
ศึกษาการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิมบ้านนาทับ ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
112 |
Year |
2547 |
Source |
หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณ |
Abstract |
ผู้วิจัยได้นำแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และการผสมผสานทางวัฒนธรรมมาเป็นแนวทางในการวิจัย แล้วรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนในชุมชนบ้านนาทับ ทั้งที่เป็นไทยพุทธและไทยมุสลิม และนำเสนอความรู้ความเข้าในลักษณะการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิม บ้านนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา รวมถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม ซึ่งผลจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของชุมชนสองกลุ่มที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมต่างกัน แต่สามารถดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมและชุมชนเดียวกัน โดยการประยุกต์วัฒนธรรมให้เกิดการผสมผสานร่วมกัน ส่งผลให้กลุ่มคนมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ดำรงชีวิตร่วมกันอย่างสันติสุข ยอมรับเกียรติ ศักดิ์ศรี และคุณค่าต่อกันและกัน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเข้าใจถึงวัฒนธรรมของกลุ่มดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง |
|
Focus |
ศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะและปัจจัยที่ก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม ของไทยพุทธกับไทยมุสลิมบ้านนาทับ ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา (หน้า 5,81) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาการผสมผสานทางวัฒนธรรมของไทยพุทธกับไทยมุสลิมบ้านนาทับ (หน้า 7) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
งานวิจัยได้ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบภาษาในเรื่องการใช้ถ้อยคำ และการเรียกชื่อเฉพาะ ซึ่งปรากฏทั้งภาษาไทยกลางสำเนียงกลาง ภาษาไทยกลางสำเนียงใต้ ภาษามลายู และภาษาอาหรับ โดยชาวชุมชนบ้านนาทับทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมต่างก็เข้าใจภาษาไทยกลางสำเนียงกลาง และภาษาไทยกลางสำเนียงใต้ (ภาษาถิ่นใต้) กันทุกคน ถึงแม้ว่าจะมีบางคนพูดได้แต่ภาษาไทยกลางสำเนียงใต้ก็ตาม เนื่องจากเป็นที่นิยมมากกว่า นอกจากนี้ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมยังใช้ถ้อยคำในการเรียกชื่อต่างๆ ผสมผสานกันระหว่างภาษาไทยกับภาษามลายู และภาษาอาหรับ เช่น ชื่อคนใช้ชื่อเป็นภาษาอาหรับ ชื่อสกุลเป็นภาษาไทย เช่น สุไหลหมาน ชำนาญวารี อาอีฉ๊ะ เอียดวารี เป็นต้น (หน้า 54-56,87) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนกันยายน 2546 - มีนาคม 2547 |
|
History of the Group and Community |
มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับชุมชนบ้านนาทับ โดยสันนิษฐานว่าเมืองหนะเดิมทีตั้งอยู่ที่บ้านจะโหนง (ตำบลจะโหนงในปัจจุบัน) ดังปรากฏซากเศษอิฐ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นวังเจ้าเมืองเป็นหลักฐานอยู่ ต่อมาทางราชการได้ย้ายเมืองหนะไปตั้งอยู่ ที่ว่าการอำเภอจะนะในปัจจุบัน ส่วนบ้านจะนะและบ้านนาทับเชื่อมโยงกันโดยมีลำคลองจะโหนงและคลองนาทับไหลผ่านลง สู่ทะเลที่บ้านนาทับ สมัยหนึ่งมีข้าศึกชาวมลายูยกทัพเรือมาตีเมืองสงขลา เจ้าเมืองสงขลาจึงสั่งให้เจ้าเมืองหนะยกทัพไปสกัด กั้นข้าศึกที่บริเวณริมคลองนาทับ ปัจจุบันเรียกว่าค่ายหรือหน้าค่าย ต่อมาจึงเรียกชื่อบ้านเพี้ยนเป็นบ้านนาทับ เนื่องจากชาวบ้าน บริเวณนั้นมีอาชีพทำนา เมื่อมีการแบ่งเขตการปกครองจึงเรียกว่าตำบลนาทับ ขึ้นกับอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ข้อมูลว่าสมัยก่อนประชากรของบ้านนาทับมีทั้งหมดไม่กี่ครัวเรือน และส่วนใหญ่มาจากตระกูลเดียวกัน หลังจากนั้นได้มีบางคนไปแต่งงานกับคนที่นับถือศาสนาพุทธ จึงมีทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม และก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมต่างมีจุดประสงค์ร่วมกันคือ การทำความดีและรักความสงบสุข (หน้า 3-4,26) |
|
Settlement Pattern |
ประชากรบ้านนาทับส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่ราบชายฝั่ง และอยู่ใกล้กับลำคลองนาทับ ภายใต้การปกครองเขต อบต.นาทับ มีจำนวน 12 หมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านมีประชากรอาศัยเป็นครัวเรือน |
|
Demography |
ในเขตอบต.นาทับมีจำนวนหมู่บ้านทั้งสิ้น 12 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านคลองข่า หมู่ 2 บ้านปากบางนาทับ หมู่ 3 บ้านท่ายาง หมู่ 4 บ้านท่าคลอง หมู่ 5 บ้านม้างอน หมู่ 6 บ้านใต้ หมู่ 7 บ้านนาเสมียน หมู่ 8 บ้านเตาอิฐ หมู่ 9 บ้านคูน้ำรอบ หมู่ 10 บ้านปึก หมู่ 11 บ้านคลองเทิง หมู่ 12 บ้านปากจด มีจำนวนประชากร 1,631 ครัวเรือน (หน้า 27) |
|
Economy |
เนื่องจากบ้านนาทับมีพื้นที่ติดกับอ่าวไทย ประชากรส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการประมงร้อยละ 60 เป็นประมงพื้นบ้านร้อยละ 45 เช่น เลี้ยงปลากะพง เลี้ยงกุ้งกุลาดำ ทำการเกษตรร้อยละ 17 รับจ้างร้อยละ 12 ค้าขายร้อยละ 2 และประกอบอาชีพอื่นๆ ร้อยละ 9 ภายใต้เขต อบต.นาทับมีหน่วยธุรกิจที่สำคัญคือ ปั๊มน้ำมันและแหล่งก๊าซ 2 แห่ง ร้านค้าทั่วไป 108 แห่ง และตลาดนัด 1 แห่ง (หน้า 27-28) นอกจากนี้ ยังมีการรวมกลุ่มทางด้านเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต (หน้า 29) |
|
Social Organization |
สภาพสังคมของชุมชนบ้านนาทับมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันในลักษณะเครือญาติ มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันแก้ปัญหาเกี่ยวกับอาชีพประมงร่วมกัน ดังจะเห็นได้จากการจัดเลี้ยงน้ำชาเพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพ (หน้า 68) เมื่อมีงาน บุญประเพณีต่างๆ ชาวบ้านก็จะเดินทางไปมาหาสู่กัน รวมถึงมีการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ร่วมกันในวันสำคัญ เช่น การทำความสะอาดถนน ลอกคู ปลูกป่าโกงกางริมคลองนาทับ เป็นต้น ส่วนโครงสร้างทางสังคมที่ปรากฏในงานวิจัย ได้แก่ สถาบันการศึกษาทั้งโรงเรียนมัธยมศึกษา และโรงเรียนประถมศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน และที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน สถาบันและองค์กรทางศาสนา เช่น วัด/สำนักสงฆ์ มัสยิด นอกจากนี้ประชากรที่บ้านนาทับยังมีการรวมกลุ่มกันทางสังคม เช่น กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มสตรีอาสาพัฒนา เป็นต้น (หน้า 28-29) |
|
Political Organization |
ชุมชนชาวนาทับมีความตื่นตัวเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งก่อให้เกิดการรวมตัวกันของชาวบ้านที่มีความสนใจในปัญหาบ้านเมือง และเรื่องการเมืองการปกครอง จึงมีการประชุมกันถึงปัญหา และจัดตั้งตำแหน่งต่างๆ ขึ้นเพื่อประสานงาน เช่น ตำแหน่งประธานประชาคม รองประธาน และเลขานุการประชาคม เป็นต้น รวมถึงการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนชอบ (หน้า 39) นอกจากนี้ยังมีการรวมกลุ่มกันเพื่อปฏิบัติงานด้านการปกครอง ได้แก่ การจัดตั้งกลุ่มกองหนุนเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ (หน้า 29) |
|
Belief System |
ถึงแม้ว่าชุมชนชาวนาทับจะมีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 50 ประชากรที่นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 20 แต่ชาวบ้านนาทับก็มีความเชื่อคล้ายๆ กัน ได้แก่ ความเชื่อเกี่ยวกับยากลางบ้าน โดยการใช้สมุนไพรในการบำบัดรักษาโรค ความเชื่อทางไสยศาสตร์ว่าสามารถรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ ความเชื่อเรื่องการปักกำ การทำโจ รวมถึงความเชื่อว่าไสยศาสตร์สามารถทำให้อยู่ยงคงกระพัน ปัดเป่าพิษภัย และทำเสน่ห์ให้คนรักหลง ความเชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ความเชื่อว่าเมื่อเกิดสุริยุปราคา จะเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมืองหรือหมู่บ้าน เมื่อเกิดจันทรุปราคาเป็นโอกาสดีที่จะเพิ่มผลผลิตให้กับพืชผล เมื่อเห็นผีพุ่งใต้จะมีการส่งเด็กมาเกิด หรือเมื่อเห็นดาวหางจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง เป็นต้น ซึ่งต้องมีการแก้เคล็ดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ รวมถึงความเชื่อเกี่ยวกับจริยวัตร เช่น ห้ามสบถพล่อยๆ ห้ามถ่มน้ำลายรดดุ้นฟืน ห้ามฝัดกระด้งเปล่าเล่น เป็นต้น ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะประสบเคราะห์กรรมอับโชค (หน้า 71-76) |
|
Education and Socialization |
งานวิจัยกล่าวถึงกระบวนการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อ ของคนในชุมชน โดยการศึกษาในระบบมีการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างเด็กไทยมุสลิมในโรงเรียนที่รัฐบาลจัดให้ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ไปจนถึงระดับอุดมศึกษา รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ภายในโรงเรียน เป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีต่อกัน การศึกษานอกระบบคือ ทั้งเด็กไทยพุทธและเด็กไทยมุสลิมที่บ้านนาทับ ต่างก็ได้รับการเรียนรู้จากผู้ใหญ่โดยการอบรมสั่งสอนไม่ให้กระทำความผิด โดยการว่ากล่าวตักเตือนให้กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และให้มีความปรองดองกันในหมู่เพื่อน (หน้า 35-38) |
|
Health and Medicine |
ชุมชนนาทับมีการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับยากลางบ้านมาจากครูรุ่นก่อนๆ ที่มีประสบการณ์ในการใช้ยาและได้ผลมาแล้ว โดยมีการถ่ายทอดความรู้สืบต่อกันมาเป็นระยะเวลานาน หมอกลางบ้านจะมีวิธีปรุงยา ผสมยา รู้เรื่องสมมติฐานของโรคและการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นศาสตร์ของหมอแผนโบราณ อย่างไรก็ดี ชาวบ้านนาทับก็ได้รับความรู้ดังกล่าวบ้างเช่นกัน คือทราบว่าสมุนไพรชนิดใดมีสรรพคุณอย่างไร เช่น ใบหว้า สรรพคุณแก้บิดมวน มูกเลือด ต้นพยับเมฆ พยับหมอก สรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ เป็นต้น (หน้า 71-72) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งกายของไทยพุทธและไทยมุสลิม คือทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมจะแต่งกายตามความเหมาะสมในแต่ละกาลเทศะ แต่มีข้อสังเกตคือ การแต่งกายในชีวิตประจำวัน สตรีที่เป็นไทยมุสลิมจะนิยมนุ่งผ้าปาเต๊ะ สวมเสื้อหลวมปล่อยถึงสะโพก และคลุมศีรษะ ส่วนสตรีที่เป็นไทยพุทธนิยมนุ่งผ้าซิ่นหรือผ้าปาเต๊ะ ใส่เสื้อตามสมัยนิยม แต่จะไม่คลุมศีรษะ สำหรับชายไทยมุสลิมยังนิยมนุ่งโสร่งอยู่ (หน้า 56) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากการสัมภาษณ์ชาวชุมชนบ้านนาทับทำให้ทราบว่าไทยพุทธและไทยมุสลิมบ้านนาทับมีชาติพันธุ์มาจากตระกูลเดียวกัน และ ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ตำบลนาทับ หลังจากนั้นมีบางคนไปแต่งงานกับคนที่นับถือศาสนาพุทธ ทำให้เกิดการผสมผสานกันขึ้น ต่อมามีคนจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานรวมกับไทยพุทธ จึงเกิดการผสมผสานทางด้านผิวพรรณ รูปร่าง หน้าตา จนกลายเป็นคนในพื้นที่ ส่วนคนนอกพื้นที่ที่จะย้ายเข้ามาอาศัยยู่ที่บ้านนาทับโดยการย้ายถิ่นฐานเข้ามาจะไม่มีให้เห็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีการกีดกันทางด้านศาสนา ทั้งนี้ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม ได้แก่ - ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ ที่ทำให้ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมส่วนใหญ่ประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตอย่างเดียวกัน คือทำประมง เลี้ยงปลากะพง เลี้ยงกุ้งกุลาดำ - ปัจจัยด้านการศึกษา เด็กไทยพุทธและไทยมุสลิมต่างได้รับการศึกษาจากโรงเรียนที่รัฐบาลจัดให้เช่นเดียวกัน - ปัจจัยด้านการเมือง จากการที่ไทยพุทธและไทยมุสลิมได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นและมีโอกาสรับรู้ข่าวสารจากสื่อต่างๆ นี้เอง ทำให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และรวมกลุ่มทางการเมืองขึ้น - ปัจจัยด้านการร่วมชาติพันธุ์ โดยการแต่งงานกันระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิมภายใต้หลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม - ปัจจัยด้านการใช้สาธารณประโยชน์เพื่อประกอบกิจกรรมร่วมกัน - และปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความเจริญทางวิทยาการทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค จึงเกิดการปรับตัวระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิมเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ไทยพุทธและไทยมุสลิม ต่างต้องปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เกิดการหล่อหลอมและผสมผสานทางวัฒนธรรมทั้งด้านทัศนะคติ ความเชื่อ ค่านิยม ทำให้เกิดการยอมรับและเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยไม่มีความรู้สึกว่าแต่ละกลุ่มด้อยกว่ากัน (หน้า 31-48) วัฒนธรรมของไทยพุทธและไทยมุสลิมที่มีลักษณะการผสมผสานกันในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1) ด้านการกิน ทั้งการกินในชีวิตประวันที่ต่างก็รับประทานอาหารคาวหวานเหมือนๆ กัน เพียงแต่ไทยมุสลิมจะไม่รับประทานเนื้อหมู และส่วนใหญ่นิยมดื่มน้ำชา กาแฟ กับเหนียวหัวกุ้ง และสังขยา โรตีหรือข้าวยำในตอนเช้าของทุกวัน และการกินในโอกาสพิเศษ จะมีอาหารว่าง อาหารคาวหวานและผลไม้ตามฤดูกาล 2) ด้านการใช้ถ้อยคำและชื่อเฉพาะ มีการใช้ภาษาไทยกลางสำเนียงใต้และภาษาไทยกลางสำเนียงกลางเมื่อไปติดต่อราชการ ส่วนการสื่อสารแบบไม่เป็นทางการจะใช้ภาษาถิ่นใต้ 3) ด้านการแต่งกาย จะแต่งกายตามความเหมาะสมในแต่ละโอกาส เพียงแต่หญิงมุสลิมจะต้องโพกศีรษะ 4) ด้านอาชีพ ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมจะประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีอาชีพค้าขายและอาชีพเกษตรกรรม ส่วนอาชีพรับจ้างเป็นที่นิยมของวัยรุ่นหนุ่มสาว 5) ด้านความเชื่อ ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมต่างมีความเชื่อเกี่ยวกับยากลางบ้าน ความเชื่อทางไสยศาสตร์ ความเชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และความเชื่อเกี่ยวกับจริยวัตรที่เหมือนกัน 6) ด้านประเพณี ได้แก่ ประเพณีการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีงานศพ ประเพณีทอดกฐินโดยมุสลิมจะเข้าร่วมชมมหรสพและการละเล่นต่าง ๆ ในงานแทนการร่วมทำบุญด้วยเงินทอง (หน้า 49-80) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การพัฒนาประเทศในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น ส่งผลให้ชนบทที่อยู่ห่างไกลได้รับความสะดวกในการคนนาคม และการสื่อสาร ทำให้ชุมชนได้มีโอกาสติดต่อกับสังคมภายนอก จึงสามารถรับเอาวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายจากภายนอกเข้ามาผสมผสาน (หน้า 47) รวมทั้งเกิดการรับรู้ข่าวสารจากชุมชนเมือง เช่น เมืองสงขลา เมืองหาดใหญ่ ทำให้ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมต่างมีการรับทัศนคติและค่านิยมที่สูงขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยมเช่นเดียวกัน (หน้า 33-34) |
|
Other Issues |
การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ได้มีการส่งเสริมประเพณีต่างๆ ของไทยพุทธและไทยมุสลิม โดยมุ่งให้แต่ละกลุ่มยังคงรักษาเอกลักษณ์ของกลุ่มไว้ อันจะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจแก่กลุ่มคนในท้องถิ่น และให้การยอมรับถึงคุณค่าของวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน (หน้า 92) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนผังและภาพประกอบในการอธิบาย เช่น แผนผังตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา (ภาคผนวก ก) ภาพคลองนาทับบ้านนาทับ ภาพบริเวณถนนบ้านนาทับ ภาพกิจกรรม ประเพณี การแต่งกายของไทยพุทธและไทยมุสลิมบ้านนาทับ เป็นต้น |
|
|