สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การเกษตรแบบอนุรักษ์,เชียงใหม่
Author สุวจี แตงอ่อน
Title ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลต่อการทำเกษตรแบบอนุรักษ์ของเกษตรกรม้งและกะเหรี่ยงบริเวณลุ่มน้ำย่อยห้วยแม่แอบ จังหวัดเชียงใหม่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 183 Year 2544
Source บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Abstract

เผ่าพันธุ์ของเกษตรกรที่แตกต่างกันมีผลต่อการทำเกษตรแบบอนุรักษ์ - โดยการไถพรวนดินแบบอนุรักษ์ เกษตรกรกะเหรี่ยงมีการทำการเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการไถพรวนดินแบบอนุรักษ์มากกว่าเกษตรกรม้ง - โดยการปลูกพืชหมุนเวียน เกษตรกรกะเหรี่ยงทำการเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการปลูกพืชหมุนเวียนมากกว่าเกษตรกรม้ง - โดยการปลูกพืชแบบผสมผสาน/แบบวนเกษตร เกษตรกรเผ่ากะเหรี่ยงทำการเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการปลูกพืชแบบผสมผสาน/แบบวนเกษตรมากกว่าเกษตรเผ่าม้ง - โดยการปลูกพืชคลุมดิน เกษตรกรม้งมีการทำการเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการปลูกพืชคลุมดินมากกว่าเกษตรกรกะเหรี่ยง - โดยการปลูกพืชตามแนวระดับ เกษตรกรเผ่ากะเหรี่ยงมีการทำเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการปลูกพืชตามแนวระดับมากกว่าเกษตรกรเผ่าม้ง - โดยการทำขั้นบันได เกษตรเผ่ากะเหรี่ยงมีการทำเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการทำขั้นบันไดมากกว่าเกษตรเผ่าม้ง - โดยการทำทางน้ำไหลและทางน้ำออก เกษตรกรเผ่ากะเหรี่ยงมีการทำเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการทำทางน้ำไหลและทางน้ำออกมากกว่าเกษตรกรเผ่าม้ง - โดยการคลุมดิน โดยเกษตรกรเผ่ากะเหรี่ยงมีการทำเกษตรแบบอนุรักษ์โดยการคลุมดินมากกว่าเกษตรกรเผ่าม้ง การทำการเกษตรแบบอนุรักษ์ - โดยการปลูกพืชสลับเป็นแถบของเกษตรกรเผ่าม้งหรือกะเหรี่ยงไม่มีความแตกต่างกัน - โดยการทำคูรับน้ำ/คูเบนน้ำของเกษตรเผ่าม้งหรือเผ่ากะเหรี่ยงไม่มีความแตกต่างกัน (หน้า 106-114)

Focus

ความแตกต่างของการทำการเกษตรแบบอนุรักษ์ของม้งและกะเหรี่ยง ณ บริเวณลุ่มน้ำย่อยห้วยแม่แอบ จังหวัดเชียงใหม่

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ม้ง และ กะเหรี่ยง

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 - พฤษภาคม พ.ศ. 2544 (หน้า 56)

History of the Group and Community

จากตำนานต่างๆ ได้บอกไว้ว่า บรรพบุรุษคนม้ง เดิมมีถิ่นกำเนิดในแถบที่เรียกว่า ดินแดนอันเงียบสงบทางขั้วโลกเหนือ (Ntuj ntsiang teb tsaus nyob pem lub ncov ntiaj tep) จากนั้นก็มีการอพยพ 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 อพยพจากบริเวณทางใต้ของสองฝั่งแม่น้ำเหลือง (ฮวงโห) ครั้งที่ 2 อพยพจากบริเวณปกครองม้ง (San Miao) ครั้งที่ 3 อพยพจากการปกครองของกษัตริย์จู และครั้งที่ 4 ปี ค.ศ. 1970-1975 อพยพออกจากประเทศลาว มีผู้คาดเดาว่า ม้งเริ่มอพยพเข้ามาทางตอนเหนือของประเทศไทยในราว พ.ศ. 2387-2417 ในบริเวณ 3 จุด คือ จุดที่ 1 เข้ามาทางห้วยทราย-เชียงของ จังหวัดเชียงราย จุดที่ 2 เข้ามาทางไชยบุรี-บัว และทุ่งช้างในอำเภอบัว และอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน และจุดที่ 3 เข้ามาทางภูคาย-นาแห้ว และด่านซ้ายในอำเภอนาแห้ว และด่านซ้ายจังหวัดเลย (หน้า 16) ในงานวิจัยชิ้นนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาม้งที่อาศัยอยู่ที่บ้านแม่โถ ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานขึ้นมานานกว่า 125 ปีแล้ว โดยแต่เดิมขึ้นอยู่กับตำบลพ่อหลวง ต่อมาได้เปลี่ยนมาขึ้นอยู่กับตำบลบ่อสลี (หน้า 35) ส่วนกะเหรี่ยงนั้นเดิมอาศัยอยู่ในประเทศพม่า และมีการอพยพเข้าประเทศไทยครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 200 ปีมานี้เอง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่าทำสงครามกับพวกมอญ มอญเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และในขณะนั้น กะเหรี่ยงก็มีความสัมพันธ์อันดีกับมอญ ให้ที่พักหลบภัยแก่พวกมอญ เมื่อพม่ายกกองทัพติดตามมา กะเหรี่ยงหวั่นเกรงภัยที่จะเกิดขึ้น จึงพากันอพยพหนีเข้าสู่เขตแดนไทย การอพยพของกะเหรี่ยงเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากมีสาเหตุจากการหลบหนีอันตรายแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจอีกด้วย กล่าวคือ เมื่อการทำมาหากินทางพม่าฝืดเคือง ก็พากันอพยพเข้ามาหาทำเลที่ทำกินใหม่ในเมืองไทย (หน้า 20) ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้ ศึกษาจากกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ที่บ้านแม่แอบ ซึ่งได้ตั้งถิ่นฐานมานานกว่า 100 ปีแล้ว โดยย้ายเข้ามารวมกับชุมชนเดิม คือ ซียาโกล๊ะ (หน้า 36)

Settlement Pattern

ม้งเป็นชาวเขาที่ชอบตั้งบ้านเรือนอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขา ถ้ายอดเขามีพื้นที่ราบเพียงพอก็จะอยู่บนยอดเขาทั้งหมู่บ้าน ถ้าที่ราบไม่พอก็จะกระจายลงมาตามความลาดของสันเขา (หน้า 17) ส่วนกะเหรี่ยงมักตั้งหมู่บ้านอยู่ในพื้นที่ลุ่มก้นกะทะ ล้อมรอบด้วยเนินเขา หรือที่ราบระหว่างหุบเขา สามารถไปสู่แหล่งน้ำลำธารได้อย่างสะดวก ส่วนบ้านนั้นมักจะปลูกชิดกันแต่ไม่เป็นแบบแถวเรียงขนานกันไป โดยมีลานโล่งตรงกลาง (หน้า 22) ลักษณะบ้านม้งจะปลูกเป็นโรงคลุมพื้นดินที่ทุบจนแน่น ยกพื้นสูงเฉพาะที่นอน ตัวบ้านปลูกสร้างด้วยวัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ฝาบ้านใช้ไม้ฟากตั้งเรียงกันขนานด้วยไม้ไผ่ทั้งข้างล่างข้างบน หลังคามุงด้วยไม้ไผ่ผ่าซีกหรือมุงด้วยหญ้าคาหรือใบท้อ (หน้า 36) ส่วนลักษณะบ้านของกะเหรี่ยงปลูกยกพื้นด้วยไม้ไผ่และแฝก โดยยกพื้นสูงจากพื้นดิน หลังคาบ้านส่วนใหญ่คลุมบ้านไว้เกือบทั้งหมด (หน้า 37)

