สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การสืบทอดความรู้,ไร่หมุนเวียน,เชียงใหม่
Author ประเสริฐ ตระการศุภกร
Title การสืบทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบการทำไร่หมุนเวียนของชุมชนเผ่ากะเหรี่ยง
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 163 Year 2540
Source หลักสูตรศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ขั้นตอนการทำไร่หมุนเวียน แต่ละขั้นมีภูมิปัญญาเชิงอนุรักษ์และเทคโนโลยีพื้นบ้านเกื้อหนุนอยู่ก่อให้เกิดระบบพึ่งพาระหว่างคนและธรรมชาติอย่างสมดุล ในการปะทะสังสรรค์กับวัฒนธรรมจากภายนอกและฟื้นฟูวัฒนธรรมของตนมาใช้อย่างเหมาะสม สร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนสองวัฒนธรรม หลังจากมีการกระตุ้นให้รื้อฟื้นวัฒนธรรมของทั้ง 3 หมู่บ้านและมีการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น ส่วนที่ยังคงแตกต่างกันคือ หมู่บ้านขุนวินอาศัยรูปแบบเดิมเป็นหลักพึ่งตนเองสูง ทำไร่หมุนเวียนเกือบทุกครอบครัว มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ เชื่อในคุณค่าของธรรมชาติส่วนอีกสองหมู่บ้านใช้รูปแบบที่ผสมผสานระหว่างเก่าและใหม่ มีความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน แต่คนสูงวัยยังเชื่อในคุณค่าของธรรมชาติอยู่ หมู่บ้านห้วยหอยมีการทำไร่หมุนเวียนอยู่บ้างแต่ไม่เต็มรูปแบบ หมู่บ้านทุ่งหลวงเกือบไม่ทำไร่หมุนเวียนเลย ซึ่งความต่างของทั้ง 3 หมู่บ้านอธิบายได้จาก 3 ปัจจัยคือ การคมนาคม การรับเกษตรแผนใหม่และความเชื่อทางศาสนา ปัจจัยที่ทำให้เกิดความยั่งยืนของการสืบทอดคือ องค์ความรู้ที่ใช้ระบบความเชื่อที่มีร่วมกันระหว่างชนเผ่า การสืบทอดที่มีประสิทธิภาพ โครงสร้างความสัมพันธ์ทั้งในระบบครอบครัว เครือญาติและชุมชน การเสริมแรงทางด้านความคิดจากนักพัฒนาและนักวิชาการควรจะเปิดเป็นเวทีสำหรับวัฒนธรรมต่างๆ ได้มาปฏิสัมพันธ์กัน รัฐควรตระหนักในศักยภาพของชุมชนบนที่ราบสูงในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและศึกษาเชิงทดลองเพื่อขยายผลเพื่อให้นโยบายการรักษาป่าของรัฐมีความยั่งยืน รัฐพึงปรับปรุงการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อสร้างคนสองวัฒนธรรม สื่อมวลชนต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำไร่หมุนเวียนเพื่อเสนอภาพลักษณ์ของการทำเกษตรของชุมชนบนที่ราบสูงอย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริง

Focus

ศึกษาองค์ความรู้ การจัดองค์กร ระบบคิดและระบบความเชื่อเกี่ยวกับรูปแบบการทำเกษตรบนที่สูงของกะเหรี่ยง ตลอดจนเงื่อนไขที่สนับสนุนให้มีการสืบทอดและดำรงอยู่และมีความยั่งยืน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

พ.ศ.2540

History of the Group and Community

- หมู่บ้านห้วยหอย หมู่บ้านห้วยหอยตั้งมาประมาณ 150 ปีที่แล้วโดย พือเก๊ะวาและภรรยาชื่อ พีกะหนะซึ่งทั้งสองย้ายมาจากบ้านขุนป๋วย ซึ่งมีอายุประมาณ 200 ปี อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏชัดเจนว่ากะเหรี่ยงกลุ่มนี้อพยพมาจากที่ใดก่อนมาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่ตั้งในปัจจุบันหรืออาศัยที่บ้านหนองบอน-ปันต๋น ยาวนานแค่ไหน ทราบเพียงว่ามีคนบนพื้นที่ราบย้ายเข้ามาทำให้ต้องย้ายขึ้นมาที่บ้านสบวิน ตำบลแม่วินและบ้านแม่มูกในปัจจุบัน - หมู่บ้านทุ่งหลวง หมู่บ้านทุ่งหลวงมีชื่อท้องถิ่นว่า "มือเต๊ะโกล" มีอายุราว 100 ปี ตั้งหมู่บ้านโดยพือโหย่เจ ปอจุ๊เนาะ เดิมอยู่บ้าน "ห้วยอีค่าง" ซึ่งเป็นหมู่บ้านดั้งเดิมที่สุดในลุ่มน้ำ แต่มีคนจากอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ไม่พอใจหมู่บ้านห้วยอีค่าง จึงใช้เวทย์มนตร์ปล่อย "เสอะแรเกอะเส่" (ผีม้า) ทำให้คนตายจำนวนมาก จึงแยกย้ายออกมาตั้งหมู่บ้านใหม่เป็นหมู่บ้านทุ่งหลวง หมู่บ้านห้วยข้าวลีบและหมู่บ้านโป่งสมิง เหตุที่เลือกพื้นที่ลุ่มน้ำทุ่งหลวงเพราะเป็นพื้นที่ราบกว้างขวางสามารถบุกเบิกนาและเลี้ยงสัตว์ได้ - หมู่บ้านขุนวิน หมู่บ้านขุนวินมีชื่อภาษากะเหรี่ยงว่า "มือวีคี" ตั้งถิ่นฐานมานานราว 200 ปีผู้ตั้งหมู่บ้านคนแรกชื่อ "พาโปล"(Hpa plo) แต่ไม่ทราบที่มาแน่นอนก่อนที่จะมาตั้งหมู่บ้านขุนวิน ต่อมาเกิดโรคระบาด ผีรังควาน และมีคนกินเห็ดพิษตายหลายคนทำให้ชาวบ้านแยกกระจายกันเป็น 3 หย่อมได้แก่ บ้านพาจิโน บ้านขุนวินกลางและบ้านใหม่ขุนวิน บ้านทั้ง 3 หย่อมนี้ต่อมายังเป็นต้นกำเนิดของชุมชนและหมู่บ้านอื่นๆ บริเวณบ้านขุนวินเป็นป่าดงดิบ เหมาะแก่การทำไร่หมุนเวียนเพราะดินดี มีป่าทึบ มีสัตว์ป่ามากมายและมีพืชบางชนิดที่เป็นสินค้ามีชื่อและทำรายได้ให้ชุมชน เช่น มะแคว่นและชาป่า เป็นต้น (หน้า 28-40,54)

Settlement Pattern

บ้านห้วยหอย ลักษณะของการตั้งหมู่บ้านจะรวมกันเป็นกลุ่มตั้งอยู่ใกล้ลำห้วย ถัดออกไปโดยรอบของหมู่บ้านมีการจัดสรรพื้นที่นาและพื้นที่หวงห้าม หมู่บ้านทุ่งหลวง ตั้งอยู่กลางระหว่างสาขาย่อยของแม่น้ำ บ้านเรือนในหมู่บ้านจะรวมกันเป็นกลุ่ม มีสวนโอบล้อมหมู่บ้านและทำนาบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ (หน้า 37,39)

Demography

- หมู่บ้านห้วยหอยมีประชากร 204 คน รวม 42 หลังคาเรือน เป็นชาย 97 คนและหญิง 107 คน - หมู่บ้านขุนวินมีประชากรทั้งหมด 121 คน ชาย 65 คนและหญิง 56 คน รวม 22 หลังคาเรือน - หมู่บ้านทุ่งหลวงมีประชากรทั้งหมด 314 คน เป็นชาย 172 คน หญิง 142 คน รวม 59 หลังคาเรือน (หน้า 44-46 )

Economy

- หมู่บ้านห้วยหอย การผลิตหลัก คือ การทำไร่หมุนเวียน รองลงมาคือการทำนาขั้นบันไดและทำสวนครัวในหมู่บ้าน และต่อมา มีการทำสวนและไร่ผสมผสานในพื้นที่ไร่ซากเก่าของไร่หมุนเวียนมากขึ้น เพราะรอบหมุนเวียนเหลือเพียง 2-3 ปีเท่านั้น จึงไม่เหมาะสมกับการทำไร่หมุนเวียนอีกต่อไป การถือครองที่ดิน พื้นที่นา เป็นการถือครองโดยส่วนตัวหรือเครือญาติ พื้นที่ไร่หมุนเวียนเป็นการถือครองร่วมของชุมชนส่วนพื้นที่สวนเป็นการถือครองโดยส่วนตัวนอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยงควายเพื่อ ไถนา ส่วนวัว หมูและไก่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารหรือแบ่งขายในยามฉุกเฉิน - หมู่บ้านทุ่งหลวง ทำนาเป็นหลักและรองลงมาคือทำไร่หมุนเวียน ซึ่งต่อมาได้เลิกทำ เหลือเพียงการทำนาและผลิตแบบเกษตรแผนใหม่ที่โครงการหลวงเข้ามาส่งเสริม การถือครองที่ดินสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักคือ กลุ่มครอบครัวขยายที่มีที่ทำกินราว 20-30 ไร่และกลุ่มครอบครัวเดี่ยวมีที่ทำกินราว 5-19 ไร่ (รวมที่นาและที่สวน) นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู ไก่และช้างซึ่งมีน้อยมากราว 1-2 เชือก - หมู่บ้านขุนวิน ทุกครอบครัวทำไร่หมุนเวียนเป็นหลัก รองลงมาคือการทำนาซึ่งมีแนวโน้มบุกเบิกขึ้นเรื่อยๆ แต่ไร่หมุนเวียนเริ่มลดลง นอกจากทำไร่ทำนาแล้วยังมีการเลี้ยงสัตวเช่น วัว ควาย หมูและไก่ ชาวบ้านในชุมชนยังมีรายได้จากการขายมะแคว่นซึ่งเป็นเครื่องเทศที่หาได้ในป่าธรรมชาติโดยรอบชุมชน การถือครองที่ดินมีลักษณะใกล้เคียงกับ 2 หมู่บ้านข้างต้นต่างเพียงจำนวนการถือครองที่ดินซึ่งน้อยกว่าหมู่บ้านทั้ง 2 เนื่องจากอุทยานออบขานได้ควบคุมการใช้พื้นที่อย่างเคร่งครัด (หน้า 47-50)

Social Organization

หมู่บ้านห้วยหอยสมัยพือเก๊ะวา ระบบผลิตและวิถีชีวิตมีความเข้มแข็งมาก ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้เต็มที่ มีการช่วยเหลือ เกื้อกูลกันตามประเพณี มีการลงแขกแลกเปลี่ยนแรงงาน การสืบทอดของหนุ่มสาวทำอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง (หน้า29) หมู่บ้านขุนวิน หมู่บ้านห้วยหอย และหมู่บ้านทุ่งหลวง มีโครงสร้างความสัมพันธ์ในสังคมโดยภาพกว้างจะเหมือนกันเพราะต่าง ก็เป็นหมู่บ้านของชนเผ่ากะเหรี่ยง โครงสร้างชุมชนระดับเครือญาติและครอบครัวกำหนดหลักจากพิธี "บก๊ะ" หรือพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งถูกกำหนดโดยเชื้อสายของฝ่ายหญิง บุคคลบทบาทสูงสุดคือยาย พิธี "บก๊ะ" ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องการแต่งงาน ของลูกหลานเนื่องจากมีกฎห้ามลูกหลานในสายเครือญาติเดียวกันและร่วมพิธีบก๊ะร่วมกันแต่งงานกันโดยเด็ดขาด ในระดับครอบครัว พ่อจะเป็นหัวหน้างานแต่เมื่อลูกชายหรือลูกสาวโตพอที่จะรับผิดชอบงาน พ่อแม่ก็จะมอบหมายให้คนใดคนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกคนโตเป็นหัวหน้างานแทน ถ้าลูกชายแต่งงานจะต้องย้ายไปอยู่บ้านภรรยา ดังนั้น สามีของลูกสาว คนโตจะเป็นหัวหน้างานแทนลูกสาวได้ตามที่พ่อแม่มอบหมาย ชุมชนกะเหรี่ยงมีรูปแบบความสัมพันธ์ของชุมชนผ่านการลงแขกแลกเปลี่ยนแรงงานในระดับต่างๆ ได้แก่ ระบบเครือญาติ ถือเป็นหน้าที่และเป็นระบบที่เข้มแข็งที่สุด ระดับชุมชน ความเข้มแข็งของการลงแขกแลกเปลี่ยนแรงงานขึ้นอยู่กับหนุ่มสาวในชุมชน ส่วนการลงแขกแลกเปลี่ยนแรงงานระหว่างชุมชนถือเป็นการลงแขกครั้งสำคัญเพราะนอกจากแลกเปลี่ยนแรงงานแล้ว ยังเน้นความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวระหว่างชุมชนอีกด้วย (หน้า 40-43) การจัดองค์กรในการทำไร่หมุนเวียนนอกจากการจัดการด้านการผลิตแล้ว ยังมีการจัดการในลักษณะความสัมพันธ์กับธรรมชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และการจัดการระหว่างคนกับคน คนกับชุมชน ในระดับครอบครัวและเครือญาติมีการแบ่งบทบาทหญิงชายอย่างชัดเจน กล่าวคือบทบาทหลักของผู้หญิงจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องพันธุ์ข้าว การปลูกพันธุ์พืชตลอดจนการเก็บเกี่ยวสะสมพันธุ์พืชส่วนผู้ชายจะเป็นผู้ช่วยเฉพาะขั้นตอนที่สำคัญเท่านั้น เช่นการเลือกพื้นที่ไร่ เป็นต้น (หน้า 88 -90)

Political Organization

หมู่บ้านขุนวิน หมู่บ้านห้วยหอยและหมู่บ้านทุ่งหลวงมี "หี่โข่" เป็นหัวหน้าหมู่บ้านตามประเพณี สืบเชื้อสายมาจากหี่โข่ที่ตั้งหมู่บ้านคนแรก ถือเป็นการสืบทอดผู้นำชายตามสายเลือด และยังมีผู้ช่วยหี่โข่อีก 1-2 คนแล้วแต่ขนาดของหมู่บ้าน นอกจาก 2 ตำแหน่งนี้แล้วยังต้องมีผู้อาวุโสของชุมชนซึ่งเป็นผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ อีกด้วย (หน้า 41)

Belief System

- หมู่บ้านห้วยหอย นับถือศาสนาหลัก 3 ศาสนาจำแนกเป็นการนับถือศาสนาตามประเพณีเดิมราว 16 หลังคาเรือน มี "พาตี่คามู" เป็นผู้นำศาสนา คาทอลิค 18 หลังคาเรือนมีผู้นำคือ "พาตี่วะเจ๊ะ" และศาสนาคริสเตียน 8 หลังคาเรือนมีผู้นำ คือ พาตี่ส่าหลู่ หมู่บ้านทุ่งหลวง เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาตามประเพณีเดิม ซึ่งเรียกว่า "เอาะบก๊ะ" ซึ่งหมายถึงการนับถือผีบรรพบุรุษ แต่มีจำนวน 12 หลังคาเรือนที่นับถือศาสนาพุทธและอีก 1 หลังคาเรือนที่นับถือคาทอลิค ถึงแม้จะมีการนับถือศาสนาอื่นแต่ก็มิได้ตัดประเพณีเดิมทั้งหมด ตัดเพียงพิธีบก๊ะเท่านั้น หมู่บ้านขุนวิน นับถือศาสนาตามประเพณีเดิม ทั้งหมด (นับถือวิญญาณบรรพบุรุษ)(หน้า 46 - 47) ในตอนต้นและตอนท้ายของการผลิตแบบไร่หมุนเวียนจะมีพิธีกรรมอยู่ 2 พิธีคือ "พิธีสู่ลอบือโหม่ปกา" แปลว่า พิธีปลูกแม่ข้าว 7 หลุม และ "พิธีเก๊าะ ถ่อ โถ" แปลว่า พิธีเรียกนกกลับฟ้า (หน้า 61) พิธีบูชาเทพต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำไร่หมุนเวียน การบูชาเจ้าป่าเจ้าเขาผ่านพิธีเลี้ยงไร่ ถือเป็นการขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาที่ยอมให้ทำกินในแต่ละปี การบูชาเทพเจ้าแห่งไฟผ่านพิธีเลี้ยงไฟ เป็นการขอขมาเทพแห่งไฟที่ใช้เผาผลาญต้นไม้ต่างๆ เพื่อจะได้ไม่ร้อนไปถึงต้นข้าว พืชผลต่างๆ และเจ้าของไร่ การบูชาเจ้าแม่โพสพผ่านพิธีเลี้ยงข้าวในไร่ เป็นการให้ความเคารพและขอบคุณแม่โพสพ เพื่อให้ข้าวได้ผลผลิตดี สมบูรณ์ ขยายพันธุ์ได้ดี พิธีปัดรังควาญไร่ (แซะ คึ) เป็นการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ข้าวและพันธุ์พืชในไร่ เพื่อข้าวไร่จะได้งอกงามสมบูรณ์ พิธีกินข้าวใหม่ เป็นการยกย่องหรือให้คุณค่าว่าข้าวเป็นของสูง การกินข้าวใหม่เพื่อความหมายว่า เมล็ดข้าวจะไม่แตกไม่หัก มีผลผลิตมาก "พิธีแซะ ลอ บือ สา" เพื่อขอให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวงได้ง่าย นอกจากนี้ ยังมีพิธีเรียกนกขวัญข้าวกลับฟ้า หมายถึงการประกอบพิธีเพื่อขอบคุณนกขวัญข้าวที่ลงมาเป็นขวัญข้าวให้กับข้าวไร่หมุนเวียนตลอดทั้งปี (หน้า 85 - 88)

Education and Socialization

- บ้านห้วยหอย มีหน่วยงานการศึกษาของ ตชด. จัดตั้งโรงเรียน เดิมตั้งอยู่ที่หมู่บ้านห้วยงู ตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 ต่อมาชุมชนห้วยงูย้ายมารวมกับหมู่บ้านห้วยหอย กอปรกับปีนั้นหมู่บ้านห้วยงูเกิดภาวะแห้งแล้ง ทางตชด.จึงย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่บ้านห้วยหอย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของเด็กๆ และชุมชนที่เด็กวัยเรียนถูกแยกจากระบบการเรียนรู้จากครอบครัว ส่วนศูนย์สังคมพัฒนาขององค์กรศาสนาคาทอลิค ได้เข้ามาสนับสนุนการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมจนหมู่บ้านห้วยหอยได้เป็นหมู่บ้านตัวอย่าง การจัดการสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำวาง - หมู่บ้านทุ่งหลวง ในปี พ.ศ.2518 ได้จัดตั้งโรงเรียนวัดทุ่งหลวง โดยทำการเรียนการสอนที่วัด ต่อมาในปี พ.ศ.2523 ทาง สปช. จึงมาจัดตั้งโรงเรียนบ้านทุ่งหลวงแทนวัดและส่งครูมาประจำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 - หมู่บ้านขุนวิน องค์กรแรกที่เข้ามาคือสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (IMPECT) ในปี พ.ศ.2536 ชุมชนได้เรียกร้องให้เปิดการเรียนการสอน สมาคมจึงใช้แนวการศึกษานอกระบบ นอกจากนี้สมาคมฯ ได้พัฒนาชุมชนในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอีกด้วย (หน้า 51 - 52) การสืบทอดองค์ความรู้ตามแบบประเพณีเดิมและการจัดองค์กรสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ ระดับครอบครัว-เครือญาติและระดับชุมชน การสืบทอดองค์ความรู้ในระดับครอบครัว-เครือญาติได้แก่การสืบทอดผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน ผ่านพิธีกรรมในระดับครอบครัว ส่วนการสืบทอดองค์ความรู้ในระดับชุมชน ได้แก่ การสืบทอดผ่านพิธีกรรมต่างๆ และกิจกรรมในรอบปีการผลิตในระดับชุมชน (หน้า 95-106)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ตำนานเรื่อง "โถ บี ข่า" ซึ่งแปลว่า นกขวัญข้าว เป็นการเล่าเรื่องถึงหนุ่มกำพร้าคนหนึ่งที่ไม่มีทางเลือกในการทำกินและด้วยจิตใจที่ดีงามของหนุ่มกำพร้าจึงได้รับความช่วยเหลือจากเทพเจ้าแห่งข้าวซึ่งแปลงกายเป็นหญิงแก่แม่ม่าย นิทานเรื่อง "หน่อเดะกว่อ เดาะ หน่อตาโฮ" (นางสาวเก้งและนางสาวเขียดตาแดง) เป็นการพรรณนาเรื่องราวของสัตว์ตลอดจนความเป็นมาในลักษณะบางประการของสัตว์ต่างๆ เช่น ตัวลิ่ม ลูกอ๊อด ตั๊กแตนตำข้าว เป็นต้น (หน้า 154-155)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

หมู่บ้านทุ่งหลวงมีโครงการหลวงมาส่งเสริมการเกษตรแผนใหม่เมื่อปี พ.ศ.2530 เป็นผลให้การผลิตแบบพื้นบ้านโดยเฉพาะการทำไร่หมุนเวียนหายไป (หน้า 52)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่สังเขปของอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่(157) แผนที่หมู่บ้านที่ทำวิจัย(158) แผนที่หมู่บ้านขุนวิน(พะจิโน)(159) แผนที่หมู่บ้านขุนวินกลาง(ต่า หว่า เล ถ่า)(160) แผนที่หมู่บ้านขุนวินใหม่(161) แผนที่แสดงที่ตั้งและการจัดการทรัพยากรบ้านห้วยหอย(37) แผนที่แสดงที่ตั้งหมู่บ้านทุ่งหลวง(39) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านห้วยหอย(44) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านขุนวิน(45) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านขุนวินแยกตามวัย(45) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านทุ่งหลวง(46) ตารางแสดงรูปแบบการสืบทอดลำนำ(116) ตารางแสดงตัวอย่างหลักสูตรท้องถิ่น(124) ภาพแสดงการจำแนกพื้นที่ป่าตามภูมิปัญญาชาวบ้าน(53) ภาพแสดงการจำแนกป่าตามประโยชน์การใช้สอยตามประเพณี(55) ภาพแสดงรอบหมุนเวียนของไร่ซากหรือไร่เหล่าของระบบไร่หมุนเวียน(64) ภาพแสดงข้อห้ามในการป้องกันผลกระทบระหว่างคนกับคนในการทำไร่หมุนเวียน(71) ภาพแสดงการห้ามทำไร่ติดกับไร่เก่าโดยมีนาของผูอื่นมาคั่นกลาง(72) ภาพแสดงการห้ามพี่น้องท้องเดียวกันทำเขตกั้นไร่ในพื้นที่ทำไร่ติดต่อกัน(72) ภาพแสดงการห้ามทำไร่ข้ามหมู่บ้าน(73) ภาพแสดงการห้ามการทำไร่ด้วยกันแล้วแบ่งผลผลิตแยกออกไปสองหมู่บ้าน(74) ภาพแสดงการห้ามทำไร่ติดต่อเนื่องกันทั้งสองไหล่เขา "Quv hkof hkle"(75) ภาพแสดงการห้ามทำไร่ทั้งสองฟากน้ำมีปลา หยะ เปอะ ลา อาศัยอยู่(75) ภาพแสดงการปลูกแม่ข้าว 7 หลุม(83) ภาพแสดงเครื่องมือถอนหญ้าในไร่หมุนเวียน(84) ภาพแสดงวิวัฒนาการขั้นตอนของปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม(120) ภาพแสดงขั้นการฟื้นฟูทางวัฒนธรรมและขั้นยั่งยืน(126) ภาพแสดงกระบวนการพัฒนาการความเข้มแข็งของสถาบันชุมชน 5 ขั้นตอน(127)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), , การสืบทอดความรู้, ไร่หมุนเวียน, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง