สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ชุมชน,วิถีการผลิต,แม่ฮ่องสอน
Author Mohd. Razha Rashid
Title 1. The Pwo Karen Village of Dong Luang : Some Notes and Impressions (97-100) 2. Karen Swiddening Techniques (101-107)
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 11 Year 2518
Source Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor), p.97-100, 101-107,จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia Press.
Abstract

มีเนื้อหาครอบคลุม วิถีการผลิตด้านเกษตรกรรมของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (Karen) เช่น วิธีการทำไร่และอนูรักษ์ดิน โดยมีวงจรการปล่อยให้ที่ดินว่างเว้นจากการเพาะปลูกเพื่อการฟื้นฟู สิทธิครอบครองและการจัดการที่ดินเพื่อการเพาะปลูกของคนในชุมชน เทคนิคการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (swidden) และวงจรการเพาะปลูกประจำปี เป็นต้น โดยผู้เขียนเน้นที่กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) และกะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw) เป็นส่วนใหญ่ ผู้เขียนมีข้อสรุปว่า กะเหรี่ยงได้ปฏิบัติด้วยวิธีการต่างๆ มาอย่างยาวนานเพื่อให้การเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผามีความยั่งยืน แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ ที่ดินลดน้อยลง คุกคามระบบเศรษฐกิจตามจารีตของกะเหรี่ยง บีบบังคับให้กะเหรี่ยงต้องยกเลิกหลักปฏิบัติในเรื่องการบำรุงรักษาผืนดิน และวงจรการปล่อยให้ที่ดินว่างเว้นจากการเพาะปลูกเพื่อการฟื้นฟูถูกทำให้สั้นลง เพื่อจะได้มีที่ดินใช้ในการเพาะปลูกมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวจะไปลดประสิทธิผลของที่ดิน ฉะนั้น จึงต้องมีการค้นหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ

Focus

นำเสนอวิถีการผลิตด้านเกษตรกรรมของกะเหรี่ยง และพรรณนาสภาพหมู่บ้านของกะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) บ้านดงหลวง (Dong Luang) อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง โดยเฉพาะกะเรี่ยงโปว์ (Pwo) และกะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

เมษายน - พฤษภาคม ค.ศ. 1973

History of the Group and Community

บ้านดงหลวง เป็นหมู่บ้านของกะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) ซึ่งสร้างขึ้นโดยผู้ที่มาจาก Mae Chang เมื่อ 70 ปีมาแล้ว เดิมเคยเป็นที่อยู่ของ ลัวะ ปี ค.ศ.1968 บ้านดงหลวงแยกออกเป็นสองส่วน เนื่องจากมีข้อพิพาทกัน ส่วนที่แยกออกไปก่อตั้งเป็นกลุ่มบ้านเล็ก ๆ (hamlet) เป็นหมู่บ้านระดับรองเรียก Dong Luang Phuu อยู่ห่างจากหมู่บ้านหลักประมาณ 1 กิโลเมตร (หน้า 99)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

บ้านดงหลวง ในปี ค.ศ.1969 กลุ่มบ้านดงหลวงน้อย ("subsidiary hamlet" ซึ่งแยกออกจากหมู่บ้านดงหลวงหลัก) ประกอบด้วย 14 ครัวเรือนประชากร 61 คน ปีที่ผู้เขียนเข้าไปในหมู่บ้าน หมู่บ้านดงหลวงหลักมี 32 ครัวเรือน มีประชากรมากกว่า 140 คน (จำนวนประชากรเป็นการประมาณของผู้เขียนจากอัตราเฉลี่ย 4.5 คนต่อครัวเรือนเมื่อ 4-5 ปีที่ศึกษาโดย Hinton) (หน้า 99)

