สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,มูเซอแดง,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงราย
Author พิทยา พิณสาร
Title รูปแบบการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชุมชนชาวเขา
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 109 Year 2543
Source หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ผู้วิจัยศึกษารูปแบบการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชุมชนชาวเขา 3 ด้าน คือ การแต่งกายมีการเปลี่ยนแปลงแต่งกายแบบคนพื้นราบเนื่องจากการผสานของวัฒนธรรมภายนอก การสร้างบ้านเรือนเป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอกโดยใช้วัสดุแตกต่างไปจากเดิมโดยคนมีฐานะดีจะมีแนวโน้มปลูกบ้านแบบคนพื้นราบ และการบริโภคมีลักษณะผสมผสานจากอาหารจากภายนอก เนื่องจากประชากรในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นและมีการติดต่อกับภายนอกมากขึ้น

Focus

รูปแบบการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม อันได้แก่ การแต่งกาย การสร้างบ้านเรือน และการบริโภคและปัจจัย ของชาวเขาเผ่ามูเซอแดง หมู่บ้านพญากอง ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย (วิธีวิจัย หน้า24)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้วิจัยเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษาว่า ชาวเขาเผ่ามูเซอแดง (24) ชื่อมูเซอแดงมาจากแถบผ้าแดงบนชุดแต่งกายของผู้หญิง (หน้า46)

Language and Linguistic Affiliations

ชาวบ้านใช้ทั้งภาษามูเซอประจำเผ่าและภาษาไทย (คำเมือง) โดยเด็กที่เข้าโรงเรียนแล้วจะสามารถพูดได้ทั้ง 2 ภาษา (หน้า26)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

จากคำให้สัมภาษณ์ของผู้นำทางศาสนาและผู้อาวุโสในหมู่บ้าน กล่าวว่า แต่เดิมชาวบ้านอาศัยอยู่ที่ป่าแป๋ เขตตำบลท่าก้อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ต่อมาเนื่องจากที่ดินทำกินขาดความอุดมสมบูรณ์และนโยบายของรัฐที่ต้องการรวมชาวเขาให้อยู่เป็นหลักแหล่ง ชาวบ้านบางส่วนภายใต้การนำของนายพญากองดี จะก่าจอง ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในที่ตั้งหมู่บ้านปัจจุบันโดยตั้งชื่อหมู่บ้านเป็นทางการตามผู้นำคนแรกในปี พ.ศ. 2485 (หน้า41)

Settlement Pattern

การสร้างบ้านเรือนจะสร้างใกล้ๆ กันในไร่นาของตนเองไปตามไหล่เขา (หน้า31) ในพื้นที่ ๆ มีความอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำใกล้ป่า ไม่นิยมสร้างรั้วบ้าน ระยะหลังจะสร้างอยู่รวมกันมากขึ้นอาจมีการย้ายถิ่นฐานบ้างเพื่อเปลี่ยนที่ทำกินหรือเกิดโรคระบาด และอาจวนกลับมาอยู่ที่เดิม วัสดุที่ใช้ในอดีตจะเป็นวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ ไม้เนื้อแข็งทำฟากและเสาบ้าน หลังคามุงด้วยหญ้าคา มุงเป็นฟ่อนแน่นเพื่อให้ใช้งานได้นาน บ้านจะยกใต้ถุนสูงจัดเป็นที่เก็บฟืนและเลี้ยงสัตว์ มีประตู 1 บานทำจากไม้แผ่น หรือไม้ไผ่ ตัวบ้านแบ่งเป็น 2 ตอนคือ 1. ตอนหน้าเป็นชานบ้านนอกชายคามีบันไดพาดขึ้นสู่ตัวบ้าน ใช้เป็นที่ล้างถ้วยชามและเก็บน้ำดื่ม 2.ตอนหลังเป็นห้องกว้างประมาณ 3-4 เมตรไม่มีหน้าต่างมีเตาไฟกลางห้องใช้ประกอบอาการและเป็นที่นอนของคนในบ้าน บางบ้านจะมีการกั้นห้องนอนเล็กๆไว้ 1 ห้อง หรือมากกว่าแล้วแต่ฐานะของเจ้าของบ้าน แต่เดิมจะสร้างโดยการช่วยเหลือของคนในหมู่บ้านให้เสร็จภายใน 1 วันโดยเจ้าของบ้านจะเตรียมอาหารเลี้ยงเพื่อนบ้านรวมทั้งน้ำดื่มและน้ำชา (รูปที่14 หน้า 73, รูปที่15 หน้า 74) ปัจจุบันการสร้างบ้านเรือนเปลี่ยนไปเล็กน้อยโดยมีการสร้างรั้วบ้านในบางบ้าน และใช้วิธีมุงหญ้าคาแบบ "ไพคา" โดยตัดหญ้าคาตั้งแต่โคนต้นมาตากแดดสานมัดเข้ากับไม่ไผ่ที่เหลาเป็นแท่งยาวประมาณ 1.5 เมตร กว้าง 0.5 เมตร หรือซื้อสำเร็จรูปที่หมู่บ้านคนพื้นราบ ทำให้ประหยัดการใช้หญ้าคามากกว่าแต่ความคงทนน้อยกว่า ส่วนฝาบ้านจะทำด้วยฟากหรือไม้แผ่น ชาวบ้านที่มีฐานะจะมุงหลังคาด้วยสังกะสีหรือกระเบื้องและมีแนวโน้มที่ชาวบ้านจะสร้างบ้านแบบคนพื้นราบมากขึ้น (รูปที่16 หน้า78, รูปที่17 หน้า79,รูปที่18 หน้า80) (หน้า70-72,75-77)

Demography

ในช่วงเวลาที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูล หมู่บ้านพญากองมี 52 หลังคาเรือน 60 ครอบครัว มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 311 คน เป็นชาย 150 คน และเป็นหญิง 161 คน (หน้า31)

Economy

อาชีพ - คนในชุมชนจะประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีพืชหลักคือข้าวไร่ ปลูกปีละ 1 ครั้งเริ่มเดือนพฤษภาคม เก็บเกี่ยวในเดือนกันยายน - พฤศจิกายน ส่วนใหญ่ของผลผลิตจะใช้เพื่อการบริโภค ถ้าปีใดได้ผลผลิตน้อยจะต้องซื้อข้าวคุณภาพต่ำราคาถูกจากตลาดบ้านห้วยส้มมาบริโภค พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ขิง ซึ่งเข้ามาในหมู่บ้านประมาณ 7-8 ปีโดยพ่อค้าคนเมืองแนะนำให้ปลูก นอกจากนี้ยังพบพืชอื่นๆ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่ว งา พริก ผักกาด ซึ่งปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก สัตว์เลี้ยงที่สำคัญซึ่งเลี้ยงตามธรรมชาติเพื่อจุดประสงค์ในการใช้ประกอบพิธีกรรมและการบริโภคคือ หมู เป็ด ไก่ และสัตว์ที่เลี้ยงใช้แรงงานคือม้า นอกจากนี้ บางส่วนของชาวบ้านจะออกหารายได้เสริมด้วยการออกไปรับจ้างภายนอกแบบไป-กลับในตำบลศรีถ้อย ซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก การบริโภค - จะใช้ข้าวไร่ที่ผลิตเองนำมาตำเป็นข้าวซ้อมมือโดยครกกระเดื่องในหมู่บ้าน หรือนำไปสีที่โรงสีของคนพื้นราบซึ่งจะต้องเสียแกลบและค่าใช้จ่าย ปัจจุบันมีการซื้อข้าวจากคนพื้นราบมากขึ้น การบริโภคอาหารแบบง่ายๆ มีกับข้าว 1 หรือ 2 ชนิดเท่านั้นเน้นพริกและเกลือปรุงรสเผ็ดและเค็มเช่นพริกตำใส่เกลือกินกับผักแกล้ม หรือผักต้มใส่เกลือใส่พริกร่วมกับเนื้อสัตว์ แหล่งอาหารที่สำคัญแต่เดิมคือการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์และการหาของป่า ปัจจุบันหลากหลายมากขึ้นด้วยการซื้ออาหารหลายชนิดมารับประทานโดยออกไปซื้อที่ชุมชนพื้นราบ หรือร้านขายของชำในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าเร่ขายกับข้าวในหมู่บ้านด้วย (รูปที่20 หน้า 89, รูปที่ 21 หน้า 90) (หน้า43-44,83-88)

Social Organization

ลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวขยายขนาดใหญ่เนื่องจากนิยมมีลูกมากเพื่อเป็นแรงงานและเมื่อฝ่ายชายแต่งงานแล้วจะไปอยู่กับครอบครัวภรรยาเพื่อช่วยงานไร่ โดยปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ บ้านพ่อแม่ (หน้า 42)

Political Organization

หมู่บ้านพญากองเป็นชุมชนที่มีการปกครองตัวเอง โดยผู้นำชุมชนจะได้รับการยอมรับนับถือจากชาวบ้าน โดยผู้นำหมู่บ้านคือ พ่อหลวงและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งตั้งแต่เริ่มตั้งหมู่บ้านจนถึงปัจจุบันมีผู้นำหมู่บ้าน (พ่อหลวง) 4 คน จะทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับราชการ และร่วมประชุมที่อำเภอแม่สรวยเดือนละ 1 ครั้ง (หน้า 41-42)

Belief System

ศาสนา - นับถือเทพเจ้ามูเซอ โดยมีสถานที่สำหรับพิธีกรรมต่างๆ เช่น การบวงสรวง การเต้น "จะคึ" ตั้งอยู่กลางหมู่บ้านซึ่งปลูกสร้างเป็นเรือนหลังเล็กมุงหญ้าคาผนังฟาง มีแท่นวางสิ่งของต่างๆ ซึ่งเรียกว่า "วัด" ซึ่งมี "ปู่จอง" เป็นผู้ดูแลสถานที่และประกอบพิธีต่าง ๆ ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวัน "ศีล" ซึ่งเป็นวันพระของศาสนาพุทธเดือนละ 2 ครั้ง (หน้า37) พิธีกรรม - วันขึ้นปีใหม่ เรียกว่าพีธีกินวอ จัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนถึงวันขึ้นปีใหม่ ชาวบ้านจะนำเครื่องเงินออกมาทำความสะอาดทั้งหมู่บ้านซึ่งจะถูกกำหนดเป็นวันทำความสะอาดเครื่องเงินโดยเฉพาะ มีกฎข้อห้ามคือ ประตูบ้านจะถูกปิด ไม่ให้มีการเข้าออกเพื่อป้องกันทรัพย์สินสูญหาย (หน้า 47,59)

Education and Socialization

โรงเรียนดอยเวียงผา บ้านพญากอง สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา ซึ่งอยู่ห่างออกไป 1 กิโลเมตร ซึ่งมีการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีครูทั้งหมด 9 คน ต่อจำนวนนักเรียน 148 คน แบ่งเป็นนักเรียนประจำ 52 คน มาจากหมู่บ้านพญากองเองและจากหมู่บ้านอื่นๆ และมีโรงเรียนสาขาคือ โรงเรียนแม่ยางมิ้น มีครู 2 คนต่อนักเรียน 47 คน (ชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในอดีต ชุดแต่งกายประจำเผ่าจะตัดเย็บโดยแม่บ้านในเวลาว่างจากการทำงานอื่นในช่วงเย็น ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้คือผ้า เข็ม ด้าย ปกติทั่วไปจะมีชุดคนละ 2-3 ชุดโดยชุดใหม่จะใส่ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ โดยนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำเนื่องจากเปื้อนยากไม่ต้องทำความสะอาดบ่อย ชุดแต่งกายดั้งเดิมของชายมูเซอจะสวมเสื้อยาวแค่เอว คอกลมสีดำแขนยาวถึงข้อมือ ผ่าหน้าตลอดชายด้านข้างและหลังผ่าขึ้นเล็กน้อยพร้อมกุ๊นรอยผ่าไว้ด้วยไหมเป็นลวดลายสลับสีต่างกัน สาบหน้าเดินเส้นเป็นลวดลายสลับสีตั้งแต่รอบคอลงมา ตัวเสื้อซับในด้วยผ้าสีฟ้า สีเขียว จะตกแต่งเสื้อด้วยกระดุมโลหะเงินกลมๆ ที่แผ่นเสื้อข้างหน้า-หลังตามฐานะของแต่ละคน ส่วนกางเกงจะใส่แบบกางเกงขาก๊วยสีดำขลิบแถบผ้าแดงหรือลวดลายต่างๆ ที่นิยมคือลายสามเหลี่ยมติด ๆ กัน ทรงผมนิยมตัดสั้น ชุดแต่งกายดั้งเดิมของหญิงมูเซอจะสวมเสื้อคอกลมยาวแค่เอว แขนยาวทรงกระบอก ต้นแขน-ปลายแขน สาบเสื้อด้านหน้าและกลางหลัง ชายเสื้อรอบตัวจะเย็บด้วยผ้าแถบสีแดงที่มีลวดลายต่างๆ ด้วยผ้าหลายสีประดับด้วยเหรียญเงินขนาดใหญ่ เย็บทาบติดเป็นกระดุมเสื้อเรียงลงมา และเย็บเหรียญรูปีเจาะติดไว้ด้านหลัง ส่วนผ้านุ่งจะสวมซิ่นดำยาวถึงข้อเท้ามีแถบผ้าสีแดงเย็บทาบติดเอาไว้ทั้งด้านบนและล่างพร้อมลวดลายต่าง ๆ ตรงช่วงเอวจะมีลายสีต่าง ๆ เน้นสีแดงเป็นที่มาของชื่อ "มูเซอแดง" กว้าง 1 คืบ คาดทับด้วยเข็มขัดเงิน ทรงผมนิยมไว้ผมยาวเกล้าจุกหรือมวยไว้กลางศรีษะโพกผ้าสีดำหรือขาวปล่อยชายไว้ข้างหลัง เครื่องประดับจะนิยมเครื่องเงิน เพราะเป็นสิ่งบ่งบอกฐานะ แต่ในปัจจุบันเครื่องเงินได้นำออกมาขายจนเหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้น และคนในชุมชนนิยมแต่งกายแบบคนพื้นราบหรือใส่แบบครึ่งท่อนเพื่อให้เกิดความมั่นใจและนิยมใส่ชุดประจำเผ่าในวันงานสำคัญของหมู่บ้านโดยจะมีคนละ 1 ชุดเนื่องจากต้องซื้อหาและมีราคาแพง ทรงผมของผู้หญิงจะไม่มีการโพกผ้าอีก (หน้า 44-55) (รูปที่4 หน้า48,รูปที่ 5 หน้า49,รูปที่6 หน้า53,รูปที่7 หน้า54,รูปที่ 8 หน้า57,รูปที่9 หน้า58,รูปที่10 หน้า61,รูปที่11 หน้า62 ,รูปที่12 หน้า66,รูปที่13 หน้า 67)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์กับชนชาติอื่น - คนในชุมชนรับวัฒนธรรมของคนพื้นราบเข้ามาเพื่อสนองต่อความต้องการของตนเอง เช่น การแต่งกาย การสร้างบ้านเรือน การบริโภคและเกิดความละอายในวัฒนธรรมของตนเองเช่นผู้อาวุโสให้สัมภาษณ์แสดงถึงความรู้สึกน้อยใจว่า "คนเมืองบ่ได้ผ่อหมู่เฮาเป็นคนหรอก คนเมืองจะเรียกหมู่เฮาว่าแมง" และคนในชุมชนจะภูมิใจถ้าได้แต่งงานกับคนพื้นราบ (หน้า 92-93)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมครอบคลุม 3 มิติ คือ 1. วัฒนธรรมการแต่งกาย มีการเปลี่ยนแปลงคือ ชุดประจำเผ่าจะตัดเย็บด้วยวิธีสมัยใหม่ ประดับลวดลายมากขึ้นโดยจะนิยมใส่ในงานกินวอและงานที่ทางราชการจัด มีการประยุกต์แต่งแบบผสมผสานกับเสื้อผ้าคนพื้นราบ หรือแต่งกายแบบคนพื้นราบเต็มรูปแบบในชีวิตประจำวัน เนื่องจาก ค่านิยมของคนในสังคมที่ยอมรับการแต่งกายของคนพื้นราบเพื่อตอบสนองความต้องการ สร้างความมั่นใจ เพื่อความทันสมัยและความเจริญ โดยมีการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้นทำให้สามารถการติดต่อกับหมู่บ้านพื้นราบเพื่อค้าขาย ทำงาน เรียนหนังสือ ทำให้คนในชุมชนรับการแต่งกายแบบพื้นราบ ประกอบกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปมีอุณหภูมิสูงขึ้นการแต่งกายแบบพื้นราบจะสวมใส่สบายมากกว่า 2. วัฒนธรรมการสร้างบ้านเรือน จะมี 3 ลักษณะคือ การปลูกสร้างแบบเดิมแต่การมุงหลังคาเปลี่ยนไปจากเดิมคือผนังทำด้วยฟาก หลังคามุงแบบไพคา 38 หลังคาเรือน การสร้างแบบเดิมแต่ผนังเป็นไม้แผ่น มุงด้วยไพคา 10 หลังคาเรือน และปลูกแบบคนพื้นราบ ฝาเรือนทำด้วยไม้แผ่น มุงหลังคาด้วยกระเบื้องและสังกะสี 4 หลังคาเรือน โดยเป็นบ้านที่มีฐานะดี และมีแนวโน้มที่จะปลูกแบบคนพื้นราบมากขึ้น เนื่องจากการติดต่อสื่อสารกับคนภายนอกมากขึ้นและเห็นว่าการปลูกสร้างด้วยไม้แสดงถึงความมีฐานะ วัฒนธรรมการบริโภค จะบริโภคข้าวจากการเพาะปลูก มีกับข้าว 1-2 ชนิด นิยมรสเผ็ดและเค็มจากพริกและเกลือ เดิมอาหารจะมาจากการผลิตเอง เช่น การเลี้ยงสัตว์ การปลูกผักและการหาของป่า ต่อมามีความหลากหลายมากขึ้นโดยมีร้านขายของชำในหมู่บ้าน การออกไปซื้อที่หมู่บ้านพื้นราบ และพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายอาหารสำเร็จ มีการเพิ่มเครื่องปรุงรส เช่น กะปิ ผงชูรส น้ำปลา เนื่องจากประชากรที่เพิ่มมากขึ้นแต่มีพื้นที่ทำกินจำนวนจำกัดและมีการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจ ไม่สามารถผลิตอาหารหรือหาอาหารธรรมชาติได้พอเพียง ประกอบกับมีการติดต่อกับคนพื้นราบสะดวกมากขึ้นจึงรับการบริโภคแบบพื้นราบเข้ามา (หน้า98-102)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่จังหวัดเชียงราย (หน้า 34) แผนที่อำเภอแม่สรวย (หน้า 35) แผนที่หมู่บ้านพญากอง(หน้า36) รูปภาพหมู่บ้านและสถานที่สำคัญ (หน้า 38-40,90) ภาพการแต่งกาย (หน้า 48,49,53,54,57,58,61,62,66,67) ภาพบ้านเรือน (หน้า 74,75,78,79,85,89)

Text Analyst ปิยวรรณ สามเพชรเจริญ Date of Report 29 มิ.ย 2560
TAG ลาหู่, มูเซอแดง, วัฒนธรรม, การเปลี่ยนแปลง, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง