|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเลิง,การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม,นครพนม |
Author |
บุญช่วย เทอำรุง |
Title |
วัฒนธรรมชาวบ้านกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม |
Document Type |
ปริญญานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กะเลิง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
102 |
Year |
2537 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นสังคมศาสตร์) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม |
Abstract |
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาวัฒนธรรมและการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของชาวบ้านกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ผลการวิจัยพบว่า (1) วัฒนธรรมของชาวบ้านกุรุคุ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิงในระบบเครือญาติและครอบครัวอาวุโสหรือเจ้าโคตรของตระกูลจะเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุด จะเป็นผู้ตัดสินใจปัญหาสำคัญ ผู้ที่เป็นเขยของตระกูลจะมีลำดับที่ต่ำสุดของตระกูล สภาพเศรษฐกิจของชาวบ้านขึ้นอยู่กับการทำเกษตรกรรม นอกจากนั้นยังมีการไปรับจ้างเป็นกรรมกรก่อสร้างในตัวจังหวัด ร้านค้าในหมู่บ้านจะรับสินค้าจากภายนอกเข้ามาจำหน่ายในหมู่บ้าน มีการนับถือศาสนาพุทธ เชื่อโชคลางตามพิธีพราหมณ์ นับถือผีบรรพบุรุษ ผีมเหสักข์ของหมู่บ้านคือ เจ้าปู่แท่นคำเหลือง มีการทำพิธีในเดือน 4 ก่อนการปักดำและเดือน 11 ก่อนการเก็บเกี่ยว มีหมอเหยาทำพิธีให้กับผู้ป่วยในการรักษาโรค ภาษาที่ใช้ในหมู่บ้านคือภาษากะเลิง (2) การผสมกลมกลืนทางวัมนธรรม ชาวบ้านกุรุคุมีการติดต่อกับกลุ่มต่างชาติพันธุ์อื่นโดยการแต่งงาน ในปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนกว่าในอดีต ผู้ที่เข้ามาอยู่บ้านกุรุคุโดยการแต่งงานจะรับและปฏิบัติกิจกรรมความเชื่อไม่ขัดแย้งกับกะเลิงบ้านกุรุคุ กิจกรรมที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมทุกครัวเรือนคือการเลี้ยงเจ้าปู่แท่นคำเหลืองในเดือน 4 และเดือน 11 โดยเสียเงินครัวเรือนละ 2 บาท ภาษาพูดที่ใช้ในครอบครัวที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างกันจะใช้ภาษาตามชาติพันธุ์เดิม ในรุ่นลูกจะใช้ภาษากะเลิงติดต่อในครอบครัวและกับคนในหมู่บ้าน |
|
Focus |
งานวิจัยชิ้นนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาวัฒนธรรมและการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของกะเลิงที่บ้านกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม |
|
Theoretical Issues |
ใช้การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างเก็บข้อมูลจากผู้รู้และใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างเก็บข้อมูลจากหัวหน้าครอบครัวที่สุ่มมาเป็นกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมนำมาวิเคราะห์ด้วยการแจกแจงความถี่ร้อยละ แล้วนำเสนอผลการศึกษาวิจัยโดยการพรรณาวิเคราะห์ ไม่มีข้อสรุปเชิงทฤษฎี |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษานี้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิง โดยศึกษาที่บ้านกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ชาวบ้านกุรุคุใช้ติดต่อสื่อสาร จะใช้อยู่ 3 ภาษา คือ ภาษากะเลิง ภาษาอีสาน ภาษาไทย (หน้า 75) โดยใช้ภาษากะเลิงติดต่อภายในกลุ่มเดียวกัน |
|
Study Period (Data Collection) |
ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป |
|
History of the Group and Community |
กะเลิงหรือไทยกะเลิงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่อพยพมาจากดินแดนทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มาอยู่ในประเทศไทยช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ 3 กะเลิงในจังหวัดนครพนมพบได้ในอำเภอเมืองนครพนม อำเภอท่าอุเทน อำเภอนาแก อำเภอธาตุพนม อำเภอเรณูนคร อำเภอนาหว้าและอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดสกลนครที่อำเภอเมืองสกลนคร อำเภอกุดบาก อำเภอพรรณานิคม จังหวัดมุกดาหารที่อำเภอเมืองมุกดาหาร อำเภอคำชะอี อำเภอดอนตาล จังหวัดกาฬสินธุ์ที่อำเภอสมเด็จ อำเภอกุฉินารายณ์ (หน้า 2) - บ้านกุรุคุหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 11 ตำบลกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เป็นหมู่บ้านที่มีกะเลิงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีถิ่นฐานเดิมอยุ่ที่เมืองมหาชัยกองแก้ว แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยได้อพยพเข้ามาอยู่ที่บ้านกุรุคุในสงครามปราบฮ่อ มีสองกลุ่มที่สำคัญคือ กลุ่มตาแสงเขียวกับกลุ่มพ่อเฒ่าทาเป็นผู้นำ (หน้า 3) - ในงานวิจัยได้สัมภาษณ์กะเลิงที่มาตั้งถิ่นฐานโดยรอบหมู่บ้านกุรุคุในปัจจุบัน โดยชาวบ้านเล่าว่า พ่อแม่อพยพมาอยู่บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านในปัจจุบันก่อนตัวเองเกิดประมาณ 1 - 2 ปี (ประมาณปี พ.ศ. 2466) เนื่องจากเกิดโรคระบาดที่บ้านหัวนาน้อย และมีผีปอบอาละวาดที่บ้านด่าน จึงชักชวนอพยพมาอยู่บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านในปัจจุบัน (หน้า 22) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งบ้านเรือนของชาวบ้านกุรุคุนั้น จะไม่มีการวางแผนของการตั้งบ้านเรือนมาก่อน ระยะแรกของการตั้งบ้านเรือนจะอยู่หมู่ที่ 3 ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านแล้วขยายมาทางทิศตะวันออกและทิศเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบันคือหมู่ที่ 11 เครือญาติจะตั้งบ้านเรือนใกล้เคียงกัน ไม่เป็นระเบียบ บ้านของชาวบ้านกุรุคุในปัจจุบันแบ่งได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ คือ บ้านกึ่งถาวร คือ บ้านที่มีลักษณะด้านหน้าเป็นทรงสี่เหลี่ยม หลังคามุงสังกะสีแต่ฝาเรือนจะใช้วัสดุชั่วคราว เช่น กระดาษแข็ง กลุ่มที่สองคือ กลุ่มที่บ้านถาวร มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม หลังคามุมสังกะสี ลาดชัน ฝาบ้านเป็นฝาไม้ มีใต้ถุนสูง ใช้เป็นคอกของสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ไก่ เป็นกลุ่มที่มีมากที่สุด และกลุ่มบ้านนี้จะมีเล้าไว้ข้างบ้าน ใต้ถุนเล้าจะใช้เลี้ยงหมู กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะปลูกบ้านสองชั้น (หน้า 24) |
|
Demography |
จากการสำรวจประชากรของบ้านกุรุคุหมู่ 3 และหมู่ 11 เดือนธันวาคม 2533 มีประชากรทั้งหมด 2,052 คน จากทั้งหมด 390 ครัวเรือน โดยแบ่งออกตามหมู่ดังนี้ หมู่ 3 มี 201 ครัวเรือน มีประชากรทั้งหมด 1,089 คน แยกเป็นเพศชาย 542 คน และเพศหญิง 547 คน หมู่ 11 มี 189 ครัวเรือน มีประชากรทั้งหมด 963 คน แยกเป็นเพศชาย 468 คน และเพศหญิง 495 คน (หน้า 25) |
|
Economy |
กะเลิงส่วนมากจะประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ หาของป่า ล่าสัตว์ เลี้ยงสัตว์ สัตว์เลี้ยงที่นิยมกันมากและถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของกะเลิง คือ การเลี้ยงสุกรพื้นบ้านที่เรียกว่า หมูกี้ หมูดำ หรือหมูราษฎร์ เป็นการเลี้ยงแบบปล่อยไม่ขังคอก (หน้า 3) ชาวบ้านกุรุคุส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตร พื้นที่โดยรอบหมู่บ้านของชาวบ้านกุรุคุเป็นที่ดินที่ใช้ในการทำนาซึ่งใช้ปลูกข้าวในฤดูฝน ข้าวที่ใช้ปลูกจะเป็นข้าวเหนียวและการปลูกข้าวเป็นแหล่งรายได้หลักของชาวบ้าน ในอดีตมีลักษณะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนแบ่งปัน และมีการซื้อขายกับคนนอกหมู่บ้าน โดยมีคนญวณเข้ามาซื้อ ชาวบ้านมีอาชีพ "นายฮ้อย" ของตระกูลโพธิ์นัย ในการรวบรวมควายนำไปขายภาคกลาง และอาชีพนอกจากการทำนาคือการไปรับจ้างเป็นลูกจ้างเอกชนนอกจังหวัดนครพนม แต่จะกลับมาช่วยปักดำและเก็บเกี่ยวในแต่ละช่วงของการทำนา ทั้งนี้ เพราะชาวบ้านถือว่าการที่มีข้าวกินและเก็บไว้นั้น เป็นความมั่นคงในอันดับแรก (หน้า 38-47) |
|
Social Organization |
ชาวบ้านกุรุคุจะแต่งงานในกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิงของชาวบ้านกุรุคุด้วยกันเอง ในอดีตการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมีน้อย การแต่งงานในปัจจุบันมีชาวต่างถิ่นมาเป็นเขย - สะใภ้ของชาวบ้านกุรุคุเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2510 เป็นต้นมา เนื่องจากชาวบ้านบางส่วนออกไปทำงานรับจ้างใช้แรงงานในจังหวัดนครพนม ทำให้พบปะกับคนต่างถิ่นและได้แต่งงานพร้อมทั้งมาตั้งถิ่นฐานในเขตบ้านกุรุคุ เห็นได้ชัดเจนกว่าในอดีตที่ผ่านมา การที่ชาย - หญิง จะเป็นสะใภ้หรือเขยของแต่ละครอบครัวนั้น มีการพิจารณากันในหมู่เครือญาติของแต่ละฝ่าย ทั้งนี้ถือเอาความสมดุลของครอบครัวแต่ละฝ่าย ถ้าครอบครัวของชายขาดหญิงซึ่งจะมาช่วยเรื่องงานบ้านงานครัวก็จะรับลูกสะใภ้มาช่วย ส่วนในกรณีที่ฝ่ายหญิงขาดแรงงานช่วยทำนาก็จะรับฝ่ายชายเป็นเขย ทั้งนี้จะต้องตกลงก่อนจะสู่ขอและแต่งงาน (หน้า 27 - 38) |
|
Political Organization |
- ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 การปกครองในอดีตมีหัวหน้าหมู่บ้านที่เรียกว่า "ตาแสง" เป็นผู้ปกครองที่ขึ้นตรงต่อเมืองนครพนม ในปัจจุบันมีการปกครองโดยกำนันและผู้ใหญ่บ้านตามหลักเกณฑ์และวิธีการของกระทรวงมหาดไทย - ชาวบ้านกุรุคุถือว่าผู้ชายมีสถานภาพของการเป็นผู้นำครอบครัว ตัดสินใจในครอบครัวในเรื่องสำคัญๆ ในครอบครัวที่พ่อเสียชีวิตลงจะให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่างๆ เสมือนเป็นตัวแทนของพ่อ - ชาวบ้านกุรุคุในอดีตมีจารีตระเบียบของหมู่บ้านที่ห้ามปฏิบัติ คือการผ่าฟืนตอนเช้า ตำข้าวตอนแลง วันพระห้ามตำข้าว คนตายนอกหมู่บ้านห้ามนำเข้ามาในหมู่บ้าน ห้ามตักข้าวในเช้าวันพระ ห้ามนำฟืนเข้าหมู่บ้านในวันพระ - รูปแบบการปกครองของรัฐและการมีส่วนร่วมในองค์กรของรัฐบ้านกุรุคุหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 11 จัดการปกครองตามหลักเกณฑ์และวิธีการของกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันเป็นหมู่บ้าน อ.พ.ป. มีการแต่งตั้งคณะการรมการฝ่ายต่าง ๆ เพื่อรับผิดชอบหมู่บ้าน (หน้า 47 - 53) |
|
Belief System |
นิสัยของกะเลิงเป็นคนที่รักสงบไม่ชอบทำสงคราม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตากรุณา ซึ่งอาจมีผลจากการมีความเชื่อในแบบผสมผสานที่มีการนับถือศาสนาพุทธ วิญญาณบรรพบุรุษ เชื่อโชคลางตามพิธีพราหมณ์ เชื่อคาถาอาคมและเชื่อหมอเหยา นิสัยและความเชื่อเหล่านี้ส่งผลให้วิถีการดำเนินชีวิตของกะเลิงค่อนไปในทางอนุรักษ์นิยม เช่น มีการนับถือผีเรือนเคร่งครัด หมอเหยามีบทบาทในการรักษาพยาบาล มีการคืนเงินค่าสินสอดให้ฝ่ายเขยเมื่อเห็นว่าครอบครัวมั่นคงแล้ว เป็นต้น (หน้า 3) ชาวบ้านมีความเชื่อในเรื่องผีปู่ตา มีการเก็บเงินครัวเรือนละ 2 บาท ในการเลี้ยงผีปู่ตาก่อนฤดูทำนาและก่อนการเก็บเกี่ยว ผู้ที่จะเข้าเป็นสมาชิกในหมู่บ้านจะต้องมีการบอกกล่าวกับผีปู่ตา มีหมอเหยาซึ่งชาวบ้านเรียกว่าแม่หมอเป็นผู้ทำหน้าที่ในเรื่องการรักษาคนเจ็บป่วย มีหมอจ้ำซึ่งได้รับการนับถือจากชาวบ้านทำหน้าที่ประกอบพิธีบูชาผีปู่ตา มีสภาผู้เฒ่าและมีเจ้าโคตรคอยไกล่เกลี่ยและตัดสินข้อพิพาท มีการเฝ้าไข้คอยให้กำลังใจคนป่วยเป็นเวลายาวนานทั้งกลางวันและกลางคืน (หน้า 4) ชาวบ้านกุรุคุในอดีตมีความเชื่อสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เพราะการที่ชาวบ้านได้มาตั้งถิ่นฐานตั้งชุมชนขึ้นมาได้ผจญกับภัยธรรมชาติต่างๆ จึงแสวงหาวิธีการที่จะควบคุมและอธิบายธรรมชาตินั้นว่าสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ดังนั้น ก่อนที่จะทำสิ่งใดกับธรรมชาติจะมีพิธีกรรมเพื่อบอกสิ่งที่เหนือธรรมชาติให้ควบคุมธรรมชาติให้ดำเนินการไปด้วยความพอดี ซึ่งชาวบ้านกุรุคุจะมีการทำพิธีบอกเจ้าปู่แท่นคำเหลืองในเดือน 4 ก่อนฤดูทำนา และในอดีตมีการทำพิธีแฮกนาก่อน ชาวบ้านกุรุคุมี "ข้อขะลำ" หรือข้อห้ามปฏิบัติของชาวบ้านในอดีตในกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อชุมชน เช่น กิจกรรมเผาผีวันพระ ขนไม้ฟืนวันพระ สีข้าววันพระ ห้ามนำศพคนตายนอกหมู่บ้านเข้ามา กิจกรรมเหล่านี้ได้เป็นกฎข้อห้ามของชาวบ้านในปัจจุบันที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติ ส่วนสาเหตุของการคงอยู่นั้น เนื่องจากชาวบ้านกุรุคุได้ประสบปัญหาจากภัยของธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ เช่น การเกิดโรคระบาดและล้มตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ชาวบ้านมีความเชื่อที่จะต้องปฏิบัติตามข้อห้ามเหล่านี้ (หน้า 58 - 63) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของชาวบ้านกุรุคุ การศึกษาในระบบโรงเรียนเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2465 โดยอาศัยศาลาโรงเรียนวัดศรีมงคลเป็นสถานที่เล่าเรียนและใช้ชื่อโรงเรียนว่า โรงเรียนประชาบาล ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 มีคณะกรรมการอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและราษฎร นำโดยกำนันทอน พระพิสาร ร่วมกันสร้างโรงเรียนเป็นเอกเทศบนเนื้อที่ 16 ไร่ ในบริเวณที่ดินของโรงเรียนปัจจุบัน - ปัจจุบันโรงเรียนกุรุคุ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีครูทั้งหมด 15 คน ปีการศึกษา 2536 สำนักงานประถมศึกษาอำเภอให้โรงเรียนเปิดรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามนโยบายขยายโอกาสทางการศึกษา - ปัจจุบันมีผู้ที่เรียนต่อในระดับที่สูงกว่าภาคบังคับมากขึ้น ทั้งนี้เพราะมีถนนที่เชื่อมกับตัวจังหวัดนครพนม การเดินทางสะดวกและฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้านมีกำลังสนับสนุนให้บุตรของตนเล่าเรียนได้ - บทบาทของครูในอดีตได้รับการยอมรับจากชาวบ้านว่าเป็นผู้มีความรู้ เป็นที่ปรึกษาของชาวบ้าน เพราะครูของโรงเรียนในอดีตจะมาพักอาศัยที่หมู่บ้าน แต่ปัจจุบันครูของโรงเรียนส่วนหนึ่งจะเดินทางไปกลับจากตัวจังหวัดและจากที่พักต่างหมู่บ้าน ในปัจจุบันบทบาทของครูได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นเพียงตัวแทนของทางราชการในการอบรมความรู้ให้กับนักเรียน งานทางด้านสังคมที่ร่วมกับชาวบ้านลดลง (หน้า 53 - 57) |
|
Health and Medicine |
โรคที่พบในชาวบ้านกุรุคุมีโรคมาลาเรีย ฝีดาษ อหิวาต์ และอาการของโรคบางอย่างที่เรียกว่าผีปอบเข้า ซึ่งโรคต่างๆ ในอดีตเหล่านี้ ชาวบ้านแก้ปัญหาโดยใช้ยาหม้อ ซึ่งเป็นการแสวงหารากไม้จากป่ามาต้มและฝนรับประทาน ผู้ที่รักษาโรคชาวบ้านเรียกว่า หมอกลางบ้าน และมีการใช้ผู้ที่มีเวทย์มนต์คาถา ที่เรียกว่า หมอธรรม ในการรักษามีการใช้ผู้ที่สื่อและติดต่อกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติที่เรียกว่า หมอเหยา เป็นผู้รักษาด้วย - ในปัจจุบันโรคที่พบมากในชาวบ้านกุรุคุคือ โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องร่วง โรคบิด รองลงมา คือ โรคมาลาเรีย การรักษาของชาวบ้านในปัจจุบันใช้บริการของสถานีอนามัยที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน แต่บางโรคชาวบ้านก็มารักษากับหมอเหยาซึ่งปัจจุบันเรียกว่าแม่หมอเป็นผู้ทำการเหยา คือ ติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ บอกวิธีรักษาให้แก่ผู้ป่วยให้กำลังใจผู้ป่วย บอกวิธีปฏิบัติว่าผู้ป่วยต้องงดเว้นจากการทำอะไรบ้าง เช่น ต้องจัดแต่งเครื่องบูชาบอกกล่าวผีบรรพบุรุษให้ปกปักรักษาให้หายจากโรค - การเจ็บป่วยของชาวบ้านกุรุคุทั้งในอดีตและปัจจุบัน การให้กำลังใจของเครือญาติเป็นสิ่งสำคัญ เพราะชาวบ้านถือว่าเครือญาติที่เจ็บป่วยจะมีการไปเฝ้าไข้ให้กำลังใจคนป่วยและถือว่าใครมีญาติพี่น้องมากก็จะดูได้จากการไปเฝ้าไข้และเยี่ยมเยียน เครือญาติเมื่อมาชุมนุมที่บ้านผู้ป่วยจะปรึกษาหารือถึงวิธีการรักษา ในปัจจุบันชาวบ้านได้รับความรู้จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำสถานีอนามัยและประจำตำบล (หน้า 63 - 75) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
- ลักษณะทางกายภาพของกะเลิงโดยทั่วไปจะมีผิวกายดำคล้ำและนิยมสวมเสื้อผ้าสีดำคล้ำ ไทยกะเลิงสมัยก่อนชอบสักรูปนกที่แก้มปล่อยผมยาวประบ่า ส่วนผู้หญิงก้าวผมมวย (หน้า 3) - ชาวบ้านกุรุคุในอดีตมีการทอผ้าใช้ทุกหลังคาเรือน มีการปลุกฝ้ายเองเพื่อใช้ทอผ้า ในอดีตหลังจากชาวบ้านทำนาแล้วจะมีการทอผ้า มีการลงข่วงเข็นฝ้าย ซึ่งเป็นโอกาสของหญิงสาวที่จะได้พบปะพูดคุยกับชายหนุ่ม ส่วนปัจจุบันชาวบ้านกุรุคุไม่ได้ปลูกฝ้ายแล้วแต่จะซื้อฝ้ายจากตลาดมาทอแทน เนื่องจากราคาถูกและสะดวก - ในอดีตมีการจักสานเครื่องใช้สอยในชีวิตประจำวันโดยใช้ไม้ไผ่ เช่น คุ (ถังตักน้ำ) ตะกร้า ปัจจุบันการจักสานของชาวบ้านน้อยลงเพราะมีการซื้อสินค้าที่ผลิตจากพลาสติกมาใช้ เนื่องจากมีการติดต่อกับภายนอกสะดวก - ในอดีตชาวบ้านกุรุคุใช้วัสดุจากธรรมชาติเป็นสิ่งก่อสร้างที่พักอาศัย ผู้ที่มีอายุ 60 - 70 ปี จะก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 3 รุ่น โดยรุ่นแรกจะเป็นการสร้างด้วยไม้ไผ่ รุ่นที่ 2 จะสร้างด้วยไม้ที่ใช้ขวานถากกับการสานไม้ไผ่ขัดแตะทำเป็นฝาเรือนมุงหลังคาด้วยไม้หรือหญ้า รุ่นที่ 3 จะสร้างด้วยไม้มุงสังกะสี จากการเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยของแต่ละรุ่นนั้นเพราะสภาพเศรษฐกิจดีขึ้น (หน้า 77 - 78) |
|
Folklore |
ชื่อบ้านกุรุคุ มีประวัติเล่าว่า มีหญิงสาวนามว่า "ปัดดี" ไปตักน้ำที่บ่อกลางทุ่งนา ที่บ้านหัวนาน้อย ได้ทำภาชนะบรรจุน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า "คุ" หลุดจากไม้ขอที่ใช้ตักน้ำ ทำให้คุจมน้ำหายไป นางได้พยายามหาแต่ไม่พบ จึงเดินทางกลับบ้านกุรุคุและมาพบบริเวณที่ตื้นเขิน เป็นห้วยหนองน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า "กุด" หรือ "บ่อนมันสุด" หมายความว่า กุดน้ำนี้ขโมยคุ ต่อมาทางราชการได้เปลี่ยนชื่อเป็นกุรุคุ บ่อน้ำที่เล่าเป็นประวัติของหมู่บ้านนี้อยู่กลางทุ่งนาระหว่างห้วยน้อยกับห้วยยาง และกุดอยู่บริเวณศาลเจ้าพ่อแท่นคำเหลืองทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน (หน้า 22) ชาวบ้านกุรุคุมีการพักผ่อนประจำวันหลังจากเสร็จสิ้นการทำงานของแต่ละวัน ในอดีตวัดเป็นศูนย์กลางแห่งการนัดพบและพักผ่อนพูดคุยและทำกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา การละเล่นในอดีตของเด็กมีการเล่นหัวกะโหลก หมากขอ หมากสะบ้า ลูกข่าง ในปัจจุบันการพักผ่อนของชาวบ้านประจำวัน เด็กวัยรุ่นและผู้ที่ทำงานราชการบางคนจะเล่นกีฬาฟุตบอล ตระกร้อ ที่สนามโรงเรียนบ้านกุรุคุ ช่วงเย็นประมาณ 18.00 - 20.00 น. มีวัยรุ่นพบปะ ลงเล่นบริเวณสี่แยกหอกระจายข่าวของหมู่ 3 วันเสาร์ - อาทิตย์ มีผู้ที่ชอบดูกีฬามวยจะไปรวมกันเพื่อเชียร์มวยทางโทรทัศน์ ในช่วงฤดูแล้งจะมีหนังล้อมผ้ามาฉายที่สนามโรงเรียนบ้านกุรุคุ และชาวบ้านส่วนใหญ่จะพักผ่อนอยู่บ้านชมโทรทัศน์ที่บ้าน ในงานศพจะมีการเล่นพนัน ไพ่ ไฮโล การละเล่นในรอบปีมีการละเล่นสาดน้ำในวันสงกรานต์ (หน้า 80) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวบ้านมีวิถีชีวิตและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมค่อนข้างช้า วิถีชีวิตเมื่อ 15 ปีที่แล้วกับปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงที่น้อยมากเพราะความเชื่อระบบเครือญาติ การควบคุมสังคมยังยึดถืออยู่เหนียวแน่น (หน้า 4) เนื่องจากหมู่บ้านกุรุคุตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางการเดินทางของจังหวัดนครพนมไปสกลนคร ทำให้ต้องติดต่อกับสังคมภายนอก ทำให้ชาวบ้านต้องยอมรับอำนาจการปกครองของทางราชการส่วนกลาง ทำให้วิถีชีวิตส่วนหนึ่งของชาวบ้านต้องเกี่ยวข้องกับทางราชการ การเข้ามาอยู่ของคนต่างถิ่นทั้งการอพยพและการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ ได้มีการนำเอาความเชื่อที่คล้ายคลึงกันเข้ามาด้วย เช่น การนับถือผี 7 - 8 ปีที่ผ่านมา จากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ชาวบ้านต้องประกอบอาชีพรับจ้างเป็นกรรมกรก่อสร้างในตัวเมืองจังหวัดนครพนม เด็กนักเรียนเมื่อเรียนจบชั้นประถมก็จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำมากขึ้น (หน้า 5 - 6) |
|
Map/Illustration |
ผู้ศึกษาได้ใช้แผนผัง หรือแผนภาพ ช่วยอธิบาย คือ แผนภาพแสดงเส้นทางการอพยพของชาวไทลื้อ เข้ามาสู่ประเทศไทย (หน้า 29) แผนภาพแสดงที่ตั้งและเขตติดต่อของจังหวัดน่าน แยกรายอำเภอ (หน้า 32) แผนภาพแสดงที่ตั้งและเขตติดต่อของอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน แยกรายตำบล (หน้า 36) และแผนภาพแสดงที่ตั้งและเขตติดต่อตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน (หน้า 37) |
|
|