|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การสืบทอดความรู้,ไร่หมุนเวียน,เชียงใหม่ |
Author |
ประเสริฐ ตระการศุภกร |
Title |
การสืบทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบการทำไร่หมุนเวียนของชุมชนเผ่ากะเหรี่ยง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
163 |
Year |
2540 |
Source |
หลักสูตรศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ขั้นตอนการทำไร่หมุนเวียน แต่ละขั้นมีภูมิปัญญาเชิงอนุรักษ์และเทคโนโลยีพื้นบ้านเกื้อหนุนอยู่ก่อให้เกิดระบบพึ่งพาระหว่างคนและธรรมชาติอย่างสมดุล ในการปะทะสังสรรค์กับวัฒนธรรมจากภายนอกและฟื้นฟูวัฒนธรรมของตนมาใช้อย่างเหมาะสม สร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนสองวัฒนธรรม หลังจากมีการกระตุ้นให้รื้อฟื้นวัฒนธรรมของทั้ง 3 หมู่บ้านและมีการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น ส่วนที่ยังคงแตกต่างกันคือ หมู่บ้านขุนวินอาศัยรูปแบบเดิมเป็นหลักพึ่งตนเองสูง ทำไร่หมุนเวียนเกือบทุกครอบครัว มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ เชื่อในคุณค่าของธรรมชาติส่วนอีกสองหมู่บ้านใช้รูปแบบที่ผสมผสานระหว่างเก่าและใหม่ มีความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน แต่คนสูงวัยยังเชื่อในคุณค่าของธรรมชาติอยู่ หมู่บ้านห้วยหอยมีการทำไร่หมุนเวียนอยู่บ้างแต่ไม่เต็มรูปแบบ หมู่บ้านทุ่งหลวงเกือบไม่ทำไร่หมุนเวียนเลย ซึ่งความต่างของทั้ง 3 หมู่บ้านอธิบายได้จาก 3 ปัจจัยคือ การคมนาคม การรับเกษตรแผนใหม่และความเชื่อทางศาสนา ปัจจัยที่ทำให้เกิดความยั่งยืนของการสืบทอดคือ องค์ความรู้ที่ใช้ระบบความเชื่อที่มีร่วมกันระหว่างชนเผ่า การสืบทอดที่มีประสิทธิภาพ โครงสร้างความสัมพันธ์ทั้งในระบบครอบครัว เครือญาติและชุมชน การเสริมแรงทางด้านความคิดจากนักพัฒนาและนักวิชาการควรจะเปิดเป็นเวทีสำหรับวัฒนธรรมต่างๆ ได้มาปฏิสัมพันธ์กัน รัฐควรตระหนักในศักยภาพของชุมชนบนที่ราบสูงในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและศึกษาเชิงทดลองเพื่อขยายผลเพื่อให้นโยบายการรักษาป่าของรัฐมีความยั่งยืน รัฐพึงปรับปรุงการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อสร้างคนสองวัฒนธรรม สื่อมวลชนต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำไร่หมุนเวียนเพื่อเสนอภาพลักษณ์ของการทำเกษตรของชุมชนบนที่ราบสูงอย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริง |
|
Focus |
ศึกษาองค์ความรู้ การจัดองค์กร ระบบคิดและระบบความเชื่อเกี่ยวกับรูปแบบการทำเกษตรบนที่สูงของกะเหรี่ยง ตลอดจนเงื่อนไขที่สนับสนุนให้มีการสืบทอดและดำรงอยู่และมีความยั่งยืน |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
- หมู่บ้านห้วยหอย หมู่บ้านห้วยหอยตั้งมาประมาณ 150 ปีที่แล้วโดย พือเก๊ะวาและภรรยาชื่อ พีกะหนะซึ่งทั้งสองย้ายมาจากบ้านขุนป๋วย ซึ่งมีอายุประมาณ 200 ปี อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏชัดเจนว่ากะเหรี่ยงกลุ่มนี้อพยพมาจากที่ใดก่อนมาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่ตั้งในปัจจุบันหรืออาศัยที่บ้านหนองบอน-ปันต๋น ยาวนานแค่ไหน ทราบเพียงว่ามีคนบนพื้นที่ราบย้ายเข้ามาทำให้ต้องย้ายขึ้นมาที่บ้านสบวิน ตำบลแม่วินและบ้านแม่มูกในปัจจุบัน - หมู่บ้านทุ่งหลวง หมู่บ้านทุ่งหลวงมีชื่อท้องถิ่นว่า "มือเต๊ะโกล" มีอายุราว 100 ปี ตั้งหมู่บ้านโดยพือโหย่เจ ปอจุ๊เนาะ เดิมอยู่บ้าน "ห้วยอีค่าง" ซึ่งเป็นหมู่บ้านดั้งเดิมที่สุดในลุ่มน้ำ แต่มีคนจากอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ไม่พอใจหมู่บ้านห้วยอีค่าง จึงใช้เวทย์มนตร์ปล่อย "เสอะแรเกอะเส่" (ผีม้า) ทำให้คนตายจำนวนมาก จึงแยกย้ายออกมาตั้งหมู่บ้านใหม่เป็นหมู่บ้านทุ่งหลวง หมู่บ้านห้วยข้าวลีบและหมู่บ้านโป่งสมิง เหตุที่เลือกพื้นที่ลุ่มน้ำทุ่งหลวงเพราะเป็นพื้นที่ราบกว้างขวางสามารถบุกเบิกนาและเลี้ยงสัตว์ได้ - หมู่บ้านขุนวิน หมู่บ้านขุนวินมีชื่อภาษากะเหรี่ยงว่า "มือวีคี" ตั้งถิ่นฐานมานานราว 200 ปีผู้ตั้งหมู่บ้านคนแรกชื่อ "พาโปล"(Hpa plo) แต่ไม่ทราบที่มาแน่นอนก่อนที่จะมาตั้งหมู่บ้านขุนวิน ต่อมาเกิดโรคระบาด ผีรังควาน และมีคนกินเห็ดพิษตายหลายคนทำให้ชาวบ้านแยกกระจายกันเป็น 3 หย่อมได้แก่ บ้านพาจิโน บ้านขุนวินกลางและบ้านใหม่ขุนวิน บ้านทั้ง 3 หย่อมนี้ต่อมายังเป็นต้นกำเนิดของชุมชนและหมู่บ้านอื่นๆ บริเวณบ้านขุนวินเป็นป่าดงดิบ เหมาะแก่การทำไร่หมุนเวียนเพราะดินดี มีป่าทึบ มีสัตว์ป่ามากมายและมีพืชบางชนิดที่เป็นสินค้ามีชื่อและทำรายได้ให้ชุมชน เช่น มะแคว่นและชาป่า เป็นต้น (หน้า 28-40,54) |
|
Settlement Pattern |
บ้านห้วยหอย ลักษณะของการตั้งหมู่บ้านจะรวมกันเป็นกลุ่มตั้งอยู่ใกล้ลำห้วย ถัดออกไปโดยรอบของหมู่บ้านมีการจัดสรรพื้นที่นาและพื้นที่หวงห้าม หมู่บ้านทุ่งหลวง ตั้งอยู่กลางระหว่างสาขาย่อยของแม่น้ำ บ้านเรือนในหมู่บ้านจะรวมกันเป็นกลุ่ม มีสวนโอบล้อมหมู่บ้านและทำนาบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ (หน้า 37,39) |
|
Demography |
- หมู่บ้านห้วยหอยมีประชากร 204 คน รวม 42 หลังคาเรือน เป็นชาย 97 คนและหญิง 107 คน - หมู่บ้านขุนวินมีประชากรทั้งหมด 121 คน ชาย 65 คนและหญิง 56 คน รวม 22 หลังคาเรือน - หมู่บ้านทุ่งหลวงมีประชากรทั้งหมด 314 คน เป็นชาย 172 คน หญิง 142 คน รวม 59 หลังคาเรือน (หน้า 44-46 ) |
|
Economy |
- หมู่บ้านห้วยหอย การผลิตหลัก คือ การทำไร่หมุนเวียน รองลงมาคือการทำนาขั้นบันไดและทำสวนครัวในหมู่บ้าน และต่อมา มีการทำสวนและไร่ผสมผสานในพื้นที่ไร่ซากเก่าของไร่หมุนเวียนมากขึ้น เพราะรอบหมุนเวียนเหลือเพียง 2-3 ปีเท่านั้น จึงไม่เหมาะสมกับการทำไร่หมุนเวียนอีกต่อไป การถือครองที่ดิน พื้นที่นา เป็นการถือครองโดยส่วนตัวหรือเครือญาติ พื้นที่ไร่หมุนเวียนเป็นการถือครองร่วมของชุมชนส่วนพื้นที่สวนเป็นการถือครองโดยส่วนตัวนอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยงควายเพื่อ ไถนา ส่วนวัว หมูและไก่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารหรือแบ่งขายในยามฉุกเฉิน - หมู่บ้านทุ่งหลวง ทำนาเป็นหลักและรองลงมาคือทำไร่หมุนเวียน ซึ่งต่อมาได้เลิกทำ เหลือเพียงการทำนาและผลิตแบบเกษตรแผนใหม่ที่โครงการหลวงเข้ามาส่งเสริม การถือครองที่ดินสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักคือ กลุ่มครอบครัวขยายที่มีที่ทำกินราว 20-30 ไร่และกลุ่มครอบครัวเดี่ยวมีที่ทำกินราว 5-19 ไร่ (รวมที่นาและที่สวน) นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู ไก่และช้างซึ่งมีน้อยมากราว 1-2 เชือก - หมู่บ้านขุนวิน ทุกครอบครัวทำไร่หมุนเวียนเป็นหลัก รองลงมาคือการทำนาซึ่งมีแนวโน้มบุกเบิกขึ้นเรื่อยๆ แต่ไร่หมุนเวียนเริ่มลดลง นอกจากทำไร่ทำนาแล้วยังมีการเลี้ยงสัตวเช่น วัว ควาย หมูและไก่ ชาวบ้านในชุมชนยังมีรายได้จากการขายมะแคว่นซึ่งเป็นเครื่องเทศที่หาได้ในป่าธรรมชาติโดยรอบชุมชน การถือครองที่ดินมีลักษณะใกล้เคียงกับ 2 หมู่บ้านข้างต้นต่างเพียงจำนวนการถือครองที่ดินซึ่งน้อยกว่าหมู่บ้านทั้ง 2 เนื่องจากอุทยานออบขานได้ควบคุมการใช้พื้นที่อย่างเคร่งครัด (หน้า 47-50) |
|
Social Organization |
หมู่บ้านห้วยหอยสมัยพือเก๊ะวา ระบบผลิตและวิถีชีวิตมีความเข้มแข็งมาก ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้เต็มที่ มีการช่วยเหลือ เกื้อกูลกันตามประเพณี มีการลงแขกแลกเปลี่ยนแรงงาน การสืบทอดของหนุ่มสาวทำอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง (หน้า29) หมู่บ้านขุนวิน หมู่บ้านห้วยหอย และหมู่บ้านทุ่งหลวง มีโครงสร้างความสัมพันธ์ในสังคมโดยภาพกว้างจะเหมือนกันเพราะต่าง ก็เป็นหมู่บ้านของชนเผ่ากะเหรี่ยง โครงสร้างชุมชนระดับเครือญาติและครอบครัวกำหนดหลักจากพิธี "บก๊ะ" หรือพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งถูกกำหนดโดยเชื้อสายของฝ่ายหญิง บุคคลบทบาทสูงสุดคือยาย พิธี "บก๊ะ" ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องการแต่งงาน ของลูกหลานเนื่องจากมีกฎห้ามลูกหลานในสายเครือญาติเดียวกันและร่วมพิธีบก๊ะร่วมกันแต่งงานกันโดยเด็ดขาด ในระดับครอบครัว พ่อจะเป็นหัวหน้างานแต่เมื่อลูกชายหรือลูกสาวโตพอที่จะรับผิดชอบงาน พ่อแม่ก็จะมอบหมายให้คนใดคนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกคนโตเป็นหัวหน้างานแทน ถ้าลูกชายแต่งงานจะต้องย้ายไปอยู่บ้านภรรยา ดังนั้น สามีของลูกสาว คนโตจะเป็นหัวหน้างานแทนลูกสาวได้ตามที่พ่อแม่มอบหมาย ชุมชนกะเหรี่ยงมีรูปแบบความสัมพันธ์ของชุมชนผ่านการลงแขกแลกเปลี่ยนแรงงานในระดับต่างๆ ได้แก่ ระบบเครือญาติ ถือเป็นหน้าที่และเป็นระบบที่เข้มแข็งที่สุด ระดับชุมชน ความเข้มแข็งของการลงแขกแลกเปลี่ยนแรงงานขึ้นอยู่กับหนุ่มสาวในชุมชน ส่วนการลงแขกแลกเปลี่ยนแรงงานระหว่างชุมชนถือเป็นการลงแขกครั้งสำคัญเพราะนอกจากแลกเปลี่ยนแรงงานแล้ว ยังเน้นความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวระหว่างชุมชนอีกด้วย (หน้า 40-43) การจัดองค์กรในการทำไร่หมุนเวียนนอกจากการจัดการด้านการผลิตแล้ว ยังมีการจัดการในลักษณะความสัมพันธ์กับธรรมชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และการจัดการระหว่างคนกับคน คนกับชุมชน ในระดับครอบครัวและเครือญาติมีการแบ่งบทบาทหญิงชายอย่างชัดเจน กล่าวคือบทบาทหลักของผู้หญิงจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องพันธุ์ข้าว การปลูกพันธุ์พืชตลอดจนการเก็บเกี่ยวสะสมพันธุ์พืชส่วนผู้ชายจะเป็นผู้ช่วยเฉพาะขั้นตอนที่สำคัญเท่านั้น เช่นการเลือกพื้นที่ไร่ เป็นต้น (หน้า 88 -90) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านขุนวิน หมู่บ้านห้วยหอยและหมู่บ้านทุ่งหลวงมี "หี่โข่" เป็นหัวหน้าหมู่บ้านตามประเพณี สืบเชื้อสายมาจากหี่โข่ที่ตั้งหมู่บ้านคนแรก ถือเป็นการสืบทอดผู้นำชายตามสายเลือด และยังมีผู้ช่วยหี่โข่อีก 1-2 คนแล้วแต่ขนาดของหมู่บ้าน นอกจาก 2 ตำแหน่งนี้แล้วยังต้องมีผู้อาวุโสของชุมชนซึ่งเป็นผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ อีกด้วย (หน้า 41) |
|
Belief System |
- หมู่บ้านห้วยหอย นับถือศาสนาหลัก 3 ศาสนาจำแนกเป็นการนับถือศาสนาตามประเพณีเดิมราว 16 หลังคาเรือน มี "พาตี่คามู" เป็นผู้นำศาสนา คาทอลิค 18 หลังคาเรือนมีผู้นำคือ "พาตี่วะเจ๊ะ" และศาสนาคริสเตียน 8 หลังคาเรือนมีผู้นำ คือ พาตี่ส่าหลู่ หมู่บ้านทุ่งหลวง เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาตามประเพณีเดิม ซึ่งเรียกว่า "เอาะบก๊ะ" ซึ่งหมายถึงการนับถือผีบรรพบุรุษ แต่มีจำนวน 12 หลังคาเรือนที่นับถือศาสนาพุทธและอีก 1 หลังคาเรือนที่นับถือคาทอลิค ถึงแม้จะมีการนับถือศาสนาอื่นแต่ก็มิได้ตัดประเพณีเดิมทั้งหมด ตัดเพียงพิธีบก๊ะเท่านั้น หมู่บ้านขุนวิน นับถือศาสนาตามประเพณีเดิม ทั้งหมด (นับถือวิญญาณบรรพบุรุษ)(หน้า 46 - 47) ในตอนต้นและตอนท้ายของการผลิตแบบไร่หมุนเวียนจะมีพิธีกรรมอยู่ 2 พิธีคือ "พิธีสู่ลอบือโหม่ปกา" แปลว่า พิธีปลูกแม่ข้าว 7 หลุม และ "พิธีเก๊าะ ถ่อ โถ" แปลว่า พิธีเรียกนกกลับฟ้า (หน้า 61) พิธีบูชาเทพต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำไร่หมุนเวียน การบูชาเจ้าป่าเจ้าเขาผ่านพิธีเลี้ยงไร่ ถือเป็นการขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาที่ยอมให้ทำกินในแต่ละปี การบูชาเทพเจ้าแห่งไฟผ่านพิธีเลี้ยงไฟ เป็นการขอขมาเทพแห่งไฟที่ใช้เผาผลาญต้นไม้ต่างๆ เพื่อจะได้ไม่ร้อนไปถึงต้นข้าว พืชผลต่างๆ และเจ้าของไร่ การบูชาเจ้าแม่โพสพผ่านพิธีเลี้ยงข้าวในไร่ เป็นการให้ความเคารพและขอบคุณแม่โพสพ เพื่อให้ข้าวได้ผลผลิตดี สมบูรณ์ ขยายพันธุ์ได้ดี พิธีปัดรังควาญไร่ (แซะ คึ) เป็นการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ข้าวและพันธุ์พืชในไร่ เพื่อข้าวไร่จะได้งอกงามสมบูรณ์ พิธีกินข้าวใหม่ เป็นการยกย่องหรือให้คุณค่าว่าข้าวเป็นของสูง การกินข้าวใหม่เพื่อความหมายว่า เมล็ดข้าวจะไม่แตกไม่หัก มีผลผลิตมาก "พิธีแซะ ลอ บือ สา" เพื่อขอให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวงได้ง่าย นอกจากนี้ ยังมีพิธีเรียกนกขวัญข้าวกลับฟ้า หมายถึงการประกอบพิธีเพื่อขอบคุณนกขวัญข้าวที่ลงมาเป็นขวัญข้าวให้กับข้าวไร่หมุนเวียนตลอดทั้งปี (หน้า 85 - 88) |
|
Education and Socialization |
- บ้านห้วยหอย มีหน่วยงานการศึกษาของ ตชด. จัดตั้งโรงเรียน เดิมตั้งอยู่ที่หมู่บ้านห้วยงู ตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 ต่อมาชุมชนห้วยงูย้ายมารวมกับหมู่บ้านห้วยหอย กอปรกับปีนั้นหมู่บ้านห้วยงูเกิดภาวะแห้งแล้ง ทางตชด.จึงย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่บ้านห้วยหอย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของเด็กๆ และชุมชนที่เด็กวัยเรียนถูกแยกจากระบบการเรียนรู้จากครอบครัว ส่วนศูนย์สังคมพัฒนาขององค์กรศาสนาคาทอลิค ได้เข้ามาสนับสนุนการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมจนหมู่บ้านห้วยหอยได้เป็นหมู่บ้านตัวอย่าง การจัดการสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำวาง - หมู่บ้านทุ่งหลวง ในปี พ.ศ.2518 ได้จัดตั้งโรงเรียนวัดทุ่งหลวง โดยทำการเรียนการสอนที่วัด ต่อมาในปี พ.ศ.2523 ทาง สปช. จึงมาจัดตั้งโรงเรียนบ้านทุ่งหลวงแทนวัดและส่งครูมาประจำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 - หมู่บ้านขุนวิน องค์กรแรกที่เข้ามาคือสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (IMPECT) ในปี พ.ศ.2536 ชุมชนได้เรียกร้องให้เปิดการเรียนการสอน สมาคมจึงใช้แนวการศึกษานอกระบบ นอกจากนี้สมาคมฯ ได้พัฒนาชุมชนในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอีกด้วย (หน้า 51 - 52) การสืบทอดองค์ความรู้ตามแบบประเพณีเดิมและการจัดองค์กรสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ ระดับครอบครัว-เครือญาติและระดับชุมชน การสืบทอดองค์ความรู้ในระดับครอบครัว-เครือญาติได้แก่การสืบทอดผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน ผ่านพิธีกรรมในระดับครอบครัว ส่วนการสืบทอดองค์ความรู้ในระดับชุมชน ได้แก่ การสืบทอดผ่านพิธีกรรมต่างๆ และกิจกรรมในรอบปีการผลิตในระดับชุมชน (หน้า 95-106) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานเรื่อง "โถ บี ข่า" ซึ่งแปลว่า นกขวัญข้าว เป็นการเล่าเรื่องถึงหนุ่มกำพร้าคนหนึ่งที่ไม่มีทางเลือกในการทำกินและด้วยจิตใจที่ดีงามของหนุ่มกำพร้าจึงได้รับความช่วยเหลือจากเทพเจ้าแห่งข้าวซึ่งแปลงกายเป็นหญิงแก่แม่ม่าย นิทานเรื่อง "หน่อเดะกว่อ เดาะ หน่อตาโฮ" (นางสาวเก้งและนางสาวเขียดตาแดง) เป็นการพรรณนาเรื่องราวของสัตว์ตลอดจนความเป็นมาในลักษณะบางประการของสัตว์ต่างๆ เช่น ตัวลิ่ม ลูกอ๊อด ตั๊กแตนตำข้าว เป็นต้น (หน้า 154-155) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
หมู่บ้านทุ่งหลวงมีโครงการหลวงมาส่งเสริมการเกษตรแผนใหม่เมื่อปี พ.ศ.2530 เป็นผลให้การผลิตแบบพื้นบ้านโดยเฉพาะการทำไร่หมุนเวียนหายไป (หน้า 52) |
|
Map/Illustration |
แผนที่สังเขปของอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่(157) แผนที่หมู่บ้านที่ทำวิจัย(158) แผนที่หมู่บ้านขุนวิน(พะจิโน)(159) แผนที่หมู่บ้านขุนวินกลาง(ต่า หว่า เล ถ่า)(160) แผนที่หมู่บ้านขุนวินใหม่(161) แผนที่แสดงที่ตั้งและการจัดการทรัพยากรบ้านห้วยหอย(37) แผนที่แสดงที่ตั้งหมู่บ้านทุ่งหลวง(39) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านห้วยหอย(44) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านขุนวิน(45) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านขุนวินแยกตามวัย(45) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านทุ่งหลวง(46) ตารางแสดงรูปแบบการสืบทอดลำนำ(116) ตารางแสดงตัวอย่างหลักสูตรท้องถิ่น(124) ภาพแสดงการจำแนกพื้นที่ป่าตามภูมิปัญญาชาวบ้าน(53) ภาพแสดงการจำแนกป่าตามประโยชน์การใช้สอยตามประเพณี(55) ภาพแสดงรอบหมุนเวียนของไร่ซากหรือไร่เหล่าของระบบไร่หมุนเวียน(64) ภาพแสดงข้อห้ามในการป้องกันผลกระทบระหว่างคนกับคนในการทำไร่หมุนเวียน(71) ภาพแสดงการห้ามทำไร่ติดกับไร่เก่าโดยมีนาของผูอื่นมาคั่นกลาง(72) ภาพแสดงการห้ามพี่น้องท้องเดียวกันทำเขตกั้นไร่ในพื้นที่ทำไร่ติดต่อกัน(72) ภาพแสดงการห้ามทำไร่ข้ามหมู่บ้าน(73) ภาพแสดงการห้ามการทำไร่ด้วยกันแล้วแบ่งผลผลิตแยกออกไปสองหมู่บ้าน(74) ภาพแสดงการห้ามทำไร่ติดต่อเนื่องกันทั้งสองไหล่เขา "Quv hkof hkle"(75) ภาพแสดงการห้ามทำไร่ทั้งสองฟากน้ำมีปลา หยะ เปอะ ลา อาศัยอยู่(75) ภาพแสดงการปลูกแม่ข้าว 7 หลุม(83) ภาพแสดงเครื่องมือถอนหญ้าในไร่หมุนเวียน(84) ภาพแสดงวิวัฒนาการขั้นตอนของปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม(120) ภาพแสดงขั้นการฟื้นฟูทางวัฒนธรรมและขั้นยั่งยืน(126) ภาพแสดงกระบวนการพัฒนาการความเข้มแข็งของสถาบันชุมชน 5 ขั้นตอน(127) |
|
|