|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เย้า,การปักผ้า,การถ่ายทอด,ประวัติความเป็นมา,เชียงราย |
Author |
วรวิทย์ องค์ครุฑรักษา |
Title |
กระบวนการถ่ายทอดศิลปะการปักผ้าของชาวเขาเผ่าเย้า บ้านห้วยแม่ซ้าย จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
105 |
Year |
2537 |
Source |
ภาควิชาศิลปศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ในสังคมเย้าที่มีการเลี้ยงดูแบ่งแยกตามเพศนั้น หญิงสาวเย้าทุกคนจะต้องได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านการปักผ้าจากมารดา รวมถึงลักษณะเฉพาะกลุ่ม เช่น เรื่องความขยัน ที่หญิงสาวเย้าถ้ามีเวลาว่าง จะต้องนำผ้าขึ้นมาปักอยู่ตลอดเวลา รวมถึงคติ ในการเลือกคู่ครองของชายหนุ่ม ที่ให้ความสำคัญแก่หญิงสาวที่ขยันปักผ้า ทำให้การปักผ้าของเย้านั้นยังสามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้ภาวะความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว |
|
Focus |
การถ่ายทอดความรู้เรื่องการปักผ้าของชาวเขาเผ่าเย้า |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
นักภาษาศาสตร์จัดภาษาของเย้าให้อยู่ในตระกูลภาษา "จีน-ธิเบต" เนื่องจากเย้าได้ยืมตัวอักษรจีนมาใช้ในการเขียนบันทึกหรือตำราต่างๆ แต่ภาษาที่เย้าใช้พูดในชีวิตประจำวันนั้นไม่มีตัวเขียน ดังนั้นหมอสอนศาสนาจึงพยายามคิดตัวอักษรและระบบการเขียนภาษาเย้า โดยใช้ตัวอักษรโรมันและอักษรไทย ปัจจุบันมีระบบการเขียนภาษาเย้าถึง 8 ระบบ และกำลังคิดระบบที่ 9 ที่ จะเป็นภาษาเขียนของเย้าที่เป็นสากล (หน้า 22-23) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในราวศตวรรษที่ 15 มีบันทึกในพงศาวดารฮั่นตอนปลายว่า พระเจ้าเกาเซียนซื่อ จักรพรรดิจีนองค์หนึ่งได้ประกาศว่าจะยกพระธิดาองค์หนึ่งให้สยุมพรกับใครก็ตามที่สามารถปราบชนเผ่า Chnan Jang ซึ่งก่อการกบฏโดยมีขุนพลหวูเป็นผู้นำลงได้ ในครั้งนั้นมีสุนัข 5 สีตัวหนึ่งชื่อผันหู ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงในพระราชสำนักอาสาไปปราบกบฏ และฆ่าขุนพลหวูได้สำเร็จ ผันหูจึงได้สยุมพรกับพระธิดา แล้วไปสร้างครอบครัวอยู่บนภูเขาสูงที่ห่างไกลผู้คน ต่อมาได้ให้กำเนิดพระโอรส 6 องค์ และ พระธิดา 6 องค์ ซึ่งเป็นต้นตระกูลของคนเย้า 12 แซ่ต่อมา ซึ่งประมาณศตวรรษที่ 18-19 เย้าบางส่วนได้อพยพจากประเทศจีนลงมาทางใต้ โดยเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ประเทศเวียดนามและลาว และได้เริ่มอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 (หน้า 21-22) |
|
Settlement Pattern |
บ้านเย้าส่วนมากมักปลูกบนไหล่เขา โดยหันหน้าบ้านออกจากภูเขา ทำให้บ้านเย้ามีลักษณะเป็นแนวยาวเรียงกันไปตามไหล่เขา (หน้า 25) ลักษณะบ้านของเย้าเป็นบ้านชั้นเดียว ปลูกคร่อมดิน มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มุงหลังคาด้วยหญ้าคาหรือใบหวาย ฝาบ้านอาจเป็นไม้เนื้ออ่อน การกั้นฝาบ้านจะกั้นในแนวตั้ง บ้างก็ใช้ไม้ไผ่หรือฟางข้าวผสมดินโคลน ภายในแบ่งเป็นห้องๆ ตัวบ้านมีประตูทางเข้าทั้ง 2 ด้านของตัวบ้าน ส่วนประตูหน้าบ้านนั้นปกติจะปิดไว้ เรียกว่า "ประตูผี" ด้านหน้าของบ้านนิยมสร้างยื่นออกไปเล็กน้อย (หน้า 25) |
|
Demography |
จากการสำรวจจำนวนประชากรเย้าของกรมประชาสงเคราะห์ ในปี พ.ศ. 2529 พบว่ามีประชากรชาวเขาเผ่าเย้าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยประมาณ 33,997 คน (ไม่รวมที่อาศัยอยู่ในค่ายอพยพ) มีทั้งหมด 159 หมู่บ้านตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ได้แก่ ในจังหวัดเชียงราย 10,465 คน จังหวัดน่าน 7,110 คน จังหวัดพะเยา 6,605 คน จังหวัดกำแพงเพชร 4,192 คน จังหวัดลำปาง 3,709 คน จังหวัดสุโขทัย 1,083 คน จังหวัดเชียงใหม่ 873 คน ( หน้า 23-24) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจของเย้าขึ้นอยู่กับการเกษตร พืชหลักที่ปลูกได้แก่ ข้าว ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวโพด มันฝรั่งและงา สัตว์ที่เลี้ยง ก็มีบ้าง ได้แก่ หมู ไก่ และม้า นอกจากนี้เย้ายังมีการทำโม่หิน การลับมีด การทำเครื่องเงิน (หน้า 28) การปักผ้า และรายได้จากธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น บริการเช่าช้างเพื่อการเดินป่า บริการบ้านเช่า และการขายของที่ระลึก เป็นต้น แต่งานเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำรายได้ให้กับเย้ามากเท่ากับสินค้าทางการเกษตร (หน้า 100) |
|
Social Organization |
ครอบครัวเย้าเป็นครอบครัวแบบขยาย (extended family) คือ ภายในบ้านหลังหนึ่งประกอบด้วยครอบครัวหลายครอบครัว และอาจมีสมาชิกถึง 3 รุ่น ทั้งนี้เพราะเมื่อบุตรชายแต่งงานแล้ว จะนำภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้านของพ่อ-แม่ตน ยกเว้นบางบ้านที่มีแต่ลูกสาว เมื่อแต่งงานสามีจะต้องเข้ามาอยู่ในบ้านของพ่อแม่ตนและเปลี่ยนมาใช้แซ่ (สกุล) ของฝ่ายหญิง แต่ลักษณะครอบครัวของเย้าในบางกรณีก็เป็นครอบครัวเดี่ยว (หน้า 26) เย้าจะเลี้ยงดูบุตรหลานชายให้มีลักษณะเป็นผู้นำ ในขณะที่ฝึกบุตรหลานสาวให้เป็นแม่บ้านแม่เรือน (หน้า 32) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการปักผ้า ซึ่งผู้เป็นมารดาจะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุตรสาว (หน้า 35) นอกจากนี้ กลุ่มเพื่อนก็มีความสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้การปักผ้าของหญิงสาวเย้าจากการนั่งล้อมวงปักผ้าเป็นกลุ่ม (หน้า 72) ผู้หญิงเย้าถูกสอนให้ขยัน เมื่อมีเวลาว่างให้จับเข็มจับผ้าอยู่เสมอ ดังนั้น ผู้เป็นแม่จะสอนให้ลูกของตนปักผ้า พร้อมกับฝึกให้มีความขยันขันแข็ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมเย้าต้องการ เพราะจากคำสอนชายในการเลือกคู่ครองที่กล่าวว่า "ความสวยกินไม่อิ่ม" ซึ่งเป็นการสอนให้ผู้ชายเลือกหญิงที่มีความขยันขันแข็งเป็นคู่ครองมากกว่าที่จะเลือกหญิงที่มีแต่ความสวยเพียงอย่างเดียว (หน้า 99) |
|
Belief System |
ความเชื่อของเย้าเป็นการถือผี เชื่อในเรื่องผีหรือสิ่งที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือผีดีที่คอบพิทักษ์รักษาสมาชิกในครอบครัวให้อยู่อย่างปกติสุข เช่น ผีบรรพบุรุษ เป็นต้น และผีร้าย ที่ให้โทษแก่มนุษย์ เช่น ผีตายโหง เป็นต้น นอกจากนี้ เย้ายังนับถือลัทธิเต๋าตามแบบที่นับถือกันในประเทศจีนเมื่อราวศตวรรษที่ 13-14 ซึ่งนับถือพระเจ้าและเทพยดาอารักษ์ต่างๆ ในลัทธิเต๋า ซึ่งในงานพิธีสำคัญๆ จะต้องนิมนต์ภาพของเทพเจ้าเหล่านั้นมาให้ครบชุด (หน้า 29-30) บ้านของเย้ามีความเชื่อมากมาย เช่น เชื่อว่ามีผีอยู่ในเตาไฟ จึงไม่มีใครกล้าวางเท้าหรือนั่งหันหลังให้เตาไฟ และเขาจะไม่นำ สิ่งใดไปตั้งกีดขวางทางผีซึ่งก็คือพื้นที่ระหว่างประตูใหญ่ไม่ว่าด้านนอกหรือด้านในบ้านเป็นอันขาด ส่วนคอกสัตว์หรือสิ่งปลูก สร้างอื่นๆ จะต้องอยู่พ้นบริเวณหลังคาบ้าน เพื่อให้ผีมังกรน้ำนำโชคลาภมาให้โดยสะดวก และจะไม่นำไม้บางประเภทที่ถูก ฟ้าผ่ามาสร้างบ้าน (หน้า 25-26) หรือแม้แต่การปักผ้าของเย้าก็ยังคงมีความเชื่อในเรื่องวันเริ่มต้นเรียนการปักผ้า ซึ่งมักกระทำกันในวันขึ้นปีใหม่ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็วและปักได้ดี (หน้า 74) และไม่นิยมทอผ้าในช่วงที่มีคนเสียชีวิตในหมู่บ้าน เพราะผู้คนส่วนใหญ่ต้องไปช่วยเหลืองานพิธี เป็นการแสดงความอาลัยต่อผู้เสียชีวิต แต่ถ้าผู้เสียชีวิตเป็นบิดาหรือมารดา หญิงที่เป็นบุตรต้องงดปักผ้าเป็นเวลา 1 เดือน ( หน้า 102) |
|
Education and Socialization |
เด็กเย้าจะไปเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน เป็นการศึกษาภาคบังคับ (ประถม 1-6) ถ้าบ้านใดมีฐานะดี ก็อาจจะส่งเข้าไปเรียนต่อในอำเภอจนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 (หน้า 31) นอกจากการเรียนในโรงเรียนแล้ว เมื่อมีเวลาว่าง หญิงสาวเย้าจะได้รับการถ่ายทอดการปักผ้าจากมารดา ตั้งแต่อายุเท่าไรไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เพียงแต่ผู้เรียนจะต้องนับเลขเป็นแล้วและสามารถจับเข็มและบังคับเข็มได้ แต่เดิมวันที่นิยมเริ่มการสอนปักผ้าคือวันขึ้นปีใหม่ (ตรุษจีน) การสอนปักผ้าเป็นการสอนโดยปากเปล่า ไม่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร วิธีการสอนที่พบมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ 1. สอนโดยการปักลายให้ดูเป็นตัวอย่างในแต่ละขั้นตอน แล้วให้ผู้เรียนปักตามแบบ 2. สอนโดยใช้ลายที่ปักไว้แล้วให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วให้ผู้เรียนปักตาม ซึ่งผู้เรียนจำเป็นต้องมีทักษะในการปักผ้ามาบ้างแล้ว 3. สอนโดยจับมือสอน สำหรับผู้เริ่มหัดปักใหม่ๆ (หน้า 73-74) |
|
Health and Medicine |
เมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ในอดีต เย้าจะใช้ยาสมุนไพรหรือให้หมอผีประจำหมู่บ้านทำการรักษา แต่ในปัจจุบันเย้าแทบทุกบ้านจะมียาสามัญประจำบ้าน แต่ความเชื่อดั้งเดิมก็ยังคงปรากฎอยู่(หน้า 28) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เย้ามีเครื่องดนตรี คือ พิณจีน ปี่วา ฆ้อง เป็นต้น ผู้หญิงจะมีเครื่องเป่าด้วยปากเล็กๆ ทำด้วยทองแดงขนาดซี่ไม้ขีดไฟ ใช้ปากคาบแล้วใช้นิ้วข้างหนึ่งดีดให้กังวาล (หน้า 30) ส่วนเครื่องมือที่เกี่ยวเนื่องกับการทอผ้าของเย้าที่ยังคงพบอยู่ ได้แก่ ตะหลุย ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือปั่นด้าย มีลักษณะคล้ายลูกข่างทำด้วยไม้ ด้านแหลมของตะหลุยมีแกนไม้ ที่ปลายสุดมีตะขอเหมือนเข็มฟัก (หน้า 89) เครื่องแต่งกายผู้หญิงประจำเผ่า ประกอบด้วยกางเกงขาก๊วยประดับด้วยลายปัก เสื้อคลุมตัวยาวถึงข้อเท้า ผ้าคาดเอว และผ้าโพกศีรษะ ส่วนเครื่องแต่งกายผู้ชายประกอบด้วยเสื้อหลวมตัวสั้นคอกลมป้ายทับกัน ติดด้วยกระดุมลูกตุ้มเงิน 8-10 เม็ดทางด้านขวา มีการประดับริมผ้าด้วยผ้ากุ๊นสลับสีขาว ดำ แดง หรือปะผ้าลวดลายงดงามเป็นกระเป๋า และกางเกงขาก๊วย ส่วนผ้าโพกศีรษะจะใช้ในงานพิธีเท่านั้น ส่วนคนรุ่นเก่ายังมีสวมเสื้อกำมะหยี่ในงานพิธี ซึ่งการแต่งกายของชายเย้า เมื่ออายุมากขึ้น สีสัน ก็เริ่มลดลงจนเป็นเสื้อพื้นธรรมดาในวัยชรา เครื่องแต่งกายของทั้งหญิงชาย ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายพื้นสีดำหรือสีน้ำเงินเข้มทั้งหมด ซึ่งเย้าในแต่ละท้องถิ่น ก็จะนิยมสีด้านที่ปักบนกางเกงแตกต่างกันไป เช่น เย้าในกลุ่ม เชียงราย-พะเยา-น่าน นิยมใช้เฉดสีแดงมากกว่าสีอื่นๆ กลุ่มเชียงใหม่-เชียงราย นิยมใช้สีอื่นๆมากกว่าสีแดง ส่วนกลุ่มอพยพหนีภัยสงคราม นิยมใช้เฉดสีเขียวมากกว่าสีอื่นๆ (หน้า 97) นอกจากนี้แล้ว เย้าก็ยังมีเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งส่วนมากเป็นเครื่องเงิน เช่น ห่วงคอ ต่างหู กำไลแขน สร้อยแขน เข็มกลัดที่หน้าอก และเครื่องประดับผ้าโพกศีรษะ เป็นต้น ส่วนเด็กชายหญิงเย้าส่วนมากมักแต่งกายเหมือนคนพื้นราบ นอกจากในฤดูหนาว พ่อแม่จะให้เด็กใส่เสื้อหรือกางเกงแบบเย้าเพื่อความอบอุ่น (หน้า 32-33) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เมื่อการท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้านเย้า เย้าก็ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ รวมไปถึงลวดลายปักบนผ้า ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยมีการปรับปรุงลวดลายและสีสันให้เป็นไปตามความต้องการของนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่สั่งทำขึ้น ไม่ได้เป็นการปักลายเพื่อนำไปประกอบกับชุดประจำเผ่าดังเช่นเดิม (หน้า 73) รวมไปถึงขั้นตอนกรรมวิธีเตรียมการปักผ้า เช่นการย้อมสีเส้นด้าย ก็เป็นการซื้อเส้นด้ายที่มีสีสันสำเร็จรูปมาใช้ในการปัก ส่วนผ้านั้น จากที่เคยทอใช้เองในครัวเรือน ก็เปลี่ยนไปติดต่อซื้อผ้าของไทลื้อ แล้วนำมาย้อมด้วยสีจากต้นฮ่อม ซึ่งในปัจจุบันก็เปลี่ยนมาใช้สีวิทยาศาสตร์แทน (หน้า 75-76) ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี การสื่อสาร การคมนาคม และแม้กระทั่งการท่องเที่ยว |
|
Other Issues |
การปักผ้าของเย้าแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1.การจับเข็ม เย้าใช้นิ้วกลางเข้ามาช่วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ในการปักผ้า โดยเวลาปัก จะวางเข็มให้ทำมุมกับผ้าแคบที่สุด 2.การสนเข็ม 3.การจับผ้า เย้าปักผ้าจากด้านหลัง และใช้หัวแม่มือจับด้านหลังของผ้าแล้วใช้นิ้วมือทั้งสี่รองด้านล่างไว้ 4.การนับเส้นฝ้าย ผู้ปักจะต้องนับจำนวนเส้นฝ้ายของแต่ละลายได้ เพราะการสอยเข็มผ่านเส้นฝ้ายจำนวนต่างกัน ก็จะเกิดลวดลายแตกต่างกันไป การปักลวดลายแบบดั้งเดิมหรือลายที่ปักอยู่บนชุดประจำเผ่า จะเป็นลายที่มีตำแหน่งเฉพาะ ซึ่งระเบียบแบบแผนการปักลายผ้าเป็นความรู้ที่ลูกสาวได้รับการถ่ายทอดมาจากแม่หรือคนรู้จักที่เป็นผู้หญิงในหมู่บ้านเดียวกัน ดังนั้นลวดลายปักของเย้าแต่ละกลุ่ม จึงอาจจะมีแตกต่างไปบ้างในรายละเอียด และลายปักบางลายก็มีความหมายในตัว เช่น ลายฟามชิง มีความหมายเกี่ยวข้องกับการนับถือภาพผีใหญ่ ซึ่งเป็นภาพวาดเทพยดาและเทพเจ้าต่างๆ 17 ภาพ แต่จะมีภาพที่สำคัญที่สุด 3 ภาพ เรียกว่า ฟามชิง, ลายบ่งเบียวทิว (ลายเมล็ดข้าว) มีความหมายเกี่ยวข้องกับพืชผล เป็นต้น (หน้า 88-104) |
|
|