Economy

วิธีการทำไร่ และการอนุรักษ์ดินของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงจะไม่ค่อยใช้ไร่เดิมมากกว่า 1 ปี หลังจาก 1 ปีแล้วจะปล่อยให้ผืนดินว่างเว้นการเพาะปลูก เพื่อฟื้นฟูให้ต้นไม้ได้ขึ้น การโค่นถางต้นไม้เพื่อเตรียมไร่ กะเหรี่ยงจะรักษาต้นไม้ใหญ่ไว้ เพียงเล็มกิ่งก้านไม่ให้บังข้าวที่จะปลูก และทำให้การฟื้นตัวของต้นไม้ในที่ดินเมื่อปล่อยว่างไว้ฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้น ตลอดจนป้องกันดินถล่ม โดยเฉพาะที่ลาดสูงชันกะเหรี่ยงจะไม่ใช้วิธี เจาะหน้าดินเป็นหลุมในการปลูกพืชด้วยเมล็ดพันธุ์ เพื่อรักษาไม่ให้เกิดการพังทลายและทรุดกร่อนของผืนดิน และเพื่อลดแรงกดดันของการใช้ผืนดินแบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา กะเหรี่ยงจะปลูกข้าวระบบชลประทานแบบขั้นบันไดทุกที่ที่ผืนดินและแหล่งน้ำเอื้ออำนวย ด้วยวิธีนี้ กะเหรี่ยงสามารถทำไร่ได้อย่างมีเสถียรภาพมากในทางปฏิบัติ (หน้า 101-102) ? อย่างไรก็ตาม ปัญหาดุลยภาพระหว่างจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและที่ดินที่ลดน้อยลง บีบบังคับให้กะเหรี่ยงยกเลิกหลักปฏิบัติในเรื่องการบำรุงรักษาผืนดิน และวงจรการปล่อยให้ที่ดินว่างเว้นจากการเพาะปลูกเพื่อการฟื้นฟูถูกทำให้สั้นลง เพื่อจะได้มีที่ดินใช้ในการเพาะปลูกมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวจะไปลดประสิทธิผลของที่ดิน (หน้า 107) สิทธิครอบครองที่ดิน สิทธิการใช้ที่ดินทำไร่เป็นของคนในหมู่บ้านโดยรวม คนเกิดนอกหมู่บ้านไม่สามารถใช้ที่ดินของหมู่บ้านได้ นอกจากจะแต่งงานหรือพักอาศัยอยู่ประจำกับผู้ที่เกิดและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านและเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน ในหมู่กะเหรี่ยงโปว์ บุคคลที่เรียกว่า "Sjae cheng khu" หรือ "old village head" เป็นหัวหน้าผู้ชายที่มีอำนาจหน้าที่ (authority) ทั้งทางโลก (secular) และพิธีกรรมในสังคมกะเหรี่ยง จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าผู้มาใหม่จะได้เป็นสมาชิกใหม่ของหมู่บ้านหรือไม่ โดยปรึกษาสมาชิกสภาผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชายของชุมชน แต่ละครัวเรือนจะมีสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดินของหมู่บ้าน แต่การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินต้องผ่านความเห็นชอบของ Sjae cheng khu ก่อน แต่ละครัวเรือนมีสิทธิในที่ดินที่กำลังใช้เพาะปลูกอยู่ และมีสิทธิครอบครองก่อนในที่ดินที่ถูกปล่อยให้ว่างเว้นการเพาะปลูก ซึ่งเป็นที่ดินที่เคยมีการเพาะปลูกมาก่อน ครัวเรือนใดต้องการใช้ที่ดินว่างที่ครัวเรือนอื่นเคยเพาะปลูกมาก่อน ต้องขออนุญาตก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ครัวเรือนที่เป็นเจ้าของเดิมจะถูกริบสิทธิ์ในที่ดินนั้น สิทธิในการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ปล่อยให้ว่างเว้นการเพาะปลูกอาจจะสืบทอดไปยังทายาทได้ แต่ผู้รับมรดกจะต้องใช้ประโยชน์ในที่ดินทันทีหลังการตายของผู้ที่ถือสิทธิ์อยู่ ที่ดินที่ทำไร่ไม่สามารถซื้อขายได้ ส่วนที่ดินแบบขั้นบันได สามารถซื้อขายได้ แต่ตาม Hinton (1970:70) ผู้ที่ซื้อที่ดินขั้นบันไดไม่ได้กำลังซื้อที่ดิน เป็นเพียงการซื้อการปรับปรุงที่ดินซึ่งผู้ขายจะต้องกระทำ เช่น สร้างเขื่อน ฝาย ขุดลอกคูน้ำ เป็นต้น หากเจ้าของที่ดินปล่อยให้ที่ดินขั้นบันไดเสื่อมโทรมไม่ดูแลซ่อมแซม จะไม่มีสิทธิ์ขายที่ดินนั้น และต้องคืนให้เป็นที่ดินของหมู่บ้าน เปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ใช้ประโยชน์ แม้ว่าไม่มีใครสามารถไปโค่นถางต้นไม้ทำไร่ ในอาณาเขตของหมู่บ้านอื่นได้ แต่อาจซื้อไร่ขั้นบันไดที่เป็นของคนชุมชนอื่นได้ ในทางกลับกันในหมู่กะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw) ที่ดินขั้นบันไดเป็นของส่วนบุคคลหรือของครัวเรือน นอกจากที่ดินที่ถูกละทิ้งอย่างสิ้นเชิง การอ้างสิทธิ์อาจทำได้ด้วยการปักหมุดล้อมรั้วก่อนการปรับปรุงใดๆ และจดทะเบียนเป็นเจ้าของกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น มีปัจจัยหลายอย่างที่ครัวเรือนกะเหรี่ยงหนึ่ง ๆ จะใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับขนาดของไร่ นอกเหนือจากปัจจัยด้านกายภาพแล้ว มีปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่จะคำนึงถึงในการเลือกไร่ผืนหนึ่งขนาดของครัวเรือนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด และครัวเรือนนั้นจะต้องมีสมาชิกวัยแรงงานที่มากพอด้วย ฉะนั้น กะเหรี่ยงจึงมักจะโค่นถางต้นไม้ทำไร่ให้ผืนใหญ่เพียงพอสำหรับครัวเรือนในอนาคต ในขณะเดียวกัน ก็จะระวังไม่ให้ไร่ใหญ่เกินไปจนไม่มีแรงงานเพียงพอที่จะใช้ในการกำจัดวัชพืชในไร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (หน้า102- 103) เทคนิคการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (swidden Technology) วิธีการโค่นต้นไม้เผาเพื่อทำไร่ของกะเหรี่ยงใช้วิธีแบบธรรมดาสามัญ ขึ้นกับเครื่องมือหลากหลายชนิดหลากวัตถุประสงค์ เช่น ใบมีดขนาดใหญ่สำหรับตัดต้นไม้ ใบมีดโลหะด้ามไม้ไผ่ยาวใช้เพื่อขุดหลุมสำหรับหยอดเมล็ดข้าวปลูก มีดด้ามสั้นใช้ขุดรากธัญพืช มีดรูปตัว L ด้ามไม้ไผ่แบบสั้นใช้ฟันวัชพืช ใบมีดรูปเคียวใช้เกี่ยวข้าว เป็นต้น (หน้า 103) วงจรการเกษตร (Agricultural Cycle) กะเหรี่ยงเริ่มต้นปีการเพาะปลูกปกติเดือนมกราคม - มกราคม เริ่มตัดต้นไม้เตรียมไร่ - กุมภาพันธ์ ตัดต้นไม้ที่ขึ้นมาเป็นครั้งที่ 2 และตัดเล็มกิ่งไม้ และปล่อยซากทิ้งไว้ให้แห้ง - มีนาคม เผาซากไม้ที่ตัดทิ้งไว้ จะต้องระวังให้การเผาเป็นไปอย่างสมบูรณ์ มิเช่นนั้นจะเป็นการเพิ่มงานให้ต้องมีการเผาครั้งที่ 2 - เมษายน เผาซากต้นไม้แห้ง เป็นช่วงเวลาที่ต้องมีการระวังไม่ให้ไฟลามไปไหม้ไร่ที่ปล่อยว่างเพื่อการฟื้นฟู ซึ่งรวมทั้งไฟป่าด้วย (ในเรื่องการระวังไฟกะเหรี่ยงสะกอ ได้แต่นั่งเฝ้าไฟป่าลามมาถึงไม่มีนักผจญเพลิง ส่วนกะเหรี่ยงโปว์ จะจัดตั้งกลุ่มผจญเพลิงขึ้นมาเพื่อควบคุมไฟป่า และใช้วิธีทำให้ไฟแตกแนวไปไหม้รอบ ๆ ไร่ ซึ่งจะป้องกันไม่ให้ไฟเข้าไปไหม้ในบริเวณไร่) เมื่อเผาซากไม้เรียบร้อยแล้ว กะเหรี่ยงจะสร้างกระท่อมในไร่ เพื่อใช้เป็นที่พักและเป็นยุ้งฉางเก็บพืชผล และทำรั้วล้อมไร่ ประมาณกลางเดือนจะเริ่มเพาะปลูก ก่อนการเพาะปลูก กะเหรี่ยงสะกอ จะทำพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับไร่เพื่อให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ การปลูกใช้วิธีเจาะดินเป็นหลุมหยอดเมล็ดข้าว สำหรับกะเหรี่ยงโปว์ การเจาะเป็นหลุมจะกำจัดวัชพืชได้ง่ายกว่า เพราะว่ากลุ่มต้นข้าวจะถูกแยกออกมา เมล็ดข้าวส่วนใหญ่จะอยู่ในหลุม การขุดหลุมมีระยะห่างเป็นระเบียบแต่ไม่มีการนับเมล็ดข้าวที่ใส่ในแต่ละหลุม และจะย้ายที่ปลูกต้นกล้าระหว่างการกำจัดวัชพืชครั้งแรกเพื่อไม่ให้ต้นกล้าแน่นเกินไปและน้อยเกินไป ครอบครัวกะเหรี่ยงสะกอ ที่ยากจนกว่ากะเหรี่ยงโปว์ จะปลูกข้าวโตเร็ว จำนวนหนึ่ง ข้าวชนิดนี้จะสุกประมาณหนึ่งเดือนก่อนข้าวหลักที่ปลูกเป็นปกติ ช่วยให้กะเหรี่ยงสะกอ มีข้าวบริโภคก่อนผลผลิตหลักจะเก็บเกี่ยว แต่หากสามารถรอข้าวหลักได้ กะเหรี่ยงไม่นิยมปลูกข้าวโตเร็ว เนื่องจากคุณภาพไม่ดีเหมือนข้าวปกติ นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังปลูกพืชเสริมหลากหลายชนิดร่วมกับข้าวในไร่ หรือเป็นพืชที่ปลูกในครั้งที่สอง มีตั้งแต่สมุนไพรจนถึงพืชประเภทมัน ปลูกด้วยการหว่านเป็นพื้นที่กว้างหรือหากจำเป็นก็ปลูกในหลุมเฉพาะ ข้าวโพดเป็นพืชสำคัญสำหรับการปลูกครั้งที่สอง เพราะข้าวโพดจะสุกราวเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ข้าวที่เก็บไว้สำหรับบริโภคไม่พอ กะเหรี่ยงจะย่างฝักข้าวโพดหรือผสมเมล็ดข้าวโพดกับข้าว - ต้นพฤษภาคม การเพาะปลูกในไร่เสร็จเรียบร้อย ช่วงเวลานี้กะเหรี่ยงจะใช้เวลาไปกับการซ่อมแซมรั้วและทำกับดักสัตว์ที่มาแทะกินพืชผล - มิถุนายน เป็นเดือนที่จะต้องเตรียมการเพาะปลูกแบบขั้นบันไดที่อาศัยน้ำชลประทาน กะเหรี่ยงที่เป็นเจ้าของไร่ขั้นบันไดเหมือนกับไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา คือจะต้องแบ่งสรรเวลาและแรงงานอย่างระมัดระวังระหว่างกิจกรรมที่สำคัญสองอย่างคือการกำจัดวัชพืชและการเตรียมที่ดิน - กลางมิถุนายน ลมมรสุมเริ่มพัดมา เมื่อฝนตก ข้าวและวัชพืชจะโตอย่างรวดเร็ว ต้องเริ่มงานกำจัดวัชพืชซึ่งต้องใช้เวลาและแรงงานมาก วัชพืชจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลาที่ข้าวใกล้สุกประมาณกลางเดือนกันยายน เมื่อต้นข้าวโตพอที่จะบังพื้นดินทำให้วัชพืชไม่สามารถเติบโตได้ การกำจัดวัชพืชก็ไม่จำเป็นต้องทำมากมายอีก - ปลายเดือนมิถุนายน พืชเสริมจำนวนมาก เช่น ข้าวโพดและผักต่าง ๆ เป็นต้นจะพร้อมเก็บผลผลิต ดังนั้น ขณะที่กำจัดวัชพืชจะเก็บผลผลิตพืชเสริมเหล่านี้ไปด้วย - ปลายกันยายน ถึง ตุลาคม ข้าวที่ปลูกครั้งแรกพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว ขึ้นกับชนิดของเมล็ดพันธุ์และเงื่อนไขสภาพของท้องถิ่น การเก็บเกี่ยวจะตัดก้านไปด้วย ปล่อยข้าวเปลือกให้แห้ง กะเหรี่ยงโปว์ จะแยกข้าวเปลือกออกจากฟางข้าวด้วยการตีมัดฟ่อนข้าวกระแทกกับด้านข้างของตระกร้าลึกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 5 ฟุต กะเหรี่ยงสะกอ จะสร้างลานนวดข้าวที่ยกพื้นสูงขึ้นปูด้วยฟากและตีฟ่อนข้าวบนนั้น ในชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ งานนวดข้าวจะจำกัดอย่างเข้มงวดให้อยู่เฉพาะสมาชิกในครัวเรือน และมีข้อห้ามไม่ให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกของครัวเรือนเดินผ่านไร่ในช่วงเก็บเกี่ยวและนวดข้าว ส่วนกะเหรี่ยงสะกอ ไม่มีข้อห้ามใด ๆ หลังจากข้าวทั้งหมดนวดหมดแล้ว จะฝัดข้าวอย่างหยาบ ๆ กะเหรี่ยงสะกอ จะใช้พัดสานด้วยไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ในขณะที่กะเหรี่ยงโปว์ จะใช้วิธีให้คนขึ้นไปยืนบนบันไดเทข้าวเปลือกจากตระกร้าลงบนพื้นนวดข้าวที่ยกสูง ลมจะพัดพาฟางข้าวจำนวนมากออกไป ผลผลิตจะถูกสะสมไว้ในกระท่อมในไร่ชั่วคราวก่อนที่จะนำกลับไปยังหมู่บ้าน กระบวนการผลิตจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อผลผลิตทั้งหมดถูกขนกลับไปยังหมู่บ้านแล้ว (หน้า 103-106) ข้อสรุปของผู้เขียน กะเหรี่ยงปฏิบัติต่อที่ดินเป็นเหมือนแหล่งทรัพยากรที่จะต้องบำรุงรักษาแทนการเคลื่อนย้ายหมู่บ้านเพื่อแสวงหาที่ดินผืนใหม่ทุก ๆ 2-3 ปี กะเหรี่ยงประสบความสำเร็จในการรักษาความมั่นคงทางนิเวศวิทยามากกว่าชาวไร่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิธีการสำคัญตามประเพณีของการบำรุงรักษาผืนดินของกะเหรี่ยงคือการยืนหยัดไม่เพาะปลูกเกินหนึ่งฤดูกาลเพาะปลูก หลังจากนั้นจะปล่อยให้ผืนดินว่างจากการเพาะปลูกให้เกิดการฟื้นตัว การดูแลเป็นพิเศษคือการควบคุมไฟ การรักษาต้นไม้ใหญ่ไว้ในไร่ รักษาไม่ทำลายหน้าดินบนที่ลาดเนินเขา และการยืนหยัดที่จะรักษาระยะห่างของช่วงเวลาปล่อยที่ดินให้ปลอดจากการเพาะปลูก แต่ทว่าวิธีการเหล่านี้ก็ไม่สามารถรับมือกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวในคนทุกรุ่น ดุลยภาพระหว่างจำนวนประชากรและที่ดินบีบบังคับให้กะเหรี่ยงต้องยกเลิกหลักปฏิบัติในเรื่องการทำนุบำรุงผืนดินของตน วงจรการปล่อยที่ดินให้ว่างเว้นจากการเพาะปลูกสั้นลง เพื่อเพาะปลูกให้ได้อาหารเพิ่มขึ้น แต่ผลลัพธ์ในระยะยาวไปลดอัตราการผลิต เพราะการลดลงของสารอาหารในดิน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าไม่ยุติธรรมหากจะกล่าวหาการทำไร่หมุนเวียน เป็นความเสื่อมโทรมอย่างเหมารวม กะเหรี่ยงได้ปฏิบัติด้วยวิธีการต่างๆ มาอย่างยาวนานเพื่อให้การเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผามีความยั่งยืน แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว คุกคามระบบเศรษฐกิจตามจารีตของกะเหรี่ยงเหมือนๆ กับชาวเขาอื่น ๆ ฉะนั้นจึงต้องค้นหาคำตอบใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ (หน้า 106-107) กะเหรี่ยงบ้านดงหลวง ภายในหมู่บ้านมีสวนผักที่ล้อมรั้วไว้มากมาย บ้านดงหลวงยากจนกว่าชุมชนลาหู่ ลีซอ เย้าและม้งที่ผู้วิจัยไปเยือน กะเหรี่ยงไม่ปลูกฝิ่น เป็นเกษตรกรเพื่อการยังชีพ แหล่งเงินที่แท้จริงเพียงแหล่งเดียว คือ ทำงานรับจ้างคนพื้นราบ ชาวดงหลวงเริ่มต้นเป็นแรงงานรับจ้าง เพราะว่าไม่สามารถผลิตข้าวได้พอเพียงต่อการดำรงชีพ (หน้า 99-100)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่ : หมู่บ้านกะเหรี่ยง บ้านดงหลวง (หน้า 98)

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 10 ต.ค. 2567
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ชุมชน, วิถีการผลิต, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง