|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),บทเพลง,ลำพูน |
Author |
Ruriko Uchida |
Title |
บทเพลงของกะเหรี่ยงโป-รายงานผลการวิจัยภาคสนามทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของไทย |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาญี่ปุ่น |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดสยามสมาคม |
Total Pages |
23 |
Year |
2521 |
Source |
Souritsu Gojuu Shuunenki Ronbunshu “Po Karen Zoku no Uta-- Seihoku Tai Fiirudo Chousa Houkoku -- ’’, Kokuritsu Ongaku Daigaku, Takiguchi Insatsusho, pp.49-71 |
Abstract |
กะเหรี่ยงโปว์ที่หมู่บ้านห้วยหละ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ประกอบอาชีพทำนาทำไร่ ถือลัทธินับถือผี (Animism) ควบคู่กับการรับเอาศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันด้วย สำหรับกะเหรี่ยงโปว์ เพลงคือเครื่องมือในการถ่ายทอดบทกวีใช้ขับร้องเพื่อความรื่นเริง และเพื่อประกอบในพิธีกรรม หรือเพื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรมต่างๆ เช่น ทอผ้า ทำนา พิธีศพ เป็นต้น ดังนั้นเนื้อร้องจึงมีความสำคัญกว่าทำนอง โดยมักจะแต่งเนื้อร้องขึ้นสดๆ แล้วนำไปใส่ในทำนองที่มีอยู่แล้วแต่เดิม ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง มักมีจังหวะที่ไม่แน่นอนตายตัว (Free Rhythm)ไม่มีการเน้นน้ำหนักเสียง (accent) ประกอบด้วย 3 หรือ 4 ตัวโน้ต อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน วิทยุได้เข้ามาสู่หมู่บ้านนี้ ทำให้กะเหรี่ยงรู้จักเพลงพื้นบ้านและเพลงป๊อปของไทยด้วย |
|
Focus |
บทเพลงและลักษณะทางดนตรีของกะเหรี่ยงโปว์ |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงโปว์ที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านห้วยหละ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงจัดอยู่ในสายภาษาธิเบต-พม่า กะเหรี่ยงโปว์ที่หมู่บ้านห้วยหละนอกจากจะพูดภาษากะเหรี่ยงโปว์แล้วยังใช้ภาษาถิ่นทางเหนือของไทยอีกด้วย |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นการเก็บข้อมูลภาคสนามช่วงปี 1975 - 1977 |
|
History of the Group and Community |
จากตำนานและข้อมูลต่างๆในอดีต กล่าวกันว่ากะเหรี่ยงมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรอินโดจีน และได้อพยพลงมาทางใต้โดยกระจายออกเป็น 3 กลุ่มลงมาสู่ลุ่มแม่น้ำอิระวดี สาละวิน และลุ่มแม่น้ำโขง (หน้า 49) สำหรับความเป็นมาของหมู่บ้านห้วยหละนั้นไม่มีบันทึกที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าหมู่บ้านนี้มีมาตั้งแต่ประมาณ 200-300 ปีก่อน (หน้า 51) |
|
Demography |
กะเหรี่ยงในประเทศไทยมีจำนวนประชากรทั้งหมด 150,000 คน ในจำนวนนี้เป็นกะเหรี่ยงโปว์ 58,000 คน มีจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด 500 หมู่บ้าน ประกอบด้วย 12,000 ครัวเรือน สำหรับหมู่บ้านห้วยหละ มีบันทึกจากการสำรวจในปี 1971 ไว้ว่ามีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,000 คน 200 ครัวเรือน (หน้า 50 |
|
Economy |
ชาวบ้านห้วยหละส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำนาทำไร่ทั้งแบบการทำไร่เลื่อนลอยและแบบชลประทาน ผลผลิตหลักได้แก่ข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลัก หัวหอมใหญ่ กระเทียม และยาสูบ นอกจากนี้ ยังเลี้ยงสัตว์ประเภทหมูและไก่ ส่วนคนที่มีฐานะก็จะเลี้ยงควายไว้ใช้งานในไร่นาอีกด้วย (หน้า 51) |
|
Social Organization |
ระบบเครือญาติของกะเหรี่ยงมีแนวโน้มจะนับญาติทางฝ่ายแม่เป็นหลัก เมื่อแต่งงานชายจะย้ายมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง (หน้า 51) |
|
Political Organization |
ในสมัยก่อน หัวหน้าหมู่บ้านจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำที่จะต้องปกครองทั้งทางด้านศาสนาและทางโลก แต่ในปัจจุบันตำแหน่งผู้นำทั้งสองด้านนี้จะแยกออกจากกัน โดยตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านจะถูกแต่งตั้งจากทางรัฐบาลไทย ผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้น (ปี 1975) คือนาย "Muenchan Falok" (หน้า 53) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงถือลัทธินับถือผี (Animism) วิญญาณ และเทพจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายปีศาจร้าย เช่น ผีแห่งน้ำ หิน ดิน ต้นไม้ ไร่นา และผีบ้าน เป็นต้น ซึ่งจะมีการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ พิธีเซ่นไหว้ผีแห่งไร่นาเพื่อให้ได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ (หน้า 53) นอกจากนี้ ศาสนาพุทธก็ค่อยๆแทรกซึมเข้ามาสู่กะเหรี่ยงพื้นที่ราบ โดยเริ่มจากพ่อค้าชาวฉานและพระสงฆ์จากไทยซึ่งเดินทางเข้ามาที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงก่อน ซึ่งต่อมาในปี 1965 รัฐบาลไทยได้ส่งคณะเผยแพร่ศาสนา (ธรรมจาริก) ไปตามหมู่บ้านต่างๆเพื่อเผยแผ่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของกะเหรี่ยง ดังจะเห็นว่ามีการนำเอาเพลงในรูปแบบ ของกะเหรี่ยงมาแต่งเป็นเพลงเกี่ยวกับศาสนาพุทธด้วย อย่างไรก็ดี กะเหรี่ยงก็ยังคงนับถือผีตามแบบของตนอยู่ด้วยในขณะเดียวกัน (หน้า 65-66) พิธีแต่งงาน- ในงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของกะเหรี่ยงโปว์ ฝ่ายเจ้าสาวจะต้องนำหมูมา 3 ตัว ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องจัดหาหมูมา 2 ตัว และจะต้องนำหมูดังกล่าวมาประกอบอาหารเพื่อเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน โดยจะต้องเลี้ยงกับเหล้าที่หมักจากข้าวไว้ 2 วัน (หน้า 56) ในพิธีศพของกะเหรี่ยงโปว์ ผู้ที่เคยใกล้ชิดกับผู้ตายจะเดินรอบโลงศพเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนโดยจะต้องร้องเพลงไว้อาลัยแด่ผู้ตาย ไปด้วย 3 วันต่อมาหลังจากที่เตรียมไฟสำหรับเผาศพเรียบร้อยดีแล้ว ก็ทำการเผาศพทั้งโลงบริเวณนอกตัวบ้าน โดยจะนำอัฐิไปเก็บไว้ในสถูป (หน้า 57) |
|
Education and Socialization |
เด็กๆ ส่วนหนึ่งเข้าเรียนในโรงเรียนไทย (หน้า 53) ในบรรดากะเหรี่ยงโปว์ ไม่มีใครเป็นนักดนตรีมืออาชีพ บทเพลงจะถูกถ่ายทอดจากผู้อาวุโสสู่สมาชิกของหมู่บ้าน หรือจากพ่อแม่สู่ลูก |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กะเหรี่ยงมีเครื่องแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ตามแบบพื้นเมือง แต่ในปัจจุบันผู้ชายกะเหรี่ยงมักจะใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงตามปกติ ต่างจากหญิงกะเหรี่ยงซึ่งยังคงแต่งกายตามแบบพื้นเมืองดั้งเดิมอยู่ทั้งเผ่ากะเหรี่ยงโปว์ และกะเหรี่ยงสะกอ ในรายละเอียดแล้วเครื่องแต่งกายของหญิงทั้งสองเผ่านี้จะแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปหญิงที่แต่งงานแล้วจะใส่เสื้อผ้าแยกชิ้นท่อนบนและท่อนล่าง ส่วนหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานจะใส่ชุดยาวติดกัน (หน้า 51) สำหรับกะเหรี่ยงโปว์แล้ว เพลงถือเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดบทกลอน ดังนั้น ในเพลงหนึ่งๆ เนื้อร้องจะมีความสำคัญมากกว่าทำนอง โดยมักจะแต่งเนื้อร้องขึ้นสดๆ แล้วนำไปใส่ในทำนองที่มีอยู่แล้วแต่เดิม โดยจะไม่มีการแต่งทำนองขึ้นใหม่ แต่อาจมีการดัดแปลงทำนองบ้างเพื่อความกลมกลืนกับเนื้อร้อง (หน้า 53) นอกจากจะใช้ขับร้องเพื่อความรื่นเริงแล้ว เพลงยังมีบทบาทในพิธีกรรมหรือเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีแต่งงานและพิธีศพ นอกจากนี้ยังใช้ขับร้องให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่ต้องใช้แรงงานต่างๆ เช่น ร้องระหว่างทอผ้า ระหว่างเดินทางไปทำนา ใช้ร้องเพื่อบอกรัก และในบางครั้งผู้สูงอายุยังใช้ขับร้องเพื่อบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้เด็กๆ ฟังอีกด้วย (หน้า 53-67) ในส่วนของเครื่องดนตรีของกะเหรี่ยงโปว์ จะมีขลุ่ยซึ่งทำจากหนังควาย (Kui) กลอง (Dong) ฆ้อง (Mong) ฉาบ (Cymbal) และซอสามสาย (Tha) ขลุ่ยนั้นเป็นเครื่องดนตรีดั้งเดิมของกะเหรี่ยง แต่เครื่องดนตรีชนิดอื่นๆนั้นมีต้นกำเนิดในประเทศไทย เป็นที่สังเกตว่า กลองกะเหรี่ยง พิณ (T?nak) ระนาด (Xylophone) ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่กะเหรี่ยงใช้อยู่ทั่วไปนั้นไม่มีที่หมู่บ้านแห่งนี้ (หน้า 53) จากการวิเคราะห์บทเพลงทั้งหมด 10 บทเพลง ที่เก็บตัวอย่างเพลงจากผู้ให้ข้อมูลชื่อ นาง รา ลากาวี (Ra Lakavi) ซึ่งเป็นหญิงกลางคนกะเหรี่ยงโปว์ที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านห้วยหละ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน พอจะสรุปลักษณะเด่นๆได้ดังต่อไปนี้ 1) โครงสร้างของเพลงส่วนใหญ่ แต่ละท่อนจะมีโครงสร้างแบบ a+b ซึ่งส่วนใหญ่ตอนจบของท่อนย่อย a มักจะจบด้วยเสียงหยุดครึ่งเสียง ส่วนตอนจบของท่อนย่อย b มักจะหยุดเต็มเสียง 2) เป็นเพลงที่มีจังหวะเป็นอิสระไม่แน่นอนตายตัว (Free Rhythm) ไม่มีการเน้นน้ำหนักเสียง (accent) 3) ความเร็วในการเล่น (Tempo) จะค่อนข้างหลวมๆ สบายๆ 4) ส่วนใหญ่เพลงจะประกอบด้วย 3 หรือ 4 ตัวโน้ต 5) ท่อนจบ (Finalis) ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงโอเวอร์โทน 6) เพลงส่วนใหญ่จะมีช่วงเสียง (Range) แคบ และจะไม่มีเสียงใดที่เกิน Octave เลย 7) ในบางกรณีอาจมีการขึ้นเสียงกระโดดเป็นสียงยาว 6 ช่วงบ้าง 8) มีการแต่งสด (Improvise) บ้าง ในส่วนของเนื้อร้องแต่ไม่มีการแต่งสดในส่วนของทำนอง อาจมีแค่การดัดแปลงโน้ตบางตัวให้กลมกลืนกับเนื้อร้องเท่านั้น 9) หลายเพลงเป็นเพลงที่ใช้ร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง ส่วนใหญ่ฝ่ายหญิงมักเป็นฝ่ายเริ่มต้นร้องก่อน มีบ้างที่แยกเป็นเพลงสำหรับชายหรือหญิงร้องโดยเฉพาะ 10) วิธีการร้องมักไม่อ้าปาก แต่จะใช้เสียงในลำคอโดยร้องให้ขึ้นจมูกเล็กน้อย (หน้า 67-70) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เมื่อศาสนาพุทธค่อยๆแทรกซึมเข้ามา กะเหรี่ยงโปว์ก็ได้สร้างบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับศาสนา อันมีลักษณะเฉพาะแบบพื้นเมืองของตนอีกด้วย ... ในปัจจุบันวิทยุได้เข้ามาสู่หมู่บ้านนี้ ทำให้เด็กๆ และหนุ่มสาวกะเหรี่ยงรู้จักเพลงพื้นบ้านและเพลงป๊อปของไทยด้วย (หน้า 53) |
|
Map/Illustration |
1) รูปถ่ายกะเหรี่ยงโปว์ ที่หมู่บ้านห้วยหละ, หน้า 52 2) ทัศนียภาพของหมู่บ้านห้วยหละ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน, หน้า 52 3) รูปถ่ายนาง รา ลากาวี ที่หมู่บ้านห้วยหละ, หน้า 52 (ทั้ง 3 รูป ถ่ายโดย รุริโกะ อุจิดะ ในปี 1975) 4) หญิงกะเหรี่ยงโปว์ในชุดเครื่องแต่งกายเต็มยศ ที่หมู่บ้านห้วยหละ, หน้า 65 (ปี 1975 ถ่ายโดย รุริโกะ อุจิดะ) 5) รูปชุดเครื่องแต่งกายเต็มยศของชายกะเหรี่ยงโปว์ ถ่ายในวันสงกรานต์ ที่วัดแห่งหนึ่งใกล้ๆ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน, หน้า 65 (ปี 1976 ถ่ายโดย รุริโกะ อุจิดะ) |
|
|