|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,นักเรียน,วิทยาลัยครู,การปรับตัวทางสังคม,ยะลา |
Author |
อุบล เสถียรปกิรณกรณ์ |
Title |
การปรับตัวทางสังคมของนักเรียนไทยมุสลิมในวิทยาลัยครูยะลา |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
262 |
Year |
2521 |
Source |
หลักสูตรปริญญาสังคมวิทยามหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ผู้วิจัยได้เน้นศึกษาถึงลักษณะ การปรับตัวของนักเรียนไทยมุสลิมในชั้นประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) และชั้น ประกาศนียบัตรวิชาการชั้นสูง (ป.กศ. สูง) ในวิทยาลัยครูจังหวัดยะลา พบว่าภูมิหลังทางครอบครัว ได้แก่ อาชีพของบิดาและระดับการศึกษาของบิดาและภูมิหลังทางศาสนามีผลต่อการปรับตัวด้านต่าง ๆ ของนักเรียนไทยมุสลิมต่างกัน โดยพิจารณาการปรับตัวในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การปรับตัวในด้านการใช้ภาษาไทย การคบค้าสมาคมกับนักเรียนไทยพุทธ การปรับตัวเมื่ออยู่ท่ามกลางไทยพุทธ การปรับตัวเข้ากับครูอาจารย์และการปรับตัวในเรื่องการรับประทานอาหารร่วมกับนักเรียนไทยพุทธ (หน้า ง.) |
|
Focus |
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เน้นศึกษาเปรียบเทียบลักษณะการปรับตัวทางสังคมของนักเรียนไทยมุสลิมในชั้นประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) และชั้นประกาศนียบัตรวิชาการชั้นสูง (ป.กศ. สูง) ในวิทยาลัยครูจังหวัดยะลา โดยพิจารณานักเรียนที่มีภูมิหลังทางครอบครัว และมีความเคร่งศาสนาที่แตกต่างกัน (หน้า ง.) |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยได้เสนอว่านักเรียนไทยมุสลิมในวิทยาลัยครูในภาพรวมมีความสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมไทยพุทธได้ดีพอสมควร โดยได้พิจารณาจากทัศนคติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย การคบค้าสมาคมกับนักเรียนไทยพุทธ และกับข้าราชการ รวมทั้งความรู้สึกว่าเป็นคนไทย แต่พบว่าความสามารถในการปรับตัวนี้มีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขภูมิหลังของครอบครัว เช่น การศึกษาของบิดา เป็นต้น (หน้า 250-251) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเน้นการศึกษานักเรียนไทยมุสลิมในจังหวัดยะลาเป็นกลุ่มประชากรศึกษา ซึ่งนักเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจาก จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส (หน้า ง.) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
จากการศึกษาพบว่า นักศึกษาไทยมุสลิมส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทยทั้งหมดในการพูดกับเพื่อนในโรงเรียน แต่เมื่อพิจารณาแยก ตามเพศ ปรากฏว่ามีความแตกต่างระหว่างเพศในเรื่องของการใช้ภาษา กล่าวคือ นักศึกษาชายที่ใช้ภาษาไทยพูดกับเพื่อน ในโรงเรียนร้อยละ 33.7 เปรียบเทียบกับนักเรียนหญิงที่ใช้ภาษาไทยพูดกับเพื่อนในโรงเรียนถึงร้อยละ 55 สำหรับการใช้ภาษามลายูและภาษาไทยของนักเรียนไทยมุสลิมพูดกับบิดามารดา ปรากฏว่านักศึกษาไทยมุสลิมส่วนใหญ่ใช้ภาษามลายูพูดกับบิดามารดา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเพศแล้ว นักศึกษาหญิงใช้ภาษามลายูน้อยกว่านักศึกษาชาย คือ ร้อยละ 44.6 ส่วนนักเรียนชายมีถึงร้อยละ 68.0 (หน้า 33-34) |
|
Study Period (Data Collection) |
การศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้รวบรวมข้อมูลด้วยการใช้แบบสอบถาม โดยให้ผู้ตอบรวมกันในหอประชุมวิทยาลัยครูยะลา ตอนพักรับประทานอาหารกลางวัน ในวันที่ 15 กันยายน 2518 เวลา 12.00-13.00 นาฬิกา แต่ไม่ได้ระบุระยะเวลาทั้งหมดในการวิจัย (หน้า 14) |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
จำนวนนักเรียนที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างสำหรับการศึกษาครั้งนี้มีทั้งสิ้น 296 คน ประกอบด้วย นักเรียน ป.กศ. จำนวน 199 คน เป็นนักเรียนชาย 130 คน นักเรียนหญิง 69 คน นักเรียน ป.กศ. สูง 97 คน เป็นนักเรียนชายไทย 48 คน หญิง 49 คน (หน้า 28) |
|
Economy |
นักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมาจากครอบครัวที่มีอาชีพต่าง ๆ ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ เกษตรกรรม และประมง (54.7%) กับกลุ่มพ่อค้า (44.3%) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีสถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมค่อนข้างต่ำ (หน้า 90) |
|
Social Organization |
ผู้ศึกษาไม่ได้อธิบายถึงโครงสร้างทางสังคมของนักเรียนไทยมุสลิมไว้อย่างเด่นชัด แต่ให้ความสำคัญ ในเรื่องของครอบครัวระดับชั้นกลางและชั้นต่ำว่ามีความสามารถในการปรับตัวต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ คือนักเรียนจากครอบครัวชั้นกลาง ได้รับการยอมรับจากเพื่อนในห้องเรียนมากกว่านักเรียนจากครอบครัวชั้นต่ำ ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าปัจจัยทางครอบครัวเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัวทางสังคมของนักเรียนในโรงเรียน (หน้า 88) |
|
Belief System |
ผู้ศึกษาอธิบายว่า นักเรียนไทยมุสลิมมีความสัมพันธ์ต่อความเคร่งครัดทางศาสนามาก จะเห็นได้จาก การปฏิบัติศาสนกิจ การทำละหมาดประจำวัน การถือบวช และการประกอบพิธิฮัจยีห์ที่เมกกะ เหตุที่ผู้วิจัยเลือกเอาการทำละหมาดประจำวัน การถือศีลอด และการไปประกอบพิธีฮัจยีห์ที่เมกกะ เป็นตัววัดความเคร่งศาสนานั้น ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นข้อปฏิบัติที่สามารถสังเกตเห็นได้ เพราะตามหลักโครงสร้างของศาสนาอิสลามแล้ว ประกอบด้วยหลักการใหญ่ 2 ประการ คือ หลักศรัทธา และหลักปฏิบัติ เป็นเครื่องชี้วัดความเคร่งทางศาสนา ซึ่งทำให้นักเรียนเหล่านี้ปรับตัวได้ช้า ส่วนนักเรียนไทยมุสลิมที่มีความเคร่งศาสนาน้อย สามารถปรับตัวในด้านต่าง ๆ ได้ดีกว่านักเรียนที่มีความเคร่งทางศาสนามาก (หน้า 139) ทัศนคติของนักเรียนไทยมุสลิมในการไปร่วมพิธีกรรมของไทยพุทธว่า อาชีพของบิดามีอิทธิพลต่อทัศนคติในการไปร่วมงาน พิธิต่าง ๆ ของไทยพุทธอยู่บ้าง กล่าวคือ นักเรียนไทยมุสลิมที่มาจากครอบครัวซึ่งบิดามีอาชีพเป็นพ่อค้า ข้าราชการมักจะมี โลกทัศน์สมัยใหม่ เพราะอยู่ในเมืองและมีความเข้าใจเหลักศาสนาอย่างถูกต้อง ฉะนั้นจึงมีความเห็นว่า การไปร่วมงานพิธี ต่าง ๆ ของไทยพุทธนั้น ถ้าไม่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะเป็น "ชิร์ก" ก็ถือว่าไม่ผิดหลักศาสนาอิสลาม ฉะนั้นนักเรียนไทยมุสลิมที่มาจากครอบครัวซึ่งบิดามีอาชีพเป็นพ่อค้า ข้าราชการ จึงปรับตัวได้ดีกว่านักเรียนไทยมุสลิมที่มีบิดามีอาชีพเป็นเกษตรกรและประมง ซึ่งมักเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในชนบท มีโลกทรรษน์แบบอนุรักษ์นิยม (หน้า 216) |
|
Education and Socialization |
ผู้ศึกษาได้ศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาของนักเรียนไทยมุสลิมไว้ว่า นักเรียนไทยมุสลิมมีทัศนคติที่ดีต่อการศึกษา มีความตั้งใจที่จะอบรมภาษาไทยกับบุตรในอนาคต ต้องการที่จะให้บุตรประกอบอาชีพข้าราชการ และมีความตั้งใจที่จะตั้งถิ่นฐานในชุมชนที่มีทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม นอกจากนี้ยังพบว่า นักเรียนไทยมุสลิมที่บิดามีการศึกษาสูง เห็นด้วยกับการไปร่วมงานพิธีต่าง ๆ มากกว่านักเรียนที่บิดามีการศึกษาต่ำ นักเรียนไทยมุสลิมส่วนใหญ่ไม่ว่าจะมีภูมิหลังครอบครัวอย่างไร ต่างก็คิดว่าข้าราชการไม่สามารถเข้ากับราษฎรในท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะนักเรียนชายและนักเรียน ป.กศ. สูง นอกจากนั้นพบว่า ทัศนคติในการเลือกคู่ครองนั้น นักเรียนหญิงจะเลือกคู่ครองโดยคำนึงถึงศาสนามากที่สุด และไม่ว่าจะมีภูมิหลังทางครอบครัวอย่างไร ส่วนความสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยนั้นพบว่า นักเรียนไทยมุสลิมส่วนใหญ่ ร้อยละ 94.6 คิดว่าตนเป็นคนไทย (หน้า ฉ.) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
โดยทั่วไปไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเข้าใจว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจต่อประชาชน มีอคติและกีดกันอยู่เสมอมา ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม หรือการศึกษา นอกจากนี้ยังกีดกันมิให้ไทยมุสลิมรับราชการในสี่จังหวัดภาคใต้ (หน้า199) |
|
Social Cultural and Identity Change |
นักเรียนไทยมุสลิมส่วนใหญ่มีเพื่อนไทยพุทธมากขึ้นกว่าเดิม และนักเรียนชายมุสลิมมีเพื่อนไทยพุทธมากกว่านักเรียนหญิงมุสลิม แสดงว่ามีการปรับตัวทางสังคมกับนักเรียนไทยมากขึ้น ในเรื่องการปรับตัวในเรื่องของภาษา พบว่า นักเรียนไทยมุสลิมที่มาจากครอบครัวซึ่งบิดามีการศึกษาสูง จะใช้ภาษาไทยส่วนใหญ่หรือทั้งหมด มีอัตราร้อยละสูงกว่านักเรียนไทยมุสลิมที่มาจากครอบครัว ซึ่งมีการศึกษาต่ำ ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่า ระดับการศึกษาของบิดามีความสัมพันธ์กับการปรับตัวทางสังคมของนักเรียนไทยมุสลิม (หน้า 251-252) |
|
|