|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ชุมชน,วิถีการผลิต,แม่ฮ่องสอน |
Author |
Mohd. Razha Rashid |
Title |
1. The Pwo Karen Village of Dong Luang : Some Notes and Impressions (97-100) 2. Karen Swiddening Techniques (101-107) |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
11 |
Year |
2518 |
Source |
Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor), p.97-100, 101-107,จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia Press. |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุม วิถีการผลิตด้านเกษตรกรรมของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (Karen) เช่น วิธีการทำไร่และอนูรักษ์ดิน โดยมีวงจรการปล่อยให้ที่ดินว่างเว้นจากการเพาะปลูกเพื่อการฟื้นฟู สิทธิครอบครองและการจัดการที่ดินเพื่อการเพาะปลูกของคนในชุมชน เทคนิคการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (swidden) และวงจรการเพาะปลูกประจำปี เป็นต้น โดยผู้เขียนเน้นที่กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) และกะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw) เป็นส่วนใหญ่ ผู้เขียนมีข้อสรุปว่า กะเหรี่ยงได้ปฏิบัติด้วยวิธีการต่างๆ มาอย่างยาวนานเพื่อให้การเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผามีความยั่งยืน แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ ที่ดินลดน้อยลง คุกคามระบบเศรษฐกิจตามจารีตของกะเหรี่ยง บีบบังคับให้กะเหรี่ยงต้องยกเลิกหลักปฏิบัติในเรื่องการบำรุงรักษาผืนดิน และวงจรการปล่อยให้ที่ดินว่างเว้นจากการเพาะปลูกเพื่อการฟื้นฟูถูกทำให้สั้นลง เพื่อจะได้มีที่ดินใช้ในการเพาะปลูกมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวจะไปลดประสิทธิผลของที่ดิน ฉะนั้น จึงต้องมีการค้นหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ |
|
Focus |
นำเสนอวิถีการผลิตด้านเกษตรกรรมของกะเหรี่ยง และพรรณนาสภาพหมู่บ้านของกะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) บ้านดงหลวง (Dong Luang) อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง โดยเฉพาะกะเรี่ยงโปว์ (Pwo) และกะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
เมษายน - พฤษภาคม ค.ศ. 1973 |
|
History of the Group and Community |
บ้านดงหลวง เป็นหมู่บ้านของกะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) ซึ่งสร้างขึ้นโดยผู้ที่มาจาก Mae Chang เมื่อ 70 ปีมาแล้ว เดิมเคยเป็นที่อยู่ของ ลัวะ ปี ค.ศ.1968 บ้านดงหลวงแยกออกเป็นสองส่วน เนื่องจากมีข้อพิพาทกัน ส่วนที่แยกออกไปก่อตั้งเป็นกลุ่มบ้านเล็ก ๆ (hamlet) เป็นหมู่บ้านระดับรองเรียก Dong Luang Phuu อยู่ห่างจากหมู่บ้านหลักประมาณ 1 กิโลเมตร (หน้า 99) |
|
Demography |
บ้านดงหลวง ในปี ค.ศ.1969 กลุ่มบ้านดงหลวงน้อย ("subsidiary hamlet" ซึ่งแยกออกจากหมู่บ้านดงหลวงหลัก) ประกอบด้วย 14 ครัวเรือนประชากร 61 คน ปีที่ผู้เขียนเข้าไปในหมู่บ้าน หมู่บ้านดงหลวงหลักมี 32 ครัวเรือน มีประชากรมากกว่า 140 คน (จำนวนประชากรเป็นการประมาณของผู้เขียนจากอัตราเฉลี่ย 4.5 คนต่อครัวเรือนเมื่อ 4-5 ปีที่ศึกษาโดย Hinton) (หน้า 99) |
|
Economy |
วิธีการทำไร่ และการอนุรักษ์ดินของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงจะไม่ค่อยใช้ไร่เดิมมากกว่า 1 ปี หลังจาก 1 ปีแล้วจะปล่อยให้ผืนดินว่างเว้นการเพาะปลูก เพื่อฟื้นฟูให้ต้นไม้ได้ขึ้น การโค่นถางต้นไม้เพื่อเตรียมไร่ กะเหรี่ยงจะรักษาต้นไม้ใหญ่ไว้ เพียงเล็มกิ่งก้านไม่ให้บังข้าวที่จะปลูก และทำให้การฟื้นตัวของต้นไม้ในที่ดินเมื่อปล่อยว่างไว้ฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้น ตลอดจนป้องกันดินถล่ม โดยเฉพาะที่ลาดสูงชันกะเหรี่ยงจะไม่ใช้วิธี เจาะหน้าดินเป็นหลุมในการปลูกพืชด้วยเมล็ดพันธุ์ เพื่อรักษาไม่ให้เกิดการพังทลายและทรุดกร่อนของผืนดิน และเพื่อลดแรงกดดันของการใช้ผืนดินแบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา กะเหรี่ยงจะปลูกข้าวระบบชลประทานแบบขั้นบันไดทุกที่ที่ผืนดินและแหล่งน้ำเอื้ออำนวย ด้วยวิธีนี้ กะเหรี่ยงสามารถทำไร่ได้อย่างมีเสถียรภาพมากในทางปฏิบัติ (หน้า 101-102) ? อย่างไรก็ตาม ปัญหาดุลยภาพระหว่างจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและที่ดินที่ลดน้อยลง บีบบังคับให้กะเหรี่ยงยกเลิกหลักปฏิบัติในเรื่องการบำรุงรักษาผืนดิน และวงจรการปล่อยให้ที่ดินว่างเว้นจากการเพาะปลูกเพื่อการฟื้นฟูถูกทำให้สั้นลง เพื่อจะได้มีที่ดินใช้ในการเพาะปลูกมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวจะไปลดประสิทธิผลของที่ดิน (หน้า 107) สิทธิครอบครองที่ดิน สิทธิการใช้ที่ดินทำไร่เป็นของคนในหมู่บ้านโดยรวม คนเกิดนอกหมู่บ้านไม่สามารถใช้ที่ดินของหมู่บ้านได้ นอกจากจะแต่งงานหรือพักอาศัยอยู่ประจำกับผู้ที่เกิดและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านและเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน ในหมู่กะเหรี่ยงโปว์ บุคคลที่เรียกว่า "Sjae cheng khu" หรือ "old village head" เป็นหัวหน้าผู้ชายที่มีอำนาจหน้าที่ (authority) ทั้งทางโลก (secular) และพิธีกรรมในสังคมกะเหรี่ยง จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าผู้มาใหม่จะได้เป็นสมาชิกใหม่ของหมู่บ้านหรือไม่ โดยปรึกษาสมาชิกสภาผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชายของชุมชน แต่ละครัวเรือนจะมีสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดินของหมู่บ้าน แต่การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินต้องผ่านความเห็นชอบของ Sjae cheng khu ก่อน แต่ละครัวเรือนมีสิทธิในที่ดินที่กำลังใช้เพาะปลูกอยู่ และมีสิทธิครอบครองก่อนในที่ดินที่ถูกปล่อยให้ว่างเว้นการเพาะปลูก ซึ่งเป็นที่ดินที่เคยมีการเพาะปลูกมาก่อน ครัวเรือนใดต้องการใช้ที่ดินว่างที่ครัวเรือนอื่นเคยเพาะปลูกมาก่อน ต้องขออนุญาตก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ครัวเรือนที่เป็นเจ้าของเดิมจะถูกริบสิทธิ์ในที่ดินนั้น สิทธิในการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ปล่อยให้ว่างเว้นการเพาะปลูกอาจจะสืบทอดไปยังทายาทได้ แต่ผู้รับมรดกจะต้องใช้ประโยชน์ในที่ดินทันทีหลังการตายของผู้ที่ถือสิทธิ์อยู่ ที่ดินที่ทำไร่ไม่สามารถซื้อขายได้ ส่วนที่ดินแบบขั้นบันได สามารถซื้อขายได้ แต่ตาม Hinton (1970:70) ผู้ที่ซื้อที่ดินขั้นบันไดไม่ได้กำลังซื้อที่ดิน เป็นเพียงการซื้อการปรับปรุงที่ดินซึ่งผู้ขายจะต้องกระทำ เช่น สร้างเขื่อน ฝาย ขุดลอกคูน้ำ เป็นต้น หากเจ้าของที่ดินปล่อยให้ที่ดินขั้นบันไดเสื่อมโทรมไม่ดูแลซ่อมแซม จะไม่มีสิทธิ์ขายที่ดินนั้น และต้องคืนให้เป็นที่ดินของหมู่บ้าน เปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ใช้ประโยชน์ แม้ว่าไม่มีใครสามารถไปโค่นถางต้นไม้ทำไร่ ในอาณาเขตของหมู่บ้านอื่นได้ แต่อาจซื้อไร่ขั้นบันไดที่เป็นของคนชุมชนอื่นได้ ในทางกลับกันในหมู่กะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw) ที่ดินขั้นบันไดเป็นของส่วนบุคคลหรือของครัวเรือน นอกจากที่ดินที่ถูกละทิ้งอย่างสิ้นเชิง การอ้างสิทธิ์อาจทำได้ด้วยการปักหมุดล้อมรั้วก่อนการปรับปรุงใดๆ และจดทะเบียนเป็นเจ้าของกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น มีปัจจัยหลายอย่างที่ครัวเรือนกะเหรี่ยงหนึ่ง ๆ จะใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับขนาดของไร่ นอกเหนือจากปัจจัยด้านกายภาพแล้ว มีปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่จะคำนึงถึงในการเลือกไร่ผืนหนึ่งขนาดของครัวเรือนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด และครัวเรือนนั้นจะต้องมีสมาชิกวัยแรงงานที่มากพอด้วย ฉะนั้น กะเหรี่ยงจึงมักจะโค่นถางต้นไม้ทำไร่ให้ผืนใหญ่เพียงพอสำหรับครัวเรือนในอนาคต ในขณะเดียวกัน ก็จะระวังไม่ให้ไร่ใหญ่เกินไปจนไม่มีแรงงานเพียงพอที่จะใช้ในการกำจัดวัชพืชในไร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (หน้า102- 103) เทคนิคการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (swidden Technology) วิธีการโค่นต้นไม้เผาเพื่อทำไร่ของกะเหรี่ยงใช้วิธีแบบธรรมดาสามัญ ขึ้นกับเครื่องมือหลากหลายชนิดหลากวัตถุประสงค์ เช่น ใบมีดขนาดใหญ่สำหรับตัดต้นไม้ ใบมีดโลหะด้ามไม้ไผ่ยาวใช้เพื่อขุดหลุมสำหรับหยอดเมล็ดข้าวปลูก มีดด้ามสั้นใช้ขุดรากธัญพืช มีดรูปตัว L ด้ามไม้ไผ่แบบสั้นใช้ฟันวัชพืช ใบมีดรูปเคียวใช้เกี่ยวข้าว เป็นต้น (หน้า 103) วงจรการเกษตร (Agricultural Cycle) กะเหรี่ยงเริ่มต้นปีการเพาะปลูกปกติเดือนมกราคม - มกราคม เริ่มตัดต้นไม้เตรียมไร่ - กุมภาพันธ์ ตัดต้นไม้ที่ขึ้นมาเป็นครั้งที่ 2 และตัดเล็มกิ่งไม้ และปล่อยซากทิ้งไว้ให้แห้ง - มีนาคม เผาซากไม้ที่ตัดทิ้งไว้ จะต้องระวังให้การเผาเป็นไปอย่างสมบูรณ์ มิเช่นนั้นจะเป็นการเพิ่มงานให้ต้องมีการเผาครั้งที่ 2 - เมษายน เผาซากต้นไม้แห้ง เป็นช่วงเวลาที่ต้องมีการระวังไม่ให้ไฟลามไปไหม้ไร่ที่ปล่อยว่างเพื่อการฟื้นฟู ซึ่งรวมทั้งไฟป่าด้วย (ในเรื่องการระวังไฟกะเหรี่ยงสะกอ ได้แต่นั่งเฝ้าไฟป่าลามมาถึงไม่มีนักผจญเพลิง ส่วนกะเหรี่ยงโปว์ จะจัดตั้งกลุ่มผจญเพลิงขึ้นมาเพื่อควบคุมไฟป่า และใช้วิธีทำให้ไฟแตกแนวไปไหม้รอบ ๆ ไร่ ซึ่งจะป้องกันไม่ให้ไฟเข้าไปไหม้ในบริเวณไร่) เมื่อเผาซากไม้เรียบร้อยแล้ว กะเหรี่ยงจะสร้างกระท่อมในไร่ เพื่อใช้เป็นที่พักและเป็นยุ้งฉางเก็บพืชผล และทำรั้วล้อมไร่ ประมาณกลางเดือนจะเริ่มเพาะปลูก ก่อนการเพาะปลูก กะเหรี่ยงสะกอ จะทำพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับไร่เพื่อให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ การปลูกใช้วิธีเจาะดินเป็นหลุมหยอดเมล็ดข้าว สำหรับกะเหรี่ยงโปว์ การเจาะเป็นหลุมจะกำจัดวัชพืชได้ง่ายกว่า เพราะว่ากลุ่มต้นข้าวจะถูกแยกออกมา เมล็ดข้าวส่วนใหญ่จะอยู่ในหลุม การขุดหลุมมีระยะห่างเป็นระเบียบแต่ไม่มีการนับเมล็ดข้าวที่ใส่ในแต่ละหลุม และจะย้ายที่ปลูกต้นกล้าระหว่างการกำจัดวัชพืชครั้งแรกเพื่อไม่ให้ต้นกล้าแน่นเกินไปและน้อยเกินไป ครอบครัวกะเหรี่ยงสะกอ ที่ยากจนกว่ากะเหรี่ยงโปว์ จะปลูกข้าวโตเร็ว จำนวนหนึ่ง ข้าวชนิดนี้จะสุกประมาณหนึ่งเดือนก่อนข้าวหลักที่ปลูกเป็นปกติ ช่วยให้กะเหรี่ยงสะกอ มีข้าวบริโภคก่อนผลผลิตหลักจะเก็บเกี่ยว แต่หากสามารถรอข้าวหลักได้ กะเหรี่ยงไม่นิยมปลูกข้าวโตเร็ว เนื่องจากคุณภาพไม่ดีเหมือนข้าวปกติ นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังปลูกพืชเสริมหลากหลายชนิดร่วมกับข้าวในไร่ หรือเป็นพืชที่ปลูกในครั้งที่สอง มีตั้งแต่สมุนไพรจนถึงพืชประเภทมัน ปลูกด้วยการหว่านเป็นพื้นที่กว้างหรือหากจำเป็นก็ปลูกในหลุมเฉพาะ ข้าวโพดเป็นพืชสำคัญสำหรับการปลูกครั้งที่สอง เพราะข้าวโพดจะสุกราวเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ข้าวที่เก็บไว้สำหรับบริโภคไม่พอ กะเหรี่ยงจะย่างฝักข้าวโพดหรือผสมเมล็ดข้าวโพดกับข้าว - ต้นพฤษภาคม การเพาะปลูกในไร่เสร็จเรียบร้อย ช่วงเวลานี้กะเหรี่ยงจะใช้เวลาไปกับการซ่อมแซมรั้วและทำกับดักสัตว์ที่มาแทะกินพืชผล - มิถุนายน เป็นเดือนที่จะต้องเตรียมการเพาะปลูกแบบขั้นบันไดที่อาศัยน้ำชลประทาน กะเหรี่ยงที่เป็นเจ้าของไร่ขั้นบันไดเหมือนกับไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา คือจะต้องแบ่งสรรเวลาและแรงงานอย่างระมัดระวังระหว่างกิจกรรมที่สำคัญสองอย่างคือการกำจัดวัชพืชและการเตรียมที่ดิน - กลางมิถุนายน ลมมรสุมเริ่มพัดมา เมื่อฝนตก ข้าวและวัชพืชจะโตอย่างรวดเร็ว ต้องเริ่มงานกำจัดวัชพืชซึ่งต้องใช้เวลาและแรงงานมาก วัชพืชจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลาที่ข้าวใกล้สุกประมาณกลางเดือนกันยายน เมื่อต้นข้าวโตพอที่จะบังพื้นดินทำให้วัชพืชไม่สามารถเติบโตได้ การกำจัดวัชพืชก็ไม่จำเป็นต้องทำมากมายอีก - ปลายเดือนมิถุนายน พืชเสริมจำนวนมาก เช่น ข้าวโพดและผักต่าง ๆ เป็นต้นจะพร้อมเก็บผลผลิต ดังนั้น ขณะที่กำจัดวัชพืชจะเก็บผลผลิตพืชเสริมเหล่านี้ไปด้วย - ปลายกันยายน ถึง ตุลาคม ข้าวที่ปลูกครั้งแรกพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว ขึ้นกับชนิดของเมล็ดพันธุ์และเงื่อนไขสภาพของท้องถิ่น การเก็บเกี่ยวจะตัดก้านไปด้วย ปล่อยข้าวเปลือกให้แห้ง กะเหรี่ยงโปว์ จะแยกข้าวเปลือกออกจากฟางข้าวด้วยการตีมัดฟ่อนข้าวกระแทกกับด้านข้างของตระกร้าลึกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 5 ฟุต กะเหรี่ยงสะกอ จะสร้างลานนวดข้าวที่ยกพื้นสูงขึ้นปูด้วยฟากและตีฟ่อนข้าวบนนั้น ในชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ งานนวดข้าวจะจำกัดอย่างเข้มงวดให้อยู่เฉพาะสมาชิกในครัวเรือน และมีข้อห้ามไม่ให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกของครัวเรือนเดินผ่านไร่ในช่วงเก็บเกี่ยวและนวดข้าว ส่วนกะเหรี่ยงสะกอ ไม่มีข้อห้ามใด ๆ หลังจากข้าวทั้งหมดนวดหมดแล้ว จะฝัดข้าวอย่างหยาบ ๆ กะเหรี่ยงสะกอ จะใช้พัดสานด้วยไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ในขณะที่กะเหรี่ยงโปว์ จะใช้วิธีให้คนขึ้นไปยืนบนบันไดเทข้าวเปลือกจากตระกร้าลงบนพื้นนวดข้าวที่ยกสูง ลมจะพัดพาฟางข้าวจำนวนมากออกไป ผลผลิตจะถูกสะสมไว้ในกระท่อมในไร่ชั่วคราวก่อนที่จะนำกลับไปยังหมู่บ้าน กระบวนการผลิตจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อผลผลิตทั้งหมดถูกขนกลับไปยังหมู่บ้านแล้ว (หน้า 103-106) ข้อสรุปของผู้เขียน กะเหรี่ยงปฏิบัติต่อที่ดินเป็นเหมือนแหล่งทรัพยากรที่จะต้องบำรุงรักษาแทนการเคลื่อนย้ายหมู่บ้านเพื่อแสวงหาที่ดินผืนใหม่ทุก ๆ 2-3 ปี กะเหรี่ยงประสบความสำเร็จในการรักษาความมั่นคงทางนิเวศวิทยามากกว่าชาวไร่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิธีการสำคัญตามประเพณีของการบำรุงรักษาผืนดินของกะเหรี่ยงคือการยืนหยัดไม่เพาะปลูกเกินหนึ่งฤดูกาลเพาะปลูก หลังจากนั้นจะปล่อยให้ผืนดินว่างจากการเพาะปลูกให้เกิดการฟื้นตัว การดูแลเป็นพิเศษคือการควบคุมไฟ การรักษาต้นไม้ใหญ่ไว้ในไร่ รักษาไม่ทำลายหน้าดินบนที่ลาดเนินเขา และการยืนหยัดที่จะรักษาระยะห่างของช่วงเวลาปล่อยที่ดินให้ปลอดจากการเพาะปลูก แต่ทว่าวิธีการเหล่านี้ก็ไม่สามารถรับมือกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวในคนทุกรุ่น ดุลยภาพระหว่างจำนวนประชากรและที่ดินบีบบังคับให้กะเหรี่ยงต้องยกเลิกหลักปฏิบัติในเรื่องการทำนุบำรุงผืนดินของตน วงจรการปล่อยที่ดินให้ว่างเว้นจากการเพาะปลูกสั้นลง เพื่อเพาะปลูกให้ได้อาหารเพิ่มขึ้น แต่ผลลัพธ์ในระยะยาวไปลดอัตราการผลิต เพราะการลดลงของสารอาหารในดิน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าไม่ยุติธรรมหากจะกล่าวหาการทำไร่หมุนเวียน เป็นความเสื่อมโทรมอย่างเหมารวม กะเหรี่ยงได้ปฏิบัติด้วยวิธีการต่างๆ มาอย่างยาวนานเพื่อให้การเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผามีความยั่งยืน แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว คุกคามระบบเศรษฐกิจตามจารีตของกะเหรี่ยงเหมือนๆ กับชาวเขาอื่น ๆ ฉะนั้นจึงต้องค้นหาคำตอบใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ (หน้า 106-107) กะเหรี่ยงบ้านดงหลวง ภายในหมู่บ้านมีสวนผักที่ล้อมรั้วไว้มากมาย บ้านดงหลวงยากจนกว่าชุมชนลาหู่ ลีซอ เย้าและม้งที่ผู้วิจัยไปเยือน กะเหรี่ยงไม่ปลูกฝิ่น เป็นเกษตรกรเพื่อการยังชีพ แหล่งเงินที่แท้จริงเพียงแหล่งเดียว คือ ทำงานรับจ้างคนพื้นราบ ชาวดงหลวงเริ่มต้นเป็นแรงงานรับจ้าง เพราะว่าไม่สามารถผลิตข้าวได้พอเพียงต่อการดำรงชีพ (หน้า 99-100) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่ : หมู่บ้านกะเหรี่ยง บ้านดงหลวง (หน้า 98) |
|
|