|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ความเชื่อ,พิธีกรรม,นครปฐม |
Author |
เรณู เหมือนจันทร์เชย |
Title |
โลกทัศน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย : ความเชื่อเรื่องผีของไทยโซ่ง |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
159 |
Year |
2542 |
Source |
หนังสือชุดโลกทัศน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
ปัจจัยหนึ่งที่สามารถดำรงเอกลักษณ์ของโซ่งไว้ได้คือ ความผสมกลมกลืนระหว่างความเชื่อดั้งเดิมเรื่องผี พุทธศาสนาและพราหมณ์เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีข้อโต้แย้งและไม่ขัดต่อหลักปฏิบัติ ส่วนการนับถือศาสนาคริสต์นั้นมีข้อห้าม คือต้องเลิกการนับถือผีทำให้ไทยโซ่งนับถือน้อย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงโลกทัศน์ที่เริ่มเปลี่ยนไปจากของเดิม มีการยอม รับสิ่งใหม่ที่เห็นว่าดี โดยมิได้ทำให้ความเชื่อและพิธีกรรมในการนับถือผีเสียหายหรือลดบทบาทลง ไทยโซ่งได้เลือกสรร ปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับภาวะปัจจุบัน |
|
Focus |
ความเชื่อ พิธีกรรมเกี่ยวกับผีและวัฏจักรชีวิตของไทยโซ่ง |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาลาวโซ่งหรือไทยโซ่งคือภาษาไทดำ จัดอยู่ในตระกูลภาษาไท สาขาตะวันตกเฉียงใต้ไทยโซ่งมีภาษาพูดเป็นของตนเอง สำเนียงจะผิดเพี้ยนจากลาวเวียงจันทน์และลาวทางภาคอีสานไม่มากนัก มีตัวอักษรเป็นของตนเองรูปอักษรคล้ายอักษรลาว ลักษณะไวยากรณ์แบบเดียวกับภาษาไทย (หน้า 23) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ไทยโซ่ง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทยมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในแคว้นสิบสองจุไท ซึ่งตั้งอยู่ในแถบแม่น้ำดำและแม่น้ำแดง ปัจจุบันอยู่ในเขตเวียดนามเหนือเชื่อมต่อกับจีนและลาวตอนใต้ ไทยโซ่ง เดิมเรียกว่า "ไทดำ" หรือ "ผู้ไทดำ" เพราะนิยมสวมเสื้อสีดำล้วน ต่างกับกลุ่มคนไทยที่อยู่ใกล้เคียง คนไทยภาคกลางเรียกกันว่า "ลาวทรงดำ" ต่อมาคำว่า "ดำ" หายไป นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า "ลาวทรง"หรือ "ลาวโซ่ง" ตามพงศาวดารเมืองไลหรือไลเจากล่าวว่า เมืองที่ผู้ไทดำอาศัยอยู่คือ "แถน" หรือ "เมืองแถง" หรือ "เมืองทันต์" ปัจจุบันคือเมือง "เดียนเบียนฟู" ประเทศเวียดนาม ไทดำถูกกวาดต้อนเข้ามาในประเทศไทยหลายครั้งตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ.2322 ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ระยะแรกโดยมากจะถูกส่งให้มารวมกันที่จังหวัดเพชรบุรี ทังนี้เพราะจังหวัดเพชรบุรีมีลักษณะภูมิประเทศคล้ายภูมิประเทศของเมืองแถง แคว้นสิบสองจุไท (หน้า 8-9) |
|
Settlement Pattern |
เรือนของไทยโซ่ง โดยมากไม่มีรั้วแต่บางแห่งมีรั้วเตี้ยทำด้วยไม้ไผ่ เป็นเรือนหลังใหญ่ มีห้องกว้าง มีระเบียงด้านหน้าจั่วทั้ง 2 ด้าน ด้านหน้าเป็นที่รับแขกและนั่งเล่นรียกว่า "กกชาน" ด้านหลังเรียกว่า "กว้าน" สำหรับประกอบพิธีกรรมไหว้ผีบรรพบุรุษ ชายคาด้านหน้าจั่วทำเป็นวงโค้ง หลังคามีลักษณะสูงชันมุงด้วยตับหญ้าคา ชายคายาวต่ำลงจนบังพื้นบ้านทำหน้าที่เป็นทั้งหลังคาและฝาบ้าน มีบันไดขึ้นเรือนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่บันไดด้านหน้าจะมีขนาดใหญ่กว่าบันไดด้านหลัง ครัวไฟจะไม่สร้างไว้ที่หัวสกัดของบ้าน แต่จะสร้างไว้ที่หัวสกัดนอกชานบ้าน ทั้งนี้เพราะ สกัดของตัวบ้านด้านหนึ่งจะมีห้องทำพิธีเซ่นผีเรือน จึงไม่ตั้งครัวไฟบังห้องนี้เพราะถือว่าห้องครัวเป็นสิ่งที่ไม่สะอาด สำหรับบ้านที่นับถือศาสนาคริสต์จะไม่มีห้องผีเรือน เนื่องจากคนที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องเลิกการนับถือผี ยุ้งข้าว จะมุงด้วยกระเบื้องมีจั่ว เสาที่ค้ำยุ้งข้าวจะใช้ต้นไม้ที่มีง่ามและวางต้นเสาแทนคาน จะสร้างไม่ไกลจากตัวบ้าน (หน้า 15 -17) |
|
Demography |
ในประเทศไทยมีประชากรที่พูดภาษาไทยโซ่งประมาณ 100,000 - 500,000 คน(หน้า 15) |
|
Economy |
อาชีพหลักของไทยโซ่งในอดีต คือ ทำไร่ ทำนา อาชีพเสริมได้แก่ จักสาน ทอผ้า เย็บปักถักร้อย นิยมปลูกต้นไผ่ไว้จักสาน ปัจจุบันงานฝีมือน้อยลงทำให้มาปลูกไม้ผลไว้กินและขาย เช่น มะพร้าว มะม่วง และกล้วย หรือแม้แต่การปลูกผักสวนครัว นอกจากนี้ ยังมีการประกอบอาชีพต่าง ๆ เช่น เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง ค้าขาย รับจ้าง รับราชการ เป็นต้น (หน้า 28) |
|
Social Organization |
โครงสร้างทางสังคมแบ่งได้เป็น 2 ระดับได้แก่ โครงสร้างสังคมระดับครอบครัวและเครือญาติ ระบบครอบครัวเป็นระบบครอบครัวขยาย (Extended Family) แต่ปัจจุบันครอบครัวไทยโซ่งมีขนาดเล็กลง ลูกชายนิยมพาภรรยาแยกครอบครัวไปตั้งเรือนใหม่ รูปแบบครอบครัวจึงมีขนาดเล็กลงเป็นครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) สังคมโซ่งใช้ระบบเครือญาติในการจัดระเบียบครอบครัวโดยมีแนวคิดเรื่องผีเดียวกันเป็นสัญลักษณ์ร่วมกัน โครงสร้างสังคมระดับชุมชน เป็นชุมชนตามแนวคิดดั้งเดิมมิได้ขึ้นอยู่กับดินแดน (Territory) แต่ขึ้นอยู่กับระบบเครือญาติ (Kinship System) ซึ่งประกอบด้วยญาติทางสายโลหิตและญาติทางการแต่งงาน ลำดับชั้นทางสังคม แบ่งได้เป็น 2 ชนชั้น ได้แก่ ชนชั้น "ผู้ท้าว" หมายถึงบุคคลที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าหรือผู้ปกครองเมืองสมัยก่อน ชนชั้นผู้น้อย หมายถึงบุคคลหรือกลุ่มคนที่เกิดในตระกูลสามัญชน (หน้า 24 - 27) สมัยก่อนไทยโซ่งถือกันว่า เด็กหญิงที่ผมยังไม่ยาวพอที่จะปั้นเกล้าได้นั้นยังไม่ถึงวัยทำพิธีแต่งงานห้ามติดต่อฉันท์ชู้สาวกับชายหนุ่ม ถ้าพอปั้นเกล้าได้บ้างแล้วจึงจะให้ลงนั่งข่วงมีเพื่อนชายได้ (หน้า 23) |
|
Belief System |
เดิมไทยโซ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับผี และมีความเชื่อเรื่องขวัญ ผีของไทยโซ่งมีทั้งผีดีและผีร้ายซึ่งมีหลายชนิดแบ่งตามความสำคัญ เช่น แถนหรือผีฟ้า เป็นเทวดาที่อยู่บนสวรรค์ สามารถดลบันดาลให้บังเกิดความเป็นไปต่างๆได้ทั้งทางดีและทางร้ายต่อคน สัตว์และพืชต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อเกิดการเจ็บป่วยหรือเคราะห์ร้ายจึงทำพิธีขอร้องให้แถนช่วย ผีบ้านผีเมือง ไทยโซ่งเชื่อว่าเมืองแต่ละเมืองมีผีสิงสถิตอยู่เพื่อดูแลและรักษาคนในเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข มีการสร้างศาลให้อยู่บริเวณที่มีหลักเมืองและถือว่าเป็นเขตหวงห้าม เจ้าเมืองต้องทำพิธีเซ่นไหว้เมืองทุกปี ปัจจุบันการเซ่นไหว้ผีเมืองระงับไปเพราะขาดเจ้าเมือง ส่วนผีบ้านทำหน้าที่ดูแลรักษาหมู่บ้าน โดยจะสร้างศาลประจำหมู่บ้านเรียกว่า "ศาลพ่อปู่" หรือ "ศาลตาปู่" ต้องเซ่นไหว้ทุกปี หากมีเหตุอาเพศจะต้องมีการเซ่นไหว้เป็นกรณีพิเศษ ผีบรรพบุรุษ ซึ่งเรียกว่า "ผีเฮือน"หรือ "ผีเรือน" คือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ที่ถึงแก่กรรมแล้ว ถือเป็นผีที่มีความสัมพันธ์และใกล้ชิดมากที่สุด โดยมีลูกชายเป็นผู้สืบผีสกุล ส่วนบุตรสาวสืบผีมิได้เพราะต้องแต่งงานไปถือผีของฝ่ายชาย ผีป่า ผีเขาและผีอื่นๆ ไทยโซ่งเชื่อกันว่าในป่า เขา ลำธารและสิ่งธรรมชาติมีผีสิงสถิตอยู่หากเราทำการละเมิดหรือทำไม่ถูกใจผีแล้วอาจจะได้รับภัยจากผีที่สิงอยู่ในสิ่งเหล่านั้น - ผีประจำสถานที่ ได้แก่ ผีบันได ผีประตูและผีเตาไฟ จึงมีข้อห้ามมิให้ละเมิด เช่น ห้ามนั่งคาบันได ห้ามเล่นที่บันได ห้ามใช้ของมีคมฟันบันได ห้ามตำจนครกแตกเพราะครกจะไปถูกแม่พระธรณี ห้ามเหยียบธรณีประตู เป็นต้น - ผีที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร เชื่อว่าจะมีผีประจำอยู่ในไร่นาและพืชผล เช่น ผีนา ผีประจำเมล็ดข้าวหรือแม่โพสพ เป็นต้น - ผีตายโหง เช่น ถูกยิงตาย รถชนตาย เป็นต้น คนโซ่งจะไม่เผาคนที่ตายโหงและจะไม่เชิญมาเป็นผีบ้านผีเรือนหรือผีนาแต่จะเชิญให้ไปเป็นผีประจำวัดจะมีพิธีให้ เช่น ทำบุญกลางบ้าน ซึ่งมีการทำสังฆทานหรือสังกบาลให้กิน เป็นต้น - ผีร้าย เช่น ผีปอบ ผีกระสือ พวกนี้ไม่เซ่นไหว้เช่นเดียวกับผีเฮือนแต่ไทยโซ่งจะป้องกันมิให้มารบกวนหรือทำอันตรายคนในบ้าน ปัจจุบันผีประเภทนี้ไม่มีอีกแล้ว แต่รู้จักเพราะการเล่าสู่กันมา พุทธศาสนาเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นกล่าวคือ ไทยโซ่งได้เห็นการปฏิบัติพิธีกรรมทางพุทธศาสนาจึงเกิดความสนใจและเริ่มเรียนรู้ และรับเอาความเชื่อและแนวทางปฏิบัติพีธีกรรมทางพุทธศาสนาแบบคนไทย เช่น ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องนรก - สวรรค์ เป็นต้น และได้ผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมเรื่องการนับถือผีอย่างกลมกลืน และมีเพียงส่วนน้อยที่นับถือศาสนาคริสต์เพราะคนที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องเลิกนับถือผีอันเป็นความเชื่อที่สืบทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ (หน้า 32-42) พิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีเฮือนหรือผีบรรพบุรุษ - พิธีขึ้นบ้านใหม่ ไทยโซ่งให้ความสำคัญกับเรือนมาก มีการเลือกวันปลูกเรือนไม่นิยมวันพุธเพราะเป็นวันจมทำมาหากินไม่พอใช้ โดยมากจะปลูกในวันจันทร์และวันเสาร์ เรียกกันว่า "วันลอยวันฟู" ในอดีตจะไม่ใช้ตะปูเพราะเชื่อว่าตะปูจะทำให้ผีเรือนไม่มาอยู่ ภายในเรือนจะต้องกั้นห้องสำหรับผีเรือนและห้ามคนที่ถือผีคนละผีเข้า เพราะเชื่อว่าจะทำให้เจ้าของเรือนเจ็บป่วย เมื่อสร้างเรือนเสร็จจะต้องทำพิธีเชิญผีขึ้นเรือนโดยมีหมอเสนเป็นผู้ประกอบพิธี - พิธีเสนเรือน คือการสังเวยผีเรือน นิยมทำ 2 -3 ปีต่อครั้งโดยมากนิยมทำพิธีเสนเรือนในเดือนคู่ - พิธีเสนกวัดไกวหรือเสนกวัดกวาย เป็นพิธีเสนปัดกวาดสิ่งชั่วร้ายออกจากเรือนโดยมีแม่มดทำพิธีเพื่อให้เรือนพ้นจากเคราะห์และจากทุกข์โศก - พิธีเสนปาดตง เป็นพิธีที่ปฏิบัติเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเพื่อให้มีของกินเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ คำว่า "ปาดตง" แปลว่า วางตั้งไว้ หมายความว่านำเครื่องเซ่นไปให้ผีเรือนกินที่กะล่อหอง - พิธีปาดตงข้าวใหม่ไทยโซ่ง เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จจะทำปาดตงข้าวใหม่ ปีละ 1 ครั้งราวเดือนอ้าย เดือนยี่ โดยมีความหมายว่า ได้กินข้าวใหม่แล้วจะต้องให้ผีเรือนมากินข้าวใหม่ก่อนเพื่อจะได้เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว โดยมีเจ้าของบ้านเป็นผู้ประกอบพิธี (หน้า 69 -75 ) พิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีมด - พิธีเสนหับมด จัดขึ้นเพื่อรับผีมด - พิธีเสนกินปางหรือ เสนอานปาง เป็นพิธีกรรมที่เซ่นครูบาอาจารย์ของผีมด - พิธีตามขวัญผู้ป่วย จะจัดขึ้นเมื่อคนในบ้านเจ็บป่วยไม่หาย จนต้องไปหาหมอเยื้องดูว่าเจ็บป่วยเป็นเพราะสาเหตุใด ถ้าหมอเยื้อง ดูแล้วบอกว่าที่ป่วยเพราะขวัญไม่อยู่กับเนื้อกับตัวต้องไปให้มดทำพิธีตามขวัญ ("มด" หรือ "Sorceror" เทียบได้กับหมอผีตามคติของไทย ซึ่งต่างกับ "หมอ" หรือ "Prist") - พิธีเสนตัว กรณีเจ็บป่วยไม่หาย ถ้าหมอเยื้องดูแล้วมีเคราะห์ต้องทำพิธีแก้เคราะห์และต่อเงาหัว - พิธีเสนแก้เคราะห์ เมื่อมีคนตายในบ้านหรือคนที่เป็นผีเดียวกันตายจะต้องทำพิธีเสนแก้เคราะห์ สะเดาะเคราะห์ให้คนในบ้านทุกคนโดยให้คนเฒ่าคนแก่มาสะเดาะเคราะห์ให้ดีแล้วจากนั้นจะทำพิธีเสนเรือนหรือจัดงานมงคลต่างๆ พิธีกรรมเกี่ยวกับแถนหรือผีฟ้า - พิธีเสนเต็งหรือเสนผีน้อยจ้อย เป็นพิธีเซ่นไหว้ผีฟ้าหรือแถนเพื่อเป็นการไถ่ตัวพ่อแม่ (ผีเรือน) ที่ถูกจับขังอยู่บนฟ้า ในกรณีที่มาเข้าฝันหรือทำให้ลูกเจ็บป่วย ถ้าให้หมอเยื้องดูแล้วพบว่าผีเรือนถูกแถนจับ จะต้องบนว่าถ้าหายเจ็บป่วยจะต้องทำพิธีเสนเต็งให้ - พิธีกรรมเกี่ยวกับผีประจำหมู่บ้าน ประเพณีไว้ศาลประจำหมู่บ้าน จะจัดในวันที่ 14 เมษายนของทุกปีโดยมีเจ้าจ้ำเป็นผู้ทำพิธี - พิธีกรรมเกี่ยวกับผีเกือด พิธีเสนฆ่าเกือด เป็นพิธีที่จัดทำเพื่อให้เด็กหายจากการเจ็บป่วย โดยมีหมอเยื้องเป็นผู้ทำพิธี - พิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีนาและแม่โพสพ พิธีเลี้ยงผีนา เป็นการบนบานผีนาที่ศาลนาว่าถ้าข้าวในนาดีจะมาเลี้ยง พิธีกรรมนี้จะทำ หลังการเก็บเกี่ยว เวลา 8.00 น.การเรียกขวัญข้าวขึ้นยุ้ง เป็นการเรียกขวัญข้าวจากที่นาให้มาอยู่ที่บ้าน พิธีกรรมเกี่ยวกับวัฏจักรชีวิต - การคลอดลูกจะทำคลอดโดยหมอตำแย โดยมีเคล็ดลับในการทำให้คลอดง่าย เช่น การกินมะพร้าวอ่อนทั้งน้ำและเนื้อทั้งหมดคนเดียวหนึ่งลูก เป็นต้น - การบรรพชา โซ่งโดยมากจะให้ลูกชายบวชแก้บนหรือบวชหน้าไฟโดยมากบวชประมาณ 3 วัน 7 วัน 15 วัน การอุปสมบท ชายที่อายุครบ 20 ปีนิยมบวชเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ - การแต่งงาน ไทยโซ่งเรียกว่า "งานกินดอง" เป็นการเลี้ยงฉลองเกี่ยวดองเป็นญาติกันและเป็นการบอกกล่าวผีเรือนว่าผู้ใดจะมาเป็นเขยเป็นสะใภ้ - พิธีเกี่ยวกับการตาย เรียกว่าเฮดแฮว ไทยโซ่งเชื่อว่าคนตายจะกลับมายังถิ่นฐานเดิมของบรรพบุรุษและไปเฝ้าแถนที่เมืองฟ้าโดยมีเขยกกเป็นผู้บอกทาง ถ้ามีคนตายในหมู่บ้านไทยโซ่งทุกคนจะไว้ทุกข์ ตามความเชื่อของไทยโซ่ง พื้นยุ้งข้าวจะไม่สร้างให้ต่ำกว่าพื้นเรือน เพราะข้าวเป็นแม่โพสพ ไทยโซ่งนับถือแม่โพสพซึ่งมีบุญคุณที่ทำให้ชีวิตดำเนินอยู่ได้ ยุ้งข้าวเก่าจะไม่รื้อมาทำเป็นที่พักอาศัยหรือเหยียบย่ำเด็ดขาด (หน้า 17) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
โซ่งนิยมรักษาการเจ็บป่วยด้วยคาถาอาคมควบคู่กับการใช้ยาสมุนไพร (หน้า 61) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายแบบดั้งเดิมนิยมใช้ชุดสีดำหรือสีครามแก่เป็นพื้น จึงได้ชื่อเรียกกันว่า "ลาวทรงดำ" การแต่งกายแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวันและชุดที่ใช้ในโอกาสสำคัญ เสื้อของผู้ชายเรียกว่า "เสื้อไท" เป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีดำ ติดกระดุมเงินประมาณ 10 - 15 เม็ด ผู้ชายนิยมสวมเสื้อไทกับกางเกงขาก๊วยสีดำหรือสีครามแก่คล้ายกับกางเกงของจีน ใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว ถ้าเป็นโอกาสพิเศษจะใช้ผ้าขาวม้าทอจากผ้าไหมคาดเอว เสื้อของผู้หญิงเรียกว่า "เสื้อก้อม" ชุดธรรมดา จะเป็นชุดรัดรูปพอดีตัว เอวสั้น แขนกระบอกรัดข้อมือ คอเสื้อคล้ายแบบคอจีนผ่าหน้าตลอดติดกระดุมเงิน ผ้าซิ่นหรือผ้านุ่งของผู้หญิง ทำด้วยฝ้ายแกมไหม ย้อมสีครามแก่ มีลายสีขาวสลับเล็ก ๆ คล้ายลายบนผลแตงโม เชิงซิ่นจะติดตีนซิ่นเป็นลวดลายต่างหากกว้างประมาณ 2 นิ้ว ไทยโซ่งจะไม่ขมวดชายผ้าพกไว้ด้านข้างสะเอวแต่จะจับผ้ามาทบกันตรงกลางให้จีบแยกจากกัน แล้วขมวดไว้ตรงหน้าท้อง ดึงซิ่นข้างหน้าสูงกว่าด้านหลังเพื่อสะดวกในการก้าวเดินและทำงาน "เสื้อฮี " เป็นชุดที่ใช้ในโอกาสพิเศษ เสื้อฮีของผู้ชาย คล้ายเสื้อคอกลมยาวคลุมตะโพก กุ๊นรอบคอด้วยผ้าไหมสีแดงแล้วเดินเส้นทับด้วยสีอื่น คอเสื้อด้านข้าง ติดกระดุม 1 เม็ดผ่าตลอด แต่มิได้ผ่ากลางแบบเสื้อตามปกติ แขนเสื้อเป็นแขนกระบอกยาวปลายแคบ จากรักแร้ถึงชายเสื้อจะตกแต่งด้วยเศษผ้าและด้ายไหมและติดกระจกชิ้นเล็ก ๆ ตามลวดลาย ด้านข้างผ่าตั้งแต่ปลายเสื้อเกือบถึงเข่าแล้วปักตกแต่งอย่างสวยงาม เสื้อฮีแบบนี้จะใช้ในงานมงคลต่างๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งเมื่อพลิกกลับออกมาจะเป็นด้านที่มีสีสันหลากสี จะใช้ในโอกาสอวมงคล "ส้วงฮี" หมายถึงกางเกงขายาวสีดำขาแคบและยาวถึงข้อเท้าใช้สวมใส่คู่กับเสื้อฮีในโอกาสพิเศษ "เสื้อฮี" ของผู้หญิงมีสองด้านเช่นเดียวกับของผู้ชายแต่ตัวเสื้อใหญ่และยาวกว่ามาก คอแหลมลึก ใช้สวมหัวไม่ผ่าหน้า แขนแคบเป็นแขนกระบอก เสื้อฮีของผู้หญิงใช้ใส่กับผ้าถุง แบบทรงผม ผู้ชายโซ่งจะตัดผมสั้นเกรียนเรียกว่าทรงหลักเจวและทรงมหาดไทย ปัจจุบันนิยมไว้รองทรง ส่วนคนเฒ่านิยมตัดสั้นเกรียนเหมือนทรงทหาร สำหรับผู้หญิงไทยโซ่งสมัยก่อนจะเกล้าผมแบบต่าง ๆ อย่างประณีตทั้งในชีวิตประจำวันและในโอกาสพิเศษ การเกล้าผมเรียกว่า "ปั้นเกล้า" (หน้า 18 - 23) |
|
Folklore |
"ปั้นเกล้ายก คือถกกอขาม ปั้นเกล้างามคือโถงเศร้า ไม้ขัดเกล้าเหมือนแอกเกวียนควาย" วรรณกรรมของไทยโซ่งมีทั้งมุขปาฐะและลายลักษณ์อักษร โดยมีเนื้อหาเป็นเครื่องบ่งบอกถึงคตินิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณีและความเชื่อ สามารถสะท้อน สภาพสังคมของกลุ่มชนได้เป็นอย่างดี วรรณกรรมแบบมุขปาฐะมีทั้งนิทานพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย สุภาษิต ข้อห้ามและเพลง กล่อมเด็ก วรรณกรรมลายลักษณ์อักษรเป็นวรรณกรรมที่บันทึกไว้ในสมุดข่อย เช่น เรื่องจำปาสี่ต้น นางแตงอ่อน ขูลูนางอั้ว พระลักษณ์พระราม ขุนบูลม (ขุนบรม) บทสวดในพิธีเสนเรือน การเรียกขวัญและบอกทางศพ (หน้า 22,24) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เชื่อกันว่าภาษาโซ่งมีความสัมพันธ์กับภาษากลุ่มไทดำ ไทขาวที่พูดในประเทศเวียดนาม (หน้า 24) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันรูปทรงบ้าน หลังคาที่มุงด้วยจาก แฝกเปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้อง ส่วนหลังคามุงสังกะสีก็มีแต่น้อย หลังคาทำเป็นทรงจั่วเหมือนบ้านชนบทของคนไทย บางหลังเปลี่ยนเป็นเรือนไทยประยุกต์แบบครึ่งปูนครึ่งไม้ (หน้า 16-17) ปัจจุบันไทยโซ่งใช้รถเกี่ยวข้าวแทนแรงงานคนและไม่ต้องขนข้าวเปลือกไปเก็บไว้ที่ยุ้งเหมือนสมัยก่อน ทำให้ยุ้งข้าวร้าง (หน้า 17) ปัจจุบันไทยโซ่งจัดพิธีศพแบบคนไทยมากขึ้น คือนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้าน สวดอภิธรรมไว้นานประมาณ 3 วัน ผู้ชายสวด 2 วัน ผู้หญิงสวด 3 วันหรือมากกว่านี้ เวสลา 20.00 นาฬิกาของทุกวันจะนิมนต์พระมาสวดอภิธรรม 4 รูป มีการทำอาหารและน้ำเลี้ยง(หน้า 129) |
|
Map/Illustration |
ภาพเรือนไทยโซ่ง(ก) ภาพกะล่อหอง แปลว่ามุมห้อง เป็นท่อยู่ของผีเรือน(ข) ภาพไต เครื่องหมายของเด็กผู้ชายทำด้วยไม้ไผ่จัก ตอกสานเป็นกระพ้อมเล็กๆ(ข) ภาพทรงผมขอดกระต๊อก สำหรับสาวไทยโซ่งที่มีอายุ 16 - 17 ปี,ทรงผมปั้นเกล้าหรือปั้นเกล้าถ้วนสำหรับสาวไทยโซ่งวัยที่จะแต่งงานได้(ค) ภาพการแต่งกายผู้หญิงในพิธีมงคล,ชุดเดินทางของผู้หญิง,ผู้ชายใส่เสื้อฮีคล้องคอในพิธีเสนเรือน,การแต่งกายของผู้ชายในพิธีมงคล(ฆ) ภาพกระเหล็บ ทำด้วยไม้ไผ่และหวายใช้ใส่สิ่งของเวลาเดินทาง,กะแอบ ทำด้วยไม้ไผ่จักตอกใช้ในพิธีเสนเรือน,ปานเผือน ทำด้วยหวายหรือไม้ไผ้จักตอก ใช้ใส่เครื่องเซ่น,หาบเข่ง สมัยก่อนใช้หาบสิ่งของไปทำบุญที่วัดหรือข้าวไปกินที่นา(ง) เฉลวหรือตาเหลว สานด้วยตอกไม้ไผ่รูปห้าหรือหกเหลี่ยมใช้ป้องกันผีร้าย,หิ้งมด หิ้งมนต์เป็นที่สักการะ เคารพบูชา(จ) หมอผีคีบเครื่องเซ่นให้ผีบรรพบุรุษกิน,หมอผีทำพิธีเสนเรือน(ฉ) ภาพแม่มดเสี่ยงทายด้วยไม้มอเพื่อเรียกขวัญคนในบ้านให้มาสะเดาะเคราะห์,แม่มดท่องคาถาทำพิธี(ช) หมอผีเสี่ยงทายด้วยไข่และเมล็ดข้าวสาร,หมอพิธีเป่าปี่ประโคมเมื่อแถนตกลงตามผีมนต์มารับเครื่องเซ่น(ซ) หมอพิธีรำตามจังหวะกระแทกบั้ง(กระบอกไม้ไผ่),เจ้าของบ้านเคาะไม้ไผ่เป็นจังหวะ"ตั้งบั้งหน่อ"ในพิธีเสนกินปาง(ฌ) คนเฒ่าคนแก่ ญาติผู้ใหญ่ผูกข้อมือให้ศีลให้พรคู่บ่าวสาว,การทำพิธีสู่ขวัญคู่บ่าวสาว(ญ) การกินข้าวปานต๊ก เป็นการกินข้าวไว้ทุกข์ของญาติผีเดียวกัน,เขยหามยกศพไปเผา บนโลงศพจะมีเสื้อฮีด้านสวยงามวางขวางโลง(ฎ) ภาพบ้านป่า เป็นบ้านเล็กๆ ทำไว้สำหรับใส่สิ่งของที่จะให้คนตาย จะใส่ไว้ในรั้ว เช่นอาหาร เสื้อผ้า ไหน้ำ เป็นต้น โดยเชื่อว่าสิ่งของเหล่านี้คนตายจะนำไปใช้ร่วมกับบรรพบุรุษที่เมืองแถง(ฏ) ภาพศาลประจำพื้นที่ทำกิน เช่น ทำนา เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง(ฐ) ภาพศาลเจ้าที่ ,ศาลพระภูมิ,ศาลตาปู่ เป็นศาลศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านเกาะแรต(ฑ) |
|
|