|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,ภูมิปัญญา,สุขภาพ,การดูแลครรภ์,เชียงราย |
Author |
ยิ่งยง เทาประเสริฐ |
Title |
ภูมิปัญญาในการดูแลครรภ์ของชาวอาข่ามิติทางสุขภาพหรือความอยู่รอด |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
9 |
Year |
2535 |
Source |
เอกสารหอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยพายัพ |
Abstract |
พฤติกรรมการดูแลครรภ์ของอาข่าเป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการสืบทอดมาทางวัฒนธรรม แม้ว่าพฤติกรรมการดูแลครรภ์เหล่านี้อาจ ดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ในเชิงเป้าหมายก็สามารถเทียบเคียงหรือเข้าใจได้ ซึ่งจุดนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญของการพัฒนาแบบผสมผสาน ที่มีลักษณะเฉพาะและเหมาะสมกับท้องถิ่น โดยนำมิติทางวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นรากฐานพิจารณาร่วมกับมิติทางวิทยาศาสตร์ เพื่อแสวงหารูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ซึ่งอาจช่วยย่นระยะเวลาของการเรียนรู้ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาด้านสุขภาพแบบพึ่งตนเอง |
|
Focus |
บทความนี้ศึกษาภูมิปัญญาของอ่าข่าที่บ้านอีก้อป่ากล้วยดอยตุงซึ่งเอื้ออำนวยต่อการอยู่รอดของอาข่า (หน้า 1-2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
อาข่า บ้านอีก้อป่ากล้วย ดอยตุง จ.เชียงราย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Social Organization |
หญิงวัยเจริญพันธุ์อาข่า ส่วนใหญ่แต่งงานเมื่อมีอายุระหว่าง 20-23 ปี โดยสามีจะมีอายุอ่อนกว่าภรรยา คือ ผู้ชายมักจะแต่งงานอายุระหว่าง 18-22 ปี ช้ากว่านี้ถือว่าผู้ชายคนนั้นขึ้นคาน และเหตุที่ต้องมีภรรยาแก่กว่าก็มีข้ออ้างว่าเพื่อไม่ให้ได้ชื่อว่าเป็นชายหลอกเด็ก เมื่อแต่งงานแล้วภรรยาจะเป็นฝ่ายไปอยู่บ้านสามีโดยมีแม่ผัวเป็นผู้กำกับดูแล ดังนั้น ประสบการณ์ในการตั้งครรภ์ก็ได้รับการสืบทอดจากแม่ผัวซึ่งปกติจะเป็นเรื่องปกปิดไม่นิยมสอนด้วยคำพูดแต่สอนด้วยการปฎิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง เมื่อแต่งงานแล้วระยะหนึ่งถ้าภรรยาไม่ตั้งครรภ์หรือไม่มีลูกชาย สามีมักจะมีภรรยาคนที่สองสามหรือมากกว่า (หน้า4) |
|
Belief System |
ความเชื่อและพฤติกรรมเฉพาะอย่างสำหรับหญิงมีครรภ์ต้องถือปฎิบัติ เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์ที่กำลังมีครรภ์ ไม่กินผักหรือผลไม้ที่มีหนูกินมาก่อน เชื่อว่าจะทำให้เด็กในท้องไม่แข็งแรง ในระหว่างตั้งครรภ์ทั้งสามีและภรรยาจะไม่ฆ่าสัตว์ เชื่อว่าจะกระทบลูกในท้องและมีอันเป็นไปตามสัตว์ที่ถูกฆ่า ในระหว่างตั้งครรภ์ยังห้ามอาบน้ำเย็นเพราะเชื่อว่าจะกระทบลูกในท้อง ตัวจะร้อนถ้าถูกน้ำเย็นจะทำให้เด็กในท้องสะดุ้ง ไม่กินไก่ขาวเชื่อว่าจะทำให้เด็กที่เกิดมามีตาฝ้าฟางมองไม่เห็น ห้ามขึ้นต้นไม้หรือฝนมีดจะเป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง (หน้า 6) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เมื่อประจำเดือนขาดหายไป 1-2 เดือนภรรยาอาข่าก็จะรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ แต่ไม่มีการบอกให้ใครรู้แม้แต่สามีหรือแม่สามี จะปล่อยให้สังเกตกันเอาเองเมื่อท้องเริ่มโตขึ้น สาเหตุที่ไม่มีการบอกให้ใครรู้หรือฉลองเพื่อแสดงความยินดี เพราะถือว่าการมีครรภ์เป็นภาวะปกติธรรมดาของภรรยา ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องพิเศษหรือตื่นเต้นใด ๆ (หน้า 4) ก่อนที่การบริการสาธารณสุขจะเข้าถึงในหมู่บ้าน (ก่อนปี 2531) หญิงมีครรภ์จะคลอดเองที่บ้าน และเป็นผู้ทำคลอดเองโดยมีแม่สามีเป็นผู้ช่วยเหลือ โดยไม่มีหมอตำแยทำคลอด ก่อนคลอดจะดื่มน้ำต้ม "สิหมะ" ซึ่งเป็นผลไม้ป่าชนิดหนึ่งมีขึ้นทั่วไปในป่า เป็นไม้ยืนต้นผลมีลักษณะเป็นพวงมีรสเปรี้ยวจัด ปกติชาวบ้านก็กินผล "สิหมะ" ซึ่งเป็นผลไม้ประจำถิ่นอยู่แล้ว โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์จะชอบกิน เพราะมีรสเปรี้ยวมากและจะนำผลสิหมะไปผึ่งให้แห้งเพื่อเก็บไว้ต้มกินก่อนคลอด ถ้ากรณีที่คลอดยาก ขั้นแรกหมอพื้นบ้านจะให้กินยาซึ่งเตรียมจากการเอารกของแมวที่ตากแห้งไว้มาฝนกับน้ำ เมื่อดื่มน้ำรกแมวแล้วต้องเอาแก้วคว่ำไว้ไม่ให้แมลงบินผ่านหรือเข้าไปในถ้วยแก้ว เพราะถือว่าจะทำให้ยาไม่ศักดิ์สิทธิ์และเสื่อมฤทธิ์ยา แต่ถ้ายังไม่เป็นผลคือปวดท้องมากว่า 2-3 วันก็ยังไม่คลอด หมอพื้นบ้านหรือผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะดำเนินการในขั้นนที่สองคือใช้ "หนะบ๊ะ" เป็นยาขับซึ่งทารกอาจจะตายหรือรอดก็ได้ แต่ตัวแม่จะปลอดภัย โดยให้กิน"หนะบ๊ะ" ขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด "หนะบ๊ะ" ที่อาข่าเรียกขานนี้สามารถยืนยันได้ว่าเป็นสารปรอทบริสุทธิ์ ซึ่งยังไม่ได้ทำการวิเคราะห์ทางเคมีว่ามีสิ่งเจือปนสารอะไรบ้าง วิธีการขับลูกด้วย "หนะบ๊ะ" นี้ได้รับการสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ นอกจากใช้ในรายที่คลอดยากแล้วยังใช้ "หนะบ๊ะ" เป็นกรณีพิเศษเพื่อช่วยขับเด็กในครรภ์ที่ผิดปกติ ซึ่งเท่ากับเป็นการทำแท้งในรายที่ไม่แน่ใจว่าเด็กจะปลอดภัยเป็นปกติ เรื่องความปกติ ของเด็กทารกนั้น มีความสำคัญสำหรับอาข่ามาก เพราะอาข่าจะไม่เลี้ยงเด็กทารกที่เกิดมาพิการ รวมทั้งลูกแฝด ดังนั้น จะไม่พบเห็นคนพิการมีชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเลย (หน้า 5) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|