สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชนกลุ่มน้อย,นโยบายรัฐ,ไทย,มาเลเซีย
Author Tan Chee Beng
Title Central Government and Tribal” Minorities: Thailand and West Malaysia Compared
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 15 Year 2518
Source Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor) p.189-203, จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia Press.
Abstract

มีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลกลางของทั้งประเทศไทยและมาเลเซียที่นำไปใช้กับชนกลุ่มน้อยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ และยังได้เปรียบเทียบนโยบายของทั้งสองประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่นโยบายที่ใช้กับชนกลุ่มน้อยชาวเขาทางภาค เหนือของไทย และชนกลุ่มน้อย Orang Asli ทางตะวันตกของมาเลเซีย ทั้งในประเทศไทยและในมาเลเซีย เริ่มแรกที่มีความสนใจต่อ "ชาติพันธุ์" (tribal) ที่เป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่เพื่อเหตุผลทางมนุษยชน (humanitarian) แต่เป็นการตอบสนองแรงกดดันทางการเมือง และในทั้งสองประเทศมีความพยายามให้ชนกลุ่มน้อย "ชาติพันธุ์" มีการตั้งถิ่นฐานใหม่ตามที่รัฐจัดให้ ในประเทศไทยการพยายามย้ายถิ่นฐานชาวเขาให้อยู่ในนิคมไม่ประสบผลสำเร็จ รัฐบาลจึงหันมาใช้นโยบายทำให้ชุมชนชาวเขาในแหล่งที่อยู่เดิมบนเขาเกิดเสถียรภาพ โดยมีโครงการพัฒนาเคลื่อนที่เข้าไปดำเนินการด้านต่าง ๆ ในหมู่บ้าน เช่น การศึกษา สุขภาพ การเกษตร และการเมือง เป็นต้น นโยบายของรัฐบาลไม่ใช่การกลืนกลาย แต่เป็นการบูรณาการ คือชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยจะรักษาขนบประเพณีและศาสนาของตนไว้ได้นานเท่าที่ยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และปฏิบัติตามกฏหมายของประเทศ ส่วนมาเลเซีย ในระยะเริ่มแรกประสบความล้มเหลว แต่ภายหลังด้วยการวางแผนปฏิบัติอย่างระมัดระวัง การให้ Orang Asli ย้ายถิ่นฐานค่อนข้างประสบความสำเร็จในบางพื้นที่ ส่วน Orang Asli ที่อยู่ในป่า รัฐส่งคนเข้าไปในป่าให้การช่วยเหลือเป็นพิเศษในเรื่องของยารักษาโรค การศึกษา การพัฒนาชนบท ฯลฯ ทำให้รัฐบาลสามารถชนะใจได้รับความจงรักภักดีจาก Orang Asli อีกทั้งมาเลเซียมีการจัดตั้งองค์กร Department of Orang Asli Affairs เพื่อบริหารจัดการเกี่ยวกับ Orang Asli โดยเฉพาะตั้งแต่ต้น ๆ (ซึ่งต่างจากไทย) และให้การยอมรับขนบประเพณีของ Orang Asli ว่าจะต้องได้รับการเคารพ หากพวกเขาเคารพขนบประเพณีของชุมชนชาติพันธุ์อื่น ๆ ในประเทศ

Focus

เปรียบเทียบนโยบายของรัฐบาลไทยที่ใช้กับชนกลุ่มน้อยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์บนเขาทางภาคเหนือ กับนโยบายของรัฐบาลกลางมาเลเซียที่ใช้กับชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ Orang Asli ทางตะวันตกของมาเลเซีย

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

คำว่า Orang Asli มีความหมายว่า "คนดั้งเดิม" (original people) (หน้า 189) ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ในมาเลเซียเรียก Orang Asli ว่า "Sakai" เป็นคำมาเลย์ที่มีความหมายเสื่อมเสียหมายถึง "ทาส" (slaves) หรือ "bondman" แต่ Orang Asli ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จัดตั้งองค์กรเรียกตัวเองว่า "Asal" เป็นคำมาเลย์แปลว่า "กำเนิด" (origin) หรือ "ดั้งเดิม" (original) (หน้า 194) Orang Asli มี 3 กลุ่มหลัก 1.Negrito เป็นตัวแทนหนึ่งของกลุ่มประชากรกลุ่มแรกที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเป็นชนเผ่าพเนจรเลี้ยงสัตว์ และถือว่าเป็นกลุ่ม Orang Asli ที่ก้าวหน้าน้อยที่สุด 2. Senoi เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดและประกอบด้วยกลุ่มย่อยที่สำคัญ 2 กลุ่ม คือ the Semai และ the Temiar 3. Proto - Malay ... และมีกลุ่มย่อยจำนวนมากในแต่ละกลุ่มหลักดังกล่าว (หน้า 190) ชาวเขาบนที่สูงของไทย ผู้เขียนกล่าวถึงลัวะ ม้ง กะเหรี่ยง เย้า ลาหู่ และลีซอ แต่ไม่มีรายละเอียดข้อมูลด้านความเป็นชาติพันธุ์

Language and Linguistic Affiliations

Orang Asli : ภาษาพูดของกลุ่ม Negrito และ Senoi สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับภาษาตระกูล the Mon - Khmer บนแผ่นดินใหญ่ของตะวันออกเฉียงใต้ ? the Proto - Malay พูดภาษารูปแบบโบราณของมาเลย์ (Malay) (หน้า 190) ? มีการยืมคำมาเลย์มาใช้ในภาษา Orang Asli ในอัตราส่วนที่สูง (หน้า 192) ชาวเขาบนที่สูงของไทย : ไม่มีข้อมล

Study Period (Data Collection)

เมษายน - พฤษภาคม ค.ศ. 1973

History of the Group and Community

เกือบทั้งหมดของ Orang Asli เป็นภูมิบุตรที่แท้จริง (bumibutra) หรือ "บุตรของแผ่นดิน" (Sons of the soil) อยู่ทางตะวันตกของมาเลเซีย ยกเว้น Orang Kuala มาจากเกาะสุมาตราเมื่อไม่นานมานี้ ชุมชน Orang Asli เกือบทั้งหมดมีประวัติการตั้งถิ่นฐานก่อนกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มใหญ่คือ คนมาเลย์ (the Malay) (หน้า 189) ? กลุ่ม Senoi และ Proto - Malay มีประวัติการอยู่อาศัยก่อนชนกลุ่มใหญ่มาเลย์ (Malay Majority) (หน้า 190) ชาวเขาของไทย : ชาวเขาของไทยอพยพเข้ามาในอาณาจักรเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เหมือนลัวะ (Lua) ถิ่น (Htin) และขมุ (Khmu) ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้มาก่อนที่คนไทยจะมาอยู่ กะเหรี่ยง (Karen) เริ่มมาอยู่ที่นี่ประมาณ 200 ปีที่แล้ว ม้งและเย้าอพยพมาประเทศไทยจากประเทศจีนผ่านมาทางลาว ประชาชนที่พูดภาษา ธิเบต - พม่า (Tibeto - Burman) เช่น ลาหู่ ลีซอ และอาข่า มาจากตอนใต้ของมณฑลยูนนานในจีนผ่านทางพม่า ส่วนใหญ่ของประชาชนเหล่านี้มาถึงประเทศไทยภายในร้อยปีหลังนี้ และบางคนเพิ่งมาถึง (หน้า 189) ประวัติการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อย (minorities) และชนกลุ่มใหญ่ (majority) ในอดีต ประเทศไทย : ก่อนปี ค.ศ.1874 ภาคเหนือของไทยไม่ได้ถูกปกครองโดยกรุงเทพ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าผู้ครองนครอิสระ (autonomous princes) คนไทยบนพื้นราบและชาวเขาที่ไม่ใช่คนไทยต้องจ่ายบรรณาการให้แก่เจ้าผู้ครองนคร เพื่อให้ได้รับสิทธิในการเข้าไปเพาะปลูกในที่ดิน ตอบแทนกลับมา เจ้าผู้ครองนครแต่งตั้งผู้นำหมู่บ้านบนเขาเหมือนกับบนพื้นราบ เจ้าผู้ครองนครแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างหมู่บ้าน และในเวลาที่เกิดวิกฤต เช่น เก็บเกี่ยวไม่ได้ผลหรือประสบความยากลำบากอื่นๆ ก็ช่วยเหลือชาวเขาเหมือนกับที่ช่วยคนพื้นราบ ตัวอย่างเช่น ลัวะในจังหวัดแม่ฮ่องสอนมักจะจ่ายบรรณาการให้แก่เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และลำพูน โดยเจ้าผู้ครองนครยอมรับการอ้างสิทธิ์ในแผ่นดินและสิทธิ์ในการรวบรวมบรรณาการจากชาวบ้านคนอื่น ๆ ของลัวะ เช่น ชาวเหนือ ชาวพม่า ชาวฉาน กะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาก็ถูกบังคับให้ยอมรับอำนาจดังกล่าวของลัวะ โดยยอมจ่ายเป็นรายปีร้อยละ 10 ของผลิตผลข้าว ซึ่งบางส่วนลัวะเก็บไว้เอง บางส่วนส่งให้นายเหนือชาวไทยอีกทอดหนึ่ง นอกจากการติดต่อสัมพันธ์ทางการเมืองแล้ว ยังมีความโดดเด่นด้านสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างชุมชนบนที่สูงและบนพื้นราบ ซึ่งดำเนินไปอย่างกระตือรือร้น มีเส้นทางการค้าสร้างข้ามผ่านทางเหนือของไทยเข้าไปในพม่า จีน และลาว ความสัมพันธ์ทางการค้าอันยาวนาน ทำให้ชาวเขารับรู้ถึงสังคมของคนพื้นราบเป็นอย่างดี และมีการถ่ายเททางวัฒนธรรมต่อกัน ปี ค.ศ.1874 รัฐบาลกรุงเทพยึดครองควบคุมภาคเหนือของไทยอย่างเต็มที่ และแต่งตั้งข้าหลวงไปปกครองเมืองเชียงใหม่แทนเจ้าผู้ครองนครเดิม แต่ระบบการปกครองใหม่ล้มเหลวในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่เป็นทางการกับผู้นำชาวเขาดังที่เจ้าผู้ครองนครเดิมเคยปฏิบัติมา ความล้มเหลวนี้ยาวนานมาถึง 50 ปี ระหว่างนี้กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง เย้า ลาหู่ ลีซอ และอาข่าจำนวนมากหลบหนีแรงกดดันทางการเมืองและด้านประชากรในยูนนาน ลาว และพม่า อพยพเข้ามาในประเทศไทย กระทั่งปี ค.ศ.1953 รัฐบาลไทยตั้งกองกำลังตำรวจตะเวนชายแดน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้สร้างความสัมพันธ์กับชาวเขาขึ้นมาใหม่ จากเดิมการรักษาความสัมพันธ์กับชาวเขาปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่อำเภอและจังหวัดที่ดำเนินการอย่างไม่ต่อเนื่อง เพราะยุ่งกับปัญหาอื่นๆ บนพื้นราบเกินกว่าที่จะมายุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการบนเขา และในส่วนของชาวเขาเองสภาพการณ์เหมือนถูกปล่อยตามอำเภอใจ ซึ่งอาจเป็นแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์อพยพสู่ประเทศไทยจากประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ (หน้า 190-191) มาเลเซีย : ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองมาเลย์กับ Orang Asli มีน้อยกว่าความสัมพันธ์ระหว่างลัวะกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และลำพูน ผู้ปกครองมาเลย์เอื้อประโยชน์ให้แก่ Orang Asli กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในป่าลึกนี้น้อยมาก การค้าทาส Orang Asli โดยเฉพาะเด็ก ๆ เป็นไปอย่างแพร่หลายในรัฐมาเลย์ (Malay) ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 และความทรงจำเกี่ยวกับการขูดรีดของคนมาเลย์ในอดีตยังคงอยู่ในชุมชน Orang Asli สมัยใหม่จำนวนมาก แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่น่ายินดีต่อกัน แต่ Orang Asli และคนมาเลย์ยังค้าขายร่วมกันเป็นศตวรรษต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน Orang Asli หาของป่าแลกเปลี่ยนกับของใช้ที่มีความจำเป็นพื้นฐาน เช่น มีด เกลือ เป็นต้น กับคนมาเลย์และคนจีน แต่ทัศนคติทั่วไปของรัฐบาลส่วนกลางและรัฐบาลของรัฐจะหลีกเลี่ยงการเข้าแทรกแซง Orang Asli ผู้ซึ่งส่วนใหญ่แล้วยังไม่ถูกควบคุมด้วยการปกครองที่มีประสิทธิภาพ (หน้า 192) ความสนใจต่อชนกลุ่มน้อยที่เป็นกลุ่ม "ชาติพันธุ์" ของรัฐบาลกลางและนโยบายหลังสงครางโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลกลางของทั้งประเทศไทยและมาลายา (Malaya - ยังอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าอาณานิคม) ต้องเปลี่ยนทัศนคติการปล่อยให้ประชาชน กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศอยู่ตามอำเภอใจ ประเทศไทย : 1.หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพขึ้นในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย - พม่า - ลาว รัฐบาลไทยจำเป็นต้องทำให้ชายแดนมั่นคงและต่อต้านการแทรกซึมของกองกำลังศัตรูและหน่วยงานต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ ในปี ค.ศ. 1953 รัฐบาลได้ก่อตั้งกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนขึ้น เป็นองค์กรพิเศษที่ฝึกแบบทหาร ซึ่งพิเศษจากกำลังตำรวจปกติและกำลังทหาร ตำรวจตระเวนชายแดนจะสนใจเฉพาะการป้องกันแนวชายแดน ไม่ได้มีความรับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายปกติของประเทศ เนื่องจากภารกิจอยู่บนภูเขาห่างไกลในภาคเหนือ ตำรวจตระเวนชายแดนมีความสัมพันธ์ค่อนข้างปกติกับชาวเขา เมื่อเริ่มต้นนโยบายต้องการชนะใจชาวเขาให้เกิดความเป็นมิตรและจงรักภักดีต่อประเทศไทย ตำรวจตระเวนชายแดนถูกนำมาใช้โดยได้รับคำสั่งไม่ให้เข้าแทรกแซงเรื่องราวภายในของชุมชนที่สูงที่ตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปเยือน และไม่ต้องรายงานต่อหน่วยงานจังหวัดเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย เช่น การปลูกฝิ่นของชาวเขา เป็นต้น ตลอดจนดำเนินการตามโปรแกรมในหมู่บ้านชาวเขา คือ (1) ติดต่อสัมพันธ์กับชาวเขาอย่างต่อเนื่อง ให้ความช่วยเหลือเรื่องสิ่งของบริโภค ยารักษาโรค เครื่องมือเครื่องใช้ทางการเกษตร กล้าไม้ และเมล็ดพันธุ์ เป็นต้น ฟังเรื่องราวร้องทุกข์ที่มีต่อหน่วยงานของรัฐและถ่ายทอดเรื่องราวสู่หน่วยงานการปกครองในกรุงเทพ และยังได้โฆษณาทางการเมือง เช่น แจกภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี และพระพุทธรูปซึ่งเป็นความพยายามบ่มเพาะจิตสำนึกด้านความจงรักภักดี (2) ปี ค.ศ.1957 สร้างโรงเรียนในหมู่บ้านบางแห่งบนเขา โดยตำรวจตระเวนชายแดนสอนเองด้วยภาษาไทยกลาง เป็นการพยายามบูรณาการชาวเขาที่ไม่ใช่คนไทยให้เข้ากับสังคมไทยทั้งหมด อีกทั้งในปี ค.ศ.1964 ยังได้ส่งผู้นำชาวเขาเข้าไปฝึกฝนความรู้พื้นฐานต่าง ๆ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เช่น ด้านการเกษตร การสาธารณสุข การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เป็นต้น รวมถึงแนวคิดลัทธิการเมืองด้วย ต่อจากนั้นผู้นำเหล่านี้จะถูกส่งกลับสู่หมู่บ้านของตนไปสอนลูกบ้านของตนในความรู้ใหม่ (3) ตำรวจตระเวนชายแดนดำเนินการชนะใจชาวเขาอย่างได้ผล แต่ก็ถูกทำลายลง เนื่องจากในปี ค.ศ.1967 ม้งในตาก เพชรบูรณ์ และน่านโจมตีเจ้าหน้าที่ของรัฐ และถูกตีตราว่าเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ กองทัพไทยอาจตอบโต้หนักเกินไป ทำให้ลูกกระสุน และนาปาล์มเข้าไปในหมู่บ้านแทนแนวคิดใช้วิธีนุ่มนวลในการชักจูงเพื่อการพัฒนาที่ตำรวจตระเวนชายแดนทำมาหลายปี ม้งจำนวนมากและชาวเขาอื่น ๆ ถูกบีบบังคับให้ออกจากบ้านที่อยู่บนเขา และถูกใช้กำลังบีบบังคับให้สร้างถิ่นที่อยู่ใหม่บนพื้นราบ (หน้า 192-193) 2. ปัญหาเรื่องการปลูกฝิ่นของชาวเขาจำนวนมาก เป็นปัจจัยเรื่องความมั่นคงอีกปัจจัยหนึ่งของไทยแต่ไม่เป็นปัญหาในมาเลเซีย รัฐบาลห้ามสูบและขายฝิ่นในปี ค.ศ.1958 และห้ามปลูกฝิ่นในปีถัดมา การห้ามปลูกฝิ่นส่วนใหญ่มาจากแรงกดดันระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา นโยบายต่อเรื่องนี้คือ (1) เดิมรัฐบาลได้ดำเนินการโครงการเกี่ยวกับการสร้าง "พื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ให้คนบนที่สูงสามารถช่วยตัวเองได้ "Upland Self-help Resettlement Areas" หรือ "นิคม" และระหว่างปี ค.ศ. 1961 - 1963 รัฐบาลกำหนดพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ 4 แห่งบนเขา สร้างสถานีในพื้นที่นิคม และก่อสร้างถนนชนบทเชื่อมต่อแต่ละสถานีกับถนนหลวง แนวคิดคือสนับสนุนชุมชนบนเขาให้ละทิ้งที่อยู่เดิมแล้วไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ของนิคม ซึ่งชาวเขาจะได้รับการศึกษา สุขอนามัย และส่งเสริมการเกษตร ไม่ปลูกฝิ่นและทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผาอีกต่อไป แต่ความช่วยเหลือที่รัฐบาลให้กับนิคมมีจำกัด ไม่เพียงพอที่จะเป็นแรงจูงใจให้ชาวเขาส่วนใหญ่ละทิ้งที่ดินทำไร่เดิม (2) ปี ค.ศ.1964 โครงการพัฒนาเคลื่อนที่ (Mobile Development Project) ได้ถูกนำมาใช้ คณะพัฒนาเคลื่อนที่ประกอบด้วย การเกษตร สุขภาพ และองค์ประกอบด้านสวัสดิการสังคมซึ่งมาจาก 9 ศูนย์ปฏิบัติการและพัฒนาสวัสดิการ (Department and Welfare Operation Centres - ศูนย์เหล่านี้ตั้งอยู่ในจังหวัดซึ่งมีประชากรที่สูงอยู่จำนวนมาก) มีคณะเคลื่อนที่ 2 ประเภท คือ "contact teams" และ "key village mobile teams" โดย contact teams ทำงานอยู่ในขอบเขตอำนาจของนายอำเภอ ภารกิจคือติดต่อสัมพันธ์กับชาวเขา รวบรวมข้อมูล เช่น จำนวนประชากรในหมู่บ้าน และการทำเกษตร เป็นต้น จากนั้นกำหนดหมู่บ้านหลักที่จะให้เป็นศูนย์กลางสำหรับโครงการพัฒนาในอนาคต ทั้งในหมู่บ้านหลักและหมู่บ้านบริวารรอบๆ หลังจากนั้น key village mobile teams จะถูกส่งไปประจำอยู่ในหมู่บ้านหลัก ดำเนินการตามโครงการด้านการศึกษา สุขภาพ และการเกษตร และองค์กรอื่น ๆ ก็ใช้หน่วยเคลื่อนที่เข้าไปถึงประชาชนเช่นกัน เช่น กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ตามสถิติของ Department of Public Welfare ปี ค.ศ.1971 มีทีมเคลื่อนที่ทำงานอยู่ใน 12,000 หมู่บ้านบนที่สูง ครอบคลุมประชากรกว่า 69,000 คน ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าดูเหมือนโครงการพัฒนาเคลื่อนที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าแผนการย้ายถิ่นฐานใหม่ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปถึงผลกระทบที่แท้จริง (3) พยายามพัฒนาจิตสำนึกความจงรักภักดีต่อชาติในหมู่ชาวเขาที่ไม่ใช่คนไทย ... ปี ค.ศ.1965 ภิกษุ 100 รูปถูกส่งเข้าไปบนเขาทุกปีเพื่อเผยแพร่ศาสนาพุทธ ...จัดทำโครงการ "ชาวเขาสัมพันธ์" ขึ้น นำชาวเขาจำนวนหนึ่งที่เลือกไว้เข้ากรุงเทพและเมืองอื่น ๆ เพื่อให้แนวคิดเกี่ยวกับความก้าวหน้าและการพัฒนาของชาติ นักศึกษามหาวิทยาลัยไทยจำนวนมากได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้ทำงานในหมู่บ้านชาวเขาระหว่างปิดภาคเรียน เพื่อที่จะให้โอกาสนักศึกษาได้รู้มากขึ้นเกี่ยวกับชาวเขา และภายใต้โครงการนี้ชาวเขาที่ติดฝิ่นได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ในกรุงเทพ ...ทำโครงการ "ฝึกอาชีพ" จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมในหลายพื้นที่เพื่อจัดทำหลักสูตรอบรมสำหรับชาวเขา เช่น การผดุงครรภ์ หัตถกรรม การทำการเกษตรบนที่สูง เป็นต้น ?ปี ค.ศ.1965 จัดตั้งศูนย์วิจัยชาติพันธุ์ (Tribal Research Centre) ขึ้นภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ?ปี ค.ศ.1968 จัดตั้งสถานีวิทยุ "100 กิโลวัตต์" ขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มต้นกระจายเสียงด้วยภาษาแม้วและภาษาไทยเหนือ ปี ค.ศ.1970 มีการกระจายเสียงเป็นภาษาเย้า กะเหรี่ยง ลาหู่และลีซอ เพลงของชาวเขา ดนตรีอื่น ๆ และข่าวสารต่าง ๆ ? นอกจากนี้ องค์กรอื่น ๆ ของรัฐบาลยังมีโปรแกรมพิเศษสำหรับชาวเขา เช่น กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำหนังสือเรียนสำหรับชาติพันธุ์ กระทรวงเกษตรสนใจเรื่องการปกป้องป่า กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติดูแลเรื่องดินและน้ำ เป็นต้น (4) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินียังพระราชทานโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ ตลอดจนสหประชาชาติก็มีโครงการสำหรับชาวเขา (5) ปี ค.ศ.1965 รัฐบาลจัดตั้งองค์กร "National Hill Tribes Committee" ขึ้นเพื่อประสานโครงการจำนวนมากที่ใช้บนเขา ให้เป็นองค์กรเดียวที่รับผิดชอบกิจกรรมที่เกี่ยวกับชาวเขา (หน้า 196-199) รัฐบาลสหพันธรัฐมาลายา : ในปี ค.ศ.1951 ในการต่อต้านรัฐบาลสหพันธรัฐ Malayan Races Liberation Army นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายา ถูกบีบให้ล่าถอยอพยพหนีเข้าป่าลึก ผู้ก่อการร้ายในป่าอาศัย Orang Asli เป็นแหล่งเสบียง เมื่อรัฐบาลรับรู้ จึงมีแผนการย้ายถิ่นฐานของ Orang Asli เข้าไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งกองกำลังของรัฐบาลจะให้คำแนะนำได้อย่างใกล้ชิด แผนนี้เดิมเป็นนโยบายที่นำมาใช้กับชุมชนชาวจีนซึ่งจัดหาข้าวของยังชีพให้แก่ผู้ก่อการร้ายด้วย และได้พิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน แต่การย้ายถิ่นฐานใหม่ของ Orang Asli พิสูจน์ถึงความหายนะ เนื่องจาก Orang Asli คุ้นเคยกับการพเนจรอย่างอิสระในป่าไม่สามารถอดทนต่อการถูกบีบบังคับให้อยู่เฉย ๆ ในค่ายได้ โดยเฉพาะ Orang Asli จำนวนมากตายในถิ่นฐานใหม่ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ราบไม่ถูกสุขลักษณะ ส่วนคนอื่น ๆ คิดถึงการหนีกลับป่าลึก ส่วนที่หนีกลับไปได้ก็กระจายข่าวร้ายเกี่ยวกับรัฐบาล ผลคือชุมชน Orang Asli ที่ยังไม่ถูกย้ายไปถิ่นฐานใหม่ตัดสินใจเคลื่อนย้ายลึกเข้าไปในป่าแสวงหาการปกป้องจากกองกำลังก่อการร้าย ขณะที่รัฐบาลล้มเหลวในการเข้าใจธรรมชาติของ Orang Asli ผู้ก่อการร้ายพิสูจน์ว่าฉลาดกว่า ผู้ก่อการร้ายมีคำสั่งอย่างเข้มงวดให้ดูแล Orang Asli อย่างดี สอนการยกระดับเทคโนโลยีการเกษตร จัดให้มีการอบรมการแพทย์เบื้องต้น รณรงค์ลัทธิการเมืองและจัดตั้งองค์กรพิเศษของ Orang Asli ขึ้นเรียกว่า "Asal" แปลว่า "กำเนิด" (origin) หรือ "ดั้งเดิม" (original) และสนับสนุนให้สมาชิก Asal ศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ อุปนิสัย ความเป็นอยู่ ประเพณี ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม และบุคลิกลักษณะอื่น ๆ ทางเชื้อชาติของ Asal ปี ค.ศ.1953 ผู้ก่อการร้ายควบคุม Orang Asli อยู่ประมาณ 30,000 คนใน 50,000 คนที่มีอยู่ในประเทศ ค.ศ.1953 ปีเดียวกันรัฐบาลสมาพันธรัฐได้ดำเนินนโยบายใหม่โดยส่งคนเข้าไปในป่าและควบคุมโดย Police Field Force ใช้ยุทธศาสตร์ 1.ให้แรงจูงใจที่เป็นจริง เช่น การรักษาพยาบาล ความสะดวกในการซื้อหาสิ่งของ Orang Asli เริ่มเดินทางไปที่ป้อม (forts) ของเจ้าหน้าที่ จากการค่อย ๆ เรียนรู้วิธีการของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ประกอบกับรัฐบาลมีเครื่องเคราที่จะจัดหาให้ได้มากกว่า ทำให้รัฐบาลสามารถชนะใจได้รับความจงรักภักดีจาก Orang Asli ได้ดีกว่าผู้ก่อการร้าย 2. รัฐบาลสมาพันธรัฐได้สร้างหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพของกิจกรรม Orang Asli ในปี ค.ศ.1954 หน่วยงานนี้ดำเนินการสนับสนุนการออกกฎหมายสมาพันธรัฐที่สำคัญฉบับที่ 1 เพื่อปกป้อง Orang Asli (Aboriginal Peoples Ordinance) และแก้ไขปี ค.ศ.1967 กฎหมายฉบับนี้สำคัญเพราะรัฐบาลยอมรับทั้งสิทธิของ Orang Asli ในการดำเนินชีวิตตามวิถีชีวิตของตนและยอมรับว่ารัฐบาลมีความรับผิดชอบต่อ Orang Asli ด้วย 3.ระหว่างปี ค.ศ.1956-1968 รัฐบาลดึงกองกำลัง Orang Asli มาจากผู้ก่อการร้าย มาฝึกพิเศษเรียกกองกำลังนี้ว่า "Senoi Pra'aq" หรือ "Fighting Senoi" เพื่อปฏิบัติงานของรัฐบาลในป่าลึก 4. ปี ค.ศ.1961 มาเลเซียได้รับอิสรภาพ หน่วยงานชนพื้นเมือง (Department of Aborigines) เป็นหน่วยงานถาวร และกระทรวงมหาดไทยได้เสนอเอกสารสำคัญซึ่งเน้นสิทธิเท่าเทียมของ Orang Asli เหมือนกับพลเมืองคนอื่นๆ ในประเทศ แต่รับรองความจำเป็นที่ Orang Asli จะได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษในเรื่องของยารักษาโรค การศึกษา และการพัฒนาชนบท อีกทั้งรัฐบาลรับรองสิทธิของชุมชน Orang Asli ในวิถีชีวิตตามจารีตประเพณีของตน แต่ในระยะยาวรัฐบาลต้องการส่งเสริมให้เกิดบูรณาการให้เข้ากับส่วนที่เป็นคนมาเลย์ในที่สุด 5. ปัจจุบัน Department of Orang Asli Affairs มีสำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงมาเลเซียและมีสาขาอยู่ใน 9 รัฐซึ่งมี Orang Asli อาศัยอยู่ Department นี้มีทีมงานมากกว่า 1,000 คน ส่วนใหญ่เป็น Orang Asli (หน้า 193-195)

Settlement Pattern

ไม่ระบุข้อมูลรูปแบบของบ้านและที่อยู่อาศัย ผู้เขียนพรรณนาถึงเรื่องบ้านไว้เพียงว่า บ้านเรือนในหมู่บ้านที่ถิ่นฐานใหม่มักจะสร้างโดยสมาชิกของคณะก่อสร้างของ Orang Asli ซึ่งได้รับการฝึกอบรมพิเศษในงานก่อสร้าง ทีมก่อสร้างนี้เคลื่อนย้ายไปจากพื้นที่หนึ่งสู่อีกพื้นที่หนึ่งตามที่ต้องการ และตั้งแต่ปี ค.ศ.1964 เป็นต้นมาได้สร้างบ้านให้แก่ Orang Asli แล้วจำนวน 2,000 หลัง ชาวเขาบนที่สูงของไทย : ไม่ระบุข้อมูล

Demography

Orang Asli : Negrito มีประชากรทั้งหมดประมาณ 2,000 คน the Senoi มีจำนวนประมาณ 30,000 คน และ the Proto - Malay มีจำนวนประมาณ 21,000 คน มียกเว้นเฉพาะ Negrito เท่านั้นที่มีอยู่ 300 คนในตอนใต้ของไทย (หน้า 190) ชาวเขาของไทย : มีความแตกต่างจาก Orang Asli ในเรื่องของประชากร คือ ชาวเขาที่เป็นกลุ่มใหญ่โดยเฉพาะที่เข้ามาในไทยเมื่อไม่นานมานี้ เป็นการขยายตัวของประชาชนที่มีศูนย์กลางประชากรอยู่ภายนอกประเทศไทย เช่น มีม้งเพียง 53,000 คนในประเทศไทย แต่มี 2.5 ล้านคนในประเทศจีน ลาหู่มี 15,000 คนในไทย แต่มี 180,000 คนในยูนนานของจีน กะเหรี่ยงมีประมาณ 300,000 คนในไทย ในขณะที่มีอยู่ในพม่า 2.5 ล้านคน เป็นต้น (หน้า 190)

Economy

ไม่ระบุข้อมูลชัดเจน แต่จากการพรรณนาถึงโปรแกรมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลให้กับ Orang Asli สิ่งที่รัฐบาลจัดหาให้คือที่ดินที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก (หน้า 195) ส่วนชาวเขาบนที่สูงของไทยทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (swidden) และรายได้หลักมาจากการปลูกฝิ่นขาย (หน้า 196)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

Orang Asli : ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับองค์กรทางการเมือง เปรียบเทียบนโยบายที่ใช้กับชนกลุ่มน้อยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ระหว่างรัฐบาลไทยและมาเลเซีย (หน้า 189-201) สรุป หน้า 199 -201 1. ทั้งในประเทศไทยและในมาเลเซีย เริ่มแรกที่มีความสนใจต่อ "ชาติพันธุ์" (tribal) ที่เป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่เพื่อเหตุผลทางมนุษยชน (humanitarian) แต่เป็นการตอบสนองแรงกดดันทางการเมือง และในทั้งสองประเทศมีความพยายามให้ชน กลุ่มน้อย "ชาติพันธุ์" มีการตั้งถิ่นฐานใหม่ตามที่รัฐจัดให้ - ประเทศไทย : แรงกดดันคือ ภัยคุกคามทางการเมืองจากภายนอกที่เข้ามาทางชายแดนภาคเหนือและความจำเป็นที่ต้อง การควบคุมการผลิตฝิ่นภายในประเทศ - มาเลเซีย : รัฐบาลมาเลเซียตระหนักว่า Orang Asli เป็นพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพอย่างสูงของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ในที่สุดจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่างให้กับ Orang Asli ( เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล และความสะดวกในเรื่อง เครื่องอุปโภคบริโภค - หน้า 194) 2. นโยบายที่นำมาใช้กับชนกลุ่มน้อย "ชาติพันธุ์" ในระยะเริ่มต้น - ประเทศไทย : มีประชากรชาวเขาจำนวนมากกว่ามาเลเซีย แต่ทรัพยากรป่าไม้ที่จะนำมาใช้ได้มีน้อยกว่ามาก การทำไร่ เลื่อนลอยโค่นถางต้นไม้แล้วเผา จึงเป็นปัญหากดดันมากกว่า แต่การพยายามย้ายถิ่นฐานชาวเขาให้อยู่ในนิคมไม่ประสบ ผลสำเร็จอย่างเด่นชัด นักวางแผนจึงสนับสนุนแนวคิดการทำให้เกิดเสถียรภาพต่อชุมชนชาวเขาในแหล่งที่อยู่เดิมบนเขา มากกว่าจะพยายามย้ายชาวเขาไปอยู่ที่อื่น ๆ (มีโครงการพัฒนาเคลื่อนที่เข้าไปดำเนินการด้านการศึกษา สุขภาพ และการเกษตรในหมู่บ้าน - หน้า 197) - มาเลเซีย : การดำเนินการตามนโยบายในระยะเริ่มแรกประสบความล้มเหลว ภายหลังด้วยการวางแผนปฏิบัติอย่างระมัด ระวัง การให้ย้ายถิ่นฐานค่อนข้างประสบความสำเร็จในบางพื้นที่ แต่ในประเทศมาเลเซียมีที่ดินว่างเปล่าจำนวนมากที่นำมา ใช้ได้ รัฐบาลสามารถรับภาระต่อการย้ายถิ่นฐานของชุมชน Orang Asli บนชายขอบของหมู่บ้านคนมาเลย์ หมู่บ้านคนจีน และเมือง โดยไม่ต้องกลัวกรณีพิพาทเรื่องที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชากรที่ค่อนข้างน้อยของ Orang Asli ในมาเลเซีย รัฐบาลไม่มีความรู้สึกกดดันเรื่องความจำเป็นที่จะต้องลดการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผาในหมู่ Orang Asli 3. นำการบริหารจัดการมาใช้ ประเทศไทย : มีหน่วยงานจำนวนมากที่ให้ความสนใจชาวเขาตามบทบาทของหน่วยงานและสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ทับซ้อนกัน จึงมีการตั้งคณะกรรมการชาติพันธุ์บนเขาแห่งชาติ (National Hill Tribes Committee) ขึ้นในปี ค.ศ.1965 แต่ประสบความสำเร็จไม่มาก ในปี ค.ศ.1969 สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (National Economic Department Board) เสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง "หน่วยงานกิจการชาติพันธุ์บนเขา (Bureau for Hill Tribe Affairs) เหมือนกับหน่วยงานกิจการอินเดียนแดงในสหรัฐ แต่หน่วยงานนี้ไม่ได้รับการจัดตั้งขึ้น ปี ค.ศ.1970 กรมประชาสงเคราะห์แนะนำให้จัดตั้งกรมชาติพันธุ์บนที่สูง (Department of Hill Tribe) แต่แนวคิดนี้ก็ไม่ได้รับการดำเนินการให้เป็นรูปธรรม ในแนวคิดของไทยยังมีวงจรความคิดว่าน่าจะมีการจัดตั้งองค์กรศูนย์กลางอะไรบางอย่างที่เหมือนกับ Department of Orang Asli Affair (แต่ในมาเลเซียปัจจุบันมีบางความคิดว่า Orang Asli ไม่ควรถูกแยกอยู่ภายใต้องค์กรที่แยกต่างหาก แต่ควรอยู่ภายใต้กรมกองปกติของรัฐบาลเหมือนพลเมืองอื่น ๆ ของประเทศ) มาเลเซีย : การนำการบริหารมาใช้ในการรับมือกับประชากรชาติพันธุ์ในประเทศ ค่อนข้างต่างแนวคิดกันกับไทย ในมาเลเซียจัดตั้งองค์กรของรัฐองค์กรหนึ่งแต่ต้น ๆ และควบคุมเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ Orang Asli โดยเฉพาะ (Department of Orang Asli Affairs มีสำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงและมีสาขาอยู่ใน 9 รัฐซึ่งมี Orang Asli อาศัยอยู่ มีทีมงานมากกว่า 1,000 คนส่วนใหญ่เป็น Orang Asli-หน้า195) 4. นโยบายการบูรณาการชนกลุ่มน้อยเข้ากับสังคมชนส่วนใหญ่ ประเทศไทย : นโยบายของรัฐบาลไม่ใช่การกลืนกลาย (assimilation) แต่เป็นการบูรณาการ (intregration) คือชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยจะรักษาขนบประเพณี และศาสนาของตนไว้ได้นานเท่าที่ยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และปฏิบัติตามกฏหมายของประเทศ มาเลเซีย : Department of Orang Asli Affairs ยอมรับว่าขนบประเพณีของ Orang Asli จะต้องได้รับการเคารพ หากพวกเขาเคารพขนบประเพณีของชุมชนชาติพันธุ์อื่น ๆ ในประเทศ

Belief System

ไม่ระบุข้อมูลเกี่ยวกับระบบความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษา แต่ผู้เขียนได้พรรณนาถึงนโยบายของรัฐบาลไทยที่เผยแพร่ศาสนาพุทธในหมู่ชาวเขา ในปี ค.ศ.1965 ภายใต้โครงการ "ชาวเขาสัมพันธ์" ได้ส่งพระภิกษุ 100 รูปเข้าไปบนเขาทุกปีเพื่อเผยแพร่ศาสนาพุทธ และอธิบดี Department of Public Welfare กล่าวว่า มีประชากรชาติพันธุ์ 8,000 คนนับถือศาสนาพุทธ 62 คนบวชเป็นภิกษุหรืออยู่ในช่วงฝึกตน และ32 คนในจำนวนนี้ยังคงศึกษาต่อไป ปี ค.ศ.1971 ข้อมูลจากแหล่งเดียวกันระบุว่า ชาวเขา 13,000 คนนับถือศาสนาพุทธ และ 150 คนเป็นภิกษุ ในจำนวนนี้ 59 คนยังคงศึกษาต่อไป และในปี ค.ศ. 1970 Department's Hill Tribes Division ได้รับแต่งตั้งให้ควบคุมการก่อตั้ง "Foundation of Remote - Area Buddhist Missions" ผู้เขียนเห็นว่า ไม่ควรนำตัวแทนคนที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธดังกล่าวข้างต้นมาเปรียบเทียบกับคนที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในมาเลเซีย ชาวเขาไม่ค่อยลำบากใจที่จะยอมรับความเชื่อศาสนาพุทธของชาวพื้นราบ เมื่อมาอยู่บนหุบพื้นราบก็มีแนวโน้มปฏิบัติตามศาสนาที่คนส่วนใหญ่นับถือ โดยเฉพาะการเคารพบูชาผีของชาวเขาไม่มีปัญหาที่จะเข้าสู่กฏเกณฑ์ของชาวพุทธ แต่เมื่อกลับไปบนเขาชาวเขาก็จะกลับไปใช้พิธีกรรมตามจารีตประเพณีของตนอีกครั้งหนึ่ง (หน้า 197)

