|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลีซู,ความรู้, การรักษาพยาบาลพื้นบ้าน, มิติทางวัฒนธรรม, การจัดการทรัพยากรชีวภาพ, แม่ฮ่องสอน |
Author |
วิเชียร อันประเสริฐ |
Title |
ความรู้และการรักษาพยาบาลพื้นบ้านของชาวลีซู : มิติทางวัฒนธรรมของการจัดการทรัพยากรชีวภาพ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลีซู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
168 |
Year |
2544 |
Source |
หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ใช้แนวคิดสองประการ คือ แนวคิดว่าด้วยวิธีคิดเรื่องการรักษาพยาบาลพื้นบ้านและแนวคิดเรื่องการปรับตัวเพื่อทำความเข้าใจการจัดการทรัพยากรชีวภาพในมิติทางวัฒนธรรมผ่านกระบวนการกลายเป็นหมอยา ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการกลายเป็นหมอยาพื้นบ้านเกิดขึ้นภายใต้องค์ประกอบสามประการคือ 1. องค์ความรู้ในการรักษาพยาบาลพื้นบ้าน 5 ชุด (ความรู้ในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ, ลักษณะพืชและส่วนของพืชที่นำมาเป็นยา, ความรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้พืชเพื่อเป็นยา, ความรู้เรื่องระบบนิเวศของพืช และ ความรู้เรื่องระบบคุณค่า กฎเกณฑ์ และอำนาจ) 2. การเป็นหมอยาพื้นบ้านต้องอาศัยความรู้จากการปฏิบัติจริง 3. ต้องได้รับการยอมรับจากชุมชน เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่นำผลกระทบมาสู่ชุมชน หมอยาพื้นบ้านได้ประยุกต์ตีความความเชื่อเดิมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย การปรับตัวพบว่ามี 3 ระดับคือ ระดับการจัดการ ระดับวัฒนธรรม และ ระดับวิธีคิด ซึ่งการปรับตัวทั้ง 3 ระดับ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การปรับตัวที่ยังคงยอมรับอำนาจของชุมชนและการปรับตัวที่หลุดออกจากอำนาจของชุมชน การปรับตัวของหมอยาพื้นบ้านแสดงถึงแนวคิดที่ซับซ้อนในเรื่องความรู้และสิทธิที่มิได้ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว เช่นเดียวกับการจัดการทรัพยากรชีวภาพที่ไม่อาจแบ่งออกเป็นระบบกรรมสิทธิ์แบบใดแบบหนึ่งอย่างเป็นเอกเทศ หากแต่ต้องคำนึงถึงมิติทางวัฒนธรรมของชุมชนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย (หน้า จ - ฉ) |
|
Focus |
1. ทำความเข้าใจระบบความรู้ และการจัดการทรัพยากรชีวภาพของลีซู 2. ทำความเข้าใจกับภูมิปัญญาในด้านการรักษาพยาบาลพื้นบ้าน และการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น (หน้า 5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ภาษา "ลีซู" อยู่ในตระกูล Sino - Tibetan กลุ่มย่อย Tibeto - Burman หรือ Lolish มีการกระจายตัวอยู่ในเขตมณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เขตรัฐฉานในประเทศพม่า บางส่วนตั้งบ้านเรือนอยู่ในแคว้นอัสสัมของประเทศอินเดีย และอาศัยอยู่บนที่สูงในภาคเหนือของประเทศไทย ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 31,000 คน (หน้า 7) สำหรับลีซูที่ถูกศึกษานี้อยู่ในหมู่บ้านหน่าโข อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษา "ลีซู" อยู่ในตระกูล Sino - Tibetan กลุ่มย่อย Tibeto - Burman หรือ Lolish |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้ศึกษาเริ่มต้นเข้าหมู่บ้านหน่าโขปลายปี พ.ศ. 2540 ในฐานะของผู้ช่วยนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องการใช้สมุนไพรของชาวบ้าน หลังจากนั้นในปี 2542 จึงเข้าหมู่บ้านอีกครั้งในฐานะของนักศึกษาปริญญาโท ผู้ศึกษาใช้เวลาเข้าหมู่บ้าน 8 ครั้ง ครั้งละ 1 - 3 สัปดาห์ ตลอดช่วงปลายปี พ.ศ. 2542 - ต้นปี พ.ศ. 2544 (หน้า 30) |
|
History of the Group and Community |
การเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณบ้านหน่าโข เกิดจากการอพยพโยกย้ายของลีซูหลายกลุ่ม เช่น นายหลวง เล่ายี่ป่า มีเส้นทางอพยพดังนี้ เมื่อก่อนอยู่ที่เมิงจิงต๋ง ประเทศพม่า จนอายุ 13 ปี จึงได้เข้ามาอยู่เมืองไทยที่บ้านหัวแม่คำ ต.ป่าซาง อ.แม่จัน จ.เชียงราย หลังจากนั้นจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านห้วยหยวก อ.เชียงดาว ต่อมาย้ายมาอยู่ที่ดอยแม่สะลอง แล้วจึงย้ายมาอยู่ที่ท่าเงาะ แล้วจึงมาอยู่ที่บ้านหน่าโข การอพยพเข้ามาเพื่อสร้างชุมชนบ้านหน่าโข ยังมีอีก 2 - 3 กลุ่ม เช่น ลีซูจากบ้านแพมบก ต.ทุ่งยาว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน หรือกลุ่มลีซูที่ปางแบก บางส่วนได้อพยพตามเข้ามาอยู่ด้วย (หน้า 37) นอกจากนี้งานวิจัยยังได้กล่าวถึงการอพยพโยกย้ายของลีซูบ้านหน่าโขโดยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมและระบบนิเวศ จากการศึกษาพบว่ารูปแบบการย้ายเข้ามาในระดับครัวเรือนต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมของชุมชน ผู้ที่จะขอเข้ามาอยู่ต้องนำเหล้า 1 ขวดมาคุยกับคนแรกที่บุกเบิกเข้ามาเพื่อขอเข้ามาอยู่ร่วมด้วย หลังจากนั้น ผู้บุกเบิกคนแรกจะเรียกประชุมหมู่บ้านเพื่อสอบถามว่าจะให้อยู่ได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบดูว่าคนที่จะเข้ามาอยู่เป็นคนดีหรือไม่ งานวิจัยยังระบุด้วยว่าเหตุผลของการย้ายหมู่บ้านแต่ละครั้งคือ การแสวงหาพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์และการหลบหลีกโจรขโมย การอพยพแต่ละครั้งต้องเข้าไปดูลักษณะของพื้นที่ก่อน เช่น พื้นที่ตั้งหมู่บ้าน พื้นที่ทำกินทั้งพื้นที่ไร่ข้าวและไร่ฝิ่น โดยจะมีกลุ่มผู้อาวุโสที่มีความรู้ในด้านดังกล่าวไปดูพื้นที่ด้วย เหตุผลในการอพยพโยกย้าย ประเด็นแรก เกิดขึ้นจากระบบการผลิต แม้ว่าลีซูจะปลูกฝิ่นแล้วนำเงินมาซื้อข้าวได้ แต่บางปีฝิ่นราคาไม่ดีก็จะมีเงินซื้อข้าวไม่ถึงปี แต่หากปลูกข้าวและทำฝิ่นร่วมกันจะได้ข้าวเพื่อดำรงชีวิตอยู่และมีฝิ่นไว้ขายเพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการ ประเด็นที่สอง คืออพยพเพราะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ประเด็นที่สาม คือ ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ หากพื้นที่ใดอุดมสมบูรณ์สูงก็จะอยู่พื้นที่นั้นได้นาน แต่หากพื้นที่ใดมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำก็จะอยู่ได้ไม่นาน การอพยพโยกย้ายอาจจะอพยพทั้งหมู่บ้าน อพยพเพียงบางกลุ่มเครือญาติหรือเพียงครอบครัวเดียว อย่างไรก็ตามการอพยพแต่ละครั้งจะมีอย่างน้อยประมาณ 20 ครอบครัว ที่จพเป็นต้องมีขนาดใหญ่เช่นนี้เนื่องจากลีซูมีประเพณีที่ใหญ่โตและใช้คนร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก (หน้า 57 - 60) |
|
Demography |
จากการสำรวจประชากรและกลุ่มเครือญาติของบ้านหน่าโข ของสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (IMPECT) ในปี 2542 พบว่า หมู่บ้านนี้มีประชากรทั้งสิ้น 306 คน มีกลุ่มตระกูลอยู่ทั้งหมด 11 ตระกูล (ดูตารางที่ 1 หน้า 34 ประกอบ) |
|
Economy |
ลีซูมีระบบการผลิตแบบตัดฟันโค่นเผา โดยใช้พื้นที่ป่าผืนใดผืนหนึ่งจนหมดความอุดมสมบูรณ์แล้วจะย้ายพื้นที่เพาะปลูก ลีซูนิยมทำการเพาะปลูกข้าว ข้าวโพด และฝิ่นเป็นพืชหลัก โดยปลูกข้าวไร่บนที่ดินแปลงเดิมเป็นเวลาประมาณ 1 - 3 ปี ในการอพยพโยกย้าย พวกเขานิยมที่จะย้ายไปอยู่ใกล้กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่น กะเหรี่ยงเพื่อได้มีแรงงานราคาถูกและอยู่ใกล้กับจีนฮ่อ เพื่อทำการค้าขายด้วย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาการค้าขายจะใช้เงินแถบและฝิ่นในการแลกเปลี่ยน (หน้า 8) ระบบการผลิตของลีซูบ้านหน่าโขในอดีตเป็นการทำไร่แบบย้ายที่ (shifting cultivation) กล่าวคือ มีการตัดฟันโค่นต้นไม้ ปล่อยไว้ให้แห้งประมาณ 1 - 2 เดือน แล้วจึงเผา จากนั้นจึงจะปลูกข้าว ข้าวโพด หรือฝิ่น และเก็บเกี่ยวผลผลิต ชาวบ้านจะทำการผลิตในพื้นที่ประมาณ 2 - 3 ปี เมื่อปีใดผลผลิตข้าว ฝิ่น ลดลงชาวบ้านก็จะย้ายพื้นที่เพาะปลูกใหม่ในปีต่อไป โดยจะเข้าไปเปิดพื้นที่ป่าใหม่อีกครั้ง หลังจากปล่อยให้ที่ดินคืนสภาพประณ 6 - 8 ปี ชาวบ้านก็จะเข้ามาทำการผลิตซ้ำในพื้นที่เดิมอีกครั้ง (หน้า 61) นอกจากการเพาะปลูกแล้ว กิจกรรมที่สำคัญในระบบการผลิตของลีซู คือ การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ และการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ ลีซูบ้านหน่าโขจะคัดเลือกเมล็ดพันธุ์เพื่อเพาะปลูกในปีต่อไป พันธุ์พืชที่ใช้คัดเลือกมีพันธุ์ข้าว ข้าวโพด ฝิ่น และพืชอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบการผลิตของตนเอง จะคัดเลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง หลังจากคัดเลือกเมล็ดพันธุ์แล้ว ชาวบ้านจะมีวิธีเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ที่ตนเองคัดเลือกมา เช่น ข้าวก็เก็บไว้ในถุงปุ๋ยไว้ในยุ้งข้าว ข้าวโพดจะแขวนไว้ตามขื่อบ้าน ฝิ่นจะห่อผ้าไว้สำหรับการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ หากเห็นว่าเมล็ดข้าวไม่พอที่จะนำไปเพาะปลูกในปีต่อไป ก็จะนำเมล็ดข้าวอีกชนิดหนึ่งหรืออาจจะนำเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหรือพืชอื่น ๆ ไปแลกกับพี่น้อง หรือเครือญาติ หรือกับคนที่สืบรู้มาว่าเขามีเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ต้องการ (หน้า 64-65) |
|
Social Organization |
ลีซูเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่สืบเชื้อสายทางบิดา (patrilineal) ฝ่ายหญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องใช้นามสกุลและไหว้ผีบรรพบุรุษของสามี สภาพในครอบครัวของผู้ชายมีสถานะสูงกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายจะมีหน้าที่ตัดสินใจสิ่งที่สำคัญในครอบครัว เช่น การย้ายถิ่นฐาน การตัดสินคดีความในหมู่บ้าน การติดต่อกับคนภายนอกหมู่บ้าน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงมีอิสรภาพในการดำเนินชีวิตและตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองได้มาก เช่น การเลือกคู่แต่งงาน การหย่าร้างเมื่อมีปัญหาชีวิตคู่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีระบบการแต่งงานแบบ Exogamy กล่าวคือ จะต้องแต่งงานกับคนต่างตระกูลเท่านั้น หากแต่งงานในแซ่สกุลเดียวกันจะถือเป็นการผิดจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง ดังนั้น การตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันเป็นชุมชนจะต้องประกอบไปด้วยแซ่สกุลอย่างน้อย 2 - 3 ตระกูล (หน้า 7 - 8) กลุ่มเครือญาติเป็นแหล่งข้อมูลที่มีเครือข่ายใหญ่มากกว่าชุมชนหรือหมู่บ้าน ในอดีตชาวบ้านที่เป็นพี่น้องกันจะเดินทางไปมาหาสู่กันเพื่อพบปะแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกัน เครือญาติยังเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญของคนในตระกูล เช่น ความรู้เรื่องสมุนไพร การผลิต การตีเหล็ก เป็นต้น ความรู้เหล่านี้จะถ่ายทอดให้กับคนภายในตระกูล หรือถ่ายทอดให้กับคนนอกตระกูลอย่างมีเงื่อนไข เช่น ต้องจ่ายค่าครูก่อนถึงจะถ่ายทอดความรู้ให้ |
|
Political Organization |
ระบบความสัมพันธ์ทางสังคมของลีซูมีลำดับขั้น เฉพาะในความสัมพันธ์ระดับครัวเรือน เครือญาติและการนับถือผีเท่านั้น ส่วนความสัมพันธ์กับคนอื่นนอกระบบเครือญาติจะเป็นไปอย่างเท่าเทียมกันและมีความสมดุล นอกจากนี้ลีซูจะมีความภาคภูมิใจและมีเกียรติอย่างมากหากได้รับการเคารพยกย่องได้มากกว่าคนอื่นๆ แต่การได้สิ่งนี้มาจะต้องขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของตนเอง ไม่ได้อยู่ที่เพศ ความอาวุโส หรือเครือญาติ หรือแม้แต่การมีอำนาจเหนือคนอื่น (หน้า 7) ลักษณะการปกครองหมู่บ้านหน่าโขในปัจจุบันเหมือนกับหมู่บ้านในชนบทของประเทศไทยทั่วไป กล่าวคือ มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน สำหรับการปกครองของลีซูในอดีตนั้น การตั้งหมู่บ้านของลีซูต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถทำหน้าที่แตกต่างกัน เช่น ฆูเดอผะ (ช่างตีมีด), หนี่ผะ (หมอผี), หมอเมืองผะ (ผู้ดูแลอาปาหมู่ฮี), ฆว่าทู (ผู้นำชุมชนตามประเพณี), โชโหม่โชตี (คณะกรรมการอาวุโส), หนี่ตีผะ (ผู้มีความชำนาญในการร้องขวัญ, มัดมือ) เพื่อช่วยกันดูแลและปกครองชุมชน (หน้า 41) |
|
Belief System |
ลีซูมีความคิดเรื่องสิทธิว่า หากใครบุกเบิกพื้นที่ป่าก่อนจะมีสิทธิเข้าไปใช้ประโยชน์พื้นที่นั้นๆ และสิทธิดังกล่าวจะติดตามบุคคลนั้นไปด้วย สามารถที่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเข้ามาทำประโยชน์ได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ระยะหนึ่งไม่เข้ามาทำประโยชน์ชาวบ้านคนอื่นก็สามารถขอเข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวได้ ซึ่งสิทธิลักษณะนี้เป็น "สิทธิการใช้" ไม่ได้แสดงเป็นเจ้าของพื้นที่ เพราะพื้นที่นั้นเป็นของผี (หน้า 25) ลีซูบ้านหน่าโขนับถือสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติหรือพลังที่อยู่เหนือธรรมชาติ ลีซูเชื่อว่าสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งในโลกนี้ขึ้น แม้แต่มนุษย์ก็ถูกสร้างมาจากสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาตินี้ ลีซูเรียกสิ่งนี้ว่า "หนี่" แปลว่า ผี หรือเทพ ซึ่งจะพบได้ทุกหนแห่ง นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า "หนี่" บางองค์หรือบางตนมีพลังอำนาจเหนือกว่าตนที่จะบันดาลให้เกิดความเจ็บป่วยได้หรือทำให้ผลผลิตตนเสียหาย ในขณะเดียวกันก็สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยหรือทำให้ผลผลิตของตนเพิ่มมากขึ้น, การประกอบพิธีกรรม การเลี้ยงดู การเซ่นไหว้จึงเป็นหนทางที่ลีซูติดต่อและขอใช้สิ่งที่ "หนี่" เป็นเจ้าของ และหากตัดไม้เพื่อทำไร่ โดยไม่ได้ขอต่อเทพที่ดูแลป่าบริเวณนั้นหรือเจ้าที่เจ้าทาง เมื่อกลับมาบ้านอาจจะป่วย บางคนอาจเป็นบ้า สติไม่ดี พูดไม่รู้เรื่อง พูดคนเดียว หากรู้ว่าทำผิดต่อผีคนใดก็สามารถที่จะแก้ไขได้โดยไปขอขมาต่อผีตนนั้น (หน้า 51 - 55) พิธีกรรมในระบบการผลิต ในทุกกิจกรรมการผลิตจะมีพิธีกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อติดต่อกับเทพของลีซู ด้วยเหตุผล 4 ประการดังนี้ 1. เพื่อขอใช้พื้นที่เพื่อการผลิต 2. เพื่อขอให้เทพประทานผลผลิตให้ตนมากๆ 3. เพื่อขอให้เทพคุ้มครองดูแลทั้งผลผลิตและคนที่ทำงานในไร่ 4. เพื่อแสดงการขอบคุณต่อเทพที่มอบความอุดมสมบูรณ์แก่พวกเขา (หน้า 62) |
|
Education and Socialization |
ปี พ.ศ. 2526 ทางอำเภออนุมัติให้มีโรงเรียนที่หมู่บ้าน อำเภอส่งครูมา 2 คน แต่ชาวบ้านต้องสร้างโรงเรียนกันเอง โดยสร้างเป็นศาลาที่ใช้หญ้าคาเป็นหลังคา และอีก 1 ปีต่อมาได้สร้างบ้านพักให้กับครูโดยใช้แรงงานชาวบ้าน เนื่องจากทางอำเภอไม่มีงบประมาณ จนในปัจจุบัน โรงเรียนได้มีงบประมาณสร้างอาคารเรียนที่ถาวร ในช่วงการก่อตั้งหมู่บ้านหน่าโข ประมาณปี 2522 - 2523 มิชชันนารีได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่บ้าน ในช่วงแรกมีชาวบ้านเพียง 2 - 3 ครัวเรือนที่รื้อหิ้งผีเพื่อเข้าสู่ คริสตศาสนา ในปัจจุบันมีชาวบ้านนับถือคริสต์ทั้งหมด 16 หลังคาเรือน จากทั้งหมด 60 กว่าหลังคาเรือน (หน้า 39) |
|
Health and Medicine |
ลีซูมีความเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้จากการกระทำของผี และไม่ใช่การกระทำของผี การรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดจากการกระทำของผีจะใช้การประกอบพิธีกรรม อย่างไรก็ตาม จะต้องดูว่าความเจ็บป่วยนั้นเกิดขึ้นในระดับของสังคม แบ่งออกได้ 4 ระดับ คือ ระดับปัจเจก ระดับครอบครัว ระดับเครือญาติ และ ระดับชุมชน ส่วนความเจ็บป่วยที่ไม่ได้เกิดจากการกระทำของผี ชาวบ้านจะรักษาตัวเองด้วยสมุนไพรหรือไปหาหมอที่โรงพยาบาล หรือสถานีอนามัย ในอดีตลีซูทุกคนจะมีความรู้เรื่องสมุนไพรเพื่อรักษาตนเองหรือคนในครอบครัว ลีซูจะพยายามรักษาตนเองให้ได้ก่อน โดยใช้ความรู้ของตนและเครือญาติ หากไม่ได้ผลก็จะไปหาหมอยาคนอื่นๆ ต่อไป เพราะการเดินทางไปสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลเป็นเรื่องลำบาก นอกจากจะเจ็บป่วยหนักจริงๆ จึงจะเดินทางไปโรงพยาบาล การรักษาพยาบาลผู้ป่วยจะมีทั้งการรักษาด้วยพิธีกรรมและการรักษาด้วยสมุนไพร การรักษาทั้งสองประเภทนี้ไม่ได้แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะรักษาด้วยพิธีกรรมแล้วก็ตามก็ยังคงมีการใช้สมุนไพรเพื่อช่วยในการรักษาด้วย เพื่อเป็นหลักประกันว่าความเจ็บป่วยนั้นจะหายเป็นปกติได้ กระนั้นก็ตามทุกครั้งที่เกิดความเจ็บป่วยขึ้น ลีซูจะใช้พิธีกรรมในการรักษาเยียวยาตนเองก่อนเสมอ จากนั้นจึงจะใช้สมุนไพรในการรักษาพยาบาลทีหลัง (หน้า 80-82) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ลีซูมีความเชื่อว่า ในอดีตเมื่อ 4,000 ปีมาแล้ว พวกเขามีอาณาจักรหรือประเทศเป็นของตนเอง แต่ต่อมาได้สู้รบกับจีนแล้วพ่ายแพ้ จึงเป็นคนไร้แผ่นดิน อพยพไปอยู่ตามส่วนต่างๆ (หน้า 7) ตามตำนานของลีซูเกี่ยวกับข้าวที่ได้เล่าสืบต่อกันมา ในอดีตนั้นโลกมีเมล็ดข้าวที่ใหญ่มากขนาดเท่าลูกฟัก เมื่อจะกินต้องเอาเปลือกออกแล้วนำมาตำให้ละเอียดจึงนำมาหุงกิน มีอยู่วันหนึ่งลูกของหญิงสาวคนหนึ่งปวดท้องอุจจาระ และได้ถ่ายออกมา เมื่อถ่ายเสร็จแล้ว แม่ก็พยายามที่จะเช็ดก้นลูก เมื่อเทพแห่งข้าวเห็นก็โกรธบอกว่า ตนได้ให้ข้าวกับเจ้ากิน แต่เจ้ากลับนำมาเช็ดอุจจาระจึงเก็บข้าวไปจนหมดโลก หลังจากนั้นโลกก็อดอยาก ไม่มีข้าวกิน แต่มีลีซูคนหนึ่งรู้ว่าบนสวรรค์นั้นมีข้าวของเทวดาอยู่ และตอนนี้เทวดากำลังตากข้าวอยู่ จึงได้บอกให้สุนัขไปนอนบริเวณที่เทวดาตากข้าว สุนัขก็ตามไปที่ลีซูคนนั้นบอก เมื่อนอนจนเมื่อยแล้วก็จะลงมาสู่โลกมนุษย์ ข้าวที่ตากอยู่ก็จะติดอยู่ตามขนของสุนัขตัวนั้น เมื่อเทวดามาเห็นจึงไล่ตามเพื่อนำเมล็ดข้าวคืน แต่สุนัขก็วิ่งหนีมาอย่างรวดเร็วจนข้าวที่ติดมาตามตัวร่วงออกหมด เมื่อมาถึงโลกมนุษย์ ลีซูคนนั้นก็เข้าไปหาสุนัขและค้นหาเมล็ดข้าว ในที่สุดก็พบข้าว 3 เมล็ดอยู่ที่พวงหางของสุนัขตัวนั้น จึงได้นำมาปลูก และขยายพันธุ์ต่อมาจนมีข้าวมากมาย นับตั้งแต่นั้นมาลีซูจึงเชื่อว่าสุนัขเป็นผู้ที่ทำให้ตนมีข้าวกิน (เชิงอรรถหน้า 62-63) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลีซูจัดความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ไม่เท่าเทียมกัน โดยมองกลุ่มว้า หรือกาลา และมูเซอร์ เป็นพวกคนป่า ซึ่งแตกต่างจากลีซูซึ่งฉลาดปราดเปรื่องมากกว่า นอกจากนี้ ลีซูเชื่อว่าตนเองนั้นมีความเหนือกว่าอาข่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มชาติพันธุ์ที่ลีซูเห็นว่าเหนือกว่าหรือไม่ด้อยกว่าตนเอง คือ คนจีน การจัดความสัมพันธ์เช่นนี้มีผลต่อการแต่งงาน โดยลีซูไม่นิยมให้ลูกสาวแต่งงานกับกลุ่มอื่นที่ด้อยกว่าตนเอง แต่จะยอมให้ผู้ชายไปแต่งงานกับกลุ่มอื่นได้ (หน้า 7) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในมุมมองของลีซู การใช้แรงงานเพื่อผลิตปัจจัยในการดำรงชีพนำเอาผลผลิตที่เกินความต้องการไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินแถบสำหรับเป็นสินสอดเจ้าสาวเพื่อให้ได้แรงงานเพิ่มขึ้นในครัวเรือน งานที่ใช้แรงกายเป็นงานที่หนักและเหนื่อย แต่สำหรับลีซูแล้วไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายทว่าเป็นสิ่งที่สร้างเกียรติภูมิให้กับตนเอง และถือว่าเป็นการทำงานที่แท้จริง (Real Work) ที่แสดงถึงคุณค่าหรือศักดิ์ศรีของการเป็นลีซู เมื่อเกิดปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรและการพัฒนาชาวเขาอย่างมีอคติทำให้งานที่แท้จริงลดลง งานที่แปลกปลอมเข้ามาไม่ต้องใช้แรงงานอย่างเหนื่อยยากแต่กลับมีความสำคัญมากขึ้น เช่น การเย็บผ้า การเลี้ยงดูเด็ก การดูแลบ้าน ฯลฯ งานประเภทนี้สร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้ชายได้น้อยกว่าการใช้แรงงานหนักในไร่ ความแปลกแยกและความตึงเครียดจึงเกิดขึ้นในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย นอกจากนี้ ในสังคมอดีตความสัมพันธ์หญิงชายมีความสมดุล ผู้ชายเปรียบเป็นสุนัข ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความคล่องตัวและกล้าหาญ เดินทางไปไหนมาไหนอย่างมีอิสระ ผู้หญิงเปรียบเสมือนช้างที่สง่างาม ทำงานหนัก และมีบุคลิกน่ายกย่อง การเปรียบเทียบเหล่านี้ไม่ได้เป็นจริงอีกต่อไป เมื่อรัฐได้เข้ามาทำลายระบบการผลิตฝิ่นของลีซู ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของเงินแถบที่จะซื้อผู้หญิงมาเป็นแรงงาน ผู้ชายเริ่มไม่มีงาน (ที่มีเกียรติ) ทำให้มีความเครียดมากขึ้นและสยบยอมต่ออำนาจจากภายนอกและไร้ศักดิ์ศรี ผู้หญิงเริ่มต้องทำงานหนักมากขึ้น มีการระบายออกด้วยการซุบซิบทางเรื่องเพศและมีลักษณะการเป็น "สุนัข" ในสัญลักษณ์ที่สร้างขึ้นมาในอดีตแทนผู้ชายและเป็นผลให้ความสัมพันธ์ของหญิงชายตกอยู่ในภาวะแปลกแยก (หน้า 10-11) ในปี พ.ศ. 2528 เจ้าหน้าที่รัฐได้เข้ามาหมู่บ้านให้ชาวบ้านเลิกปลูกฝิ่น โดยใช้วิธีการตัดต้นฝิ่นขณะที่กำลังให้ผลผลิต ชาวบ้านหลายคนถูกจับ จนในปี พ.ศ. 2537-2538 ชาวบ้านก็เลิกปลูกฝิ่นในที่สุด และนับตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านก็ยากจนลงเรื่อยๆ เนื่องจากไม่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว ดังนั้น การปลูกพืชอื่นทดแทนเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเองของชาวบ้านจึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ชาวบ้านเริ่มหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กะหล่ำปลี ขิง กระเทียม แต่ก็ประสบกับความล้มเหลว เนื่องจากปลูกแล้วไม่มีใครมาซื้อผลผลิต เนื่องจากถนนหนทางไม่ดี และการจ้างรถเพื่อนำผลผลิตออกไปขายก็ไม่คุ้ม ปี พ.ศ. 2538 กรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่บริเวณบ้านหน่าโขเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้เข้ามาห้ามชาวบ้านบุกเบิกที่ทำกินใหม่และได้จับกุมชาวบ้านบางส่วน รัฐห้ามชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่ใหม่และห้ามตัดต้นไม้ขนาดใหญ่ นับแต่นั้นชาวบ้านไม่กล้าบุกเบิกพื้นที่ใหม่เพราะกลัวถูกจับ ชาวบ้านพยายามปรับวิธีการผลิตของตนเอง โดยต้องปลูกข้าวและข้าวโพดบนพื้นที่เดิม ทำให้ผลผลิตลดลง จนต้องซื้อปุ๋ย ยาฆ่าแมลงเข้ามาเพิ่มผลผลิต มีชาวบ้านออกไปขายแรงงานนอกหมู่บ้านมากขึ้น การปรับตัวเช่นนี้เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ยั่งยืน ระบบการผลิตใหม่ของชาวบ้านกำลังประสบกับความล้มเหลว เงินที่เคยสะสมไว้กำลังร่อยหรอ ภาวะอับจนเช่นนี้เป็นแรงผลักดันให้กระทำเรื่องผิดกฎหมาย เช่น ขายยาเสพติด, มีการทำหัตถกรรมที่เป็นรูปแบบของลีซูโดยเฉพาะ รวมทั้งการซื้อสินค้าจากไนท์บาร์ซาร์เพื่อขายแก่นักท่องเที่ยว ผลกระทบจากการออกไปขายแรงงานนอกหมู่บ้านรวมทั้งการเรียนต่อในเมืองของเด็กๆ ทำให้หมู่บ้านขาดแรงงานการผลิต ทำให้ต้องจ้างแรงงานที่เป็นชาวบ้านด้วยกันเอง (หน้า 66-70) การจับกุมชาวบ้านในข้อหาบุกรุกอุทยานของเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อไม่ให้ขยายพื้นที่การผลิตต่อไปอีกในช่วงปี 2538 รวมทั้งห้ามไม่ให้อพยพไปอยู่พื้นที่ใหม่ ให้อยู่พื้นที่เดิม และห้ามตัดต้นไม่ใหญ่ ทำให้ชาวบ้านรับรู้เรื่องสิทธิของรัฐ (state property) มากขึ้น จากเดิมที่รู้เพียงแค่ว่า นี่คือแผ่นดินไทย (หน้า 74) การปรับตัวของหมอยาพื้นบ้านลีซู 1. การปรับตัวในระดับการจัดการ จากเดิมที่หมอยาจะรักษาคนไข้ด้วยการใช้สมุนไพรเฉพาะอาการป่วยนั้นๆ แต่เมื่อการเปลี่ยนแปลงเข้ามา ชาวบ้านได้แปรเปลี่ยนพืชสมุนไพรมาเป็นยาห่อ เพื่อนำออกขายสร้างรายได้ให้กับตนเอง 2. การปรับตัวทางวัฒนธรรม "การเก็บหิ้งผี" เป็นรูปธรรมหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นการปรับตัวทางวัฒนธรรมระหว่างการเป็นหมอยากับการเป็นคนขายยาห่อ เป็นการเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างสองโลก คือ โลกภายใต้ระบบจักรวาลวิทยาแบบเดิมของลีซูกับโลกในระบบทุนนิยม จากเดิมหิ้งผีครูสอดคล้องกับการดำรงอยู่ของวิถีชีวิต แต่การเข้ามาของภาวะกดดันทำให้ภาวะสับสนและความไม่เป็นระเบียบของในจักรวาลวิทยาเดิม การเก็บหิ้งผีจึงเป็นการยุติพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับผีครู เพื่อให้การดำรงอยู่ร่วมกันของทั้งสองโลกนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นหรือเพื่อปรับความสัมพันธ์ทางสังคมให้ฟื้นสู่ความสมดุลอีกครั้ง 3. การปรับตัวทางด้านวิธีคิด จากเดิมพืชสมุนไพรได้รับการให้คุณค่าต่อหมอยาพื้นบ้านในฐานะที่เป็น "ยา" ซึ่งถือว่าเป็น "ของสูง" และถูกกำกับด้วยชุดความรู้ที่ผ่านการเรียนรู้อย่างผีมีครู เมื่อมีความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่ทำให้พืชสมุนไพรมาเป็นสินค้า หมอยาพื้นบ้านจึงเลือกให้ความหมายพืชสมุนไพรในฐานะที่เป็นพืชตัวหนึ่ง โดยตัดความสัมพันธ์ระหว่างพืชสมุนไพรกับผีครู เพื่อขยายสิทธิการใช้สู่สมาชิกนอกชุมชนลีซู เป็นการทำให้ความรู้ที่เกี่ยวกับสมุนไพรเป็นสินค้าเพื่อขยายสู่ระบบตลาดมากขึ้น (หน้า 162 - 163) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้แผนผัง แผนที่ และแผนภาพ ดังนี้ (1) แผนที่อาณาเขตจังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 31) (2) แผนผังสถานที่ตั้งบ้านเมืองก๊ะ ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า34) (3) แผนผังของหมู่บ้านโดยสังเขป (หน้า 43) (4) แผนภูมิการสืบทอดทางพ่อ (หน้า89) (5) แผนภูมิการนับญาติ (หน้า 91) (6)แผนภาพ โครงสร้างโดยย่อของหมู่บ้านเมืองก๊ะ (หน้า 127) |
|
|