|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง, ม้งอพยพ, การกลับถิ่นฐานเดิม, เลย |
Author |
พอล ราเบ้ |
Title |
การกลับถิ่นฐานเดิมโดยสมัครใจของชาวม้ง ศึกษากรณีบ้านวินัย |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์ข้อมูลอินโดจีน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Total Pages |
43 |
Year |
2533 |
Source |
จัดพิมพ์โดย : ศูนย์ข้อมูลผู้ลี้ภัยอินโดจีน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ที่ : บริษัทพิมพ์สวย จำกัด, กรุงเทพมหานคร |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุมถึงความรู้สึกของม้ง ที่มีต่อการดำเนินชีวิตในศูนย์ผู้อพยพบ้านวินัย จังหวัดเลย ภูมิหลังเมื่ออยู่ในประเทศลาว ความรู้สึกต่อประเทศลาวบ้านเกิด ความเห็นเกี่ยวกับภูมิลำเนาที่ต้องการไปตั้งหลักแหล่งใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือ ทัศนคติ (reaction) ของม้งอพยพบ้านวินัยที่มีต่อโครงการส่งผู้อพยพกลับถิ่นฐานเดิมด้วยความสมัครใจของ UNHCR และผลการวิจัยม้งในศูนย์อพยพบ้านวินัยส่วนใหญ่แสดงเจตจำนงที่ไม่ต้องการจะเดินทางกลับไปยังมาตุภูมิเดิมของตนจนกว่าประเทศลาวจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ (พ.ศ.2533) เสียก่อน คือการที่จะกลับถิ่นฐานเดิมโดยสมัครใจของม้งอพยพ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่จะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะให้การรับรองเรื่องความปลอดภัยของม้งที่อพยพกลับ ตลอดจนสนับสนุนเสรีภาพและส่งเสริมการจัดการทางเศรษฐกิจที่ดีในประเทศเสียก่อน (หน้า 1, 12) |
|
Focus |
ปฏิกิริยา (reaction) ของม้งอพยพบ้านวินัย จังหวัดเลย ต่อโครงการส่งผู้อพยพกลับถิ่นฐานเดิมด้วยความสมัครใจ ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) |
|
Theoretical Issues |
ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าใช้กรอบทฤษฎีอะไรในการวิจัย ผู้เขียนระบุว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลมาจากการรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยม้งทั้งชายและหญิงทุกระดับอายุ จำนวน 47 คน ที่ศูนย์อพยพบ้านวินัย จังหวัดเลย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบถึงสาเหตุของปัญหาที่ผู้ลี้ภัยม้งไม่ค่อยชื่นชมโครงการส่งผู้อพยพกลับถิ่นฐานเดิมด้วยความสมัครใจของ UNHCR และส่วนใหญ่ไม่ต้องการเดินทางกลับไปยังมาตุภูมิของตน และเหตุที่เลือกศูนย์ผู้อพยพบ้านวินัย เนื่องจาก ศูนย์นี้มีจำนวนผู้ลี้ภัยม้งมากที่สุดในประเทศไทย (หน้า 1, 3-4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกว่า "ม้ง" (ในงานชิ้นนี้มีกล่าวถึงผู้ลี้ภัยชาวลาวพื้นราบและชาวลาวภูเขา แต่เน้นกรณีศึกษาเฉพาะม้ง ซึ่งในการจัดประเภทของลาว เป็นลาวภูเขากลุ่มหนึ่ง - Text Analyst) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างวันที่ 12 - 16 มีนาคม 2533 |
|
History of the Group and Community |
ในกลางศตวรรษที่ 19 ม้งทางตอนใต้ของประเทศจีน ถูกจีนรุกราน จึงอพยพไปอยู่ตามเทือกเขาทางตอนใต้ของประเทศจีน และประเทศในแถบอินโดจีน ปัจจุบัน ม้งอยู่กระจัดกระจายในบริเวณตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ประเทศไทย และประเทศลาว แต่ยังมีม้งบางพวกยังอาศัยอยู่ในจีน ในระหว่างสงครามเวียดนาม ม้งจำนวนมากในลาวเข้าร่วมกับกองทัพของสหรัฐอเมริกาสู้รบต่อต้านเวียดนามเหนือและคอมมิวนิสต์ในลาว ในปี พ.ศ. 2518 เมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์แห่งประเทศลาวยึดอำนาจได้ ม้งต้องหลบหนีภัยจากการแก้แค้นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ระหว่างปี พ.ศ. 2518-2523 มีม้งประมาณ 100,000 คนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 350,000 คนถึง 400,000 คนเสียชีวิต และอีกจำนวน 100,000 คนเดินทางข้ามแม่น้ำโขงหนีเข้ามาในเขตประเทศไทย หลังจากนั้น ชาวลาวพื้นราบอีกจำนวนมากเริ่มทยอยหนีตามเข้ามา เนื่องจากหวาดกลัวรัฐบาลสังคมนิยมอย่างมาก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา ม้งและชาวลาวพื้นราบหลบหนีออกจากประเทศลาวเป็นจำนวนถึง 350,000 คน จำนวนผู้ลี้ภัยชาวลาวอพยพหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมากขึ้นทุกที รัฐบาลไทยจึงจัดตั้งศูนย์อพยพขึ้น โดยแบ่งแยกค่ายอพยพสำหรับผู้อพยพชาวเขาและชาวลาวพื้นราบออกจากกัน ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก UNHCR จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2519 มีศูนย์ผู้อพยพชาวลาวภูเขาที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ 5 แห่ง แต่ปัจจุบันเหลืออยู่ 3 แห่งเท่านั้น และศูนย์ผู้อพยพบ้านวินัย จังหวัดเลย ก็เป็นศูนย์หนึ่งในจำนวนนั้น ศูนย์ผู้อพยพบ้านวินัยเป็นศูนย์อพยพม้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นศูนย์ลี้ภัยชาวลาวซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์การสหประชาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และอาจจะใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย (หน้า 5-7) |
|
Demography |
ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าประชากรบ้านวินัยมีกี่คน จากตารางที่ 3 มีตัวเลขประชากรผู้อพยพลี้ภัยชาวลาวภูเขา (Hill tribe) อยู่ในศูนย์อพยพสิ้นสุดเดือนเมษายน พ.ศ. 2533 มีจำนวน 53,244 คน และจากตารางที่ 4 ระหว่างปี พ.ศ. 2523-2532 (ค.ศ.1980-1989) มีผู้อพยพลี้ภัยชาวลาวภูเขากลับถิ่นฐานเดิมโดยสมัครใจจำนวน 1,272 คน (ตาราง 3 หน้า 38, ตารางที่ 4 หน้า 39, 42) และมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากกว่า 104,000 คน (หน้า 3-4) เดินทางไปตั้งหลักแหล่งในประเทศที่ 3 ผู้วิจัยระบุว่า ศูนย์อพยพบ้านวินัยมีม้งอาศัยอยู่จำนวนร้อยละ 96 ของประชากรทั้งหมด ชาวขะถิ่นจำนวนร้อยละ 2 และชาวเย้าจำนวนร้อยละ 1 (หน้า 7) |
|
Economy |
ประกอบการกสิกรรมเป็นอาชีพหลัก โดยอพยพเร่ร่อนข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เพื่อหาพื้นที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์ ดังนั้น ภายหลังจากที่ได้สร้างหมู่บ้านเป็นหลักแหล่งแน่นอนแล้ว ม้งมีแนวโน้มที่จะตัดต้นไม้และเผาป่าบนภูเขาอย่างมาก การทำการกสิกรรมด้วยวิธีเผาทำลายป่านี้ จะทำให้สามารถเพาะปลูกได้เพียง 2-3 ครั้งก่อนที่ฝนในช่วงฤดูมรสุมจะชะล้างแร่ธาตุจากหน้าดินไป และหลังจากนั้น ม้งอพยพจะแสวงหาพื้นที่ทำกินผืนใหม่เพื่อเผาทำการเพาะปลูกต่อไป แม้จะเป็นการทำลายป่าและทำให้พื้นดินเสื่อมสภาพก็ตาม แต่ม้งก็ยังยึดมั่นที่จะทำการเพาะปลูกด้วยวิธีนี้ต่อไป ด้วยความเชื่อซึ่งฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมที่ว่า ถ้าปราศจากการเผาด้วยไฟ ก็จะไม่มีความเจริญงอกงามใด ๆ ทั้งสิ้น (หน้า 6) สาเหตุหนึ่งของการไม่ต้องการอพยพกลับสู่ถิ่นฐานเดิมในประเทศลาวของม้ง คือ ความเกรงกลัวต่อการใช้นโยบายสังคมนิยมของรัฐบาลลาว ว่าจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของพวกเขา เช่น ไม่สามารถทำการเกษตรได้ในที่ที่ตนต้องการ ไม่สามารถเป็นเจ้าของผลผลิตของตนได้ทั้งหมด หรืออาจต้องถูกเก็บภาษีจากทรัพย์สินที่ครอบครอง เป็นต้น (หน้า 11-12) ส่วนที่ศูนย์อพยพบ้านวินัย ไม่มีข้อมูลชัดเจนด้านเศรษฐกิจ กล่าวไว้เพียงว่า ผู้อพยพจะได้รับแจกอาหาร มีบ้านให้อยู่ แต่ไม่มีที่ดินทำกิน และไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามความพอใจ (หน้า 13) |
|
Social Organization |
ไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่ผู้วิจัยได้พรรณนาสรุปวิถีชีวิตทางสังคมของม้งจากปรากฏการณ์ที่พบในขณะสัมภาษณ์ม้งว่า วิถีชีวิตทางสังคมของม้ง ผู้น้อยมักยอมรับเชื่อฟังความคิดเห็นของผู้อาวุโสกว่า ความคิดของหัวหน้าครอบครัวจะมีอิทธิพลต่อสมาชิกในครอบครัว และความคิดของเพื่อนบ้านก็มีอิทธิพลต่อคนอื่นๆ ในละแวกบ้านด้วย (หน้า 4-5) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การอยู่ในศูนย์ผู้อพยพ (บ้านวินัย) วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป ต้องอยู่ในที่ที่จำกัด ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามความพอใจ และไม่มีที่ดินสำหรับทำการเกษตรตามวิถีชีวิตปกติ |
|
Map/Illustration |
Table 1 Numbers of Hilltribe refugees who decided to (page 37) Table 2 Number of Hilltribe and Lowland Laotians in camps in April 1990 (page 37) Table 3 hilltribe Populations in U.N. Camps 1975 - Present (page 38) Table 4 Hilltribe and Lowland Lao Repatriation to Laos 1980 - March 1990 (pages 41 & 40) Table 5 Hilltribe and Lowland Lao Repatriation to Laos in 1989 (pages 39 & 42) แผนที่ศูนย์ควบคุมผู้อพยพและหลบหนีเข้าเมือง อ. ปากชม (หน้า 43) |
|
|