Education and Socialization

Orang Asli รัฐบาลเริ่มมีความจริงจังสนับสนุนการศึกษาในหมู่ Orang Asli ในปี ค.ศ.1961 ปัจจุบันมีนักเรียน 5,000 คนภายใต้การดูแลของ Department of Orang Asli Affairs องค์กรดังกล่าวจัดหาหนังสือเรียน เครื่องแบบ และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ รวมทั้งบางครั้งเด็ก ๆ จะได้รับแรงจูงใจเป็นเงินให้ไปโรงเรียน มีหอพักสำหรับนักเรียนที่เรียนโรงเรียนแห่งชาติตามปกติ ปัจจุบันมี 55 หอพักสำหรับเด็ก Orang Asli มี Preparatory school 84 แห่งอยู่ในป่าซึ่งเด็กจะได้รับการฝึกฝน 2-3 ปีก่อนถูกส่งเข้าโรงเรียนแห่งชาติ (หน้า 195) ? วิทยุมาเลเซียมีโปรแกรมกระจายเสียงวิทยุสู่ Orang Asli จำนวนมาก กระจายเสียงทุก 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ใช้ภาษาเพียง Semai และ Temiar (หน้า 196) ชาวเขาบนที่สูงของไทย ในปี ค.ศ.1965 มีโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 144 โรงเรียน มีนักเรียนทั้งสิ้น 6,000 คน ตำรวจตระเวนชายแดนเป็นผู้ดำเนินการ แต่ไม่มีงบประมาณพิเศษสำหรับโครงการการศึกษาของตน อย่างไรก็ตาม หนังสือและอุปกรณ์การศึกษาอื่น ๆ ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา และเอกชน ตำรวจตระเวนชายแดนยังส่งผู้นำชาวเขาที่ได้รับคัดเลือกไปเชียงใหม่ เพื่อฝึกฝนความรู้พื้นฐาน เช่น การเกษตร การสาธารณสุข การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เป็นต้น รวมถึงแนวคิดลัทธิการเมืองด้วย (หน้า193) ภายใต้โครงการ "ชาวเขาสัมพันธ์" ชาวเขาจำนวนหนึ่งที่เลือกไว้เข้ากรุงเทพและเมืองอื่น ๆ เพื่อให้แนวคิดเกี่ยวกับความก้าวหน้าและการพัฒนาของชาติ ?โครงการ "ฝึกอาชีพ" เกี่ยวข้องกับการตั้งศูนย์ฝึกอบรมหลักสูตรสำหรับชาวเขาในเรื่อง เช่น การผดุงครรภ์ หัตถกรรม การทำเกษตรในที่สูง เป็นต้น ศูนย์จะฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ไทยที่ทำงานบนเขาด้วย ?ปี ค.ศ.1968 "กรมประชาสัมพันธ์" ได้จัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง "100 กิโลวัตต์" เริ่มต้นกระจายเสียเฉพาะภาษาม้งและภาษาไทยเหนือ ปี ค.ศ.1970 มีรายการภาษาเย้า กะเหรี่ยง ลาหู่ และลีซอ เพิ่มเข้าไป สถานียังกระจายเสียงเพลงของชาวเขา ดนตรีอื่น ๆ ร่วมกับข่าวสารเกี่ยวกับประเทศไทย โลก และรายการพิเศษเกี่ยวกับการทำไร่ การศึกษา สุขภาพ ฯลฯ (หน้า 198) และกระทรวงศึกษาธิการจัดทำหนังสือเรียนสำหรับชาติพันธุ์ (หน้า 199)

Health and Medicine

Orang Asli : มีโรงพยาบาลขนาด 450 เตียงของ Orang Asli ที่ Gombak ประมาณ 12 ไมล์นอกเมืองกัวลาลัมเปอร์ มีแพทย์ 6 คน หมอฟัน 2 คน และพยาบาลจำนวนมาก มีสถานีแพทย์ 140 แห่ง และศูนย์เคลื่อนย้ายคนในป่าด้วยเฮลิคอปเตอร์ แต่ละสถานีมีผู้ช่วยภาคสนามประจำอยู่ 1 คน (หน้า 195) ชาวเขาบนที่สูงของไทย : มีโครงการพัฒนาเคลื่อนที่เข้าไปในหมู่บ้านพัฒนาด้านสุขอนามัยร่วมกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ และในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพ่นยาฆ่ายุงตามเวลาในทุกหมู่บ้านในโครงการมาลาเรีย (หน้า 197) ? ตามโครงการ "ชาวเขาสัมพันธ์" นำผู้ติดฝิ่นจำนวนกว่า 400 คนมารับการรักษาที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ในกรุงเทพ และตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 หน่วยแพทย์เคลื่อนที่จากโรงพยาบาลถูกส่งขึ้นไปบนเขาเพื่อรักษาผู้ติดฝิ่น ? ตามโครงการ "ฝึกอาชีพ" มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมในหลายพื้นที่จัดทำหลักสูตรสำหรับชาวเขาในหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งคือการผดุงครรภ์ (หน้า 198)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์ระหว่าง Orang Asli ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึกกับผู้ปกครองมาเลย์มีน้อย ผู้ปกครองมาเลย์อำนวยประโยชน์ให้แก่ Orang Asli น้อยมากเมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างลัวะกับผู้ปกครองนครเชียงใหม่และลำพูน ?การค้าทาส Orang Asli โดยเฉพาะเด็ก ๆ เป็นไปอย่างแพร่หลายในรัฐมาเลย์ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 และความทรงจำเกี่ยวกับการขูดรีดของคนมาเลย์ในอดีตยังคงอยู่ในชุมชน Orang Asli สมัยใหม่จำนวนมาก ? อย่างไรก็ตาม ยังปรากฏว่าคนมาเลย์และ Orang Asli มีการค้าขายร่วมกันเป็นศตวรรษต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยที่ Orang Asli หาของป่าแลกเปลี่ยนของใช้ที่มีความจำเป็นพื้นฐาน เช่น มีด เกลือ เป็นต้น กับคนมาเลย์และคนจีน ? คำมาเลย์ที่ยืมมาใช้ในภาษา Orang Asli มีอัตราส่วนสูง บอกให้รู้ถึงการสมาคมสัมพันธ์มายาวนาน (หน้า 192) ทั้งชาวเขาไทยและ Orang Asli มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สัมพันธ์กับเพื่อนบ้านที่เจริญมากกว่า แต่ระดับการรับความเจริญทางอารยธรรมของเพื่อนบ้าน ในหมู่ชาวเขาไทยจะมีมากกว่าในหมู่ Orang Asli มาก (หน้า 190)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG ชนกลุ่มน้อย, นโยบายรัฐ, ไทย, มาเลเซีย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง