|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่,มูเซอแดง,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงราย |
Author |
พิทยา พิณสาร |
Title |
รูปแบบการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชุมชนชาวเขา |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
109 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ผู้วิจัยศึกษารูปแบบการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชุมชนชาวเขา 3 ด้าน คือ การแต่งกายมีการเปลี่ยนแปลงแต่งกายแบบคนพื้นราบเนื่องจากการผสานของวัฒนธรรมภายนอก การสร้างบ้านเรือนเป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอกโดยใช้วัสดุแตกต่างไปจากเดิมโดยคนมีฐานะดีจะมีแนวโน้มปลูกบ้านแบบคนพื้นราบ และการบริโภคมีลักษณะผสมผสานจากอาหารจากภายนอก เนื่องจากประชากรในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นและมีการติดต่อกับภายนอกมากขึ้น |
|
Focus |
รูปแบบการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม อันได้แก่ การแต่งกาย การสร้างบ้านเรือน และการบริโภคและปัจจัย ของชาวเขาเผ่ามูเซอแดง หมู่บ้านพญากอง ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย (วิธีวิจัย หน้า24) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้วิจัยเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษาว่า ชาวเขาเผ่ามูเซอแดง (24) ชื่อมูเซอแดงมาจากแถบผ้าแดงบนชุดแต่งกายของผู้หญิง (หน้า46) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวบ้านใช้ทั้งภาษามูเซอประจำเผ่าและภาษาไทย (คำเมือง) โดยเด็กที่เข้าโรงเรียนแล้วจะสามารถพูดได้ทั้ง 2 ภาษา (หน้า26) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
จากคำให้สัมภาษณ์ของผู้นำทางศาสนาและผู้อาวุโสในหมู่บ้าน กล่าวว่า แต่เดิมชาวบ้านอาศัยอยู่ที่ป่าแป๋ เขตตำบลท่าก้อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ต่อมาเนื่องจากที่ดินทำกินขาดความอุดมสมบูรณ์และนโยบายของรัฐที่ต้องการรวมชาวเขาให้อยู่เป็นหลักแหล่ง ชาวบ้านบางส่วนภายใต้การนำของนายพญากองดี จะก่าจอง ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในที่ตั้งหมู่บ้านปัจจุบันโดยตั้งชื่อหมู่บ้านเป็นทางการตามผู้นำคนแรกในปี พ.ศ. 2485 (หน้า41) |
|
Settlement Pattern |
การสร้างบ้านเรือนจะสร้างใกล้ๆ กันในไร่นาของตนเองไปตามไหล่เขา (หน้า31) ในพื้นที่ ๆ มีความอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำใกล้ป่า ไม่นิยมสร้างรั้วบ้าน ระยะหลังจะสร้างอยู่รวมกันมากขึ้นอาจมีการย้ายถิ่นฐานบ้างเพื่อเปลี่ยนที่ทำกินหรือเกิดโรคระบาด และอาจวนกลับมาอยู่ที่เดิม วัสดุที่ใช้ในอดีตจะเป็นวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ ไม้เนื้อแข็งทำฟากและเสาบ้าน หลังคามุงด้วยหญ้าคา มุงเป็นฟ่อนแน่นเพื่อให้ใช้งานได้นาน บ้านจะยกใต้ถุนสูงจัดเป็นที่เก็บฟืนและเลี้ยงสัตว์ มีประตู 1 บานทำจากไม้แผ่น หรือไม้ไผ่ ตัวบ้านแบ่งเป็น 2 ตอนคือ 1. ตอนหน้าเป็นชานบ้านนอกชายคามีบันไดพาดขึ้นสู่ตัวบ้าน ใช้เป็นที่ล้างถ้วยชามและเก็บน้ำดื่ม 2.ตอนหลังเป็นห้องกว้างประมาณ 3-4 เมตรไม่มีหน้าต่างมีเตาไฟกลางห้องใช้ประกอบอาการและเป็นที่นอนของคนในบ้าน บางบ้านจะมีการกั้นห้องนอนเล็กๆไว้ 1 ห้อง หรือมากกว่าแล้วแต่ฐานะของเจ้าของบ้าน แต่เดิมจะสร้างโดยการช่วยเหลือของคนในหมู่บ้านให้เสร็จภายใน 1 วันโดยเจ้าของบ้านจะเตรียมอาหารเลี้ยงเพื่อนบ้านรวมทั้งน้ำดื่มและน้ำชา (รูปที่14 หน้า 73, รูปที่15 หน้า 74) ปัจจุบันการสร้างบ้านเรือนเปลี่ยนไปเล็กน้อยโดยมีการสร้างรั้วบ้านในบางบ้าน และใช้วิธีมุงหญ้าคาแบบ "ไพคา" โดยตัดหญ้าคาตั้งแต่โคนต้นมาตากแดดสานมัดเข้ากับไม่ไผ่ที่เหลาเป็นแท่งยาวประมาณ 1.5 เมตร กว้าง 0.5 เมตร หรือซื้อสำเร็จรูปที่หมู่บ้านคนพื้นราบ ทำให้ประหยัดการใช้หญ้าคามากกว่าแต่ความคงทนน้อยกว่า ส่วนฝาบ้านจะทำด้วยฟากหรือไม้แผ่น ชาวบ้านที่มีฐานะจะมุงหลังคาด้วยสังกะสีหรือกระเบื้องและมีแนวโน้มที่ชาวบ้านจะสร้างบ้านแบบคนพื้นราบมากขึ้น (รูปที่16 หน้า78, รูปที่17 หน้า79,รูปที่18 หน้า80) (หน้า70-72,75-77) |
|
Demography |
ในช่วงเวลาที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูล หมู่บ้านพญากองมี 52 หลังคาเรือน 60 ครอบครัว มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 311 คน เป็นชาย 150 คน และเป็นหญิง 161 คน (หน้า31) |
|
Economy |
อาชีพ - คนในชุมชนจะประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีพืชหลักคือข้าวไร่ ปลูกปีละ 1 ครั้งเริ่มเดือนพฤษภาคม เก็บเกี่ยวในเดือนกันยายน - พฤศจิกายน ส่วนใหญ่ของผลผลิตจะใช้เพื่อการบริโภค ถ้าปีใดได้ผลผลิตน้อยจะต้องซื้อข้าวคุณภาพต่ำราคาถูกจากตลาดบ้านห้วยส้มมาบริโภค พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ขิง ซึ่งเข้ามาในหมู่บ้านประมาณ 7-8 ปีโดยพ่อค้าคนเมืองแนะนำให้ปลูก นอกจากนี้ยังพบพืชอื่นๆ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่ว งา พริก ผักกาด ซึ่งปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก สัตว์เลี้ยงที่สำคัญซึ่งเลี้ยงตามธรรมชาติเพื่อจุดประสงค์ในการใช้ประกอบพิธีกรรมและการบริโภคคือ หมู เป็ด ไก่ และสัตว์ที่เลี้ยงใช้แรงงานคือม้า นอกจากนี้ บางส่วนของชาวบ้านจะออกหารายได้เสริมด้วยการออกไปรับจ้างภายนอกแบบไป-กลับในตำบลศรีถ้อย ซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก การบริโภค - จะใช้ข้าวไร่ที่ผลิตเองนำมาตำเป็นข้าวซ้อมมือโดยครกกระเดื่องในหมู่บ้าน หรือนำไปสีที่โรงสีของคนพื้นราบซึ่งจะต้องเสียแกลบและค่าใช้จ่าย ปัจจุบันมีการซื้อข้าวจากคนพื้นราบมากขึ้น การบริโภคอาหารแบบง่ายๆ มีกับข้าว 1 หรือ 2 ชนิดเท่านั้นเน้นพริกและเกลือปรุงรสเผ็ดและเค็มเช่นพริกตำใส่เกลือกินกับผักแกล้ม หรือผักต้มใส่เกลือใส่พริกร่วมกับเนื้อสัตว์ แหล่งอาหารที่สำคัญแต่เดิมคือการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์และการหาของป่า ปัจจุบันหลากหลายมากขึ้นด้วยการซื้ออาหารหลายชนิดมารับประทานโดยออกไปซื้อที่ชุมชนพื้นราบ หรือร้านขายของชำในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าเร่ขายกับข้าวในหมู่บ้านด้วย (รูปที่20 หน้า 89, รูปที่ 21 หน้า 90) (หน้า43-44,83-88) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวขยายขนาดใหญ่เนื่องจากนิยมมีลูกมากเพื่อเป็นแรงงานและเมื่อฝ่ายชายแต่งงานแล้วจะไปอยู่กับครอบครัวภรรยาเพื่อช่วยงานไร่ โดยปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ บ้านพ่อแม่ (หน้า 42) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านพญากองเป็นชุมชนที่มีการปกครองตัวเอง โดยผู้นำชุมชนจะได้รับการยอมรับนับถือจากชาวบ้าน โดยผู้นำหมู่บ้านคือ พ่อหลวงและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งตั้งแต่เริ่มตั้งหมู่บ้านจนถึงปัจจุบันมีผู้นำหมู่บ้าน (พ่อหลวง) 4 คน จะทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับราชการ และร่วมประชุมที่อำเภอแม่สรวยเดือนละ 1 ครั้ง (หน้า 41-42) |
|
Belief System |
ศาสนา - นับถือเทพเจ้ามูเซอ โดยมีสถานที่สำหรับพิธีกรรมต่างๆ เช่น การบวงสรวง การเต้น "จะคึ" ตั้งอยู่กลางหมู่บ้านซึ่งปลูกสร้างเป็นเรือนหลังเล็กมุงหญ้าคาผนังฟาง มีแท่นวางสิ่งของต่างๆ ซึ่งเรียกว่า "วัด" ซึ่งมี "ปู่จอง" เป็นผู้ดูแลสถานที่และประกอบพิธีต่าง ๆ ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวัน "ศีล" ซึ่งเป็นวันพระของศาสนาพุทธเดือนละ 2 ครั้ง (หน้า37) พิธีกรรม - วันขึ้นปีใหม่ เรียกว่าพีธีกินวอ จัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนถึงวันขึ้นปีใหม่ ชาวบ้านจะนำเครื่องเงินออกมาทำความสะอาดทั้งหมู่บ้านซึ่งจะถูกกำหนดเป็นวันทำความสะอาดเครื่องเงินโดยเฉพาะ มีกฎข้อห้ามคือ ประตูบ้านจะถูกปิด ไม่ให้มีการเข้าออกเพื่อป้องกันทรัพย์สินสูญหาย (หน้า 47,59) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนดอยเวียงผา บ้านพญากอง สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา ซึ่งอยู่ห่างออกไป 1 กิโลเมตร ซึ่งมีการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีครูทั้งหมด 9 คน ต่อจำนวนนักเรียน 148 คน แบ่งเป็นนักเรียนประจำ 52 คน มาจากหมู่บ้านพญากองเองและจากหมู่บ้านอื่นๆ และมีโรงเรียนสาขาคือ โรงเรียนแม่ยางมิ้น มีครู 2 คนต่อนักเรียน 47 คน (ชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในอดีต ชุดแต่งกายประจำเผ่าจะตัดเย็บโดยแม่บ้านในเวลาว่างจากการทำงานอื่นในช่วงเย็น ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้คือผ้า เข็ม ด้าย ปกติทั่วไปจะมีชุดคนละ 2-3 ชุดโดยชุดใหม่จะใส่ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ โดยนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำเนื่องจากเปื้อนยากไม่ต้องทำความสะอาดบ่อย ชุดแต่งกายดั้งเดิมของชายมูเซอจะสวมเสื้อยาวแค่เอว คอกลมสีดำแขนยาวถึงข้อมือ ผ่าหน้าตลอดชายด้านข้างและหลังผ่าขึ้นเล็กน้อยพร้อมกุ๊นรอยผ่าไว้ด้วยไหมเป็นลวดลายสลับสีต่างกัน สาบหน้าเดินเส้นเป็นลวดลายสลับสีตั้งแต่รอบคอลงมา ตัวเสื้อซับในด้วยผ้าสีฟ้า สีเขียว จะตกแต่งเสื้อด้วยกระดุมโลหะเงินกลมๆ ที่แผ่นเสื้อข้างหน้า-หลังตามฐานะของแต่ละคน ส่วนกางเกงจะใส่แบบกางเกงขาก๊วยสีดำขลิบแถบผ้าแดงหรือลวดลายต่างๆ ที่นิยมคือลายสามเหลี่ยมติด ๆ กัน ทรงผมนิยมตัดสั้น ชุดแต่งกายดั้งเดิมของหญิงมูเซอจะสวมเสื้อคอกลมยาวแค่เอว แขนยาวทรงกระบอก ต้นแขน-ปลายแขน สาบเสื้อด้านหน้าและกลางหลัง ชายเสื้อรอบตัวจะเย็บด้วยผ้าแถบสีแดงที่มีลวดลายต่างๆ ด้วยผ้าหลายสีประดับด้วยเหรียญเงินขนาดใหญ่ เย็บทาบติดเป็นกระดุมเสื้อเรียงลงมา และเย็บเหรียญรูปีเจาะติดไว้ด้านหลัง ส่วนผ้านุ่งจะสวมซิ่นดำยาวถึงข้อเท้ามีแถบผ้าสีแดงเย็บทาบติดเอาไว้ทั้งด้านบนและล่างพร้อมลวดลายต่าง ๆ ตรงช่วงเอวจะมีลายสีต่าง ๆ เน้นสีแดงเป็นที่มาของชื่อ "มูเซอแดง" กว้าง 1 คืบ คาดทับด้วยเข็มขัดเงิน ทรงผมนิยมไว้ผมยาวเกล้าจุกหรือมวยไว้กลางศรีษะโพกผ้าสีดำหรือขาวปล่อยชายไว้ข้างหลัง เครื่องประดับจะนิยมเครื่องเงิน เพราะเป็นสิ่งบ่งบอกฐานะ แต่ในปัจจุบันเครื่องเงินได้นำออกมาขายจนเหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้น และคนในชุมชนนิยมแต่งกายแบบคนพื้นราบหรือใส่แบบครึ่งท่อนเพื่อให้เกิดความมั่นใจและนิยมใส่ชุดประจำเผ่าในวันงานสำคัญของหมู่บ้านโดยจะมีคนละ 1 ชุดเนื่องจากต้องซื้อหาและมีราคาแพง ทรงผมของผู้หญิงจะไม่มีการโพกผ้าอีก (หน้า 44-55) (รูปที่4 หน้า48,รูปที่ 5 หน้า49,รูปที่6 หน้า53,รูปที่7 หน้า54,รูปที่ 8 หน้า57,รูปที่9 หน้า58,รูปที่10 หน้า61,รูปที่11 หน้า62 ,รูปที่12 หน้า66,รูปที่13 หน้า 67) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์กับชนชาติอื่น - คนในชุมชนรับวัฒนธรรมของคนพื้นราบเข้ามาเพื่อสนองต่อความต้องการของตนเอง เช่น การแต่งกาย การสร้างบ้านเรือน การบริโภคและเกิดความละอายในวัฒนธรรมของตนเองเช่นผู้อาวุโสให้สัมภาษณ์แสดงถึงความรู้สึกน้อยใจว่า "คนเมืองบ่ได้ผ่อหมู่เฮาเป็นคนหรอก คนเมืองจะเรียกหมู่เฮาว่าแมง" และคนในชุมชนจะภูมิใจถ้าได้แต่งงานกับคนพื้นราบ (หน้า 92-93) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมครอบคลุม 3 มิติ คือ 1. วัฒนธรรมการแต่งกาย มีการเปลี่ยนแปลงคือ ชุดประจำเผ่าจะตัดเย็บด้วยวิธีสมัยใหม่ ประดับลวดลายมากขึ้นโดยจะนิยมใส่ในงานกินวอและงานที่ทางราชการจัด มีการประยุกต์แต่งแบบผสมผสานกับเสื้อผ้าคนพื้นราบ หรือแต่งกายแบบคนพื้นราบเต็มรูปแบบในชีวิตประจำวัน เนื่องจาก ค่านิยมของคนในสังคมที่ยอมรับการแต่งกายของคนพื้นราบเพื่อตอบสนองความต้องการ สร้างความมั่นใจ เพื่อความทันสมัยและความเจริญ โดยมีการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้นทำให้สามารถการติดต่อกับหมู่บ้านพื้นราบเพื่อค้าขาย ทำงาน เรียนหนังสือ ทำให้คนในชุมชนรับการแต่งกายแบบพื้นราบ ประกอบกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปมีอุณหภูมิสูงขึ้นการแต่งกายแบบพื้นราบจะสวมใส่สบายมากกว่า 2. วัฒนธรรมการสร้างบ้านเรือน จะมี 3 ลักษณะคือ การปลูกสร้างแบบเดิมแต่การมุงหลังคาเปลี่ยนไปจากเดิมคือผนังทำด้วยฟาก หลังคามุงแบบไพคา 38 หลังคาเรือน การสร้างแบบเดิมแต่ผนังเป็นไม้แผ่น มุงด้วยไพคา 10 หลังคาเรือน และปลูกแบบคนพื้นราบ ฝาเรือนทำด้วยไม้แผ่น มุงหลังคาด้วยกระเบื้องและสังกะสี 4 หลังคาเรือน โดยเป็นบ้านที่มีฐานะดี และมีแนวโน้มที่จะปลูกแบบคนพื้นราบมากขึ้น เนื่องจากการติดต่อสื่อสารกับคนภายนอกมากขึ้นและเห็นว่าการปลูกสร้างด้วยไม้แสดงถึงความมีฐานะ วัฒนธรรมการบริโภค จะบริโภคข้าวจากการเพาะปลูก มีกับข้าว 1-2 ชนิด นิยมรสเผ็ดและเค็มจากพริกและเกลือ เดิมอาหารจะมาจากการผลิตเอง เช่น การเลี้ยงสัตว์ การปลูกผักและการหาของป่า ต่อมามีความหลากหลายมากขึ้นโดยมีร้านขายของชำในหมู่บ้าน การออกไปซื้อที่หมู่บ้านพื้นราบ และพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายอาหารสำเร็จ มีการเพิ่มเครื่องปรุงรส เช่น กะปิ ผงชูรส น้ำปลา เนื่องจากประชากรที่เพิ่มมากขึ้นแต่มีพื้นที่ทำกินจำนวนจำกัดและมีการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจ ไม่สามารถผลิตอาหารหรือหาอาหารธรรมชาติได้พอเพียง ประกอบกับมีการติดต่อกับคนพื้นราบสะดวกมากขึ้นจึงรับการบริโภคแบบพื้นราบเข้ามา (หน้า98-102) |
|
Map/Illustration |
แผนที่จังหวัดเชียงราย (หน้า 34) แผนที่อำเภอแม่สรวย (หน้า 35) แผนที่หมู่บ้านพญากอง(หน้า36) รูปภาพหมู่บ้านและสถานที่สำคัญ (หน้า 38-40,90) ภาพการแต่งกาย (หน้า 48,49,53,54,57,58,61,62,66,67) ภาพบ้านเรือน (หน้า 74,75,78,79,85,89) |
|
|