|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ลเวือะ, ลัวะ,ขมุ,ชาวเขา,คนพื้นราบ,ประวัติ,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,วิถีการผลิต,ภาคเหนือ |
Author |
Anthony R. Walker |
Title |
North Thailand: Hill and Valley, Hillmen and Lowlanders |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า, ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ละว้า ลัวะ ว้า, ม้ง, กำมุ ตะมอย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
17 |
Year |
2518 |
Source |
Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor) p.1-17, จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia Press. |
Abstract |
เนื้อหาครอบคลุม วิถีการผลิตด้านเกษตรกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อ โครงสร้างสังคม - การเมือง ของคนบนที่สูง (hill people) และคนพื้นราบ (valley) ภาคเหนือของไทย บนพื้นที่สูงทางเหนือของไทยเป็นที่อยู่ของชุมชนหมู่บ้านจำนวนมากของชาติพันธุ์ที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกัน ไม่ได้แยกออกเป็นเขต ๆ ที่อยู่กันเฉพาะชาติพันธุ์ บ้านเกษตรกรภาคเหนือ จะสร้างบ้านบนเสา ทำนาดำ ปลูกผัก ยาสูบ ถั่วลิสง เลี้ยงสัตว์และค้าขาย ชาวเหนือสืบทอดตระกูลทางแม่ (matriclans) นับถือผีและศาสนาพุทธ เป็นส่วนใหญ่ คนบนที่สูงส่วนใหญ่จะแบ่งแยกตัวเองตามกลุ่มวัฒนธรรมย่อยเฉพาะ สร้างบ้านด้วยไม้และไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบจาก บางกลุ่มสร้างบ้านแบบมีเสายกใต้ถุนสูงตามแบบคนพื้นราบ ทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา ปลูกข้าวไร่ ข้าวโพด ฝิ่น และพืชเสริม เช่น ผัก ยาสูบ เป็นต้น หาของป่า และเลี้ยงสัตว์ องค์กรสังคมมีความหลากหลายเป็นไปตามอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ชุมชนบนเขาส่วนใหญ่นับถือผี มีบ้างที่นับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาคริสต์ |
|
Focus |
เสนอภาพวิถีการผลิตด้านเกษตรกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อ โครงสร้างสังคม - การเมือง ของชาวเขาและคนพื้นราบในภาคเหนือของไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไม่ระบุข้อมูลชัดเจน ชาติพันธุ์ที่ผู้เขียนกล่าวถึงบ้าง ได้แก่ ม้ง เย้า ลาหู่ ลัวะ กะเหรี่ยง ลีซอ อาข่า ขมุ และถิ่น |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาหู่ ลีซอ และอาข่าพูดภาษาตระกูลย่อย Tibeto - Bruman ส่วนลัวะ (Lua) ขมุ (Khmu) และถิ่น (Htin) เป็นกลุ่มที่พูดภาษา Austroasiatic พูดภาษาลัวะ (หน้า 8) |
|
Study Period (Data Collection) |
เมษายน - พฤษภาคม ค.ศ. 1973 |
|
History of the Group and Community |
ภาคเหนือของประเทศไทย ก่อนทศวรรษ ค.ศ.1880 ภาคเหนือของไทยประกอบด้วยนครรัฐกึ่งปกครองตนเอง จำนวนมาก เชียงใหม่มีอิทธิพลมากกว่านครรัฐอื่น ๆ เชียงใหม่ก่อตั้งปี ค.ศ.1296 ในฐานะเมืองเอกที่เป็นอิสระของราชอาณาจักรไทยใน ล้านนา ไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่ากว่า 200 ปี (ค.ศ.1558-1774) แต่มีอิทธิพลเหนือนครรัฐที่อยู่ในอันดับรอง ๆ ลงมาในท้องถิ่น เช่น ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน เป็นต้น เชียงใหม่กลับมาอยู่ภายใต้กษัตริย์สยามซึ่งปลดปล่อยเชียงใหม่จาก พม่าในปี ค.ศ.1774 และภาคเหนือถูกบูรณาการเข้ากับประเทศสยามอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1873 ปีต่อมากรุงเทพได้ส่งเสนาบดีขึ้นไปปกครองแทนเจ้าผู้ครองนครเดิม ในปี ค.ศ.1894 ได้ใช้การบริหารราชการแบ่งเป็นมณฑลเทศาภิบาล ซึ่งทำให้การควบคุมของกรุงเทพมั่นคงขึ้น ปัจจุบัน หมู่บ้านในพื้นราบทั้งหมด และอย่างน้อยในทางทฤษฎีทุกหมู่บ้านบนดอยก็เช่นกัน ถูกเชื่อมโยงเข้ากับการปกครองของเมืองหลวงของประเทศ (หน้า 6) กลุ่มชาติพันธุ์บนเขา เย้าและม้งอพยพมาจากมณฑลกวางตุ้ง (Kwangtung) กวางสี (Kwangsi) ยูนนาน (Yunnan) และผ่านลาวเข้าสู่ไทย ส่วนลาหู่ ลีซอ และอาข่า อพยพจากตอนใต้ของยูนนานผ่านลาวและรัฐฉานของพม่าแล้วเข้าไทย ส่วนใหญ่ของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้อพยพเข้าสู่ไทยเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สำหรับกลุ่ม Austroasiatic ที่พูดภาษาลัวะคือ ขมุและถิ่นอพยพเข้าพื้นที่ตอนเหนือของประเทศตั้งแต่ก่อนที่ชาวไทยจะมาอยู่พื้นที่บริเวณนี้เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 9 ส่วนกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในตอนเหนือของไทยอย่างน้อย 200 ปีมาแล้ว (หน้า 8) |
|
Settlement Pattern |
บ้านเกษตรกรภาคเหนือ จะสร้างบ้านบนเสา ขึ้นกับความมั่งคั่งของครัวเรือนที่มีมากอาจสร้างด้วยไม้สัก ส่วนที่มีน้อยอาจสร้างด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบจากตามประเพณีนิยม ปัจจุบันจะนิยมใช้สังกะสีในหมู่คนที่ซื้อหาได้ (หน้า 4) ชาวเขา สร้างบ้านด้วยไม้และไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบจาก บางกลุ่มสร้างบ้านแบบมีเสายกใต้ถุนสูงตามแบบคนพื้นราบ นอกจากนี้ มีที่สร้างบนพื้นตามแบบของจีน (หน้า 9-10) |
|
Demography |
ประมาณการไว้ว่าประชากรบนเขาที่ไม่ใช่คนไทยมี 300,000 คน (หน้า 7) แต่ละหมู่บ้านเฉลี่ยอย่างหยาบ ๆ จะประกอบด้วย 18 ครัวเรือนประชากร 112 คนต่อหมู่บ้าน (หน้า 10) |
|
Economy |
พื้นที่ราบหุบเขา : วงจรการเกษตร - มิถุนายน การเกษตรของคนพื้นที่ต่ำเริ่มประมาณกลางเดือนมิถุนายน เมื่อที่นามีน้ำเต็มในช่วงฤดูมรสุม ชาวนาจะไถและคราดนาด้วยคันไถโดยใช้ควายหรือวัวหนึ่งตัว นอกเหนือจากงานของผู้ชายโดยเฉพาะ งานอื่น ๆ ทั้งหมดจะทำทั้งผู้ชายและผู้หญิง ปลายเดือนมิถุนายนจะมีการหว่านเพาะกล้า หลังจากนั้นอย่างน้อยที่สุด 30 วัน จะนำต้นกล้าขึ้นมาเพื่อปลูกลงที่นาในเดือนสิงหาคม - สิงหาคม เมื่อนำกล้าขึ้นมาแล้ว ชาวนาในบางพื้นที่จะ "เหยียบย่ำดินในนาเจิ่งน้ำ" (tread the mud) ดำนาปักต้นกล้าด้วยเท้าเปล่า จนกว่าจะถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ช่วงที่รอข้าวโต ชาวนาจะทำงานหัตถกรรม การค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ และตกปลาในแม่น้ำ ลำธาร คูน้ำชลประทาน - จากต้นเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม ชาวนาใช้เคียวเกี่ยวข้าว นวดข้าวด้วยไม้นวด ฝัดข้าว และเก็บข้าวเปลือกไว้ในฉางข้าวที่อยู่ใกล้ ๆ กับบ้าน ข้าวส่วนใหญ่เป็นข้าวเหนียวซึ่งเป็นอาหารของคนไทยทางเหนือ - จากปลายเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ชาวนาจะปลูกพืชตัวที่สองซึ่งเป็นพืชหน้าร้อนจำนวนมาก จะเพาะปลูกทันทีหลังการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจำนวนมากปลูกถั่วเหลืองข้าง ๆ ซังข้าวที่เหลือจากการเก็บเกี่ยว ดินยังคงมีความชุ่มชื้นพอสำหรับถั่วเหลืองให้เติบโตได้โดยไม่ต้องเพิ่มน้ำ -ปลายเดือนธันวาคมถึงมกราคม จะปลูกยาสูบและผักชนิดต่าง ๆ ที่ดินที่ใช้ปลูกจะถางซังข้าวต้นข้าวที่เหลือให้เกลี้ยง และใช้น้ำจากบ่อและคูน้ำชลประทาน - กุมภาพันธ์ ชาวนาปลูกถั่วลิสงเป็นพืชสุดท้ายของฤดูกาล การเพาะปลูกนี้ต้องการการชลประทานอย่างกว้างขวาง ถั่วลิสงปลูกบนแปลงดินที่ยกสูงขึ้น น้ำชลประทานจะไหลเข้าร่องสวนระหว่างแปลงดินที่ใช้ปลูก มีนาคม ปลูกข้าวครั้งที่สอง - เดือนมีนาคมเป็นเดือนที่เก็บถั่วเหลือง ผัก และยาสูบ - ปลายเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ชาวนาจะเก็บผลผลิตถั่วลิสง มิถุนายน ข้าวที่ปลูกครั้งที่สองก็พร้อมให้เก็บเกี่ยว และทันทีที่เก็บข้าวเปลือกเข้ายุ้งฉางแล้ว จะต้องเตรียมผืนดินเพื่อปลูกข้าวครั้งต่อไป และเริ่มต้นวงจรการเกษตรใหม่อีกครั้ง (หน้า 3-4) - ชาวบ้านเลี้ยงสัตว์เช่น ควายและวัวไว้ไถนา วัวนมและหมูสำหรับรับประทานเนื้อ และเลี้ยงสัตว์ปีกหลากชนิดไว้สำหรับไข่และเนื้อสด (หน้า 4) ชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์บนเขา : ประเภทของชาวไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (swiddener) ทางตอนเหนือของไทยแบ่งออกได้ 3 ประเภทดังนี้ 1. แบบบุกเบิก ปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจนอกเหนือจากปลูกข้าวเป็นพืชยังชีพ เคลื่อนย้ายที่เพาะปลูกไปเรื่อยๆ ตามความสมบูรณ์ของป่า และเพราะฝิ่นจะปลูกได้ดีบนที่สูง จึงอาศัยอยู่ที่สูงที่สุดประมาณ 1,200 เมตรหรือมากกว่า ซึ่งจะประกอบด้วยเย้า (Yao) ม้ง (Hmong, Meo) ลาหู่ (Lahu) ลีซอ (Lisu) และอาข่า (Akha) 2. แบบอยู่ติดที่ อาศัยอยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่ม "บุกเบิก" ที่ดินเพาะปลูกมีความสัมพันธ์น้อยหรือไม่มีความสัมพันธ์กับป่าสมบูรณ์ นิยมเพาะปลูกบนพื้นที่ลาดต่ำ (gentle slopes) หรือพื้นที่ราบสูง (plateau) ทำการเกษตรปลูกข้าวแบบขั้นบันไดอาศัยน้ำชลประทาน แต่ข้าวส่วนใหญ่ที่มีความจำเป็นต่อการยังชีพยังคงเป็นข้าวที่ปลูกในไร่ กลุ่ม "อยู่ติดที่" จะต่างจากกลุ่ม "บุกเบิก" ตรงที่โดยทั่วไปจะทำการเกษตรในที่ดินเดิมได้นานกว่า และมีแนวความคิดเรื่องอาณาเขตที่แน่นอนของหมู่บ้านมากกว่า ดูแลรักษาที่ดินการเกษตรได้ดีกว่า ใช้ที่ดินเพาะปลูกแบบหมุนเวียน (rotating their fields) ทิ้งช่วงปล่อยให้ที่ดินว่างจากการเพาะปลูกเพื่อการฟื้นฟู ปลูกข้าวไร่เป็นพืชสำคัญหลัก ไม่มีพืชเศรษฐกิจสำคัญชนิดอื่น ชาติพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ประกอบด้วยกลุ่ม Austroasiatic ที่พูดภาษาลัวะ มีขมุ (Khmu) ถิ่น (Htin) และกะเหรี่ยง (Karen) 3."แบบปลูกเสริม" เป็นคนไทยทางเหนือที่ปลูกข้าวนาดำ ซึ่งถูกบีบให้ต้องทำไร่แบบโค่นถางแล้วเผาเป็นการเสริม เนื่องจากปลูกข้าวนาดำบนพื้นราบไม่เพียงพอต่อความต้องการ หรือทำไร่แบบโค่นถางแล้วเผาแทนการทำนาข้าวแบบอาศัยน้ำชลประทานตามจารีต ไร่ของชาวเหนือกลุ่มนี้จะอยู่ใกล้กับหมู่บ้านถาวรบนพื้นราบ ดังนั้นเกษตรกรกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะเพาะปลูกในเขตที่ดินที่เสื่อมโทรมกว่าป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งจะไกลจากบ้านที่อยู่อาศัยมาก ปัจจุบัน ชาวไทยเหนือกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาไร่ในภาคเหนือของประเทศ (หน้า 8) - วงจรการเพาะปลูกประจำปีของการทำไร่แบบบุกเบิก งานชิ้นแรกคือการหาที่ดินที่เหมาะสม เดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ตัดต้นไม้ถางขุดรากถอนโคนต้นไม้ใหญ่และต้นไม้เล็กให้เตียน มีนาคมและเมษายน ทิ้งซากไม้ไว้ประมาณ 4-6 สัปดาห์ให้แห้งสนิทและเผาประมาณต้นเดือนเมษายน ทุกหมู่บ้านจะเผาพร้อมกันเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครติดอยู่ในบริเวณที่มีการเผาซากไม้ จะมีการเผาครั้งที่สองตอไม้และขอนไม้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ขี้เถ้าจะกลายเป็นปุ๋ย จากนั้นจะสร้างกระท่อมในไร่เพื่อเป็นที่พักและอยู่เฝ้าพืชผล มิถุนายนและกรกฎาคม ปลูกข้าวไร่ โดยใช้ใบมีดเหล็กเจาะดินและผู้หญิงที่เดินตามหลังจะหยอดเมล็ดข้าวลงไปประมาณ 5-6 เมล็ด นอกจากข้าวแล้ว ชาวไร่แบบบุกเบิกยังปลูกพืชเสริมเช่น ข้าวโพด พริก ผักเขียว พืชประเภทมัน เผือก แตงโม ฟักทอง ยาสูบ ฝ้าย และอื่น ๆ อีกมาก กรกฎาคมและสิงหาคม กำจัดวัชพืชถือเป็นงานใหญ่ที่สุด ไม่น่ารื่นรมย์แต่เป็นงานสำคัญ พฤศจิกายน เก็บเกี่ยวข้าว นวดข้าวในไร่ ขนย้ายด้วยม้าแกลบกลับหมู่บ้านเก็บรักษาไว้ในยุ้งข้าว (หน้า 8-9) สำหรับวงจรการปลูกฝิ่น ร่วมไปกับการปลูกข้าว เดือนมีนาคมและเมษายน เป็นเดือนสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวฝิ่น และจะเก็บเมล็ดฝิ่นที่เหมาะแก่การเพาะไว้ จะมีการเตรียมไร่อาจเป็นไร่เดิมหรือแสวงหาที่ดินผืนใหม่โดยโค่นต้นไม้ถางให้เตียนแล้วเผา เดืนนสิงหาคม หว่านเมล็ดฝิ่นเพื่อปลูก ปลายเดือนกันยายนถึงตุลาคม ถอนวัชพืชและถอนต้นอ่อนของงฝิ่นที่หนาแน่นเกินไปออก ธันวาคม ต้นฝิ่นออกดอกและจะมีการกำจัดวัชพืชอีกครั้ง เมื่อดอกฝิ่นร่วงประมาณกลางเดือนธันวาคมก็สามารถกีดเอายางฝิ่นได้ การกีดยางฝิ่นจะใช้ใบมีดกีดจากบนลงล่างเป็นทางยาวหลาย ๆ รอย ยางฝิ่นสีขาวจะไหลออกมา แต่กลายเป็นสีน้ำตาลในแสงแดดจัดของฤดูหนาว จะไม่กีดยางฝิ่นในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝนหรือวันฝนตก เพราะหากไม่มีแสงแดดทำให้ยางแข็ง ยางฝิ่นจะหยดลงพื้นทำให้สูญเสียไป ในการกีดยางฝิ่นครั้งที่ 2 ยางฝิ่นที่แข็งตัวติดที่ลูกฝิ่นจะถูกขูดออกด้วยใบมีดแบบแบนกว้าง (หน้า 9) - การทำเกษตรของกลุ่ม "ชาวไร่แบบอยู่ติดที่" ส่วนใหญ่มักจะตัดแผ้วถางไร่จากป่าเสื่อมโทรมทุติยภูมิที่ไม่มีการทำการเกษตรในช่วง 10 ปีเป็นอย่างน้อย มกราคมและกุมภาพันธ์ ในขณะที่ชาวไร่แบบบุกเบิกกำลังเก็บยางฝิ่น แต่ลัวะและกะเหรี่ยงชุมชนซึ่งมักไม่ปลูกฝิ่นจะถางไร่ โดยปล่อยต้นไม้ใหญ่ไว้ลิดเพียงกิ่งก้านออก เพื่อป้องกันการบังแสงแดดพืชผลที่ปลูก และสนับสนุนให้ต้นไม้ได้เกิดใหม่ในช่วงที่ปล่อยที่ดินให้ว่างจากการเพาะปลูก (fallow) เป็นการอนุรักษ์ลุ่มแม่น้ำและป้องกันการกัดกร่อนของดิน การเผาซากไม้จะมีการควบคุมไฟและทำในฤดูร้อน และล้อมรั้วที่ดิน เจาะดินและหว่านเมล็ดกลางเดือนเมษายน กำจัดวัชพืชเริ่มเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนและอาจจะต่อเนื่องจนถึงกันยายน ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนกลุ่มชาวไร่แบบอยู่ติดที่จะลงต้นกล้าข้าวในที่นาขั้นบันได ซึ่งตรงกับช่วงเวลากำจัดวัชพืชในไร่ เกษตรกรจำเป็นต้องพิจารณาเลือกใช้เวลากับกิจกรรมในไร่ หรือที่นาขั้นบันไดอย่างไรที่จะไม่ทำให้ผลผลิตลดลง เดือนพฤศจิกายนจะเก็บเกี่ยวข้าวในไร่ เดือนธันวาคมเก็บเกี่ยวข้าวในนาขั้นบันได แล้วขนไปไว้ในยุ้งข้าวในหมู่บ้าน ตั้งแต่กลุ่มเกษตรกรกลุ่มนี้ไม่ได้ปลูกฝิ่นแล้ว การเพาะปลูกประจำปีจะสิ้นสุดกลางเดือนธันวาคม และตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมกราคมในขณะไม่มีงานในไร่ ชาวนาชาวไร่จะทำกิจกรรมงานพิธีต่างๆ และกิจกรรมทางการค้า (หน้า 9-10) - การทำเกษตรของกลุ่ม "ชาวไร่แบบปลูกเสริม" ไม่ชำนาญในการทำไร่ จะชำนาญในการปลูกข้าวนาดำบนพื้นราบ ไร่ที่ทำมักจะถางอย่างสับสนตามอำเภอใจและเผาอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถล้มต้นไม้ใหญ่ ไม่สามารถลิดกิ่งไม้ใหญ่ที่อาจบังแสงแดดพืชผล และไม่สามารถดูแลสัตว์เช่นนกที่มาขโมยกินพืชผล ?ชาวไร่ดังกล่าว มักปลูกข้าวในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน ขุดดินด้วยจอบด้ามสั้น หว่านเมล็ดข้าวลงผืนดิน ขุดดินกลบ หากขยันก็จะกำจัดวัชพืช แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจกับไร่ของตนจนกระทั่งช่วงเวลาเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอาจจะเกิดจากการขาดแคลนแรงงาน จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นแบบฉบับมาตรฐานต่ำของการทำไร่ของชาวไร่ (swidden) ไทย (หน้า 10) ที่ดิน ชาวไร่แบบบุกเบิก จะเคลื่อนย้ายหมู่บ้านทุก ๆ 2-3 ปี เพื่อแสวงหาที่ผืนใหม่ ส่วนชาวไร่แบบอยู่ติดที่ อาจอาศัยอยู่ในที่ดินผืนเดิมเป็นร้อย ๆ ปี หากเคลื่อนย้ายมักเป็นปัจจัยเรื่อง ความขัดแย้ง การชี้นำของผู้นำทางศาสนาและความกดดันทางการเมือง เป็นต้น ไม่ใช่เป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ (หน้า 11) ชาวเขา และชาวพื้นราบ มีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมายาวนาน มีเส้นทางการค้าพาดผ่านบนที่สูงทางเหนือของไทยตามเส้นทางไปมาบนที่สูงทางเหนือของไทยและพม่า ลาว ... ชาวเขาเป็นลูกค้าต้องการสินค้าที่คนพื้นราบผลิตขึ้น รวมทั้งเกลือและเหล็ก ส่วนสินค้าของชาวเขา คือ ฝิ่นและของป่า คนบนที่สูงเป็นพ่อค้าคาราวานที่เชี่ยวชาญรู้เส้นทางข้ามเขา ... เมื่อภาคเหนือของไทยเริ่มต้นการพัฒนาเศรษฐกิจตอนต้นศตวรรษนี้พร้อม ๆ กับการค้าไม้สัก ชาวเขาโดยเฉพาะลัวะและกะเหรี่ยงกลายเป็นแหล่งแรงงานที่สำคัญ ชาวเขาเป็นแรงงานรับจ้าง (wage labour) และปลูกพืชเงินสดมาก่อนคนพื้นราบจำนวนมาก และแม้ว่าหมู่บ้านบนเขาที่ไม่ปลูกฝิ่นและไม่ได้เป็นแรงงานรับจ้าง แต่ก็ยังเชื่อมโยงกับตลาดพื้นล่างโดยพ่อค้าเร่จากพื้นราบอยู่ดี (หน้า 14) การทำการเกษตรและการโค่นต้นไม้บนภูเขาส่งผลกระทบต่อชาวเขาและคนบนพื้นราบเช่นเดียวกัน หากพื้นดินถูกทำให้เสื่อมโทรมทั้งคนบนเขาและบนพื้นราบจะเดือดร้อนกันทั้งคู่ อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของประชากรบนเขาและบนพื้นราบอย่างรวดเร็วทำให้เกิดสภาพแออัด การทำเกษตรแบบตัดต้นไม้แล้วเผาไม่สามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป เนื่องจากขาดแคลนที่ป่าสมบูรณ์ จำเป็นต้องพัฒนาเทคนิคทางเลือกของวิธีการทางการเกษตรที่เพิ่มผลิตผลและอนุรักษ์ผืนดิน ปัจจุบันรัฐบาลไทยและหน่วยงานต่างประเทศต่าง ๆ กำลังดำเนินการพัฒนานำร่องเพื่อแก้ปัญหาการทำไร่เลื่อนลอยและการปลูกฝิ่นของชาติพันธุ์บนเขา โดยปลูกต้นไม้ขึ้นใหม่บนที่ลาดขั้นบันไดและปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นแทนการปลูกฝิ่น ... มีข้อสังเกตอีกเหตุผลหนึ่งของการที่รัฐบาลไทยแสดงความสนใจต่อสวัสดิการของชาวเขา คือเพื่อให้ชาวเขาเป็นกันชนบริเวณพรมแดนไทยทางเหนือ การอาศัยอยู่ของชาวเขาเป็นปัจจัยสำคัญของความมั่นคงภายในประเทศ (หน้า 15) |
|
Social Organization |
ชาวนาพื้นราบหุบเขา : ชาวนาอาศัยอยู่ในครัวเรือนที่สมาชิกเป็นเครือญาติกัน ซึ่งมักประกอบด้วยหัวหน้าครัวเรือน ภรรยา และลูก ๆ ที่ยังไม่แต่งงาน โดยทั่วไป หลังการแต่งงานชายหนุ่มจะไปอยู่ในครัวเรือนของพ่อแม่ภรรยาระยะหนึ่ง ภายหลังลูกคนแรกเกิดได้ไม่นานคู่สามีภรรยาจะสร้างบ้านเรือนของตนเอง ลูกชายหรือลูกสาวคนสุดท้องมีแนวโน้มที่จะอยู่กับพ่อแม่ เป็นผู้สืบทอดรับมรดกบ้านของครอบครัว แต่ข้อปฏิบัติเหล่านี้มีความยืดหยุ่นมาก คนไทยทางเหนือมีความแตกต่างจากคนไทยโดยทั่วไปคือ ชาวเหนือสืบทอดตระกูลทางแม่ (matriclans) ซึ่งประกอบด้วย "ลูกหลานทางสายตระกูลแม่ (matrilineal) หน้าที่สำคัญของวงศ์ตระกูล (clan) เป็นเรื่องพิธีกรรม ศูนย์กลางกิจกรรมของวงศ์ตระกูลที่อยู่รอบ ๆ ศาลผี ซึ่งเป็นที่อยู่ร่วมกันของบรรพสตรีต้นตระกูล (founding ancesstress) การสืบตระกูลทางแม่ของชาวเหนือของไทยได้รับการอธิบายในความหมายเดียวคือ "การถือผี" ชาวเหนือหรือคนเมืองสืบทอดตระกูลทางแม่ตามความเชื่อเรื่องผี การแต่งงานมีแนวโน้มของการแต่งงานนอกตระกูล (clan exogamy) เมื่อมีการแต่งงานกันระหว่างตระกูล (inter-clan marriages) เกิดขึ้นจะประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า "crisscrossing the spirits" เป็นการบูชาผีของทั้งสองตระกูล (หน้า 4-5) ชาติพันธุ์บนเขา คำว่าองค์กรสังคมมีความหลากหลายเป็นไปตามอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ชาติพันธุ์เย้า ม้ง และชาติพันธุ์ที่มีระดับการแผ่ขยายน้อยกว่าเช่นอาข่าและลีซอรวมกลุ่มกันบนพื้นฐานของการสืบสายเลือดและสายตระกูลทางพ่อ (patrilineal clans and lineages) สำหรับลาหู่และกะเหรี่ยงสืบสายตระกูลทางแม่ (matrilineal descent groups) ซึ่งเหมือนกับชาวเหนือไทยพื้นราบ รูปแบบการแต่งงานของม้งและเย้าแต่งงานนอกตระกูลทางพ่อ (patriclan exogamy) และหลังแต่งงานไปอาศัยอยู่บ้านฝ่ายชาย (patrilocality) ชุมชนลาหู่บางชุมชนแต่งงานนอกหมู่เครือญาติ (kindred exogamy : up to second cousin range) และไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงหลังแต่งงาน (matrilocality) (หน้า 11) |
|
Political Organization |
ก่อนที่รัฐบาลสยามที่กรุงเทพจะเข้าปกครองภาคเหนือในปี ค.ศ.1874 ชาวเขาส่วนใหญ่ทางเหนือเป็นลัวะและกะเหรี่ยง จ่ายบรรณาการให้เจ้าผู้ครองนครทางเหนือของไทยเป็นประจำ เพื่อแลกกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกินบนเขา ... เจ้าผู้ครองนครสนับสนุนอำนาจปกครองผู้นำลัวะและกะเหรี่ยง บางครั้งยินยอมให้ผู้นำชาติพันธุ์ลัวะและกะเหรี่ยงควบคุมหมู่บ้านต่าง ๆ หลายหมู่บ้าน ซึ่งได้สร้างความขัดแย้งที่สำคัญขึ้นในหมู่ชาวเขา (hill people) โดยที่ชาวเขาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อรัฐบาลกรุงเทพทำลายอำนาจของบรรดาเจ้าผู้ครองนครลง กลับกลายเป็นการตัดเส้นทางการสื่อสารระหว่างชาวเขากับรัฐบาลกลาง หลังจากละเลยชาติพันธุ์บนเขาไป 80 กว่าปีเส้นทางการสื่อสารเหล่านี้จึงเริ่มได้รับการซ่อมแซมใหม่ (หน้า 13) ภาคเหนือของประเทศไทย ทุกจังหวัดถูกปกครองโดยผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับแต่งตั้งตรงจากกรุงเทพ รับผิดชอบโดยตรงต่อกระทรวงมหาดไทย จังหวัดแบ่งออกเป็นอำเภอมีนายอำเภอดูแลรับผิดชอบโดยตรงต่อผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ได้รับการแต่งตั้งตรงจากกระทรวงมหาดไทย นายอำเภอไม่ใช่คนท้องถิ่นมีระยะการดำรงตำแหน่งเพียง 3-4 ปีในอำเภอหนึ่ง ๆ และมีกลุ่มข้าราชการพลเรือนที่เป็นตัวแทนของกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ เช่น ศึกษาธิการ สาธารณสุข ตำรวจ ที่ดิน ไปรษณีย์ เป็นต้น จากส่วนกลางในลักษณะการปกครองแบบรวมศูนย์ ไปช่วยภารกิจของนายอำเภอให้ลุล่วง ข้าราชการหมุนเวียนเหล่านี้เป็นผู้นำถาวรของชุมชนท้องถิ่น เป็นตัวแทนของรัฐบาลกลางเท่านั้นมาจากภายนอกพื้นที่ และจำนวนมากเป็นคนจากพื้นที่ภาคกลาง อำเภอแบ่งออกเป็นตำบล (tambon) แต่ละตำบลประกอบด้วยประมาณ 12 หมู่บ้าน (mu ban) แต่ละหมู่บ้านเลือกหัวหน้าหมู่บ้านที่เรียกว่า "ผู้ใหญ่บ้าน" ของตนเอง จากนั้นก็ได้รับการเห็นชอบจากหน่วยการปกครองท้องถิ่นของรัฐ และในหมู่ผู้ใหญ่บ้านจะเลือกผู้นำตำบลหนึ่งคนเรียก "กำนัน" ดังนั้นกำนันจะยังคงเป็นผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านของตน ผู้ช่วยกำนันเรียกว่า "สารวัตร" ทั้งสามตำแหน่งนี้ได้รับเงินเดือนเล็กน้อยจากรัฐบาล และเข้าประชุมเป็นรายเดือนกับเจ้าหน้าที่อำเภอที่สำนักงานอำเภอ โครงสร้างการปกครองนี้ใช้กับชนกลุ่มน้อยจำนวนมากบนเขาด้วย ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐ สำหรับตำแหน่งกำนันเท่าที่ผู้เขียนทราบมีกำนันที่ไม่ใช่คนไทยอยู่เพียงคนเดียว (หน้า 6-7) หมู่บ้านชาวเขา โดยทั่วไปอยู่ภายใต้การควบคุมของหัวหน้า อำนาจของหัวหน้าจะถูกทำให้สมดุลโดยอำนาจปกครองจำนวนมากของกลุ่มผู้อาวุโสของชุมชน ในบางกรณีผู้นำทางพิธีกรรมของชุมชนก็เป็นผู้นำทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะได้รับการรับรองจากอำนาจการปกครองของรัฐก็ตาม มักจะไม่มีองค์กรทางการเมืองระดับที่เหนือกว่าระดับชุมชนหมู่บ้านมาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม บางครั้งอาจมีการเชื่อมโยงเป็นกลุ่มหมู่บ้านซึ่งอาจเป็นชาติพันธุ์เดียวกันหรือต่างชาติพันธุ์กันเป็นความสัมพันธ์ทางการเมืองที่กว้างขวางขึ้น และอยู่ภายใต้อิทธิพลของหัวหน้าระดับท้องถิ่นซึ่งได้รับการรับรองจากอำนาจปกครองของรัฐด้วย บางครั้งมีผู้นำในลักษณะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ (holy men) สามารถรวบรวมหมู่บ้านที่เป็นอิสระจำนวนหนึ่งเข้าด้วยกันเป็นองค์กรทางการเมืองเช่นเดียวกับเป็นองค์กรทางศาสนา (หน้า 11) |
|
Belief System |
ชาวเหนือพื้นที่ราบหุบเขา : เหมือนคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ มีความเชื่อเรื่องผี ว่ามีผีในทุกหนแห่ง ในบ้าน บนท้องฟ้า ในน้ำ ในป่า และเชื่อว่าผีเหล่านี้เป็นต้นเหตุของความโชคไม่ดี แท่นบูชา (shrine) หรือศาลสำหรับเซ่นไหว้ผีจะตั้งไว้หน้าบ้าน หรือบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน บนยอดดอยและใต้ต้นไม้ จะเซ่นไหว้ด้วยอาหาร น้ำ และดอกไม้ที่ศาลผี โดยมีผู้เชี่ยวชาญทำพิธีเอาใจผีหรือไล่ผี หมอผี (maw phi, spirit - doctors) ถูกมองว่าได้ใช้ประโยชน์ใกล้ชิดมากกว่าพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ แต่หมอผีจะไม่ได้รับความเคารพนับถือเหมือนอย่างที่พระสงฆ์ได้รับ มีคนที่กลายเป็นคนทรงซึ่งติดต่อกับผีได้ และชาวบ้านจะถามเรื่องราวจากผีผ่านคนทรงเหล่านี้ ? ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาหลัก ถิ่นที่อยู่อาศัยของคนไทยทุกแห่งจะมีวัด วัดเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและทางสังคมของหมู่บ้านพื้นราบ ทุกวันพระซึ่งเดือนหนึ่งมี 4 ครั้ง ชาวบ้านจะไปทำบุญฟังธรรมและรับศีล 5 ที่วัด ตกเย็นชาวบ้านจะไปพบปะกับพระ หรือพบปะระหว่างชาวบ้านกันเอง เรื่องทางโลกจำนวนมากก็จัดให้มีขึ้นในวัด เช่น จัดงานของหมู่บ้าน ฉายหนังกลางแปลง และสิ่งบันเทิงอื่น ๆ ชายไทยทุกคนถูกคาดหวังว่าจะบวชเรียนเมื่อถึงเวลา ซึ่งนิยมบวชก่อนแต่งงาน การบวชพระถูกมองว่าเป็นพิธีกรรมของการเดินทางผ่านสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ บ่อยครั้งที่เด็กหนุ่มในหมู่บ้านบวชบำเพ็ญศาสนกิจเพื่อให้ได้เรียนหนังสือ ซึ่งจะได้เรียนทั้งวิชาการทางพุทธศาสนาและทางวิชาชีพ ? ในส่วนของพระสงฆ์จะมีการปฏิบัติพิธีกรรมให้กับชาวชุมชน เช่น พิธีแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ งานศพ และเวลาป่วย เป็นต้น พระไม่จำเป็นต้องบวชตลอดชีวิต สามารถสึกออกจากการเป็นพระได้หรือกลับไปบวชใหม่ได้อีกเมื่อต้องการ มีชาวนาบนพื้นราบจำนวนน้อยมากที่จะสนใจพุทธปรัชญาอันซับซ้อนในเรื่องของนิพพาน การเป็นอิสระจากกิเลสไปสู่การดับสูญของอัตตา ตามการสอนของพุทธเถรวาท สำหรับชาวนาทางเหนือของไทยแล้วแนวคิดทางศาสนาที่สำคัญที่สุดคือ คุณความดีและข้อบกพร่อง คุณความดีต้องได้จากการประพฤติปฏิบัติดี โดยเฉพาะการสนับสนุนค้ำจุนพุทธศาสนาด้วยการบริจาคเงินสร้างหรือซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนา บวชเรียน ใส่บาตรพระ ร่วมงานวันนักขัตฤกษ์ และถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด สำหรับความบกพร่องความไม่ดีเกิดจากการผิดศีล และจะต้องได้รับการทำให้สมดุลโดยการถือศีล คุณความดีอาจเกิดจากปัจเจกชนหรือกลุ่ม (ครัวเรือน หมู่บ้าน) และอาจส่งทอดจากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ (เช่นเดียวกับการบวชของลูกชายเป็นสร้างบุญให้แก่พ่อแม่ด้วย) หรือจากกลุ่มหนึ่งสู่อีกกลุ่มหนึ่ง (เหมือนชุมชนพระสร้างบุญกุศลแก่ชาวชุมชน) ยิ่งสร้างบุญกุศลมากเท่าไร ก็จะยิ่งไปเกิดในชาติภพใหม่ที่ดีกว่า พุทธเถรวาทเป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้สนับสนุนการบูรณาการชาวนาไทยทางเหนือเข้าสู่วิถีชีวิตที่เหมือนกับทุกคนในชาติ (หน้า 5-6) ชาติพันธุ์บนเขา : ความเชื่อทางศาสนาของชาติพันธุ์บนเขามักถูกกำหนดให้อยู่ในกลุ่มของคนนับถือผี (animist) ชุมชนบนที่สูงส่วนใหญ่ยอมรับการมีอยู่ของผีทั้งผีดีและไม่ดีจำนวนมาก เช่น ผีตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ วิญญาณของคนที่ยังมีชีวิตอยู่และผีของคนที่ตายไปแล้ว เจ้าที่เจ้าทาง (locality spirits) ผีอารักษ์ (guardian spirits) และอื่น ๆ แต่ความเชื่อเหล่านี้ไม่ต่างไปจากคนบนพื้นราบที่นับถือศาสนาพุทธมากนัก ซึ่งก็เซ่นไหว้ผีเหมือนกัน การบูชาผีทั้งโดยความเชื่อและการปฏิบัติของชาวเขาจะต่างกันไประหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และแม้ระหว่างกลุ่มย่อยในชาติพันธุ์เดียวกันก็มีความแตกต่างกัน คนที่พูดภาษาตระกูลย่อย Tibeto - Burman (ลาหู่ ลีซอ อาข่า) ยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้าผู้สร้าง " God" หรือ "Father - God" ที่อยู่ในวรรณกรรม (literature) แต่ความเลื่อมใสในพระเจ้าได้รับการพัฒนาในหมู่ลาหู่ ส่วนลีซอและอาข่าพระเจ้าถูกมองในฐานะผู้อยู่เหนือธรรมชาติ พระเจ้ามีอิทธิพลเพียงน้อยนิดในชีวิตประจำวันของมนุษย์ แต่ผีทั้งหลายมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับชีวิตมนุษย์มากกว่า สำหรับม้งและเย้าโดยเฉพาะในภายหลังได้รับอิทธิพลจากการบูชาบรรพบุรุษมาจากจีน การบูชาบรรพบุรุษเป็นสิ่งสำคัญทั้งในทางความเชื่อและทางพิธีกรรม แม้ว่ารูปเคารพต่าง ๆ ในลัทธิเต๋าจะปรากฏเด่นชัดในจักรวาลวิทยา (cosmology) ของเย้าไม่เหมือนกับของม้งก็ตาม การบูชาบรรพบุรุษเป็นส่วนหนึ่งในอุดมคติทางศาสนาของอาข่า ลาหู่ และลีซอด้วยเช่นกัน แต่จะบอกว่าแตกแนวคิดมาจากจีนโดยสิ้นเชิงก็เป็นเรื่องที่พูดยาก ลัวะและกะเหรี่ยงบางทีอาจจะเปิดรับศาสนาพุทธมากที่สุด และปัจจุบันมีลัวะที่ถือศีลเป็นรายบุคคลและมีชุมชนกะเหรี่ยงพุทธจำนวนมาก โดยเฉพาะกะเหรี่ยงบนพื้นราบ แนวคิดศาสนาพุทธเบียดแทรกเข้าในชุมชนบนเขาอย่างลึกซึ้ง ทั้ง ๆ ที่คนบนที่สูงไม่ค่อยยึดติดกับศาสนานักก็ตาม การพิจารณาความดีความชั่ว ความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ และมุมมองที่ว่าการละชีวิตที่สั่งสมบาปเป็นแนวความคิดที่สำคัญของชาวพุทธซึ่งมีอิทธิพลต่อชุมชนชาวเขาจำนวนมาก ศาสนาคริสต์ หมอสอนศาสนาคริสต์เผยแพร่ศาสนาอย่างยาวนานทางภาคเหนือของไทย และมีคนหันมานับถือศาสนาคริสต์มากกว่ากลุ่มคนที่อยู่บนพื้นราบหุบเขา ปัจจุบันมีชุมชนจำนวนมากที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะในหมู่กะเหรี่ยงและลาหู่ เกือบทุกกลุ่มชาติพันธุ์จะมีคนเข้ารีตเป็นคริสเตียน 2-3 คน แต่ชาวเขาส่วนใหญ่ยังคงศรัทธาในจารีตประเพณีของตน และมีจำนวนมากที่เป็นปฏิปักษ์ต่อหมอสอนศาสนาคริสต์ หมอสอนศาสนาคริสต์มีความอดทนน้อยกว่าชาวพุทธในกรณีต้องการให้ ชาวเขาละทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษ ผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาความเชื่อ (religious specialist) ในทุกชุมชนบนที่สูงไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ใดก็ตามจะเป็นบุคคลสำคัญในวิถีชีวิตของชุมชน (community life) ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้รวมถึง นักบวช (priest) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณ (spirit - specialist) และหมอผี (shaman) โดยทั่วไปผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาความเชื่อเหล่านี้จะทำเพาะปลูกเหมือนคนอื่น ๆ น้อยมากที่จะมีกิจกรรมทางศาสนาเหมือนพระในศาสนาพุทธของคนพื้นราบ พิธีกรรม ทางศาสนาสำคัญ ๆ มีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับฤดูกาลและวงจรวัฒนธรรมการเพาะปลูก บางพิธีกรรมก็เกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ เช่น เมื่อเกิดอาการป่วยหรือมีความจำเป็นอื่น ๆ การประกอบพิธีกรรมบนเขามีเป้าหมายเบื้องต้นเพื่อความอุดมสมบูรณ์และสุขภาพ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และเพื่อสมดุลในหมู่มนุษย์และระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ (หน้า 11-12) ชาวเขาและคนบนพื้นราบ : ชาวเขามักเอาใจใส่และส่วนใหญ่เคารพนับถือพระพุทธรูปและรูปพระ ชาวเขาเดินทางไปพื้นราบเพื่อสักการะพระที่มีชื่อเสียง และชาวเขาช่วยงานกุศลของชาวพื้นราบ เช่น สร้างถนน โรงเรียน และวัดภายใต้การชี้นำของพระ ส่วนชาวพุทธในพื้นราบบูชาผีในลักษณะที่เหมือนกันมากกับการนับถือผีที่ชาวเขาทำ (หน้า 14) |
|
Education and Socialization |
การบวชเป็นหนทางหนึ่งที่จะให้ได้รับการศึกษา โดยจะได้เรียนทั้งวิชาการเช่น ปรัชญาพุทธ จริยธรรม พุทธประวัติ ภาษาบาลี ฯลฯ และวิชาการปฏิบัติเช่น ปั้น วาดรูป การก่อสร้าง งานไม้ ฯลฯ ซึ่งสอนโดยพระอาวุโส และที่เฉลียวฉลาดจะ ถูกส่งไปโรงเรียนพระในระดับตำบลและจังหวัด สุดท้ายได้ไปถึงมหาวิทยาลัยของสงฆ์ในเมืองหลวง (หน้า 5) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
บนพื้นที่สูงทางเหนือของไทยเป็นที่อยู่ของชุมชนหมู่บ้านที่มีการปกครองตนเองจำนวนมากของชาติพันธุ์ที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกัน ไม่ได้แยกออกเป็นเขต ๆ ที่อยู่กันเฉพาะชาติพันธุ์ ตัวอย่างเช่น หมู่บ้านลาหู่ อาข่า เย้า และกะเหรี่ยงจะอยู่ใกล้ ๆ กัน ระหว่างที่อยู่อาศัยของลาหู่คนหนึ่งและอีกคนหนึ่งอาจขั้นด้วยอาณาบริเวณของอาข่าและเย้า หรือในหมู่บ้านเดี่ยวแห่งหนึ่งจะมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่างกัน เช่น ลาหู่และลีซออยู่ด้วย เป็นต้น คนบนที่สูงส่วนใหญ่จะแบ่งแยกตัวเองตามกลุ่มวัฒนธรรมย่อยเฉพาะ คือเป็นม้งน้ำเงิน ม้งขาว ไม่เพียงเป็นกะเหรี่ยงแต่เป็นกะเหรี่ยง Pwo และกะเหรี่ยง Sgaw ลาหู่ก็เช่นกัน มีลาหู่ดำ ลาหู่แดง ลาหู่เหลือง ลาหู่ Sheh Leh และอื่น ๆ การแต่งกายตามประเพณี ภาษาท้องถิ่นที่นิยมใช้ รูปลักษณ์วัฒนธรรมทางวัตถุและลักษณะพิเศษที่แน่นอนขององค์กรสังคมและศาสนา อาจแยกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งออกจากอีกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งให้เห็นอย่างชัดเจน (หน้า 11) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่ : 1.1 ภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 2) |
|
Text Analyst |
บุญสม ชีรวณิชย์กุล |
Date of Report |
09 ต.ค. 2567 |
TAG |
ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ลเวือะ, ลัวะ, ขมุ, ชาวเขา, คนพื้นราบ, ประวัติ, วัฒนธรรม, ความเชื่อ, วิถีการผลิต, ภาคเหนือ, |
Translator |
- |
|