สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ผู้ไท,ฟ้อนรำ,พิธีกรรมการแสดง,การเปลี่ยนแปลงทางสังคม,นครพนม
Author พิเชฐ สายพันธ์, นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
Title ผู้ไท
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ผู้ไท ภูไท, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 132 Year 2541
Source สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ
Abstract

ความหมายของการฟ้อนรำได้เปลี่ยนแปลงมาตลอด ขึ้นอยู่กับชีวิตทางสังคมและวิธีคิดของผู้คนในช่วงเวลาต่างๆ การฟ้อนรำผู้ไทที่ปรากฏในปัจจุบัน ได้ผ่านการจัดระเบียบปรุงแต่งและประดิษฐ์มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนต่างฐานะเข้ามาเชื่อมโยงกันในลักษณะที่หลากหลาย เช่น เกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้อนกับครูฝึก เกิดการพึ่งพาอาศัยกันในกลุ่มผู้ฟ้อนรำ เป็นต้น การฟ้อนรำจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนคุณค่าที่สังคมปรารถนาชื่นชม ขณะเดียวกันก็ได้วิพากษ์วิจารณ์และปฏิเสธคุณค่าบางประการ นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องชี้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับความสัมพันธ์ของคนกลุ่มต่างๆ ฉะนั้นการฟ้อนรำในสังคมเรณูนครจึงเป็นการเปิดเผยให้เห็นพลวัตรที่ต่อเนื่อง พร้อมกับการแสดงภาพชีวิตของผู้คนคล้ายกับละครที่เล่าเรื่องราวที่ราบรื่นและขัดแย้งสลับกัน

Focus

การปรับเปลี่ยนความหมายและความสำคัญของ "การฟ้อนผู้ไท" ที่เกิดขึ้นในสังคมใหม่ กลไกทางวัฒนธรรมของพิธีกรรมในฐานะที่เป็นภูมิปัญญาและระบบความคิดของชุมชนในการจัดระเบียบทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงของพิธีกรรมในฐานะที่เป็นละครทางสังคมของอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม

Theoretical Issues

การวิเคราะห์พิธีกรรมในฐานะที่เป็นการแสดงทางสังคม (Social Drama) มีลักษณะเป็นการวิเคราะห์เชิงกระบวนการโดยพิจารณาความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทางพิธีกรรม (Ritual Process) และกระบวนการทางสังคม (Social Process) โดยอาศัยแนวคิดพื้นฐานในการวิเคราะห์ของนักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ ชื่อ วิคเตอร์ เทอเนอร์(Victor Turner) (หน้า 4)

Ethnic Group in the Focus

ผู้ไท เหตุที่ใช้คำว่า "ผู้ไท" เพราะว่า ใช้ตามตรรกะของการแสดงความหมายทางชาติพันธุ์โดยตั้งอยู่บนทฤษฎีการแบ่งกลุ่มตระกูลภาษาตามหลักภาษาศาสตร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกว่า "ไทย" ซึ่งเป็นความหมายทางด้านการเมืองของรัฐชาติ (หน้า 21)

Language and Linguistic Affiliations

การแบ่งกลุ่มภาษาตระกูลไท ของ เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์ (2531 : 117) ภาษาไทดั้งเดิม (Proto - Tai) สามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มไท (Thai group) และกลุ่มไต (Tai group) ส่วนการแบ่งภาษาไทกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ของเจมส์ อาร์ เชมเบอเลน สามารถจำแนกภาษาไทกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสิถิล (P group) และกลุ่มธนิต (PH group) ภาษาของกลุ่ม "ผู้ไท" จัดอยู่คนละกลุ่มตระกูลย่อยกับกลุ่ม "ไทดำ ไทแดง" แม้จะอยู่ในภาษาตระกูลเดียวกันก็ตาม (หน้า 19-21)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2541

