|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การสื่อสาร,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่ |
Author |
เยาวลักษณ์ ชีพสุมล |
Title |
กระบวนการสื่อสารกับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของชาวเขา ศึกษาเฉพาะกรณี หมู่บ้านหนองเต่า ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
109 |
Year |
2544 |
Source |
หลักสูตรวารสารศาสตรมหาบัณฑิต(สื่อสารมวลชน) คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
กระบวนการสื่อสารเป็นกระบวนการสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวเขา ซึ่งเกิดจากการที่ได้ปะทะสังสรรค์กับวัฒนธรรมเมือง ไม่ว่าจะเป็นสื่อบุคคล สื่อมวลชน วิทยุ โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหลาย ย่อมทำให้รูปแบบวัฒนธรรมเดิมของชาวเขามีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการผสมผสานวัฒนธรรมเมืองและวัฒนธรรมเดิมเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันชาวเขามิได้ปฏิเสธวัฒนธรรมเมืองและมิได้รับวัฒนธรรมเมืองมาทั้งหมด แต่จะรับและปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพสังคม และค่านิยมเดิมที่ตนนับถือ จะมีเพียงวัฒนธรรมบางเรื่องเท่านั้นที่เกิดการครอบงำจากวัฒนธรรมเมือง เช่น ระบบการปกครองโดยผู้ใหญ่บ้านแทนการปกครองโดยผู้นำหมู่บ้านหรือ "ฮีโข่" ในแบบเดิม เป็นต้น |
|
Focus |
วิเคราะห์กระบวนการสื่อสารในวิถีชีวิตของชุมชนชาวเขา ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมชาวเขา (หน้า 10) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กระเหรี่ยงสะกอ เรียกตัวเองว่า ปกาเกอะญอ (กระเหรี่ยง เป็นชาวเขาที่มีจำนวนประชากรจำนวนมากที่สุดที่มีในประเทศไทย) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
พูดภาษาปกาเกอะญอ และพูดภาษาไทยบ้าง ตัวอักษรของปกาเกอะญอมี 2 ลักษณะคือ อักษรดั้งเดิมซึ่งมีลักษณะคล้ายอักษรพม่าและอักษรที่มิชชันนารีคิดขึ้นใหม่ คืออักษรเช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ (หน้า 45) |
|
Study Period (Data Collection) |
พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 - มีนาคม พ.ศ. 2544 |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านหนองเต่ามีอายุการก่อตั้งมาไม่ต่ำกว่า 275 ปี ผู้ที่มาคนแรกชื่อ "วอโกรเหม่อ" มาจากเมืองตองอู ประเทศพม่า ซึ่งลี้ภัยมาที่บ้านแม่แหยะหรือแม่แซ่ะโกล๊ะ บริเวณชายแดนไทย-พม่า อยู่ได้ 7 ปีสงครามก็ยังไม่สงบจึงได้อพยพลงมาและได้แต่งงานกับสาวปกาเกอะญอที่บ้านทุ่งหลวง (หมู่ 2 ตำบลแม่วิน) ซึ่งมีปกาเกอะญอตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว และได้แยกครอบครัวมาอยู่ที่บ้านแม่ป่อคีในเขตลุ่มน้ำสะป๊อกหรือบ้านหนองเต่า (หมู่ 4 ตำบลแม่วิน) มาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 26) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการตั้งบ้านเรือนจะตั้งกระจัดกระจายไปตามถนนเส้นหลักของหมู่บ้าน ซึ่งมี 2 เส้นตัดกันในลักษณะกากบาท (หน้า 28) บ้านโดยมากภายในบ้านหนองเต่าจะเป็นบ้านไม้ มักจะเป็นไม้สนแปรรูปใช้ทำผนังและปูพื้น ส่วนหลังคาจะเป็นกระเบื้อง บ้านที่พบในหมู่บ้านมีทั้งเรือนยกพื้นชั้นเดียวซึ่งโดยมากจะเป็นพื้นไม้และบางหลังจะเป็นบ้าน 2 ชั้นซึ่งโดยมากจะเป็นพื้นปูนซิเมนต์ไม่ยกพื้น ส่วนลักษณะของเรือนดั้งเดิมจะสร้างจากไม้ไผ่ตีเป็นฟากทำพื้นและผนัง มุงหลังคาด้วยจาก บ้านบางหลังมีการนำกาแลแบบวัฒนธรรมของคนเหนือมาประดับด้วย(หน้า 29) |
|
Demography |
หมู่บ้านหนองเต่า มีประชากร 700 คน เป็นชาย 368 คนและหญิง 332 คน จาก 94 หลังคาเรือน (หน้า 26) |
|
Economy |
ลักษณะทางด้านเศรษฐกิจของบ้านหนองเต่า - ส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพิงระบบการเกษตร หากจะมีอาชีพอื่นก็จะทำร่วมกับการเกษตร ทำให้รายได้ของคนในหมู่บ้านค่อนข้างต่ำ อาชีพที่ทำกันได้แก่ ทำนาปี ทำไร่ เช่น ฟักทอง ถั่ว พริก มะเขือ เป็นต้น ทำสวนโดยมากจะปลูกพืชสวนครัว เช่น กระหล่ำปลี ผักกาดแก้ว หอมญี่ปุ่น หรือปลูกไม้ผล เช่น บ๊วย อโวคาโด ลูกท้อ สาลี่หรือเมล็ดแมคคาเดเมีย เป็นต้น - การเลี้ยงสัตว์ สัตว์เศรษฐกิจ ได้แก่ วัวและควาย ส่วนหมู ไก่จะเลี้ยงเพื่อประกอบพิธีกรรม และปัจจุบันเริ่มมีการเลี้ยงปลา - ค้าขาย ได้แก่ร้านค้าของชำและร้านก๋วยเตี๋ยว - อาชีพรับจ้าง จะเป็นการจ้างงานในหมู่บ้านและส่วนหนึ่งเป็นลูกจ้างให้กับโครงการหลวง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ออกไปรับจ้างในเมือง (หน้า 32 -33) - ปัจจุบันมีโครงสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมาคือเป็นระบบเศรษฐกิจเพื่อการพาณิชย์ควบคู่กับระบบเศรษฐกิจเพื่อการยังชีพผสมผสานกัน ซึ่งทำให้รูปแบบการผลิตเปลี่ยนไปคือเขาจะผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือน ควบคู่กับการผลิตเพื่อขาย (หน้า 54) |
|
Social Organization |
ระบบครอบครัวของปกาเกอะญอจะเป็นครอบครัวขยาย มีการช่วยเหลือกันระหว่างเครือญาติแม้ว่าแต่ละครอบครัวจะย้ายออกมาสร้างบ้านเรือนของตน และอยู่กันเฉพาะครอบครัวของตนเท่านั้น การปฏิสัมพันธ์ภายในหมู่บ้านเป็นไปอย่างกว้างขวาง แต่ความสนิทสนมระหว่างสมาชิกยังคงเป็นไปตามลักษณะทางกายภาพของการตั้งบ้านเรือน พิธีแต่งงาน จะมีพิธี 2 วัน การแต่งงานจะมีก็ต่อเมื่อฝ่ายหญิงได้ไปสู่ขอฝ่ายชาย เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วจึงจะจัดพิธีต่อไป โดยฝ่ายชายจะต้องเตรียมของและจัดขบวน ร้องรำทำเพลงมาที่บ้านเจ้าสาว หลังจากแต่งงาน เจ้าสาวจะต้องค้างคืนที่บ้านเจ้าบ่าวอย่างน้อย 3-4 คืนเพื่อแสดงฝีมือต้มเหล้าให้พ่อแม่สามีดื่มเสียก่อนแล้วจึงจะย้ายกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของผ่ายสาวอย่างน้อย 1 ปี แล้วจึงจะสามารถแยกเรือนออกไปอยู่ตามลำพังได้ ปกาเกอะญอบ้านหนองเต่ามีการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มแม่บ้านและกลุ่มสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เป็นต้น การติดต่อกับบุคคลภายนอก มีการติดต่อกับกลุ่มพ่อค้า นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ภาครัฐฝ่ายต่างๆ เช่น เจ้าหน้าที่จากทางอำเภอ ครูที่เข้ามาสอนในหมู่บ้านตลอดจนองค์กร IMPECT ซึ่งทำงานทางด้านวัฒนธรรมของชนเผ่า (หน้า 35 -37,41-42) |
|
Political Organization |
ปัจจุบัน บ้านหนองเต่ามีการปกครองโดยผู้ใหญ่บ้านหรือคนในหมู่บ้านเรียกว่า "พ่อหลวง" ซึ่งได้มาจากการเลือกตั้งซึ่งมีวาระคราวละ 4 ปี ทำหน้าที่ดูแลความเป็นไปในหมู่บ้าน รักษาความสงบและไกล่เกลี่ข้อพิพาท รวมถึงการเข้าร่วมประชุมกับอำเภอและดูแลทะเบียนราษฎร์ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเกิด แจ้งตาย ย้ายเข้าหรือย้ายออก (หน้า 34-35) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงปกาเกอะญอบ้านหนองเต่า นับถือศาสนาอยู่ 2 ศาสนาได้แก่ ศาสนาพุทธควบคู่กับการนับถือผีและศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ภายในหมู่บ้านมีวัดที่คนในหมู่บ้านเรียกหรือแท้จริงคืออาศรมพระธรรมจาริก 1 แห่ง มีพระสงฆ์ 1 รูป และมีโบสถ์โรมันคาทอลิก 1 แห่ง แต่สมาชิกในหมู่บ้านสามารถใช้สถานที่ 2 แห่งนี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน จึงไม่เกิดความขัดแย้งทางด้านศาสนา (หน้า 29-30) ในอดีตบรรพบุรุษของปกาเกอะญอทุกคนจะนับถือผี ไม่มีการนับถือศาสนาอื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ศาสนาต่างๆ ได้เข้ามาเผยแพร่ทำให้เกิดการนับถือศาสนาพุทธและคริสต์ขึ้น ผีตามความเชื่อของปกาเกอะญอประกอบด้วย ผีบ้าน เป็นผีหรือเทพารักษ์ที่รักษาหมู่บ้านผีเรือน เป็นผีหรือเจ้าประจำหมู่บ้าน คือวิญญาณของบรรพบุรุษที่คอยปกปักรักษาให้อยู่ด้วยความสงบสุข ผีไร่ ผีนา เป็นผีประจำไร่และนา จะต้องทำการเลี้ยงเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี ผีน้ำ เป็นผีประจำแหล่งน้ำจะคอยทำร้ายผู้ที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือลบหลู่ดูหมิ่น ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและถึงตายได้ ผีดอยและผีเฝ้าทาง เป็นผีประจำภูเขาและเส้นทางต่าง ๆ จะคอยทำร้ายผู้ที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือลบหลู่ดูหมิ่นเช่นเดียวกับผีน้ำ (หน้า 38-40) ประเพณี "กี่จึ๊" หรือประเพณีขึ้นปีใหม่ ปีหนึ่งจะจัด 2 ครั้ง คือก่อนฤดูกาลที่จะปลูกข้าวและในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม วัตถุประสงค์ในการเซ่นครั้งแรกคือ เซ่นผี เจ้าที่คุ้มครองชีวิตและการเพาะปลูกเพื่อให้ไม่มีอุปสรรค ส่วนการเซ่นครั้งที่ 2 เพื่อเซ่นผีเจ้าที่และผีต่างๆ ที่ช่วยคุ้มครองชีวิตและช่วยดูแลผลผลิตให้เจริญงอกงาม พิธีศพ โดยมากจะจัดกัน 3 วัน พิธีศพจะมีพิธีเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการทำพิธีในป่าพิธีกรรมซึ่งจะมีศาลผีไว้อยู่แล้ว โดยจะทำพิธีเซ่นผีเพื่อให้คนตายไปสู่สุคติ พิธีนี้จะจัดในวันที่ผู้นั้นตายลงหรือทราบว่าเขาเสียชีวิต ส่วนที่ 2 จะจัดที่บ้านงานศพ ให้เพื่อนบ้านมาร่วมแสดงความเสียใจ เมื่อเสร็จพิธีกรรมต่าง ๆ แล้วจึงจะทำการเคลื่อนย้ายศพไปยังป่าช้า พิธีกินข้าวใหม่ เป็นพิธีที่จัดกันเองในครอบครัว จัดขึ้นเพื่อจะเริ่มต้นกินข้าวที่เก็บในยุ้งฉางนั้นเพราะนับเป็นข้าวใหม่ของครอบครัวนั้น เพราะเชื่อว่าผีที่คุ้มครองดูแลข้าวจะช่วยให้มีข้าวอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ต่อไป (หน้า 40-44) |
|
Education and Socialization |
ปัจจุบัน ภายในหมู่บ้านมีโรงเรียนประถมศึกษา 1 โรง เปิดสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ถัดออกไปจากหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตรที่บ้านห้วยตอง มีโรงเรียนเปิดสอนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เนื่องจากเยาวชนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาขั้นต่ำจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทำให้ปกาเกอะญอรุ่นหลัง สามารถสื่อสารและพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น (หน้า 29) |
|
Health and Medicine |
ในอดีตการแพทย์ดั้งเดิมจะเป็นการรักษาโดย 2 วิธี ได้แก่การใช้ยาสมุนไพรและการใช้ระบบความเชื่อในการรักษา (หน้า 71) ปัจจุบันภายในหมู่บ้านมีสถานีอนามัย มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 2 ท่านเป็นผู้ดำเนินการ ทำการรักษาอาการเจ็บป่วยทั่วไป หากผู้ป่วยมีอาการหนักหรือต้องได้รับการรักษาเฉพาะทางจะถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแม่วาง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร (หน้า 29) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน จะแต่งด้วยชุดยาวกรอมเท้าสีขาวทรงกระบอก ทอจากฝ้าย มีลายคาดแถบเล็กๆ ตรงใต้อกเรียกว่า "เช-วา" หญิงที่แต่งงานสวมเสื้อสีดำยาวแค่เอวปักด้วยด้ายหลายสีเป็นลวดลาย เรียกเสื้อสีดำนี้ว่า "เช-ซู" หญิงที่แต่งงานแล้วมิได้ใส่ชุดสีดำเท่านั้นแต่จะเป็นสีเข้มและปักลวดลายเช่นเดิม นุ่งซิ่นแดงหรือชมพู เดินลายขวางเป็นเส้นห่างประมาณ 1 นิ้วตลอดผืน โพกศีรษะด้วยผ้าคาดผมสีขาว มีลวดลายสีแดงหรือสีส้มตรงปลายผ้า ปัจจุบัน นิยมใช้ผ้าขนหนูโพกแทน ส่วนเครื่องประดับอื่นๆ ได้แก่ สร้อยลูกปัด ตุ้มหูและกำไลเงิน เป็นต้น ส่วนผู้ชายไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่ก็ตาม จะสวมเสื้อสีแดงยาวแค่เอว เรียกว่า "เช-คอ" สวมกางเกงขาสีดำทรง "สะดอ" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกางเกงชาวเล จะคาดศีรษะด้วยผ้าสีแดงเมื่อมีงานพิธี (หน้า 44-45) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เดิมปกาเกอะญอบ้านหนองเต่า มีวัตถุประสงค์ในการทำการเกษตรกรรมเพื่อบริโภคเท่านั้น แต่ในระยะหลังสื่อจากภายนอกที่ถ่ายทอดรูปแบบการเพาะปลูกและชนิดของพืชที่จะปลูกแบบใหม่ รวมถึงการใช้สารเคมีและเครื่องมือต่างๆ เป็นผลทำให้รูปแบบของระบบกสิกรรมที่ถ่ายทอดมาแต่อดีตเปลี่ยนแปลงเป็นเกษตรเชิงพาณิชย์ ผสมผสานกับการเกษตรดั้งเดิมเพื่อการยังชีพ ในด้านการเมืองการปกครอง เดิมจะมีการปกครองโดยผู้นำหมู่บ้านหรือที่เรียกว่า "ฮีโข่" แต่ลักษณะการปกครองดังกล่าวเริ่มเสื่อมคลายลงเนื่องจากสื่อภายนอกเข้ามากระทำ โดยเริ่มจากเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งนำเอาระบบการปกครองที่มีผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนจากรัฐเป็นผู้ดูแล และต่อมามีการปกครองแบบสังคมเมืองมากขึ้นเนื่องจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะโทรทัศน์และวิทยุ ในด้านศาสนาเดิมชาวบ้านหนองเต่ามีความเชื่อเรื่องการนับถือผี ไม่ว่าจะเป็นผีที่อยู่ในธรรมชาติ เช่น ผีป่า ตลอดจนผีนา ผีไร่และผีบรรพชน แต่ปัจจุบันปกาเกอะญอหันมานับถือศาสนาอื่นเกือบทั้งหมดได้แก่ ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธจะมีพระสงฆ์เป็นสื่อเข้ามาในลักษณะของการทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับศาสนาแก่คนในหมู่บ้าน ส่วนศาสนาคริสต์จะมีบาทหลวงเป็นผู้นำสารเกี่ยวกับความเชื่อใหม่มาสู่หมู่บ้าน ในระยะแรกจะเป็นไปพร้อมกับการให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ เพราะนั่นคือการเผยแพร่ข่าวสารว่าพระเจ้าจะช่วยเหลือทุกคนที่ศรัทธา วัฒนธรรมด้านภาษาในอดีตปกาเกอะญอพูดและเขียนภาษาปกาเกอะญอเท่านั้น ต่อมาเมื่อมีสถาบันการศึกษาเข้ามาจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็ก ทำให้เด็กพูด อ่านและเขียนภาษาไทยได้ โดยการครอบงำผ่านกระบวนการถ่ายทอดความรู้ ในเรื่องของการแต่งกายจะนิยมแต่งกายตามสมัยนิยมแต่การแต่งกายลักษณะเดิมส่วนใหญ่จะเห็นในกลุ่มสตรีที่สมรสแล้วเป็นส่วนใหญ่แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนลักษณะบางประการ สื่อที่เป็นผลต่อการแต่งกายมากที่สุดคือรูปแบบการแต่งกายของดาราวัยรุ่นที่ชื่นชอบ ในส่วนของวัฒนธรรมด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ดนตรี วัฒนธรรมการกินตลอดจนการแพทย์ล้วนแต่มีลักษณะที่ผสมผสานวัฒนธรรมใหม่จากสังคมเมืองโดยมีสื่อเป็นสิ่งสำคัญต่อการปรับเปลี่ยนแต่ก็ยังคงลักษณะบางประการของวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่ (หน้า 48-73) |
|
Other Issues |
การสื่อสารโดยสื่อมวลชน ปัจจุบันคนในหมู่บ้านมีการเปิดรับสื่อมวลชนอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะโทรทัศน์ ซึ่งมีร้อยละ 85 ของหมู่บ้านจะมีโทรทัศน์ รองลงมาคือวิทยุซึ่งมีร้อยละ 60 ของหมู่บ้านส่วนสื่อสิ่งพิมพ์จะไม่แพร่หลายมากนักแต่จะเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น เช่น หนังสือดารา หนังสือเพลง ส่วนหนังสือพิมพ์จะมีให้อ่านที่วัดเท่านั้น (หน้า 46-47) |
|
Map/Illustration |
ตารางที่ 1 แสดงจำนวนผู้ให้ข้อมูลของชาวบ้าน หน้า 107 ตารางที่ 2 แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ของมนุษย์ ที่มีต่อมนุษย์และสังคม เกี่ยวกับครอบครัวและ เครือญาติ หน้า 108 ตารางที่ 3 แสดงจำนวนร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ที่บุคคลมีต่อผู้ร่วมสายโลหิต หน้า 110 ตารางที่ 4 แสดงจำนวนร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ของมนุษย์ และสังคมเกี่ยวกับกลุ่มชนและสังคม หน้า 111 ตารางที่ 5 แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ของมนุษย์ ที่มีต่อ มนุษย์และสังคม เกี่ยวกับสภาพบุคคล หน้า 112 ตารางที่ 6 แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ของมนุษย์ ที่มีต่อมนุษย์และสังคม เกี่ยวกับแนวทางการ ดำเนินชีวิต หน้า 114 ตารางที่ 7 แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ของมนุษย์ ที่มีต่อธรรมชาติ เกี่ยวกับคุณค่าของธรรมชาติ หน้า 115 ตารางที่ 8 แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ของมนุษย์ ที่มีต่อธรรมชาติ เกี่ยวกับสิ่งเร้นลับของ ธรรมชาติ หน้า 117 ตารางที่ 9 แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ของมนุษย์ ที่มีต่อศาสนา และอำนาจเหนือธรรมชาติ หน้า 1118 ตารางที่ 10 แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ของมนุษย์ ที่มีต่อศาสนา และอำนาจเหนือธรรมชาติ เกี่ยว กับดวงวิญญาณและผีบรรพบุรุษ หน้า 120 ตารางที่ 11 แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ตอบข้อมูล ในด้านโลกทัศน์ของมนุษย์ ที่มีต่อศาสนาและอำนาจสิ่งเหนือธรรมชาติ เกี่ยวกับคติศาสนา หน้า 122 แผนภูมิที่ 1 แผนภูมิแสดงลักษณะครอบครัวเดี่ยวของชาวโซ่ หน้า 48 แผนภูมิที่ 2 แผนภูมิแสดงโครงสร้างทางสังคมของชาวโซ่ หน้า 50 ภาพที่ 1 ภาพแผนที่ประกอบเส้นทางการอพยพของชาวโซ่ที่เดินทางเข้าสู่จังหวัด มุกดาหาร หน้า 24 ภาพที่ 2 ภาพแผนที่จังหวัดมุกดาหาร หน้า 32 ภาพที่ 3 ภาพแผนที่แสดงพื้นที่อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร หน้า 33 ภาพที่ 4 ภาพแผนที่หมู่บ้านหนองยาง ต.ชะโนดน้อย อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร หน้า 35 ภาพที่ 5 ภาพบ้านหนองยาง หน้า 136 ภาพที่ 6 ภาพโรงเรียนบ้านหนองยางหน้า 136 ภาพที่ 7 ภาพศาลหลักเมืองจังหวัดมุกดาหาร หน้า 137 ภาพที่ 8 ภาพสภาพท่าเรือจังหวัดมุกดาหาร หน้า 138 ภาพที่ 9 ภาพตอนล่างของแก่งกะเบา (แม่น้ำโขง) หน้า 138 ภาพที่ 10 ภาพหนองยางปัจจุบัน หน้า 139 ภาพที่ 11 ภาพชลประทานหนองหนาว หน้า 139 ภาพที่ 12 ภาพสภาพพื้นที่ท้ายชลประทานหนองหนาว หน้า 140 ภาพที่ 13 ภาพสภาพป่าถูกทำลาย หน้า 140 ภาพที่ 14 ภาพสภาพบ้านของชาวโซ่ หน้า 141 ภาพที่ 15 ภาพสภาพชีวิตประจำวันของสตรีชาวโซ่ หน้า 141 ภาพที่ 16 ภาพเด็กชาวโซ่ หน้า 142 ภาพที่ 17 ภาพชาวโซ่ หน้า 142 ภาพที่ 18 ภาพพิธีบูชาลม ไฟ หน้า 143 นอกจากนี้ยังประกอบด้วย :- 1. แบบสัมภาษณ์ หน้า 91 2. รายนามผู้ให้สัมภาษณ์ หน้า 125 |
|
|