|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ทุนทางวัฒนธรรม,การเมือง,อัตลักษณ์,เชียงใหม่ |
Author |
วินัย บุญลือ |
Title |
ทุนทางวัฒนธรรมและการช่วงชิงอำนาจเชิงสัญลักษณ์ของชุมชนชาวปกาเกอะญอ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
222 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ศึกษากระบวนการปรับเปลี่ยนทุนทางวัฒนธรรมและการสะสมอำนาจเชิงสัญลักษณ์ของชุมชนปกาเกอะญอ เพื่อท้าทายวาทกรรมของรัฐเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ภูมิปัญญาท้องถิ่น มาสู่เวทีการต่อสู้ทางการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ (หน้า ง) |
|
Focus |
ศึกษาการเปลี่ยนองค์ประกอบทรัพยากรทางวัฒนธรรมของชุมชนปกาเกอะญอให้เป็นเครื่องมือของอำนาจเชิงสัญลักษณ์ สำหรับการสร้างอัตลักษณ์ร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน (หน้า 5) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้ประยุกต์มโนทัศน์เรื่อง "ทุนทางวัฒนธรรม" ของปิแอร์ บูร์ดิเยอร์ (Pierre Bourdieu) มาใช้วิเคราะห์ปรากฏการณ์การพัฒนาระบบสัญลักษณ์ของปกาเกอะญอที่บ้านหนองเต่า มาต่อสู้กับการที่รัฐและตลาดได้เบียดขับ ปกาเกอะญอซึ่งด้อยในสิทธิต่าง ๆ แต่ไม่ยอมจำนนโดยอาศัยเรื่องเล่าหรือตำนาน "ติลูลา" ที่เล่ากันมาช้านาน (หน้า 147-148) ปกาเกอะญอได้พยายามแสดงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์โดยอาศัยการฟื้นฟูวัฒนธรรมและให้ความหมายใหม่เพื่อสื่อสารกับรัฐ และคนนอกอื่น ๆ ให้รู้ว่าปกาเกอะญอเป็นผู้ที่สามารถอยู่ร่วมกับป่า มีภูมิปัญญาในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แสดงให้รู้ว่า ปกาเกอะญอมีระบบความคิดความเชื่อในเรื่องป่าและมีปฏิบัติการอนุรักษ์ป่า อย่างเช่น การทำ "ไร่หมุนเวียน" ไม่ใช่ "ไร่เลื่อนลอย" ในคำนิยามของรัฐ แสดงให้เห็นว่าชุมชนปกาเกอะญอมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในประเทศไทย (หน้า 131) โดยอาศัยหลักฐานต่าง ๆ และมีความชอบธรรมทางสิทธิต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าปกาเกอะญอสามารถใช้ความรู้สมัยใหม่เช่นแผนที่ทหารมาช่วยให้เห็นภาพความสามารถของการอยู่ร่วมกับป่า (หน้า 135) และเปิดพื้นที่ทางสังคมโดยใช้สื่อสมัยใหม่ (หน้า 141-142) ในรูปของการทำสื่อ การเล่านิทาน และเพลง อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยได้สรุปประเด็นวิพากษ์ว่าการต่อสู้ดังกล่าวยังเป็นการต่อสู้ที่ขาดความเท่าเทียมในทางสิทธิ เพราะเป็นการต่อสู้ในกระแสการพัฒนาทางทุนนิยม มิใช่ท้าทายทุนนิยม การสร้างภาพ "ปกาเกอะญอพิทักษ์ป่า" จะจำกัดสิทธิของปกาเกอะญอที่มีวิถีชีวิตแบบอื่น ในเรื่องนี้ผู้วิจัยซึ่งเป็นคนปกาเกอะญอมีข้อคิดเห็นว่าข้อวิพากษ์ดังกล่าวขาดความเข้าใจการต่อสู้ของปกาเกอะญอ ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนทุนวัฒนธรรม มาเป็นอำนาจเชิงสัญลักษณ์ เพื่อมีศักยภาพในการสร้างความชอบธรรมทางสังคมซึ่งมีรากฐานของการปฏิเสธ "ทุน" ในความหมายที่เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (หน้า 157-161) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ อาศัยอยู่บนที่สูงเฉลี่ย 600-1000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แถบภาคเหนือของประเทศไทย ตลอดแนวเขตชายแดนไทย พม่า ในภาษาอังกฤษเรียก สกอว์ คาเรน (Sgaw Karen) หรือโปว์คาเรน (Pow Karen) ซึ่งน่าจะมาจากคำว่า คายิน (Kayin) โดยรากศัพท์ของคำว่า ยิน (yin) แปลว่า "ป่าเถื่อน ล้าหลัง" ไทยวนภาคเหนือและไตใหญ่เรียก "ยาง" หรือ "ยางกะเลอ" ส่วนคนไทยภาคกลางและเอกสารราชการเรียก "กะเหรี่ยง" (หน้า 36) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
แบ่งช่วงระยะเวลาการศึกษาออกเป็น 3 ยุค คือ 1) ยุคชุมชนชาวป่า (ก่อนปี พ.ศ. 2489) มีผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมอาศัยอยู่ตั้งแต่ที่ราบจนถึงยอดดอย ซึ่งต่างมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันตลอดเวลา และมีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์พึ่งพาอยู่กับธรรมชาติ ปกาเกอะญอในบริเวณนี้สันนิษฐานว่าเคยอยู่นอกเมืองเชียงใหม่ จึงค่อย ๆ ขยายออกหาที่ทำกินใหม่ในแถบขุนแม่วิน ห่างจากแม่วางประมาณ 20 กิโลเมตร (หน้า 39) อีกกลุ่มมาจากวัดจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม เข้ามาโดยการแต่งงานซึ่งมีไม่มากนัก และอีกกลุ่ม มาจากทางภาคตะวันตก ซึ่งอพยพมาตามเส้นทางการค้าโบราณระหว่างรัฐคะยา รัฐฉาน และล้านนาตอนบน ในรูปของคาราวานพ่อค้าวัวต่าง (หน้า 40) 2) ยุคชุมชนชาวเขา (พ.ศ. 2489-2530) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เต็มไปด้วยความอดอยาก เกิดลัทธิทางศาสนาเพื่อมากอบกู้ชีวิตความเป็นอยู่ให้หลุดพ้นจากทุกข์ยาก (หน้า 47) แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาควบคุมปราบปรามทำให้ขบวนการเหล่านี้หมดไป แต่ก็ทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดกลัวเจ้าหน้าที่อย่างมาก (หน้า 50) เริ่มมีการพัฒนามาจากภายนอก เช่น การเข้ามาของนักศึกษาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทำให้เกิดการเรียนรู้แลกเปลี่ยนรู้โลกภายนอกและปัญหาของชุมชน เริ่มสำนึกถึงความไม่เป็นธรรมจากนายทุน (หน้า 50-52) ขณะเดียวกันอำนาจรัฐเริ่มเข้ามาควบคุมพื้นที่อย่างจริงจัง เกิดโครงการพัฒนาต่าง ๆ เช่น กองลูกเสือชาวบ้าน ตั้งเป็นหมู่บ้านอาสาป้องกันตนเอง การเผยแพร่ความเชื่อทางศาสนา การตัดถนนหนทาง และการเข้ามาของโครงการหลวง (หน้า 54-55) 3) ยุคชุมชนปกาเกอะญอ (พ.ศ. 2530-ปัจจุบัน) จากปัญหาความไม่มั่นคงในชีวิต และอำนาจรัฐที่เข้ามาควบคุมมากขึ้น ทำให้ปกาเกอะญอกลับไปฟื้นฟูวัฒนธรรมการอยู่ร่วมและรักษาป่า มีการรวมกลุ่มตั้งเป็นเครือข่ายองค์กรชาวบ้านเพื่อต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ เช่น ทรัพยากร สิทธิชาติพันธุ์ ซึ่งทำให้ปกาเกอะญอมีพื้นที่ในสังคมขึ้นมา (หน้า 65-70) |
|
Settlement Pattern |
การเลือกพื้นที่ตั้งหมู่บ้านจะดูความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ ผสมกับความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ ปกาเกอะญอจะไม่ตั้งหมู่บ้านในหุบเขาที่ภูเขาสองลูกมาบรรจบกัน เรียกว่ากิ่วดอย ถือว่าเป็นเส้นทางผ่านของวิญญาณ และ "ปอมีปอเทอ" หรือมนุษย์ล่องหน ซึ่งเชื่อว่าปอมีปอเทออาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์บนโลกนี้เช่นเดียวกัน แต่จะอยู่อีกภพหนึ่ง (หน้า 44) หมู่บ้านที่ตั้งระหว่างกิ่วดอยมักประสบภัยจากธรรมชาติ เพราะตั้งอยู่ขวางทางลม เมื่อมีลมพายุมา ช่องว่างระหว่างเขาจะเป็นช่องที่มีลมแรงที่สุด ทำให้บ้านปะทะกับลมโดยตรง (หน้า 44) บ้านหนองเต่าจะตั้งบ้านอยู่เป็นหย่อมบ้านเล็ก 5-7 ครอบครัวทำไร่ข้าว เก็บของป่าเป็นหลัก การทำไร่ข้าวส่วนใหญ่ทำกันภายในหุบห้วยสันเขาเดียวกัน โดยใช้เขตของห้วยเล็ก ๆ แบ่งพื้นที่ทำกินกับหย่อมบ้านอื่นซึ่งมีอยู่ชัดเจน ต่างเคารพไม่ข้ามเขตกัน (หน้า 41-42) |
|
Demography |
บ้านหนองเต่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีประชากรกว่า 500 คน 90 หลังคาเรือน (หน้า31) |
|
Economy |
ทำไร่ข้าวหมุนเวียนส่วนใหญ่ทำกันภายในหุบห้วยสันเขาเดียวกัน มีการแบ่งพื้นที่ทำกินกับบ้านอื่นตามเขตของห้วย (หน้า 42) |
|
Social Organization |
ในช่วงแรก จะอยู่กันเป็นหย่อมบ้านเล็ก ๆ มีการทำงานช่วยเหลือเกื้อกูลกันแบบครอบครัว การปกครองของแต่ละหย่อมบ้านไม่ขึ้นต่อกัน มีฮีโข่ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนที่มีสิทธิในการจัดการโยกย้ายหมู่บ้าน เพราะมีอำนาจสื่อสารกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เมื่อเกิดโรคระบาด หรือทำให้ผีไม่พอใจ จำเป็นต้องย้ายหมู่บ้านด้วยการเผาทำลายบ้านร้าง ฮีโข่เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้าน ให้ทำหน้าที่ดูแลความสงบสุขของหมู่บ้าน รับผิดชอบความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชน |
|
Political Organization |
เริ่มต้นจากความจำเป็นในการติดต่อสื่อสารกับทางราชการและบุคคลภายนอก จึงเลือกผู้ที่สามารถพูดภาษาไทยได้ เรียกว่าแก่บ้านหรือพ่อหลวง ซึ่งภาษาของปกาเกอะญอเรียกว่า "ซะปก่า" (หน้า 44) บ้านหนองเต่าเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการเมื่อ 110 ปีที่แล้ว มีผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว 11 คน ในบริเวณนั้น บ้านหนองเต่าเป็นหมู่บ้านที่ 4 ที่เป็นการจัดตั้งของรัฐ (หน้า 44) พ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้านจะอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวบ้าน เพราะผู้นำตามประเพณียังมีความสำคัญอยู่มาก การปกครองโดยรวม ยังอยู่ในความดูแลของผู้นำดั้งเดิม และไม่ค่อยมีความขัดแย้งกัน ผู้ใหญ่บ้านยังคงเคารพและยอมรับอำนาจของฮีโข่ (หน้า 45) |
|
Belief System |
ปกาเกอะญอมีวิธีคิดความเข้าใจเกี่ยวกับระบบนิเวศน์ที่เคารพอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ ซึ่งเห็นว่ามนุษย์มีมิติความสัมพันธ์อยู่ 3 มิติ คือมิติจิตวิญญาณ คือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยมองว่าโลกจักรวาลนั้นเป็นสิ่งสร้างจากอำนาจเหนือธรรมชาติของยวา ยวาเป็นเจ้าผู้ครอบครองสรรพสิ่งทั้งมวล มนุษย์เป็นเพียงผู้รับใช้และดูแลเท่านั้น รวมทั้งต้องรักษาสมดุลของธรรมชาติ หากมนุษย์เข้าไปรบกวนหรือเปลี่ยนแปลงต้องทำด้วยความระมัดระวัง เช่น การทำไร่หรือละเมิดธรรมชาติ จะต้องประกอบพิธีกรรมเพื่อบอกกล่าวแก่เจ้าชีวิตผู้ดูแล (หน้า 75-76) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ปกาเกอะญอเชื่อว่า การเกิดมาในโลกนี้เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ เลี้ยงลูกหลานให้เติบโตและดูแลบ้านเกิดเมืองนอน นอกจากนี้ ปกาเกอะญอยังเชื่อว่าขวัญ (เกอะลา) ของคนเรามีอยู่ 37 ขวัญ ในตัวมนุษย์มี 5 ขวัญ อีก 32 ขวัญนั้น จะไปผูกไว้กับชีวิตของสรรพสัตว์ในป่า ทำให้เห็นว่า การดำรงชีวิตในป่านั้นต้องพึ่งพาอาศัยกัน ผูกพันกับธรรมชาติตั้งแต่เกิดจนตาย จึงต้องปฏิบัติต่อธรรมชาติด้วยความเคารพอ่อนน้อม (หน้า 76-78) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคม ปกาเกอะญอมีความเชื่อว่า "ยวาผู้สร้าง" ให้ปกาเกอะญอเป็นพี่คนโตของมนุษย์ทั้งมวล ที่ต้องคอยรับผิดชอบความผาสุกของน้อง ๆ และถือว่าทุกคนเป็นลูกหลานของแผ่นดิน มนุษย์จึงควรอยู่บนแผ่นดินด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน ไม่เอาเปรียบดูถูกกัน (หน้า 80-83) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เสื้อของแม่บ้านปกากะญอจะปักลวดลายเป็นรูปดอกมะเขือ มีกิ่งก้านเป็นรูปใยแมงมุมที่เชื่อมร้อยกิ่งไม้ใบไม้เข้ามาเป็นที่ยึดเกาะของรังแมงมุม (หน้า 39) |
|
Folklore |
บ้านหนองเต่าเดิมมีชื่อเรียกว่า "นอ ต่อ ปู" ซึ่งเรียกตามหนองน้ำใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ภาษาคำเมือง คือ "หนองต้าว" หรือหนองที่หกล้ม มีลักษณะเหมือนรอยมนุษย์ดึกดำบรรพ์หกล้ม มีรูปร่างเหมือนรูปพรรณของมนุษย์ เล่ากันว่ามนุษย์ผู้นี้ชื่อ "ชิกือ" หรือผู้ทำร้ายโลก ขณะที่เขาหนีตายจากการไล่ล่าของพระเจ้าผู้สร้างโลก เกิดสะดุดล้มลงจนกลายเป็นบึงใหญ่ มีรอยแยกปรากฏอยู่บนดอยผาแง่ม ซึ่งเชื่อว่าเป็นรอยดาบที่ใช้ฟันชิกือ (หน้า 41) ส่วนอีกตำนานคือ "แหม่เปาะคี" คำว่า "เปาะ" แปลว่า กระท่อม ซึ่งเล่าว่า มีคนลัวะเคยไปยิงเก้งยิงกวางและตั้งกระท่อมเพิงพักในบริเวณแถบนี้ จึงเรียกขุนห้วยนี้ว่า "แหม่เปาะคี" เป็นที่ตั้งกระท่อม และเรียกห้วยว่า "แหม่เปาะโกละ" (หน้า 41) คำว่า "เปาะ" ยังหมายถึง ตรวนล่ามช้าง หรือ "เกลอ ชอ อะ เปาะ" เพราะในสมัยโบราณปกาเกอะญอจะมาปล่อยช้างแถบนี้ เมื่อช้างหลุดจากตรวนและหนีเข้าป่าจึงเรียกห้วยนี้ว่า "แหม่เปาะโกละ" (หน้า 41) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าระหว่างกัน ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่น ม้ง ต่อมาม้งนำเอาฝิ่นมาเผยแพร่ ทำให้ปกาเกอะญอติดฝิ่นกันมาก มีชาวบ้านออกไปรับจ้างขุดไร่ฝิ่นให้กับม้ง ช่วงที่ม้งเข้ามาบริเวณแม่วาง ปกาเกอะญอไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการแย่งพื้นที่ทำกิน เพราะทั้งสองกลุ่มต่างแบ่งปันและแลกเปลี่ยนผลผลิตกันอยู่เสมอ ต่อมาจึงค่อยเปลี่ยนแปลงเอื้อเฟื้อจุนเจือมาเป็นการรับจ้าง เพราะม้งมีความสามารถทำไร่บนที่สูง ซึ่งสร้างรายได้กับม้งเป็นอย่างดี (หน้า 45) ความสัมพันธ์กับม้งอีกด้านหนึ่งคือ ด้านจิตวิญญาณ ม้งจะมีวิธีทำนายเสี่ยงทายสาเหตุของอาการเจ็บป่วยที่เชื่อว่ามีสาเหตุมาจากผีป่า เมื่อปกาเกอะญอไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าผีตัวใดที่ทำให้เจ็บป่วย ก็จะไปหาม้งซึ่งสามารถสื่อสารกับจิตวิญญาณเพื่อประกอบพิธีกรรมให้ (หน้า 45-46) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปกาเกอะญอมีวิถีชีวิตที่อ่อนน้อมต่อธรรมชาติ พึ่งพาป่าทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม นิทานโบราณและสุภาษิต ต่างแสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ต่อมาเมื่อระบบการเมืองจากภายนอกเข้ามารบกวน โดยมีการประกาศจัดตั้งหมู่บ้าน และการเข้ามากลุ่มนักศึกษาที่หนีภัยทางการเมืองได้มาสร้างจิตสำนึกและความรู้เรื่องสิทธิ (หน้า 50-52) ขณะเดียวกันรัฐเริ่มมองว่าชาวเขาเหล่านี้เป็นผู้ทำลายป่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ มีการจัดการกับชาวเขาด้วยการควบคุมโดยตรง การใช้ความรุนแรง และการพัฒนา เช่น การยึดกุมมวลชนผ่านการเป็นลูกเสือชาวบ้าน (หน้า 54-55) การสร้างถนน (หน้า 56) การเผยแพร่ศาสนา (หน้า 59) และการเข้าแทรกแซงวิถีการผลิตผ่านโครงการหลวง (หน้า 62) ผลกระทบจากภายนอกล้วนส่งผลให้ชุมชนปกาเกอะญอตกอยู่ในสภาพความกดดันทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การจัดการทรัพยากร รวมถึงอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอเอง (หน้า 71) ในช่วงปัจจุบันมีการฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิมนำไปสู่กระบวนการสร้างและผลิตซ้ำอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอในโลกสมัยใหม่ เพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรและการนิยามอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 112) โดยมีแนวทางคือ กระบวนการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์จากไร่เลื่อนลอยสู่ไร่หมุนเวียน เพื่อยืนยันถึงชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ (หน้า 113) การใช้หลักการเชิงนิเวศในการสร้างอัตลักษณ์ของปกาเกอะญอ ให้เห็นว่าปกาเกอะญอเป็นคนที่รักป่า ไม่ใช่ผู้ทำลาย (หน้า 117) การใช้มิติเชิงประวัติศาสตร์ใหม่เพื่อตอบโต้การลดทอนความเป็นมนุษย์ของปกาเกอะญอ (หน้า 125) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาอธิบายรองรับองค์ความรู้การจัดการทรัพยากร ต่อรองกับความรู้การจัดการป่าไม้แบบวิทยาศาสตร์ (หน้า 135) และการเปิดพื้นที่ทางสังคมโดยใช้สื่อสมัยใหม่ สำหรับการสร้างภาพลักษณ์ของปกาเกอะญอ ในฐานะที่มีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน เป็นนักอนุรักษ์ที่สามารถดูแลป่าได้ ไม่ใช่ชาวเขาที่ทำลายป่า (หน้า 141) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงการกระจายตัวของชุมชนปกาเกอะญอในระหว่างรัฐสองฝั่งฟ้า (หน้า 37) แผนที่แสดงบริเวณที่ตั้งพื้นที่ที่ศึกษาและหมู่บ้านใกล้เคียง (หน้า 38) แผนที่การกระจายตัวของป่าไม้ในประเทศไทย (หน้า 136) แผนที่การกระจายตัวของชุมชนชาวเขาในประเทศไทย (หน้า 137) การจำแนกป่าประเภทต่างๆ ในเขตพื้นที่บ้านหนองเต่า (หน้า 139) |
|
|