Demography

บ้านแม่โถปัจจุบันมีครัวเรือนทั้งหมด 155 ครัวเรือน จำนวนประชากรทั้งหมด 525 คน ชาย 280 คน หญิง 245 คน ทกคนได้รับสัญชาติไทย (หน้า 35) บ้านแม่แอบมีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 145 ครัวเรือน มีจำนวนประชากร 549 คน ชาย 285 คน หญิง 264 คน ทุคนได้รับสัญชาติไทย (หน้า 36)

Economy

โดยเฉลี่ยแล้ว ม้งมีรายได้เฉลี่ยประมาณปีละ 30,000 - 35,000 บาทต่อครอบครัว ม้งส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทางการเพาะปลูก เช่น ข้าว ข้าวโพด มัน พริก ผักกาด หัว ปอ คราม ยาสูบ และฝิ่น นอกจากนี้ก็ยังเลี้ยงสัตว์อีกหลายชนิด เช่น ม้า แพะ แกะ โค กระบือ ส่วนหมูและไก่นั้น ม้งจะเลี้ยงกันกือบทุกครอบครัว เป็นการเลี้ยงไว้ขาย การทำไร่ของม้ง จะเลือกทำเลที่เหมาะสม ดินดี ห่างไกลจากหมู่บ้านพอประมาณ แต่อย่างน้อยที่สุด ประมาณ 2 กิโลเมตร การทำไร่ของม้งนี้ ใช้วิธีล้มป่า ซึ่งจะลงมือถางป่าประมาณเดือน มีนาคม - เมษายน เมื่อล้มไม้หมดแล้วจะทิ้งไว้ให้แห้งแล้วเผา พอถึงต้นฤดูฝนจึงเริ่มปลูกพืช พืชหลักที่ปลูก ได้แก่ ข้าว ซึ่งปลูกกันทุกครัวเรือน นอกจากนี้ ยังมีมันเทศ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ตลอดจนพืชผักต่าง ๆ เช่น ฟัก แตงโม กระหล่ำปลี เป็นต้น ส่วนฝิ่นนั้นในสมัยนี้เบาบางลงไปมาก ไร่ของม้งจะเพาะปลูกอย่างมาก 3-5 ปี เมื่อคุณภาพดินเสื่อมลงแล้วก็จะย้ายไปแห่งอื่น ม้งไม่รู้จักการใช้ปุ๋ย (หน้า 19) นอกจากนี้ ยังมีการทำสวนผลไม้และสวนไม้ดอก ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากโครงการหลวง (หน้า 35) กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ตามหุบเขาและหุบเขาสูง จะดำรงชีพด้วยการทำนาเป็นหลัก โดยปลูกข้าวในนาแบบขั้นบันได ส่วนกะเหรี่ยงที่อยู่บนภูเขา จะมีอาชีพทำไร่เลื่อนลอย และมีการทำนาบ้างเล็กน้อย ข้าวที่ปลูกเป็นข้าวไร่ (หน้า 23,25) ซึ่งส่วนมากจะเป็นการปลูกข้าวไร่มากกว่าการทำนาดำ (หน้า 36) ไร่ข้าวบนภูเขาเป็นไร่หมุนเวียน ซี่งทำ 1 ปี แล้วเว้น ปล่อยให้ป่าฟื้นตัว จะหมุนเวียนกลับมาทำที่เดิมอีก 5-7 ปีต่อมา การทำไร่ข้าวเป็นการโค่นแล้วเผา ทำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น และส่วนมากมีการไถพรวนดิน (หน้า 105) นอกจากข้าวแล้ว กะเหรี่ยงยังปลูกพืชอื่น ๆ ในไร่ เช่น ข้าวโพด ฟัก ฟักทอง พริก มะเขือ ฯลฯ พืชหลังการเก็บเกี่ยวยังมีไม่มากนัก อาจจะเป็นถั่วลิสง กระเทียม ซึ่งล้วนแต่เป็นพืชที่นำมาประกอบอาหารได้ทั้งสิ้น รวมทั้งการปลูกฝ้ายสำหรับนำมาทอผ้าอีกด้วย นอกจากนี้ กะเหรี่ยงยังนิยมเลี้ยงไก่ และหมู ส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงปล่อยทั้งหมด โดยเอาไว้ใช้ในพิธีเซ่นสรวงต่าง ๆ และยังมีสัตว์เลี้ยงอย่างอื่น เช่น วัว ควาย และม้า วัวบางครั้งใช้สำหรับบรรทุกสิ่งของ ควายใช้ไถนา แต่สัตว์ทั้งสองชนิดนี้ไม่ค่อยใช้งานกัน เงินที่ได้จากการขายปศุสัตว์มักถูกนำไปลงทุนซื้อสัตว์ใหม่ แต่การซื้อขายส่วนใหญ่จะทำกันอยู่เฉพาะในหมู่พวกกะเหรี่ยงเท่านั้น รายได้ที่เป็นเงินสดของกะเหรี่ยงนอกจากการขายปศุสัตว์แล้ว บางครั้งก็ได้มาจากการรับจ้างทำงาน โดยเฉพาะในช่วงปีที่การทำไร่ไม่ค่อยได้ผล นอกจากนี้ กะเหรี่ยงยังนำของป่าไปขายให้แก่คนไทยอีกด้วย สังคมกะเหรี่ยงเป็นสังคมที่ผลิตเพื่อการยังชีพ (หน้า 25)

Social Organization

โดยปกติสภาพสังคมของม้งมีการสืบสกุลทางฝ่ายชาย บุตรชายจะเป็นผู้สืบทอดหน้าที่ทางพิธีกรรมต่างๆ ต่อจากบิดา ในการแต่งงาน ฝ่ายชายจะต้องจ่ายค่าสินสอดซื้อตัวเจ้าสาวจากครอบครัวมาเป็นสมาชิกแรงงานใหม่ในครอบครัวของฝ่ายชาย และผู้ชายจะเป็นผู้ชี้ขาดในการตัดสินใจในทุกๆ เรื่อง (หน้า 18) ในขณะที่บิดา-มารดายังมีชีวิตอยู่ บุตรชายทุกคนที่อยู่กับบิดา-มารดาจะแยกเรือนไปอยู่ต่างหากไม่ได้ แต่สำหรับบุตรหญิง เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องไปอยู่กับครอบครัวสามี เมื่อบิดา-มารดาสิ้นชีวิตลง บรรดาลูกๆ จึงแยกครอบครัวไปอยู่ที่อื่นได้ (หน้า 35) ส่วนลักษณะครัวเรือนของกะเหรี่ยงมักจะเป็นครอบครัวเดี่ยว (nucleus family) เมื่อบุตรสาวแต่งงานจะนำสามีมาอยู่ด้วยกับบิดามารดาของฝ่ายหญิงราว 1 ปี หรือ จนกว่าบุตรชายอีกคนจะแต่งงานจึงจะมีการแยกบ้าน ตามจารีตประเพณีฝ่ายหญิงเป็นเจ้าของบ้าน ดังนั้นหากภรรยาตายในขณะที่ลูกๆ ของเธอยังไม่ได้แต่งงาน บ้านหลังนั้นก็จะเป็นของลูกๆ พวกลูกๆ อาจคัดค้านบิดาที่ต้องการแต่งงานใหม่ นอกจากนี้ การตัดสินใจต่างๆ ในหลังคาเรือน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพิธีกรรมจะเป็นของฝ่ายหญิงโดยเด็ดขาด และมีการนับญาติทางฝ่ายหญิงอย่างเคร่งครัดด้วย กะเหรี่ยงมีระบบการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียวอย่างเคร่งครัด การหย่าร้างมีน้อย และการแต่งงานใหม่ไม่ค่อยปรากฏ การมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงานไม่ค่อยปรากฏ และส่วนมากจะเป็นการแต่งงานในเผ่ากะเหรี่ยงด้วยกัน (หน้า 24)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ม้งเป็นพวกนับถือผี (animism) โดยเชื่อว่าผีมีทั้งผีบรรพบุรุษ และผีที่อยู่ตามธรรมชาติสภาพแวดล้อม ซึ่งมีอยู่หลายระดับ ระดับสูงสุดได้แก่ ผีฟ้า เรียกว่า "ตรั้งคู้" ระดับรองลงมาคือผีหมู่บ้าน เรียกว่า "ตรงเช้ง" ผีระดับถัดไปคือผีบรรพบุรุษหรือผีเรือน เรียกว่า "ตรั้งครัวฮูเจ" นอกจากนี้ ม้งยังนับถือผีประเภทที่เรียก ผีปฏิบัติตามจารีตประเพณีอีกด้วย นอกจากเรื่องผีแล้ว ม้งยังเชื่อว่าคนที่เกิดมาจะต้องมี 3 ขวัญ เรียกว่า "ปลี" ม้งเชื่อว่าอย่างน้อยต้องมี 1 ขวัญอยู่ในร่างกาย อีก 2 ขวัญอาจล่องลอยออกจากร่างกายขณะหลับ หากขวัญออกจากร่างไปทั้ง 3 ขวัญ ผู้นั้นจะถึงแก่ความตาย และเมื่อตาย ขวัญหนึ่งจะอยู่ในที่ฝังศพ ขวัญหนึ่งจะไปเกิดใหม่ อีกขวัญจะไปสู่สวรรค์หรือนรก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านม้งมีอยู่ 5 แห่ง คือ ประตูหน้าบ้าน เสากลาง ฝาผนังตรงข้ามประตูหน้าบ้าน เตาไฟใหญ่ และเตาไฟเล็ก (หน้า 18) ม้งเชื่อว่า เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นการกระทำของภูติผีต่างๆ ทั้งสิ้น พิธีกรรมเซ่นไหว้ผีต่างๆ ในแต่ละโอกาสจะเกิดจากความเชื่อที่ว่า จะช่วยขจัดทุพภิกขภัย และทำให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ การประกอบพิธีกรรมของม้งนั้น หมอผีเป็นเสมือนผู้ขอผี และชาวบ้านจะเป็นทั้งผู้ทำและผู้ประกอบพิธี (หน้า 35) ส่วนสังคมของกะเหรี่ยงส่วนมากจะนับถือผีซึ่งมีอยู่มากมาย ซึ่งจะมีทั้งผีดีที่คอยปกป้องรักษาพวกเขาให้อยู่ด้วยความสงบสุข รวมทั้งช่วยบันดาลให้พืชพันธุ์ที่ได้เพาะปลูกไว้มีความอุดมสมบูรณ์ และผีร้ายที่คอยบันดาลให้เกิดการเจ็บไข้ จึงทำให้เกิดมีพิธีกรรม เช่น บวงสรวงบูชาต่อผีดี และขอขมาต่อผีร้าย ซึ่งเรามักจะเรียกรวมๆ กันว่า การเลี้ยงผี แต่ที่เป็นศูนย์กลางแห่งการสักการะ ได้แก่ ผีเจ้าที่ดินและวิญญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อถือผีแบบดั้งเดิม (เอาะ-แม) และยังมีการเชื่อถือผีแบบก้าวหน้า (แซะ-เตอะ-ชี) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 50 - 60 ปีที่ผ่านมา โดยจะให้ความสำคัญต่อผีภูเขา ผีน้ำ และผีหมู่บ้านเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการนับถือศาสนาคริสต์ ทั้งนิกายโปรแตสแตนท์และนิกายโรมันคาทอลิค ตลอดจนมีการนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมักจะอยู่กับการถือผีทั้งแบบดั้งเดิมและแบบก้าวหน้า คือ รู้จักไหว้พระ ทำบุญตักบาตร และขณะเดียวกันก็ยังนับถือผีและมีการเลี้ยงผีอยู่ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการนับถือแบบพุทธ-ผี (หน้า 24) กะเหรี่ยงมีการเลี้ยงผีเรือนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ส่วนผีบ้านซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะคอยดูแลเกี่ยวกับการให้ได้ผลผลิตของพืชผลการเกษตร และพิธีกรรมให้เกิดความอยู่ดีมีสุขของคนทั้งหมู่บ้าน การเลี้ยงผีบ้านหรือผีเจ้า จะทำกันปีละ 2 ครั้ง ซึ่งคนในหมู่บ้านทั้งหมดต้องเข้าร่วมพิธีด้วย พิธีกรรมทางศาสนาของกะเหรี่ยงมักจะเป็นการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษเพื่อเป็นการขอบคุณที่ทำให้พวกตนอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข (หน้า 36)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ทั้งม้งและกะเหรี่ยง ส่วนมากแล้ว เมื่อเจ็บป่วยมักจะใช้การรักษาพยาบาลโดยการไปสถานีอนามัย รองลงมาไปโรงพยาบาล และสุดท้ายคือรักษาโดยหมอผีตามประเพณี (หน้า 68)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชาวเขาเผ่าม้งในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย 1. ม้งจั๊ว หรือแม้วดำ แม้วลาย แม้วน้ำเงิน และแม้วดอก ผู้ชายนุ่งกางเกงสีดำเป้ายาวมาก ส่วนผู้หญิงนุ่งกระโปรงลายดอก 2. ม้งเด๊อ หรือแม้วขาว ผู้ชายนุ่งกางเกงที่มีขนาดของเป้าสั้น ขาเป็นรูปทรงกระบอกเหมือนกางเกงคนจีน ส่วนผู้หญิงนุ่งกางเกงเช่นเดียวกันกับผู้ชาย ในสมัยก่อนผู้หญิงนุ่งกระโปรงสีขาวล้วน (ที่มาของชื่อม้งขาว) ปัจจุบันจะนิยมนุ่งกระโปรงกันเฉพาะในงานพิธีบางประเพณีที่สำคัญเท่านั้น เช่น เทศกาลปีใหม่และพิธีแต่งงาน เป็นต้น 3.ม้งกั่วบ๊า หรือม้งแขนลาย ผู้ชายนุ่งกางเกงที่เป้ามีขนาดสั้น ขาเป็นรูปทรงกระบอกเหมือนกางเกงคนจีน ส่วนผู้หญิงนุ่งกางเกงเช่นเดียวกันกับผู้ชายแต่ที่แขนเสื้อจะมีผ้าปักเป็นลายปล้องตัดขวางตั้งแต่บ่าลงไปถึงข้อมือของแขนทั้งสองข้าง (หน้า 16-17) งานวิจัยชิ้นนี้ได้แบ่งกะเหรี่ยงออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. กะเหรี่ยงสะกอ หรือยางขาว ผู้ชายสวมกางเกงขายาวแบบจีนสีดำหรือขาว กับเสื้อแดงยกอกพู่เป็นตอนๆ แขนสั้น เสื้อยาวแค่ครึ่งหนึ่ง บางคนสวมเสื้อเชิ๊ตสีขาวแล้วทับด้วยเสื้อชุดสีแดง บางคนสวมเสื้อชุดสีดำ อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องมีเสื้อชุดสีแดงเตรียมไว้เสมอ โพกศีรษะด้วยผ้าแพรสีชมพูหรือสีต่างๆ เว้นแต่สีดำ บางคนตัดผมสั้นแบบผู้ชายไทยทั่วไป ผู้หญิงสาวทุกคนสวมประโปรงยาวลงไปจนถึงข้อเท้า บางคนทอเป็นเส้นแดงเล็กๆ รอบตะโพกและกลางขา ตัดกับสีขาว เสื้อแบบนี้ทอใช้กันเอง เย็บเองเป็นรูปคล้ายถุงกระสอบ หรือที่เรียกว่าทรงกระบอก มีแขนสั้น ตรงคอผ่าเป็นรูปสามเหลี่ยม ผมไว้มวยข้างหลัง พันหลายรอบด้วยเส้นด้ายถักสีแดง หรือถักด้วยผ้าสีขาวอย่างสั้นๆ ชุดสีขาวถือว่าเป็นชุดพรหมจารีย์ การแต่งกายของหญิงที่มีสามีแล้วจะสวมเสื้อสั้นลงมาแค่ใต้เอว ใช้สีดำเป็นพื้น ตรงครึ่งอกล่างเย็บด้วยเส้นด้ายกับลูกเดือยหินสีขาวเป็นรูปตารางหมากรุก หรือเป็นจุดๆ สีขาวๆ เป็นเครื่องหมายแสดงว่าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว 2.กะเหรี่ยงโปว์ หรือยางโป เสื้อติดกระโปรงสีขาวของผู้หญิงสาวพรหมจารีย์มีแถบผ้าสีแดงกว้างประมาณ 1 คืบปิดคาดรอบลำตัวตอนหน้าอก และชายผ้าข้างล่างปักลวดลายสีแดง บางคนกว้างเกือบ 1 ฟุต พวกอยู่ตามป่าลึกเข้าไปนิยมเกล้ามวยผมสูงเป็นกระพุ่มกลมแผ่แบนและขมวดจุกไว้ มีผ้าแถบเล็กสีขาวหรือชมพูปิดครอบผมเหนือหน้าผากโดยรอบ แต่มองเห็นทรงผมข้างบนได้อย่างถนัด ใต้แขนเสื้อซึ่งมีผ้าสีดำเป็นปลอกแขนยาวถึงข้อมือ มีหวายกลมๆ คาดเป็นตอนๆ นอกจากนั้นยังมีปลอกโลหะซ้อนกันจากข้อศอกหลายชั้น ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วสวมเสื้อทรงกระสอบคอเสื้อเป็นรูปตัววีเหมือนกันแต่สั้นเพียงแค่ใต้เอว ตัวเสื้อตอนบนมีพื้นสีดำ ใต้อกลงมาเป็นสีแดงเย็บปักลวดลายหรือติดลูกปัด เดือยหิน หรือหลอดไม้สีขาวไขว้กันเป็นลายตารางหรือลายตั้งตามแต่จะประดิษฐ์ให้สวยงาม ผ้านุ่งสีแดงมีลายสีขาว ส่วนผู้ชายปกติใช้เสื้อสีดำ ถ้ามีงานพิธีใช้สีแดงตัดด้วยเส้นสีขาว บางคนใช้สีขาวมีลายสีแดงเล็กๆ ยาวลงไปขนาดครึ่งขา ใช้กางเกงสีดำแบบกางเกงจีนแต่กว้างและก้นหย่อน ผู้หญิงชอบสักหมึกเป็นเครื่องหมาย สวัสดิกะที่ข้อมือ ส่วนน่องสักเป็นรูปกระดูกงู เชื่อกันว่าสามารถป้องกันเวทย์มนต์คาถาและภูติผีปีศาจ 3.กะเหรี่ยงยาว หรือยางแดง พวกนี้ชอบสวมชุดสีแดงมากกว่าสีอื่นๆ พวกผู้หญิงทั้งสาวและที่แต่งงานแล้วสวมชุดสีดำและแดง มีผ้าสีขาวพันรอบเอวและห้อยชายลงมาด้านหน้าเป็นสองแฉก มีผ้าผืนใหญ่คลุมไหล่ คลุมผม บางทีโพกผ้าสีแดงผืนใหญ่ ผู้ชายนอกจากสวมเสื้อสีแดงสีดำแล้ว ยังนิยมสวมกางเกงลายแดงสลับขาวเป็นเส้นตรงลงจากบนถึงล่าง 4.กะเหรี่ยงตอบตู หรือตองซู พวกผู้หญิงใส่ชุดดำหมด ผู้ชายเองก็ชอบใส่สีดำมากกว่าสีอื่นๆ (หน้า 20-22)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

การเกษตรแบบอนุรักษ์ที่ปรากฏในงานวิจัยนี้ ที่สำคัญได้แก่ - การไถพรวนดินแบบอนุรักษ์ มีด้วยกัน 3 แบบ คือ 1. การปลูกพืชแบบไม่ไถพรวนดิน เช่น การใช้ยาปราบวัชพืชและการไถพรวนดินตามแนวระดับขวางความลาดเทของพื้นที่ 2. การไถพรวนโดยปล่อยให้เศษเหลือของพืชอยู่ที่ผิวดินและใต้ดิน 3. การไถพรวนน้อยครั้งเพื่อลดการรบกวนดิน - การปลูกพืชสลับเป็นแถบ คือการปลูกพืชต่างชนิดกัน สลับกันเป็นแถบ ขวางความลาดเทของพื้นที่ - การปลูกพืชหมุนเวียน คือการปลูกพืช 2 ชนิดหรือมากกว่าลงบนพื้นที่เดียวกัน แต่ปลูกไม่พร้อมกัน พืชที่ปลูกได้แก่ พืชตระกูลถั่ว, พืชตระกูลหญ้า และข้าวโพดหรือพืชผักชนิดอื่นๆ - การปลูกพืชแบบวนเกษตร คือระบบการใช้ประโยชน์ของที่ดินในการทำกิจกรรมการผลิตต่างๆ ระหว่างการปลูกไม้ยืนต้น, การเลี้ยงสัตว์ และการปลูกพืชเกษตรให้สอดคล้องซึ่งกันและกัน โดยเกื้อกูลกับระบบนิเวศป่าไม้ในท้องถิ่น ซึ่งอาจปลูกควบคู่กันในเวลาเดียวกัน หรือคนละช่วงเวลาก็ได้ - การปลูกพืชคลุมดิน คือการปลูกพืชที่มีใบหนาแน่น มีรากมากและลึก เช่นพืชตระกูลถั่ว และพืชตระกูลหญ้า เป็นต้น - การปลูกพืชตามแนวระดับ คือการทำการเกษตรตามแนวระดับขวางความลาดเทของพื้นที่ เพื่อลดอัตราการไหลบ่าและพังทลายของดิน - การทำขั้นบันได คือการปรับสภาพพื้นที่ให้มีลักษณะคล้ายบันได โดยการก่อสร้างคันดินหรือหิน ทำให้เกิดร่องน้ำขึ้น - การทำคูรับน้ำ/คูเบนน้ำ คือร่องน้ำที่สร้างขึ้นขวางความลาดเทของพื้นที่ เพื่อสกัดการไหลบ่าของน้ำผิวดิน - ทางน้ำไหลและทางน้ำออก คือทางน้ำธรรมชาติหรือทางน้ำที่สร้างขึ้นเพื่อนำน้ำที่ไหลบ่าบนผิวดินไปสู่ที่ปลอดภัย ซึ่งทางน้ำไหลนี้จะมีการปลูกพืชคลุมในร่องน้ำและขอบของร่องน้ำ เช่น หญ้าขน, หญ้าแพรก และถั่วลาย เป็นต้น - การคลุมดิน คือการคลุมดินด้วยวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอินทรียวัตถุหรือวัตถุสังเคราะห์ (หน้า 39-42)

Text Analyst ชมพรรณ จันทิมา Date of Report 22 ก.ย. 2555
TAG ม้ง, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), การเกษตรแบบอนุรักษ์, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง