|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
คะแมร์ลือ,เขมร,ฟ้อนรำ,สุรินทร์ |
Author |
เครือจิต ศรีบุญนาค |
Title |
การฟ้อนรำของชาวไทยเขมรในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ขแมร์ลือ คะแมร คนไทยเชื้อสายเขมร เขมรถิ่นไทย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
331 |
Year |
2534 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม |
Abstract |
การศึกษาเรื่องการฟ้อนรำของคนไทยเขมร ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ได้ศึกษาการฟ้อนรำที่เป็นแบบแผนดั้งเดิมในด้านกำเนิดการฟ้อนรำที่คิดประดิษฐ์ขึ้นโดยคนในท้องถิ่น จากพื้นฐานความเชื่อในเรื่องผีและความศรัทธาในพุทธศาสนา และเกิดจากการเลียนแบบธรรมชาติ ประเภทของการฟ้อนรำแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ การฟ้อนรำในงานนักขัตฤกษ์ และในงานประเพณี และองค์ประกอบการฟ้อนรำที่มีผู้รำทั้งหญิงและชาย แต่งกายแบบพื้นเมืองสุรินทร์ เครื่องดนตรีประกอบด้วยกลองกันตรึม ปี่ ซอ ตะโพน ฉิ่ง กรับ โหม่ง บรรเลงเพลงกันตรึมมีเนื้อร้องและทำนองเขมร ท่าทางฟ้อนรำแยกเป็นการฟ้อนรำแม่บทหรือแบบดั้งเดิม และ ท่าฟ้อนรำอิสระ คือ ท่าที่คิดประดิษฐ์ขึ้นมาจากกิริยาท่าทางของคนและสัตว์ ตลอดจนธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัว การฟ้อนรำมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคมด้านความเชื่อและพิธีกรรม ความศรัทธาในพุทธศาสนา และการรักษาคนป่วยจากโรคที่ทราบสาเหตุ และมีบทบาทต่อชุมชน ในการสร้างความบันเทิง ความสามัคคี บทเพลงและท่าทางเป็นเครื่องสื่อสารข่าวคราว ความรู้สึกนึกคิดให้รับรู้ซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ด้านประเพณี ใช้แสดงในงานประจำปีของจังหวัด ดึงดูดนักท่องเที่ยว ส่งผลทางด้านเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง (บทคัดย่อ ) |
|
Focus |
ศึกษาการฟ้อนรำที่เป็นแบบแผนดั้งเดิมของชาวสุรินทร์ที่พูดภาษาเขมร ในด้านกำเนิดการฟ้อนรำ ประเภทและองค์ประกอบของการฟ้อนรำ และศึกษาความสัมพันธ์ของการฟ้อนรำกับโครงสร้างทางสังคมด้านความเชื่อและพิธีกรรม ความสัมพันธ์ภายในชุมชน ประเพณีและเศรษฐกิจ (หน้า 4) |
|
Theoretical Issues |
บทบาทของการฟ้อนรำที่มีต่อสังคม ได้แก่ การสร้างความบันเทิง ความสนุกสนานให้กับสังคม เป็นเครื่องผ่อนคลายความกดดันด้านจิตใจ รวมทั้งการระบายความเก็บกดทางเพศ เนื่องจากสังคมไทยเคร่งครัดในเรื่องเพศ จึงระบายออกด้วยสัญลักษณ์แทนในบทเพลง มีการถูกเนื้อต้องตัวกันในเทศกาล หรือร้องโต้ตอบกันเป็นกลอนสด และเกี้ยวพาราสี การฟ้อนรำยังสร้างความสามัคคี การรวมกลุ่มกันทางสังคม เป็นเครื่องสื่อสารข่าวคราวความรู้สึกนึกคิดและปฏิกริยาทางสังคม รวมทั้งเป็นการสร้างความศรัทธาและเชื่อมั่นของปัจเจกบุคคล (หน้า 305-307) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวสุรินทร์ที่พูดภาษาเขมรในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 7) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2531 - ตุลาคม พ.ศ.2533 (หน้า 7) |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานด้านโบราณสถาน สันนิษฐานว่าน่าจะมีการตั้งชุมชนในจังหวัดสุรินทร์และบริเวณใกล้เคียงตั้งแต่สมัยขอม ตามพงศาวดารเมืองสุรินทร์กล่าวว่า มีคนไทยพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่า "ส่วย" หรือ "กูย" อพยพมาจากเมืองอัตปือ แสนแป ในแคว้นจำปาศักดิ์ข้ามลำน้ำโขงเข้ามาสู่ผั่งขวาเมื่อประมาณ พ.ศ.2200 และแยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่างๆ ส่วย หรือ กูย เป็นที่รู้จักของทางราชการในเมืองหลวง ในสมัยอยุธยา พ.ศ.2301 รัชสมัยของสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (เจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) เมื่อครั้งช้างเผือกแตกโรงจากกรุงศรีอยุธยาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่เขตเมืองพิมาย โดยมีส่วยได้ตามและช่วยจับช้างกลับมา จนได้รับพระราชทานยศ เมื่อ พ.ศ.2321 ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีหัวเมืองกรุงศรีสัตนาคนหุต ตีได้เวียงจันทน์ ได้ปูนบำเหน็จให้เจ้าเมืองประทายสมันต์ (จังหวัดสุรินทร์ในปัจจุบัน) เจ้าเมืองขุขันธ์ และเจ้าเมืองสังฆะบุรี เป็นพระยา เพราะได้ช่วยเกณฑ์กำลังไปช่วยรบ ในสงครามครั้งต่อมาเมื่อมีการเกิดจลาจลที่กัมพูชา ทำให้คนเขมรส่วนหนึ่งอพยพเข้ามาและได้มีการแต่งงานกันระหว่างส่วยกับเขมร เมืองประทายสมันต์เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองสุรินทร์ในสมัยรัชกาลที่ 1 และมีเจ้าเมืองครองสืบต่อมา จนเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการรวมหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือเข้าด้วยกันและส่งข้าหลวงจากส่วนกลางเข้ามาปกครอง ภายหลังเรียกข้าหลวงประจำจังหวัด และเปลี่ยนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อปี พ.ศ. 2494 (หน้า 15-24) |
|
Economy |
อาชีพส่วนใหญ่ คือ การทำนา นอกจากนั้น มีการปลูกพืชไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้นและการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม มีการค้าภายในท้องที่และชุมชน มีอุตสาหกรรมขนาดเล็กบ้าง เพราะมีทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด ไม่เหมาะกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (หน้า 29) |
|
Belief System |
ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ชาวสุรินทร์มีประเพณีไหว้พระสำคัญในรอบปี คือ งานขึ้นเขาเดือน 5 เพื่อไหว้พระบนเขาสวาย ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมืองสุรินทร์ (หน้า 29) |
|
Education and Socialization |
มีสถาบันการศึกษาระดับวิทยาลัย 5 แห่ง นอกนั้นเป็นโรงเรียนในสังกัดกรมสามัญศึกษา และโรงเรียนประถมศึกษา (หน้า 29) |
|
Health and Medicine |
ยังคงมีการใช้พิธีกรรมในการรักษาโรค ในพิธีกรรมเรือมมม็วต ที่เชื่อว่าโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ เกิดจากการกระทำของภูตผี โดยมีครูมม็วตติดต่อกับผีหรือเทพ ในพิธีกรรมต้องมีดนตรีบรรเลงประกอบซึ่งอาจมีส่วนช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ลดความเครียดทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น (หน้า 294) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การฟ้อนรำในยุคแรกของจังหวัดสุรินทร์ เกิดขึ้นเนื่องมาจากความเชื่อทางศาสนาของชาวบ้านและการเฉลิมฉลองในงานเทศกาล การฟ้อนรำของจังหวัดสุรินทร์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การฟ้อนรำในประเพณีพิธีกรรม และ การฟ้อนรำในงานนักขัตฤกษ์ ซึ่งเป็นการฟ้อนรำที่มีลักษณะเป็นทั้งการประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่ และเป็นการสืบทอดกันมาด้วยการบอกเล่าหรือจดจำ (หน้า 69) การฟ้อนรำในประเพณีพิธีกรรม - เรือมมม็วต เป็นพิธีกรรมหนึ่งที่มีมาแต่โบราณ เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยจากภูตผีที่เข้าสิงร่างของผู้ป่วย โดยมีนางทรงซึ่งมีเทพมาประทับทรงคอยทำพิธีติดต่อเจรจากับภูติผี และล่ามคอยถามถึงอาการของผู้ป่วย (หน้า 70) - เรือมมองก็วจจองได "มองก็วจจองได" หมายถึง มงคลผูกข้อมือ เรือมมองก็วจจองได เป็นการฟ้อนรำประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญ เพลงร้องใช้ทำนองเพลงกันตรึม คำร้องเป็นภาษาเขมร แสดงเป็นคู่ 3-5 คู่ รำมานั่งรอบบายศรี เมื่อรำจบ ผู้รำจะนำฝ้ายที่อยู่ในบายศรีไปผูกข้อมือผู้มาร่วมงาน (หน้า 71-73) - เรือมตรุษ หมายถึง รำตรุษ นิยมเล่นในประเพณีตรุษสงกรานต์ เพื่อขอบริจาคจตุปัจจัย และนำไปทำบุญที่วัดต่อไป ในวงรำจะมีหัวหน้ากลอนเป็นผู้นำร้อง เนื้อร้องเป็นบทอวยพรเจ้าของบ้านในวันปีใหม่ของไทย ชมเชย ยกย่อง หรือบทเกี้ยวพาราสี (หน้า 74) การฟ้อนรำในงานนักขัตฤกษ์ - เรือมอันเร หมายถึง รำสาก หรือเต้นสาก เป็นการฟ้อนรำระหว่างชายหญิงที่มีสากตำข้าวเป็นอุปกรณ์ให้จังหวะในการแสดง นิยมเล่นกันในวันหยุดสงกรานต์ มีชายหญิงรำเป็นคู่ 5 ,10 คู่ หรือมากกว่านี้ เครื่องดนตรีประกอบมีโทน ปี่ ซอ ตะโพนฉิ่ง ฉาบ กรับ และอุปกรณ์สำคัญในการแสดง คือ สากตำข้าว 1 คู่ ยาว 2-3 เมตร (หน้า 74-75) - เรือมกันตรึม กันตรึมเป็นการละเล่นเพลงพื้นบ้านของคนไทยในเขตอีสานใต้บริเวณที่ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์และศรีษะเกษ โดยนำเอา "สโกล" หรือ กลองกันตรึมมาใช้ประกอบวงดนตรี ใช้แสดงในงานมงคล หรือรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน (หน้า 76) - เรือมอายัย เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่มีลักษณะเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว มีบทร้องโต้ตอบกลอนระหว่างชายหญิง เพลงอายัยเป็นเพลงปฏิพากย์ที่เล่นกันในประเทศกัมพูชา ใช้แสดงในงานรื่นเริง (หน้า 77) - เรือมกโน้บติงตอง "กโน้บติงตอง" แปลว่า ตั๊กแตนตำข้าว เป็นการแสดงเลียนแบบจากลีลาการเคลื่อนไหวของตั๊กแตนที่กำลังเกี้ยวพาราสีกัน ใช้แสดงในงานรื่นเริง การแต่งกายจะใช้ผ้าสีเขียวใบไม้ตัดเป็นชุดตั๊กแตน (หน้า 78-80) - เรือมจับกรับ แปลว่า รำกรับ เป็นการรำที่ให้กรับประกอบการแสดง ให้แสดงร่วมกับวงดนตรีพื้นบ้านกันตรึม ในงานมงคลต่าง ๆ ไม่มีท่ารำที่เป็นแบบแผน ใช้การย่อตัวรำตามจังหวะดนตรี (หน้า 81-82 ) - เรือมศรีผไทสมันต์ เป็นการประดิษฐ์ท่ารำขึ้นจากขั้นตอนการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมไปจนถึงการทอผ้าไหมออกมาเป็นผืน เพื่อนำไปแสดงที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ที่จังหวัดสกลนครเมื่อปี พ.ศ.2525 ผู้แสดงเป็นหญิงล้วน ใช้วงกันตรึมบรรเลงเพลงประกอบ (หน้า 82) - ระบำสุ่ม เป็นระบำที่แสดงถึงอาชีพในการจับปลาของชาวประมง สะท้อนให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชา เป็นการแสดงที่ปรับปรุงมาจาก "Fishing dance" ของชาวกัมพูชาที่ศูนย์อพยพกาบเชิงจังหวัดสุรินทร์ ผู้แสดงชายจะถือสุ่ม ส่วนหญิงถือเฉนียง ใช้วงดนตรีกันตรึมบรรเลง ( หน้า 83-84) - ระบำกะลา เป็นระบำที่ปรับปรุงมาจากการละเล่นของเขมรที่ใช้กะลามะพร้าวเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง ดัดแปลงมาจากเกมส์กะลา ที่เล่นในงานแต่งงาน งานหมั้น และในขบวนขันหมาก มีผู้แสดงทั้งหญิงและชายจำนวนเท่า ๆ กัน (หน้า 85-87) - ระบำร่ม เป็นระบำสวยงามชุดหนึ่งที่ใช้ร่มเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง และแสดงให้เห็นลีลาการใช้ร่มประกอบกับอารมณ์สนุกสนานของชายหนุ่มหญิงสาว ใช้แสดงในงานรื่นเริง ( หน้า 88) - ระบำซาปาดาน เป็นระบำที่คิดประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่สำหรับทำนองเพลงซาปาดานซึ่งเป็นเพลงบรรเลงอวยพร เพื่อแสดงในโอกาสอวยชัยให้พรต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และงานรื่นเริง ผู้แสดงเป็นหญิงล้วนถือพานดอกไม้โปรยอวยพรเมื่อพบเพลง (หน้า 89-90) ดนตรีและการร้อง - เจรียง หมายถึง การร้อง ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ เจรียงซันตูจ หรือร้องตกเบ็ด โดยชายหนุ่มจะนำขนม ข้าวต้ม หรือผลไม้ไปผูกที่ปลายเบ็ด ไปหย่อนตรงหน้าหญิงสาว ถ้าหญิงสาวรับก็หมายถึงการรับรัก เจรียงนอรแกว เป็นการร้องโต้ตอบระหว่างหญิงชายที่เป็นพ่อเพลงแม่เพลง เจรียงปังนา หรือเจรียงปางนา คล้ายกับเจรียงนอรแกว แต่จังหวะเร็วกว่า และมีแทรกสร้อยเพลง เจรียงกันตรอบกัย เป็นการเล่นเจรียงคนเดียว ใช้ตบมือหรือสีซอประกอบ เป็นกลอนสดแบบตลก เจรียงตรัว เป็นการร้องโต้ตอบ 2 คนเกี่ยวกับนิทาน ประวัติสถานที่หรือตำนานต่าง ๆ มีซอประกอบ เจรียงจเปย เป็นเจรียงคนเดียว เจรียงเป็นนิทานพอจบวรรคหนึ่งก็ดีดกระจับปี่ เจรียงจรวง เป็นเจรียงที่นั่งโต้ถามกันเป็นเรื่องตำนานสุภาษิตต่าง ๆ เครื่องดนตรีที่ให้เป็นปี่อังโกล ปัจจุบันหายากมากจึงใช้ซอแทน เจรียงเบริน เป็นการร้องเพลงคลอไปกับซอ มักเล่นเป็นเรื่อง พุทธศาสนา (หน้า 91-92) - กันตรึม เป็นวงดนตรีพื้นบ้านของจังหวัดสุรินทร์ มีการร้องและรำประกอบทำนอง โดยร้องเป็นคู่ระหว่างชายหญิง หรือ ชาย 1 คน หญิง 2 คน - อายัย เป็นเพลงของไทย - เขมร เป็นเพลงร้องโต้ตอบเชิงเกี้ยวพาราสีระหว่างชายหญิง มีซอด้วง ซออู้ โทน ฉิ่ง ฉาบและกรับเป็นดนตรีประกอบ เพลงอายัยเป็นเพลงที่ได้มาจากกัมพูชาในสมัยสงครามอินโดจีน (หน้า 29 - 31) - ลิเกเขมร เป็นลิเกชนิดหนึ่งที่แสดงเป็นเรื่อง ได้รับวิวัฒนาการมาจากการเล่นลิเกของภาคกลาง เรื่องที่นำมาแสดง เป็นนิทานที่เล่าสืบต่อกันมา แต่ใช้ภาษาเขมรพูด เจรจาและร้อง ลักษณะการเล่นเหมือนกับลิเกภาคกลาง (หน้า 92-93) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การฟ้อนรำเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของกลุ่มทางวัฒนธรรม เป็นความสามารถในการถ่ายทอดความคิดเห็น อารมณ์ ความรู้สึกตามธรรมชาติออกมาเป็นเพลงจังหวะดนตรี และท่าร่ายรำท้องถิ่น และยังคงมีการสืบทอด เล่นต่อเนื่องกันมาหลายชั่วอายุคนจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง จนเกิดเป็นประเพณี ด้วยการถ่ายทอดด้วยปากหรือการบอกเล่าต่อ ๆ กันไป หรือสอนกันในครอบครัวและชุมชน รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักศึกษา ตลอดจนครูในโรงเรียนประถมและมัธยม (หน้า 301, 309 , 316) ในด้านของภาษาและวัฒนธรรม เนื่องจากจังหวัดสุรินทร์มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา และการอพยพของเขมรเข้าสู่ไทยเมื่อครั้งเกิดสงครามในอดีตทำให้มีการผสมกลมกลืนทางชนชาติและวัฒนธรรม ทำให้มีภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ โดยพูดภาษาเขมรเป็นภาษาถิ่น มีดนตรีที่มีลักษณะเฉพาะทั้งวงปี่พาทย์และวงกันตรึมที่ยังคงใช้อยู่จากอดีตจนปัจจุบัน รวมทั้งการฟ้อนรำด้วย (หน้า 318) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การฟ้อนรำและการละเล่นที่มีการคิดกลอนโต้ตอบ ในเนื้อหาก็มักสะท้อนถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การสร้างถนนหนทาง มีการปรับปรุงระบำของชาวกัมพูชาที่อยู่ในค่ายอพยพมาเป็นการแสดงในท้องถิ่น รวมทั้งมีการปรับปรุงการแสดงขึ้นเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เช่น การแสดงเรือมอันเรที่มีการปรับปรุงขึ้นใน พ.ศ.2498 โดยการนำท่ารำมาตรฐานมาผสมผสานกับท่ารำพื้นเมือง และเปลี่ยนจุดมุ่งหมายจากการเล่นเพื่อความสนุกสนานหลังเก็บเกี่ยวไปเป็นการนำมาแสดงในงานช้างเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเพื่อตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจ ในด้านการฟ้อนรำก็มีการแต่งกายที่เปลี่ยนไป และท่ารำจากไม่มีแบบแผน ก็มีรูปแบบที่แน่นอน (หน้า 302 ,313) |
|
|