|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ประวัติศาสตร์,ล้านนา,เชียงใหม่ |
Author |
สุลักษณ์ โกฎสิทธิ์ |
Title |
กะเหรี่ยง สวยกระบัง |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
เอกสารหอสมุดมหาวิทยาลัยพายัพ และ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
12 |
Year |
2526 |
Source |
เอกสารหอสมุดมหาวิทยาลัยพายัพ |
Abstract |
การที่กะเหรี่ยงทั้ง 2 ศาสนา นับถือศาสนาที่แตกต่างกันส่งผลถึงแนวทางความเป็นอยู่การดำรงชีวิตในรูปแบบใหม่ ถึงแม้ว่ากะเหรี่ยงทั้ง 2 หมู่บ้านจะมีแนวทางการนับถือศาสนาคนละแบบแต่ลักษณะการติดต่อหรือขอความช่วยเหลือในด้านศาสนาหรือการบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวมหมู่บ้านทั้ง 2 ก็ช่วยเหลือกันเป็นอย่างดีไม่มีความขัดแย้ง แตกแยก แนวความคิดแต่อย่างไรทั้ง 2 ศาสนา ในอดีตและปัจจุบันเป็นตัวบทบาทที่ทำให้สังคมกะเหรี่ยงสวยกระบังได้พัฒนาจากการเป็นคนกลุ่มน้อยเป็นข้าทาสกลับกลายมาเป็นคนกลุ่มหนึ่งในสังคมเชียงใหม่ และลูกหลานของคนเหล่านั้นกลายเป็นบุคคลที่ช่วยส่งเสริมนำความเจริญมาสู่ประเทศชาติอย่างมากมาย (หน้า11) |
|
Focus |
ศึกษาแบบแผนกะเหรี่ยงที่อพยพจากพม่าเข้ามาอยู่ในเขตของลานนาไทย ซึ่งการเข้ามาในรูปแบบการเป็นข้าทาส ต่อมากะเหรี่ยงที่เข้ามาอยู่ในไทยเป็นเวลานานแนวความคิดของกะเหรี่ยงเปลี่ยน มีความรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เป็นกะเหรี่ยงแต่เป็นคนเมือง (หน้า1) |
|
Theoretical Issues |
กะเหรี่ยงสวยกระบังจะมีรูปร่างลักษณะอย่างเดียวกับยางแดงแต่ลักษณะการแต่งกายผิดแปลกเล็กน้อยชอบอยู่ตามป่า รายงานเกี่ยวกับกะเหรี่ยงสวยกระบังนี้เป็นการศึกษากะเหรี่ยงที่อพยพจากพม่าเข้ามาอยู่ในเขตของลานนาไทยซึ่งเข้ามาในรูปแบบของข้าทาสและแนวความคิดของชนกลุ่มนี้ก็ถูกเปลี่ยนว่าตนมิใช่กะเหรี่ยงแต่เป็นคนเมือง (บทนำ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
แต่เดิมนั้นกะเหรี่ยงสวยกะบังอยู่ที่มะละเแหม่ง อยู่ทางตอนใต้ของพม่า เจ้านายของไทยล้านนาภาคเหนือต้องการมีข้าทาสรับ ใช้จะได้มีอำนาจทางการเมือง ไปกวาดต้อนผู้คนทางตอนใต้ของพม่า และได้นำกะเหรี่ยงมาไว้ที่ทุ่งแพ่ง เจ้านายที่ต้อนผู้คนกะเหรี่ยงมานั้นเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ซึ่งการที่เจ้าเมืองเชียงใหม่ต้องการข้าทาสนั้นมีสาเหตุมาจากต้องการแรงงานจากข้าทาสและข้าทาสเองก็ได้พึ่งใบบุญของเจ้าข้าซึ่งได้รับมอบงานให้ทำ เช่น การทำนา ทำสวน ทำงานบ้าน และเป็นการเพิ่มบารมีให้เจ้าเมืองนั้นมีไพร่พลมาก ซึ่งข้าทาสก็ช่วยส่งเสริมอำนาจทางการเมืองให้เจ้านาย การเป็นข้าทาสลำบากพอสมควรซึ่งต้องทำงานให้เจ้าเมืองเสร็จก่อนถึงจะกลับมาทำการเพาะปลูกของไร่นาตัวเอง ซึ่งในบางครั้งไม่สามารถทำงานของตนเสร็จ ในเวลาเก็บเกี่ยวข้าวได้ผลผลิตน้อยไม่พอกิน (หน้า1) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งบ้านเรือนจะอยู่ติดลำธาร |
|
Economy |
อาชีพหลักทำสวน ทำไร่ ล่าสัตว์ เลี้ยงสัตว์ มีการทำเครื่องจักรสาน มีการแลกเปลี่ยนค้าขายแต่ไม่มากเท่าไร มีการติดต่อซื้อขายกับชาวพื้นเมืองเดิม (หน้า 9-10) |
|
Social Organization |
การแต่งงานนั้น ในปัจจุบันนี้ แม้ทั้ง 2 มีศาสนาจะแตกต่างกันก็สามารถจะแต่งงานกันได้ และฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอมรับจะนับถือศาสนานั้น ๆ แล้วแต่จะตกลงกันเอง ทั้งประเพณีวัฒนธรรมในปัจจุบันทั้ง 2 หมู่บ้านไม่มีความขัดแย้งกันต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกันดี (หน้า10) |
|
Political Organization |
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบถึงความไร้มนุษย์ธรรมของพวกนายเงินและความทุกข์ยากของบรรดาคนยากจนที่เป็นทาสฉะนั้นพระองค์จึงมีปฎิธานอันแน่วแน่ที่จะทำการเลิกทาส ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคมและเพื่อแสดงถึงความเป็นอารยประเทศ แต่การดำเนินนโยบายของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ดำเนินนโยบายแบบสุขุมและวางแผนเป็นขั้นตอนเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ดังนั้น แนวการเลิกทาสจึงค่อย ๆ มีทั่วไปในประเทศ ใน ปี พ.ศ. 2443 มีพระราชบัญญัติให้ลดค่าตัวทาสเชลยทั้งปวงในมณฑลพายัพและเมื่อครบ 60 ปีให้พ้นจากความเป็นทาสส่วย ทาสสินไถ่เมื่ออายุครบ 60 ปีก็ให้พ้นจากความเป็นทาสเช่นเดียวกัน ก่อนมีการเลิกทาสนั้นเจ้าเมืองเชียงใหม่หรือใกล้เคียงได้โกหกว่าค่าตัวทาสจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงมีบางกลุ่มทำการกวาดต้อนหรือซื้อขายแลกเปลี่ยนกันก่อนมีพระราชบัญญัติให้ลดค่าตัวทาสทำให้มีการกักขังทาสไว้มากมายทำให้ทาสลำบากเพิ่มมากขึ้นซึ่งผู้บอกเล่าตอนนั้นอายุ 12-15 ปี (หน้า2) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงนับถือพวกผีและมีนับถือศาสนาพุทธของชนกลุ่มพื้นเมืองเดิมอยู่บ้าง ลักษณะของการเชื่อถือคริตสศาสนาโดยง่ายนั้นอาจจะมาจากว่าน้อยอุปนันท์เคยบวชเรียนอาจมีความรู้ ซึ่งผู้ที่เคยบวชเรียนสมัยก่อนผู้คนนับถืออาจมองว่าศาสนาทั้งคริสต์และพุทธก็คือสิ่งเดียวกันจึงยอมรับนับถือ หรืออาจเป็นเพราะเห็นว่าผู้มีความรู้มีความสนใจและเมื่อมาความเป็นศาสนาคริสต์อาจมีความคิดคล้อยตามผู้สอนก็อาจเป็นไปได้ซึ่งการศึกษาในสมัยนั้นยังไม่เจริญผู้ที่รู้ก็คือผู้ที่ได้บวชเรียนเท่านั้น น้อยอุปนันท์ได้เข้ามาแพร่ศาสนาซึ่งกะเหรี่ยงที่มีความคิดว่าเรื่องผีไร้สาระจึงต้องการร่วมรับศีล (หน้า 4) เรื่องบาป บุญ ลักษณะของการทำบุญมี 2 ภาค ภาคนี้ (ชาตินี้) และชาติหน้า จะให้ได้เกิดมากเป็นมนุษย์อีก ถ้าชาตินี้ก็ขออยู่อย่างมีความสุขสบายมีกินมีใช้ตามความคิดว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม บาป บุญที่เคยทำก่อน ก็ได้มาขอเลี้ยงดู ซึ่งกะเหรี่ยงก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งมองไปแล้วก็ทำตามหลักพุทธศาสนา แต่ก็นับได้ว่าพื้นเพ ทางด้านจิตใจของพวกกะเหรี่ยงนั้นมีเมตตา กรุณา มีความรักชาติของตัวเองและไม่ดูถูกชนชาติอื่นๆ และเผ่าของตนเองถ้าเปรียบพวกนั้นไม่ยอมพูดว่าตัวเองมี บรรพบุรุษเป็นลั๊วะ จะถือตัวเองเป็นคนพื้นราบเป็นคนเมืองเท่านั้นดังนั้นเมื่อมีความเชื่อศาสนาพุทธอยู่เป็นแกนกลางแล้วจึง ไม่สนใจที่จะนับถิอศาสนาอื่นเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของบรรพบุรุษที่สร้างให้คนดำรงชีวิตแบบนี้ (หน้า 9) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ด้านการสาธารณสุข มีการส่งเสริมด้านการแพทย์ไม่ใช้วิธีการรักษาแบบโบราณ ตั้งโรงเรียนสอนศาสนาโดยมีหมอสอนศาสนาไปสอนหนังสือแต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนก็เลิกไป (หน้า 4) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายซึ่งในสมัยของบรรพบุรุษนั้นลักษณะของการแต่งกายของผู้ชายนั้นสวมกางเกงขายาวแบบจีนสีดำ หรือสีขาวกับสีแดงยกดอกพู่เป็นตอนๆ แขนสั้นเสื้อยาวแค่ครึ่งขาบางคนสวมเสื้อสีขาวแล้วทับด้วยเสื้อสีแดงผู้ชายบางคนสวมเสื้อสีดำแต่ทุกคนต้องมีชุดแดงเตรียมไว้เสมอ โพกศีรษะด้วยผ้าแพรสีชมพู ส่วนผู้หญิงทุกคนจะสวมกระโปรงยาวลงไปถึงข้อเท้าซึ่งใช้ทอเองเย็บเอง ชุดสีขาวเป็นชุดของหญิงสาวพรหมจารีย์ ส่วนการแต่งกายของหญิงที่มีสามีแล้วจะไม่ใช้สีขาว ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่มีการสวมใส่แบบนี้แล้วเพราะได้กลายเป็นชนพื้นเมืองแล้วได้รับอิทธิพลของล้านนา (หน้า10) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การรับวัฒนธรรมต่างๆ ของล้านนามาใช้จนหมดเลยนั้น ประเพณีแบบกะเหรี่ยงดั้งเดิมได้ศูนย์หายไปหมด คนรุ่นหลังไม่สามารถเรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมได้ (หน้า10) จากการศึกษาของผู้เขียนได้ศึกษาในหมู่บ้านทั้ง 2 โดยลักษณะสภาพความเป็นอยู่ต่างๆ ไม่พบหรือเหลือแบบกะเหรี่ยงเลยอาจเป็นเพราะถูกกระแสสังคมวัฒนธรรมของชาวเมืองกลืนและทุกวันนี้ยังยอมรับวัฒนธรรมความเป็นล้านนา (หน้า 12) |
|
|