History of the Group and Community

"ผู้ไท" เป็นชื่อเรียกของกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยต่างๆ จำนวนมากเช่น ไทดำ ไทแดง ไทขาว ไทแอด ไทวัง ไทกอ ไทซำ เป็นต้น ได้ถูกนำมาเรียกชื่อกลุ่มคนใน 2 ระดับ ระดับแรกเป็นการเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อย่างเป็นทางการของประเทศลาวเพื่อจัดให้กลุ่มชาติพันธุ์ย่อยเหล่านี้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ระดับที่สอง คือคำเรียกชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะ ซึ่งมีลักษณะอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์แตกต่างจากกลุ่มย่อยอื่นๆ กลุ่มย่อยต่างๆ ที่เรียกว่า "ผู้ไท" มีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณชายแดนตอนเหนือระหว่างประเทศลาวและเวียดนาม มีการอพยพเข้ามาในประเทศไทยหลายระลอก ด้วยเหตุผลด้านการเมือง สงคราม การหาแหล่งทำกินใหม่ ทำให้มิอาจระบุได้ว่ากลุ่มผู้ไทในประเทศไทยนั้นเป็นกลุ่มย่อยใดบ้าง เมื่อเข้ามาในรัฐไทยแล้วคนกลุ่มนี้จะถูกเรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ผู้ไทย" ซึ่งเป็นการแฝงความหมายทางการเมืองในฐานะที่เป็นประชากรของประเทศไทย ผู้ไทที่บ้านดงหวาย ซึ่งต่อมาเรียกว่าเมืองเรณูนครในปี พ.ศ.2387 เริ่มต้นด้วยประวัติการปกครองของเจ้าเมืองที่มีเชื้อสายจากผู้ไทเมืองวัง ที่กล่าวในพงศาวดารมีนามว่า "ท้าวเพชรและท้าวสาย" เมื่ออพยพจากเมืองวังข้ามแม่น้ำโขง พื้นที่แรกที่ตั้งถิ่นฐานคือบริเวณหนองหาน สกลนคร จนกระทั่งเกิดโรคภัยไข้เจ็บเพราะ ไม่เคยชินกับการอยู่พื้นที่ราบจึงได้อพยพย้ายกลับ แต่ท้าวเพชรได้พบกับพระภิกษุทาแห่งวัดธาตุพนมและได้คำแนะนำว่าอย่าย้ายกลับ ท้าวเพชรจึงนำผู้ไทไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ ดงหวายสายบ่อแกหรือเมืองเรณูนครในปัจจุบัน (หน้า 18, 25-26)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ปี พ.ศ. 2443 กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาที่เรณูนครมีพลเมืองมากถึง 11,986 คนและจากบันทึกของการตรวจราชการของพระยาสุนทรราชกิจจา เมื่อปี พ.ศ. 2446 ผู้ไทยที่เรณูนครมีพลเมือง 9,311 คน (หน้า 26)

Economy

ระยะแรกที่อยู่บริเวณหนองหาน สกลนครยังชีพด้วยการทำไร่นาหลังจากมาอยู่ที่เรณูนคร ก็ยังชีพด้วยการทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์และการค้าขายโดยเฉพาะโคกระบือและการค้าผ้า(หน้า 25-26)

Social Organization

สังคมผู้ไทในเมืองเรณูนครมีการแบ่งกันทำงานระหว่างชายหญิง นอกจากนั้น ในอดีตเป็นสังคมที่ประกอบด้วย 2 ชนชั้นใหญ่ คือชาวบ้านและผู้ปกครอง วัดและผู้ปกครองเป็นสิ่งที่แยกจากกันมิได้ เป็นผลทำให้เห็นภาพสังคมเรณูนครในด้านที่พยายามสร้างความชอบธรรมเพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากรัฐไทยที่มีอำนาจเหนือกว่า และขณะเดียวกันก็เพื่อที่จะเป็นผู้ปกครองหรือเจ้าเมืองที่มีศีลธรรมโดยใช้พุทธศาสนารองรับ ส่วนประวัติศาสตร์ของชาวบ้าน เป็นสิ่งที่ถูกบอกเล่าผ่านวาทกรรมเรื่อง ปู่ถลาหรือผีบรรพบุรุษตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวกับผีปู่ย่า ตายาย สังคมเรณูนครจึงเป็นสังคมที่มี 2 ด้านในเวลาเดียวกันคือ สังคมผู้ปกครองพยายามจัดระเบียบสังคมโดยผ่านคติความเชื่อแบบพุทธ ขณะที่อีกด้านหนึ่งคือสังคมของชาวบ้านเป็นสังคมที่มีการปรับตามสถานการณ์ พร้อมที่จะถูกจัดอยู่ในระเบียบแบบต่างๆ กันได้ ไม่ว่าจะเป็นระเบียบศีลธรรมของศาสนาพุทธหรือการเซ่นสังเวยผีบรรพบุรุษและผีปู่ย่า ตายาย (หน้า 32-36)

Political Organization

กลุ่มผู้ไทยซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองจะถูกเรียกว่า "พระแก้วโกมล" เป็นตำแหน่งที่ผลัดเปลี่ยนกันเมื่อเจ้าเมืองคนเดิมถึงแก่กรรม จากจดหมายเหตุและราชกิจจานุเบกษา รัชกาลที่ 4-5 พบว่าเมืองเรณูนครมีตำแหน่งพระแก้วโกมล 5 คน หลังจากนั้นถูกเปลี่ยนเป็นผู้ว่าราชการเมืองตามข้อบังคับการปกครองหัวเมือง ร.ศ.117 (หน้า 26) ปัจจุบันเมืองเรณูนครมีฐานะเป็นอำเภอ แบ่งการปกครองเป็น 5 ตำบล 17 หมู่บ้าน มีหมู่บ้านชื่อว่า เรณู 2 แห่ง (หน้า 32)

Belief System

สังคมของผู้ไทยเมืองเรณูนครนับถือพระพุทธศาสนาตั้งแต่เริ่มสร้างเมือง แต่ก็มีการนับถือผีบรรพบุรุษหรือเรียกว่า "เจ้าพ่อถลา" อีกด้วย เมืองเรณูนครมีวัดกลางหรือวัดพระธาตุเรณูเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของผู้ไทย ปี พ.ศ.2461 มีการสร้างพระธาตุเรณูซึ่งจำลองมาจากพระธาตุพนม มีพิธีสมโภชพระธาตุในวันเพ็ญเดือน 3 ของทุกปีและมีประเพณีการสรงน้ำพระองค์แสนในเทศกาลสงกรานต์ ผู้ไทยยังรักษาระเบียบแบบแผนที่เรียกว่า "ฮีต-คลอง" หรือ ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ ซึ่งมีพิธีใกล้เคียงกับชาวอีสานทั่วไปเป็นความเชื่อที่ให้คุณให้โทษของบรรพบุรุษ ฮีตสิบสอง คือประเพณี 12 เดือนของชาวอีสาน ส่วน คองสิบสี่ (คองหรือครรลอง) คือหลักปฏิบัติ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือสำหรับครอบครัวและผู้ปกครองบ้านเมือง (หน้า 27, 31-32) การทำบุญพระเวส ถ้าแต่งเครื่องกิริยาไม่ถูกไม่ครบ มักเกิดอุบาทว์เคราะห์เข็ญต่างๆ เช่น เกิดฝนแล้ง ฟ้าผ่า เป็นต้น การทำบุญพระเวสนิยมทำในวันฟูคือวันธงชัยหรือวันอธิบดี (หน้า 49) งานบุญพระเวสของชาวเรณูนครจัดขึ้นในเดือน 6 ร่วมกับงานบุญบั้งไฟซึ่งต่างจากชุมชนอื่นที่ปฏิบัติกันในช่วงเดือน 3 (หน้า 51)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

"ฟ้อนผู้ไท เดิมเรียกว่า "ฟ้อนละครไทย" มีพัฒนาการมาจากการฟ้อนในลักษณะที่ไม่มีแบบแผนจนกระทั่งเกิดการประดิษฐ์เป็นท่ารำที่เป็นการจัดระเบียบขึ้นมาภายหลัง เพื่อเป็นการแสดงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เดิมเป็นการแสดงความสนุกสนานของชาวบ้านในงานบุญ สมัยก่อนการฟ้อนรำเป็นการฟ้อนรำตามความถนัดความสามารถ เน้นลีลาท่าฟ้อนรำต่างๆ ที่แสดงออกมาของแต่ละบุคคล ระหว่างฟ้อนรำมีการตีกลองและพางฮาต และตีเร็วขึ้นจนทำให้ผู้ฟ้อนเกิดอาการฮึกเหิม เป็นการฟ้อนเพื่ออวดสาว หากสาวใดมีความพอใจก็จะออกมาร่ายรำด้วย หนุ่มภูไทที่มีฐานะดีจะแต่งตัวโดยนุ่งโจงกระเบนแต่ปล่อยหางยาว หรือเรียกอีกอย่างว่า "นุ่งผ้าหาง" ท่าทางการเคลื่อนไหวจะตามธรรมชาติ เช่น "ท่านกระบาบินเลียบหาด" "ท่าจระเข้ฟาดหาง" เป็นต้น การฟ้อนในอดีตเป็นการฟ้อนที่ไม่ได้จัดแบบแผน เป็นการปลดปล่อยความรู้สึกและอารมณ์ ผ่านช่วงเวลาของเทศกาลงานบุญประเพณีจนเมื่อ พ.ศ. 2498 ได้มีการฟ้อนผู้ไทเพื่อรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อคราวเสด็จภาคอีสานทำให้รูปแบบการพัฒนางานบุญถูกจัดระเบียบแบบแผน (หน้า 48,52-53) ปี พ.ศ. 2512-2525 ในยุคของอาจารย์คำนึง เป็นยุครุ่งเรืองที่สุด มีการสอนท่ารำ ความหมายทำให้สื่ออารมณ์ออกมาได้มาก ระยะนี้ได้นำเอามวยโบราณเข้ามาเล่นสอดแทรกในการเดี่ยวโชว์ และได้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่รวมเป็นท่ารำทั้งหมด 12 ท่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ถึงปัจจุบัน การฟ้อนเป็นการสร้างการแสดงเพื่อตอบสนองต่อความต้องการจากบุคคลภายนอกและมีการพัฒนาให้มีรูปแบบที่ตายตัว ในภายหลังได้มีการคิดท่าฟ้อนขึ้นอีกมากมาย เริ่มนำดนตรีเข้ามาเพื่อให้เกิดการฟ้อนที่พร้อมเพรียงกันและมีการประยุกต์เครื่องดนตรีอีกหลายประเภทนอกเหนือจากเครื่องดนตรีโบราณที่ใช้เพียง 2 ชนิด (หน้า 55-58) ปัจจุบันวัฒนธรรมการฟ้อนของชาวเรณูนครมิได้เป็นเพียงการถ่ายทอดความเป็นตัวตนในฐานะปัจเจกชนอย่างอดีตเท่านั้น แต่ยังรับใช้อุดมการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย (หน้า 64)

Folklore

กลอนฮีตสิบสอง "พอถึงเดือนสี่ได้ให้เก็บดอกบุปผา หามาลาดวงหอมสู่คนเก็บไว้ อย่าได้ไลคองนี้เสียสูญเปล่า หาเอาตากแดดไว้ให้ทำแท้สู่คนแท้ดาย อย่าได้ไลหนีเว้นแนวคองตั้งแต่เก่า ไฟทั้งหลายสิแล่นเข้าเผาบ้านสิเสื่อมสูญ ให้ฝูงชาวเฮาอย่าได้ไลคลองตั้งแต่ก่อน มันสิหม่นหมองเศร้าเมืองบ้านสิทุกข์จนแพ้แล้ว" (หน้า 50)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การฟ้อนผู้ไทหลังจากปี พ.ศ. 2498 เพื่อรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อคราวเสด็จภาคอีสานกลายเป็นการแสดงออกของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 63)

Social Cultural and Identity Change

ในอดีตงานนมัสการพระธาตุเรณูจะมีการสร้าง "ตูบ" คล้ายกระท่อมตั้งไว้หน้าโบสถ์เพื่อทำพิธีตักบาตรสวรรค์ ปัจจุบันพิธีดังกล่าวได้สูญหายแล้ว กิจกรรมที่เกิดใหม่ได้แก่ การชกมวย การประกวดนางงามและการรำวงคู่ชายหญิง งานประเพณีปัจจุบันเปลี่ยนความหมายสู่การเป็นงานรื่นเริงซึ่งตอบสนองความพึงพอใจส่วนบุคคลมากกว่าการสร้างสำนึกของการอยู่ร่วมกัน กิจกรรมเต้นรำแบบตะวันตกเริ่มปรากฏในงานบุญ ขณะที่การเต้นรำแบบพื้นบ้านจำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่ สังคมผู้ไทเมืองเรณูนครได้เปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมที่ซับซ้อนหลากหลาย (Complex Society) ทำให้มองเห็นความขัดแย้งที่ปรากฏในสังคม (หน้า 36-37,41) การฟ้อนที่เป็นระเบียบมิใช่การละเล่นเพื่อความสนุกสนานตามความหมายเดิมแต่เป็นการฟ้อนรำเพื่อสรรเสริญเชิดชูอัตลักษณ์(Identity) ทางชาติพันธุ์ (หน้า 77)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

รูปภาพ - ฟ้อนผู้ไท ปรากฏในแผ่นพับแจกนักท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(121) - Liminality ในพิธีต้อนรับแขก(122) - ท่ารำเกี้ยว(123) - ท่ารำ "ส่ายเตี้ยลง"(124) - ท่ารำ "กาเต้นก้อนขี้ไถ"(125) - ท่ารำมวยโบราณ "ทรพีสู้พ่อ"(126) - ท่ารำ "กาตาดปัก"(127) - ท่ารำ "ทวงฮักกวักชู้"(128) - ท่ารำ "ถวายพญาแกน"(129) - พังฮาตและกลองตุ้ม(130) - โปงลางและไหดีด(131) - "โหวด"(132) แผนภูมิ - แผนภูมิการแบ่งภาษาไทยกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ของเจมส์แชมเบอร์เลน(19) - แผนภูมิการแบ่งภาษาตระกูลไทยของเรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์(19) The Be - Tai Ethnolinguistic Family (20)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 17 ม.ค. 2556
TAG ผู้ไท, ฟ้อนรำ, พิธีกรรมการแสดง, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, นครพนม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง