|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,ฟ้อนรำ,พิธีกรรมการแสดง,การเปลี่ยนแปลงทางสังคม,นครพนม |
Author |
พิเชฐ สายพันธ์, นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ |
Title |
ผู้ไท |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
132 |
Year |
2541 |
Source |
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ |
Abstract |
ความหมายของการฟ้อนรำได้เปลี่ยนแปลงมาตลอด ขึ้นอยู่กับชีวิตทางสังคมและวิธีคิดของผู้คนในช่วงเวลาต่างๆ การฟ้อนรำผู้ไทที่ปรากฏในปัจจุบัน ได้ผ่านการจัดระเบียบปรุงแต่งและประดิษฐ์มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนต่างฐานะเข้ามาเชื่อมโยงกันในลักษณะที่หลากหลาย เช่น เกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้อนกับครูฝึก เกิดการพึ่งพาอาศัยกันในกลุ่มผู้ฟ้อนรำ เป็นต้น การฟ้อนรำจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนคุณค่าที่สังคมปรารถนาชื่นชม ขณะเดียวกันก็ได้วิพากษ์วิจารณ์และปฏิเสธคุณค่าบางประการ นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องชี้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับความสัมพันธ์ของคนกลุ่มต่างๆ ฉะนั้นการฟ้อนรำในสังคมเรณูนครจึงเป็นการเปิดเผยให้เห็นพลวัตรที่ต่อเนื่อง พร้อมกับการแสดงภาพชีวิตของผู้คนคล้ายกับละครที่เล่าเรื่องราวที่ราบรื่นและขัดแย้งสลับกัน |
|
Focus |
การปรับเปลี่ยนความหมายและความสำคัญของ "การฟ้อนผู้ไท" ที่เกิดขึ้นในสังคมใหม่ กลไกทางวัฒนธรรมของพิธีกรรมในฐานะที่เป็นภูมิปัญญาและระบบความคิดของชุมชนในการจัดระเบียบทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงของพิธีกรรมในฐานะที่เป็นละครทางสังคมของอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม |
|
Theoretical Issues |
การวิเคราะห์พิธีกรรมในฐานะที่เป็นการแสดงทางสังคม (Social Drama) มีลักษณะเป็นการวิเคราะห์เชิงกระบวนการโดยพิจารณาความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทางพิธีกรรม (Ritual Process) และกระบวนการทางสังคม (Social Process) โดยอาศัยแนวคิดพื้นฐานในการวิเคราะห์ของนักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ ชื่อ วิคเตอร์ เทอเนอร์(Victor Turner) (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้ไท เหตุที่ใช้คำว่า "ผู้ไท" เพราะว่า ใช้ตามตรรกะของการแสดงความหมายทางชาติพันธุ์โดยตั้งอยู่บนทฤษฎีการแบ่งกลุ่มตระกูลภาษาตามหลักภาษาศาสตร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกว่า "ไทย" ซึ่งเป็นความหมายทางด้านการเมืองของรัฐชาติ (หน้า 21) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
การแบ่งกลุ่มภาษาตระกูลไท ของ เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์ (2531 : 117) ภาษาไทดั้งเดิม (Proto - Tai) สามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มไท (Thai group) และกลุ่มไต (Tai group) ส่วนการแบ่งภาษาไทกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ของเจมส์ อาร์ เชมเบอเลน สามารถจำแนกภาษาไทกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสิถิล (P group) และกลุ่มธนิต (PH group) ภาษาของกลุ่ม "ผู้ไท" จัดอยู่คนละกลุ่มตระกูลย่อยกับกลุ่ม "ไทดำ ไทแดง" แม้จะอยู่ในภาษาตระกูลเดียวกันก็ตาม (หน้า 19-21) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
"ผู้ไท" เป็นชื่อเรียกของกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยต่างๆ จำนวนมากเช่น ไทดำ ไทแดง ไทขาว ไทแอด ไทวัง ไทกอ ไทซำ เป็นต้น ได้ถูกนำมาเรียกชื่อกลุ่มคนใน 2 ระดับ ระดับแรกเป็นการเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อย่างเป็นทางการของประเทศลาวเพื่อจัดให้กลุ่มชาติพันธุ์ย่อยเหล่านี้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ระดับที่สอง คือคำเรียกชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะ ซึ่งมีลักษณะอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์แตกต่างจากกลุ่มย่อยอื่นๆ กลุ่มย่อยต่างๆ ที่เรียกว่า "ผู้ไท" มีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณชายแดนตอนเหนือระหว่างประเทศลาวและเวียดนาม มีการอพยพเข้ามาในประเทศไทยหลายระลอก ด้วยเหตุผลด้านการเมือง สงคราม การหาแหล่งทำกินใหม่ ทำให้มิอาจระบุได้ว่ากลุ่มผู้ไทในประเทศไทยนั้นเป็นกลุ่มย่อยใดบ้าง เมื่อเข้ามาในรัฐไทยแล้วคนกลุ่มนี้จะถูกเรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ผู้ไทย" ซึ่งเป็นการแฝงความหมายทางการเมืองในฐานะที่เป็นประชากรของประเทศไทย ผู้ไทที่บ้านดงหวาย ซึ่งต่อมาเรียกว่าเมืองเรณูนครในปี พ.ศ.2387 เริ่มต้นด้วยประวัติการปกครองของเจ้าเมืองที่มีเชื้อสายจากผู้ไทเมืองวัง ที่กล่าวในพงศาวดารมีนามว่า "ท้าวเพชรและท้าวสาย" เมื่ออพยพจากเมืองวังข้ามแม่น้ำโขง พื้นที่แรกที่ตั้งถิ่นฐานคือบริเวณหนองหาน สกลนคร จนกระทั่งเกิดโรคภัยไข้เจ็บเพราะ ไม่เคยชินกับการอยู่พื้นที่ราบจึงได้อพยพย้ายกลับ แต่ท้าวเพชรได้พบกับพระภิกษุทาแห่งวัดธาตุพนมและได้คำแนะนำว่าอย่าย้ายกลับ ท้าวเพชรจึงนำผู้ไทไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ ดงหวายสายบ่อแกหรือเมืองเรณูนครในปัจจุบัน (หน้า 18, 25-26) |
|
Demography |
ปี พ.ศ. 2443 กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาที่เรณูนครมีพลเมืองมากถึง 11,986 คนและจากบันทึกของการตรวจราชการของพระยาสุนทรราชกิจจา เมื่อปี พ.ศ. 2446 ผู้ไทยที่เรณูนครมีพลเมือง 9,311 คน (หน้า 26) |
|
Economy |
ระยะแรกที่อยู่บริเวณหนองหาน สกลนครยังชีพด้วยการทำไร่นาหลังจากมาอยู่ที่เรณูนคร ก็ยังชีพด้วยการทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์และการค้าขายโดยเฉพาะโคกระบือและการค้าผ้า(หน้า 25-26) |
|
Social Organization |
สังคมผู้ไทในเมืองเรณูนครมีการแบ่งกันทำงานระหว่างชายหญิง นอกจากนั้น ในอดีตเป็นสังคมที่ประกอบด้วย 2 ชนชั้นใหญ่ คือชาวบ้านและผู้ปกครอง วัดและผู้ปกครองเป็นสิ่งที่แยกจากกันมิได้ เป็นผลทำให้เห็นภาพสังคมเรณูนครในด้านที่พยายามสร้างความชอบธรรมเพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากรัฐไทยที่มีอำนาจเหนือกว่า และขณะเดียวกันก็เพื่อที่จะเป็นผู้ปกครองหรือเจ้าเมืองที่มีศีลธรรมโดยใช้พุทธศาสนารองรับ ส่วนประวัติศาสตร์ของชาวบ้าน เป็นสิ่งที่ถูกบอกเล่าผ่านวาทกรรมเรื่อง ปู่ถลาหรือผีบรรพบุรุษตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวกับผีปู่ย่า ตายาย สังคมเรณูนครจึงเป็นสังคมที่มี 2 ด้านในเวลาเดียวกันคือ สังคมผู้ปกครองพยายามจัดระเบียบสังคมโดยผ่านคติความเชื่อแบบพุทธ ขณะที่อีกด้านหนึ่งคือสังคมของชาวบ้านเป็นสังคมที่มีการปรับตามสถานการณ์ พร้อมที่จะถูกจัดอยู่ในระเบียบแบบต่างๆ กันได้ ไม่ว่าจะเป็นระเบียบศีลธรรมของศาสนาพุทธหรือการเซ่นสังเวยผีบรรพบุรุษและผีปู่ย่า ตายาย (หน้า 32-36) |
|
Political Organization |
กลุ่มผู้ไทยซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองจะถูกเรียกว่า "พระแก้วโกมล" เป็นตำแหน่งที่ผลัดเปลี่ยนกันเมื่อเจ้าเมืองคนเดิมถึงแก่กรรม จากจดหมายเหตุและราชกิจจานุเบกษา รัชกาลที่ 4-5 พบว่าเมืองเรณูนครมีตำแหน่งพระแก้วโกมล 5 คน หลังจากนั้นถูกเปลี่ยนเป็นผู้ว่าราชการเมืองตามข้อบังคับการปกครองหัวเมือง ร.ศ.117 (หน้า 26) ปัจจุบันเมืองเรณูนครมีฐานะเป็นอำเภอ แบ่งการปกครองเป็น 5 ตำบล 17 หมู่บ้าน มีหมู่บ้านชื่อว่า เรณู 2 แห่ง (หน้า 32) |
|
Belief System |
สังคมของผู้ไทยเมืองเรณูนครนับถือพระพุทธศาสนาตั้งแต่เริ่มสร้างเมือง แต่ก็มีการนับถือผีบรรพบุรุษหรือเรียกว่า "เจ้าพ่อถลา" อีกด้วย เมืองเรณูนครมีวัดกลางหรือวัดพระธาตุเรณูเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของผู้ไทย ปี พ.ศ.2461 มีการสร้างพระธาตุเรณูซึ่งจำลองมาจากพระธาตุพนม มีพิธีสมโภชพระธาตุในวันเพ็ญเดือน 3 ของทุกปีและมีประเพณีการสรงน้ำพระองค์แสนในเทศกาลสงกรานต์ ผู้ไทยยังรักษาระเบียบแบบแผนที่เรียกว่า "ฮีต-คลอง" หรือ ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ ซึ่งมีพิธีใกล้เคียงกับชาวอีสานทั่วไปเป็นความเชื่อที่ให้คุณให้โทษของบรรพบุรุษ ฮีตสิบสอง คือประเพณี 12 เดือนของชาวอีสาน ส่วน คองสิบสี่ (คองหรือครรลอง) คือหลักปฏิบัติ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือสำหรับครอบครัวและผู้ปกครองบ้านเมือง (หน้า 27, 31-32) การทำบุญพระเวส ถ้าแต่งเครื่องกิริยาไม่ถูกไม่ครบ มักเกิดอุบาทว์เคราะห์เข็ญต่างๆ เช่น เกิดฝนแล้ง ฟ้าผ่า เป็นต้น การทำบุญพระเวสนิยมทำในวันฟูคือวันธงชัยหรือวันอธิบดี (หน้า 49) งานบุญพระเวสของชาวเรณูนครจัดขึ้นในเดือน 6 ร่วมกับงานบุญบั้งไฟซึ่งต่างจากชุมชนอื่นที่ปฏิบัติกันในช่วงเดือน 3 (หน้า 51) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
"ฟ้อนผู้ไท เดิมเรียกว่า "ฟ้อนละครไทย" มีพัฒนาการมาจากการฟ้อนในลักษณะที่ไม่มีแบบแผนจนกระทั่งเกิดการประดิษฐ์เป็นท่ารำที่เป็นการจัดระเบียบขึ้นมาภายหลัง เพื่อเป็นการแสดงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เดิมเป็นการแสดงความสนุกสนานของชาวบ้านในงานบุญ สมัยก่อนการฟ้อนรำเป็นการฟ้อนรำตามความถนัดความสามารถ เน้นลีลาท่าฟ้อนรำต่างๆ ที่แสดงออกมาของแต่ละบุคคล ระหว่างฟ้อนรำมีการตีกลองและพางฮาต และตีเร็วขึ้นจนทำให้ผู้ฟ้อนเกิดอาการฮึกเหิม เป็นการฟ้อนเพื่ออวดสาว หากสาวใดมีความพอใจก็จะออกมาร่ายรำด้วย หนุ่มภูไทที่มีฐานะดีจะแต่งตัวโดยนุ่งโจงกระเบนแต่ปล่อยหางยาว หรือเรียกอีกอย่างว่า "นุ่งผ้าหาง" ท่าทางการเคลื่อนไหวจะตามธรรมชาติ เช่น "ท่านกระบาบินเลียบหาด" "ท่าจระเข้ฟาดหาง" เป็นต้น การฟ้อนในอดีตเป็นการฟ้อนที่ไม่ได้จัดแบบแผน เป็นการปลดปล่อยความรู้สึกและอารมณ์ ผ่านช่วงเวลาของเทศกาลงานบุญประเพณีจนเมื่อ พ.ศ. 2498 ได้มีการฟ้อนผู้ไทเพื่อรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อคราวเสด็จภาคอีสานทำให้รูปแบบการพัฒนางานบุญถูกจัดระเบียบแบบแผน (หน้า 48,52-53) ปี พ.ศ. 2512-2525 ในยุคของอาจารย์คำนึง เป็นยุครุ่งเรืองที่สุด มีการสอนท่ารำ ความหมายทำให้สื่ออารมณ์ออกมาได้มาก ระยะนี้ได้นำเอามวยโบราณเข้ามาเล่นสอดแทรกในการเดี่ยวโชว์ และได้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่รวมเป็นท่ารำทั้งหมด 12 ท่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ถึงปัจจุบัน การฟ้อนเป็นการสร้างการแสดงเพื่อตอบสนองต่อความต้องการจากบุคคลภายนอกและมีการพัฒนาให้มีรูปแบบที่ตายตัว ในภายหลังได้มีการคิดท่าฟ้อนขึ้นอีกมากมาย เริ่มนำดนตรีเข้ามาเพื่อให้เกิดการฟ้อนที่พร้อมเพรียงกันและมีการประยุกต์เครื่องดนตรีอีกหลายประเภทนอกเหนือจากเครื่องดนตรีโบราณที่ใช้เพียง 2 ชนิด (หน้า 55-58) ปัจจุบันวัฒนธรรมการฟ้อนของชาวเรณูนครมิได้เป็นเพียงการถ่ายทอดความเป็นตัวตนในฐานะปัจเจกชนอย่างอดีตเท่านั้น แต่ยังรับใช้อุดมการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย (หน้า 64) |
|
Folklore |
กลอนฮีตสิบสอง "พอถึงเดือนสี่ได้ให้เก็บดอกบุปผา หามาลาดวงหอมสู่คนเก็บไว้ อย่าได้ไลคองนี้เสียสูญเปล่า หาเอาตากแดดไว้ให้ทำแท้สู่คนแท้ดาย อย่าได้ไลหนีเว้นแนวคองตั้งแต่เก่า ไฟทั้งหลายสิแล่นเข้าเผาบ้านสิเสื่อมสูญ ให้ฝูงชาวเฮาอย่าได้ไลคลองตั้งแต่ก่อน มันสิหม่นหมองเศร้าเมืองบ้านสิทุกข์จนแพ้แล้ว" (หน้า 50) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การฟ้อนผู้ไทหลังจากปี พ.ศ. 2498 เพื่อรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อคราวเสด็จภาคอีสานกลายเป็นการแสดงออกของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 63) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีตงานนมัสการพระธาตุเรณูจะมีการสร้าง "ตูบ" คล้ายกระท่อมตั้งไว้หน้าโบสถ์เพื่อทำพิธีตักบาตรสวรรค์ ปัจจุบันพิธีดังกล่าวได้สูญหายแล้ว กิจกรรมที่เกิดใหม่ได้แก่ การชกมวย การประกวดนางงามและการรำวงคู่ชายหญิง งานประเพณีปัจจุบันเปลี่ยนความหมายสู่การเป็นงานรื่นเริงซึ่งตอบสนองความพึงพอใจส่วนบุคคลมากกว่าการสร้างสำนึกของการอยู่ร่วมกัน กิจกรรมเต้นรำแบบตะวันตกเริ่มปรากฏในงานบุญ ขณะที่การเต้นรำแบบพื้นบ้านจำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่ สังคมผู้ไทเมืองเรณูนครได้เปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมที่ซับซ้อนหลากหลาย (Complex Society) ทำให้มองเห็นความขัดแย้งที่ปรากฏในสังคม (หน้า 36-37,41) การฟ้อนที่เป็นระเบียบมิใช่การละเล่นเพื่อความสนุกสนานตามความหมายเดิมแต่เป็นการฟ้อนรำเพื่อสรรเสริญเชิดชูอัตลักษณ์(Identity) ทางชาติพันธุ์ (หน้า 77) |
|
Map/Illustration |
รูปภาพ - ฟ้อนผู้ไท ปรากฏในแผ่นพับแจกนักท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(121) - Liminality ในพิธีต้อนรับแขก(122) - ท่ารำเกี้ยว(123) - ท่ารำ "ส่ายเตี้ยลง"(124) - ท่ารำ "กาเต้นก้อนขี้ไถ"(125) - ท่ารำมวยโบราณ "ทรพีสู้พ่อ"(126) - ท่ารำ "กาตาดปัก"(127) - ท่ารำ "ทวงฮักกวักชู้"(128) - ท่ารำ "ถวายพญาแกน"(129) - พังฮาตและกลองตุ้ม(130) - โปงลางและไหดีด(131) - "โหวด"(132) แผนภูมิ - แผนภูมิการแบ่งภาษาไทยกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ของเจมส์แชมเบอร์เลน(19) - แผนภูมิการแบ่งภาษาตระกูลไทยของเรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์(19) The Be - Tai Ethnolinguistic Family (20) |
|
|