สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชาวเขา,การปลูกฝิ่น,ความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคม,ภาคเหนือ
Author คณะสำรวจสหประชาชาติ
Title รายงาน การสำรวจความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคมในอาณาบริเวณที่ปลูกฝิ่นของประเทศไทย
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 219 Year 2510
Source คณะสำรวจสหประชาชาติ
Abstract

คณะสำรวจสหประชาชาติได้รับการขอร้องให้ทำการพิจารณาตรวจสอบและรายงานเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ของประชากรชาวเขาในทางตอนเหนือของประเทศไทย โดยขอให้พิจารณาในเรื่องการหาพืชอื่นมาทดแทนการปลูกและการผลิตฝิ่นเป็นพิเศษได้ดำเนินงานสำรวจทั้งในพระนครและในบริเวณที่ชาวเขาอาศัย รัฐบาลไทยโดยผ่านทางกระทรวง กรม และคณะกรรมการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสนับสนุนทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ รายงานนี้รวมเอาเรื่องราวอย่างย่อเกี่ยวกับการสังคมและการเศรษฐกิจของชาวเขา สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของอาณาบริเวณที่ชาวเขาอาศัยอยู่ ตลอดจนลักษณะของทรัพยากรที่มีอยู่ในบริเวณนั้น อภิปรายบทบาทของการผลิตฝิ่นที่มีต่อการเศรษฐกิจของชาวเขา วิเคราะห์การสำรวจต่าง ๆ ที่ทำมาแล้วในอดีต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสำรวจของรัฐบาลในปี พ.ศ. 2508-2509 ได้กล่าวถึงประวัติของการปลูกฝิ่น การผลิตฝิ่น การลักลอบค้าฝิ่น การเสพติดยาเสพติดให้โทษและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ กล่าวถึงกิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐบาลในด้านนิติบัญญัติและบริหาร รวมทั้งงานของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและงานของ กรมประชาสงเคราะห์ ตำรวจภูธรชายแดนและศูนย์วิจัยชาวเขา อภิปรายสถานการณ์ในปัจจุบันค่อนข้างละเอียด และ พิจารณาเปรียบเทียบความร้ายแรงของสถานการณ์ ข้อเสนอแนะแบ่งออกเป็นเรื่องใหญ่ ๆ คือ การเกษตร การป่าไม้ และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การลักลอบค้าฝิ่น และการติดยาเสพติดให้โทษ การบริหารในเรื่องการเกษตรและป่าไม้ได้เสนอข้อยุติใน แง่ทางเศรษฐกิจว่าไม่มีพืชชนิดใดหรือกิจกรรมใดเพียงอย่างเดียวที่จะสามารถทดแทนฝิ่นได้ในระยะสั้น นอกจากพืชอื่น ๆ หลายอย่าง แนะนำพืชสองสามอย่างที่มีน้ำหนักเบา มีปริมาตรไม่ใหญ่และมีราคาสูงเพื่อให้ทำการศึกษาพิจารณา เช่น เมล็ดพันธุ์ผัก ไพเรธรัม และชา เน้นถึงความจำเป็นของการวิจัย การส่งเสริม การสาธิต และชี้ให้เห็นว่ามีทางที่จะจัดหางานให้แก่ ชาวเขาทำได้โดยการทำเยื่อไม้จากต้นสนและไม้อื่นๆ และโดยการปลูกต้นไม้พันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์ต่างประเทศบางอย่างเพื่อ ใช้ผลิตเยื่อไม้ แม้ว่าภายใต้สถานการณ์บางอย่าง การทำไร่เลื่อนลอยจะก่อให้เกิดปัญหาในการอนุรักษ์ดิน ในรายงานแนะนำให้ความพยายามปรับปรุงวิธีการแบบนี้เพื่อให้ทำการเพาะปลูกในที่ ๆ ดีกว่าได้เป็นเวลานานกว่า แทนที่จะพยายามสนับสนุนการตั้งหลักแหล่งอย่างถาวรก่อนที่จะถึงเวลาอันสมควรในเรื่องฝิ่น การลักลอบค้าฝิ่นและการติดยาเสพติดให้โทษ และเสนอแนะให้รัฐบาลกระชับการปราบปรามให้เข้มแข็งขึ้น ขั้นตอนต่าง ๆ ในการค่อย ๆ กำจัดการปลูกฝิ่นรวมทั้งปัญหาการให้เงินอุดหนุน การร่วมมืออย่างใกล้ชิดกว่าเดิมกับประเทศเพื่อนบ้าน อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการบำบัดการเสพติดฝิ่นของพวกชาวเขา และการเข้าเป็นสมาชิกสามัญในคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ สหประชาชาติมีการอภิปรายเรื่องรูปแบบของการบริหารที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิมอย่างละเอียด ความจำเป็นที่สำคัญคือ ต้องมีการประสานงานกันในงานต่าง ๆ ที่หน่วยงานหลายแห่งปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้ และยังแนะนำว่าให้จัดตั้งสำนักงานหรือกรม ๆ หนึ่งมาเพื่อให้ทำหน้าที่งานพัฒนาที่สำคัญๆ และให้ขอที่ปรึกษาหรือผู้ประสานงานจากองค์การสหประชาชาติมาช่วยปฏิบัติงานด้วย (หน้า ก-ข)

Focus

เน้นศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกฝิ่นของชาวเขา เช่น ด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลให้เกิดการทำไร่เลื่อนลอยและการจัดระบบชุมชนของชาวเขาเอง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ชาวเขาและผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการปลูกฝิ่นโดยเฉพาะ ชาวเขาเผ่าม้ง เผ่าเย้า เผ่ามูเซอร์ เผ่าลีซอ และ เผ่ากระเหรี่ยง ในรายงานระบุว่าชนเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปลูกฝิ่นทั้งหมด เพียงแต่คณะสำรวจเน้นศึกษาเฉพาะพื้นที่ที่มีการปลูกฝิ่นเท่านั้น (หน้า 12 - 15)

Language and Linguistic Affiliations

พวกเย้าบางกลุ่มเขียนภาษาจีนได้ แต่ไม่ปรากฏว่าชาวเขาเผ่าใดมีภาษาเขียน พวกหมอสอนศาสนาคริสต์ได้สอนชาวเขาบางกลุ่มเขียนภาษาของตนเอง (หน้า 16)

Study Period (Data Collection)

คณะสำรวจได้เริ่มทำงานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2508 ถึงเดือนมีนาคม 2509 ได้มีการปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างตามหลักวิชาการทางสถิติและได้เดินทางไปปฏิบัติงานภาคสนาม โดยแบ่งคณะสำรวจออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อสังเกตการณ์ได้มากขึ้น ทั้งทางภาคพื้นดินและทางอากาศ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ (หน้า 3-10, 81-89)

History of the Group and Community

คณะสำรวจแบ่งแยกชาวเขาออกอย่างกว้าง ๆ ได้เป็น 2 ประเภท คือ พวกที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับจีน ได้แก่ พวกม้ง เย้า และพวกที่สืบเชื้อสายมาจากธิเบต - พม่า ได้แก่ พวกมูเซอร์ ลีซอ อีก้อและกะเหรี่ยง บางกลุ่มเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองไทย เป็นกลุ่มสุดท้ายของการย้ายประชากรจากจีนลงมาทางใต้ ซึ่งการย้ายถิ่นครั้งนี้ที่นำเอาชาวไทยเข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อประมาณ 7 ศตวรรษมานี้เอง - กะเหรี่ยง : ย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเมื่อหลายทศวรรษก่อน ปัจจุบันเป็นชาวเขากลุ่มใหญ่ที่สุด แบ่งออกเป็น 2 เผ่าคือ กะเหรี่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโปว์ จะมีความแตกต่างในเรื่องภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่าง ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่อง การแต่งกาย - ม้ง : หรือในทางมนุษยวิทยาเรียกว่า "เมี้ยว" แต่จะเรียกตัวเองว่า " ม้ง" เมื่อ 3000 ปีก่อน อาศัยอยู่บนฝั่งแม่น้ำเหลือง แต่ถูกชาวจีนกดดันและขับไล่ลงมาทางใต้ แบ่งออกเป็น 2 เผ่า คือ ม้งลายและม้งขาว มีความแตกต่างกันในเรื่องการแต่งกาย ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่าง แต่แต่งงานข้ามกลุ่มได้ บางกรณีในหมู่บ้านหนึ่งจะมีหลายเผ่าตั้งอยู่รวมกัน - เย้า : ประมาณ 2500 ปีก่อนอาศัยอยู่ในบริเวณทางตะวันออกของมณฑลเกียวเจา พวกเย้าสามารถปรับปรุงวัฒนธรรมของตนให้เข้ากับจีนได้ดีกว่าพวกแม้ว ไม่มีการแบ่งออกเป็นฝ่ายย่อย ๆ - ลีซอ มูเซอ และอีก้อหรืออะข่า : อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของยูนาน และในบริเวณเทือกเขาของพม่ามากกว่าจำนวนที่อยู่ในเมืองไทย สำหรับเผ่ามูเซอร์หรือลาหู่ นั้นแบ่งออกเป็น 4 เผ่าย่อยคือ มูเซอร์ดำ มูเซอร์แดง มูเซอร์ซาเลห์และมูเซอร์ชี ส่วนพวกลีซอและอีก้อนั้นไม่มีการแบ่งออกเป็นฝ่ายย่อย ๆ ( หน้า 13 - 18 )

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

จากข้อมูลการสำรวจที่รัฐบาลไทยได้จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2508 - 2509 นั้น รายงานว่ามีประชากรชาวเขาอาศัยอยู่ประมาณ 275,249 คน ข้อมูลนี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่ร้อยละ 11 ซึ่งครอบคลุมประชากรที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 600 เมตรขึ้นไปเท่านั้น มีประมาณ 110,000 ตารางกิโลเมตร ฉะนั้น ความหนาแน่นของประชากรมีประมาณ 2.5 คน ต่อหนึ่งตารางกิโลเมตร ได้ประมาณประชากรชาวเขาแต่ละเผ่า ว่ามีจำนวนดังต่อไปนี้ เผ่า จำนวนประชากร อัตราร้อยละของประชากรทั้งหมด กระเหรี่ยง 123,380 44.8 ม้ง 53,031 19.3 เย้า 16,119 5.9 มูเซอร์ 15,994 5.8 ลีซอ 9,440 3.4 นอกจากนี้ยังมีชนเผ่าย่อย ๆ และชาวยูนนานอพยพรวมทั้งพวกจีนฮ่อ (หน้า 12-13, 83) พวกม้งอาศัยอยู่มากที่สุดในจังหวัด เพชรบูรณ์ เชียงราย เชียงใหม่ น่าน ตาก ส่วนในจังหวัดพิษณุโลก แม่ฮ่องสอนและลำปางมีอยู่ไม่มากนัก พวกเย้ายังรวมกลุ่มกันอยู่ในจังหวัดเชียงราย และมีบางกลุ่มอยู่ในจังหวัดน่าน ลำปางและเชียงใหม่ กะเหรี่ยงมีมากในจังหวัดเชียงใหม่ และ แม่ฮ่องสอน แต่ในจังหวัดเชียงราย ลำพูน ลำปาง ตากและกำแพงเพชร ก็มีอยู่เหมือนกัน (หน้า 14)

Economy

เกษตรกรรม : พืชไร่ที่มีค่าทางเศรษฐกิจของชาวเขามีหลายชนิด เช่น ข้าวไร่ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วฝัก หอม กระเทียม มะเขือเทศ ผักเขียวต่าง ๆ ลูกเดือย มันสัมปะหลัง มันแกว ฟักทอง หัวไชเท้า มันเทศ มันฝรั่ง และผลไม้ พวกส้มต่าง ๆ ลูกฝรั่ง สับปะรด แต่คุณภาพไม่ดีเท่าไร และแตงโม แหล่งรายได้เงินสดของชาวเขาที่สำคัญ คือ พริก ใบเมี่ยง ลูกไม้และกล้วยไม้ ชาวเขายังได้ผลผลิตเล็ก ๆ น้อย ๆ จากป่า เช่น ผลไม้ ลูกไม้ ผักขม น้ำมันต่าง ๆ เครื่องปรุงรส ยางสน น้ำผึ้ง รวงผึ้ง ขี้ผึ้ง ใยไม้ เห็ด (ป่า) เปลือกไม้ ไม้ทำสีย้อมผ้า เครื่องยา หวาย ไม้ไผ่ ที่สำคัญคือ หน่อไม้ ชาวเขาเผ่ามูเซอและม้งลาย มีการปลูกใบชาด้วย ชาวเขาบางพวกมีการปลูกฝ้ายป่าพันธุ์พื้นเมืองและใบยาสูบบ้าง ชาวเขาที่คณะสำรวจได้ศึกษานั้นส่วนมากนิยมปลูกฝิ่น โดยเฉพาะม้งและเย้า เป็นชนเผ่าที่ชำนาญในการปลูกฝิ่นมาก บาง ครอบครัวรายได้สูงกว่าระดับเฉลี่ยรายได้ประชาชาติ ครอบครัวม้งสนใจปลูกฝิ่นมาก จึงทำให้ไม่สามารถปลูกข้าวได้พอกิน และใช้เงินที่ได้มาซื้อข้าวและสิ่งของต่าง ๆ ม้งจะย้ายถิ่นทำกินก็ต่อเมื่อดินบริเวณนั้นไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกแล้ว โดยเฉลี่ย ต่อหนึ่งครอบครัวจะใช้เนื้อที่ในการปลูกฝิ่นประมาณ 8 - 16 ไร่ต่อปี สามารถใช้ที่ดินบริเวณนั้นได้ประมาณ 10 ปี และแต่ละครอบครัวอาจกลับมาใช้ที่ดินได้อีกหลังจากปล่อยทิ้งร้างไว้ประมาณ 5 ปี หลังจากรัฐบาลมีประกาศให้เลิกสูบและจำหน่ายฝิ่นแล้ว มีหลายหน่วยงานมาแนะนำสาธิต ให้ปลูกพืชอย่างอื่นที่ทำรายได้ดีเหมือนกัน ทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งจะแตกต่างกันตามแต่ท้องที่ (หน้า 25, 32-38, 45-48, 50-80, 125, 135) อุตสาหกรรม : เป็นแบบอุตสาหกรรมในครอบครัว เช่น การทำเครื่องประดับด้วยโลหะเงิน การทอผ้าและการปักลวดลาย เย็บเสื้อผ้า ผลผลิตบางอย่างมีคุณภาพดี เป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยว ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ปัจจุบันเครื่องประดับที่ทำด้วยเงินส่วนหนึ่งจะเก็บไว้เป็นเงินออมในครอบครัว (หน้า 145) การเลี้ยงสัตว์ : ชาวเขามีการเลี้ยงสัตว์ไม่มากนัก มีชาวเขาหลายเผ่าที่มีความสามารถในการดูแลและเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ วัวซีบูหรือปรามินท์ ไม่ค่อยแข็งแรงแต่อาจพัฒนาได้ หมู นิยมเลี้ยงพันธุ์หลังเรียบหรือหลังแอ่น มักปล่อยให้หาอาหารเอง เป็น โรคพยาธิ ชาวเขาบางเผ่าเลี้ยงม้าพันธุ์มงโกเลียหรือยูนนาน สัตว์ปีก ส่วนมากจะเลี้ยงไก่ เป็ดมีน้อยมาก ปลาน้ำจืดได้จากลำธารหรือแควเล็ก ๆ แมลง มีการล่าสัตว์ป่าในบางเผ่า เช่น หมูป่า เก้ง กวาง เนื้อทรายและสัตว์มีเขาอื่น ๆ ลิง ค่างและชะนี ทั้งนำมารับประทานและขาย (หน้า 39-40, 48-49, 130-132) อื่น ๆ : กะเหรี่ยงบางพวกทำงานในเหมืองบ้านบ่อแก้ว และมีบางพวกที่รับจ้างทำงานในไร่ฝิ่นของม้ง การส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตป่าสงวนกำลังจะมีความสำคัญขึ้นมา (หน้า 49, 64-65)

Social Organization

สมาชิกทุกคนในเผ่าแต่ละเผ่าจะรู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากเผ่าอื่น จึงทำให้ไม่มีการแต่งงานระหว่างชนต่างเผ่า ถึงแม้จะแตกต่างกันในวัฒนธรรมย่อย ๆ แต่ก็มีการยอมรับเอาคนในเผ่าเดียวกันจากแหล่งอื่นมาอยู่รวมกัน (หน้า15-16 ) ม้ง : ผู้ชายจะต้องให้แหวนโลหะเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นค่าสินสอดแก่บิดามารดาของฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งต้องเป็นคนต่างนามสกุลและตามปกติมักเป็นคนแปลกหน้า (หน้า 60)

Political Organization

ชาวเขาจะยอมรับนับถืออำนาจของหัวหน้าเผ่าของพวกเขาเท่านั้น และมักจะไม่ทราบกฎหมายของประเทศที่อาศัยอยู่ (หน้า 107) หมู่บ้านเป็นหน่วยทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุด ที่พวกชาวเขายอมรับนับถือ และหมู่บ้านจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อทุกครัวเรือนสมัคร ใจที่จะอยู่ร่วมกัน บางเผ่า เช่น ม้งมีโครงสร้างแบบญาติพี่น้อง หัวหน้ากลุ่มของญาติพี่น้องในท้องถิ่นจะทำหน้าที่เป็นผู้นำของสมาชิกในเครือญาติ และความผูกพันทางสังคมของเครือญาติ ได้รับการยอมรับนับถือจากชาวเขาบริเวณนั้น (หน้า15-16) ทางรัฐบาลเสนอให้มีผู้นำประจำหมู่บ้าน คณะที่ปรึกษาเพื่อช่วยหัวหน้า ควรมีระบบเกี่ยวกับการเลือกตั้งหัวหน้าอย่างสม่ำเสมอ โดยการอนุมัติจากรัฐบาล ส่วนในท้องถิ่นที่ชาวเขาสำคัญกว่ากำนันก็ควรให้ชาวเขาเป็นกำนันหรือไม่ก็ผู้ช่วยกำนัน และกำนัน ควรมีการพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นของสำนักงานอย่างสม่ำเสมอ (หน้า 168)

Belief System

วัฒนธรรมชาวเขากลุ่มต่าง ๆ มีลักษณะหลากหลาย แต่ละวัฒนธรรมก็มีระบบความเชื่อที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นในศาสนาทำให้มีการจัดพิธีกรรมต่าง ๆ ขึ้นมากมาย และบางพวก เช่น เย้ามีคัมภีร์ทางศาสนาซึ่งบางเล่มบันทึกเป็นอักษรจีน (หน้า 16)

Education and Socialization

ปี 2496 มีการสร้างโรงเรียน 105 โรงเรียน ตามโครงการโรงเรียนของ ภ.ชด. ตชด. บางแห่งได้โอนไปให้กระทรวงศึกษาดำเนินต่อแต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก มีเจ้าหน้าที่ ภ.ชด. เป็นครู สอนภาษาไทย เลขคณิต วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และ ความรู้เกี่ยวกับอนามัย ปี 2508 จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการการพัฒนาในท้องที่ห่างไกลขึ้นมีการจัดฝึกอบรมด้านหน้าที่พลเมือง เกษตรและการแพทย์ หลังจากนั้น มีการจัดตั้งศูนย์ชาวเขาขึ้น 5 แห่ง จัดให้มีการบริการทางการแพทย์ สินค้าบริโภคมีการ สาธิตพืชชนิดใหม่ การเลี้ยงสัตว์ การอนามัย ตลาดสำหรับจำหน่ายผลผลิต มีการจัดตั้งนิคมขึ้น 4 แห่ง คือ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย เพชรบูรณ์และตาก ภายใต้การควบคุมของกองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย ดำเนินงานแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องที่ มีการสร้างถนนเข้าสู่ทุกนิคม ต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้จัดตั้งโรงเรียนเพิ่ม จัดหาหลักสูตรฝึกอบรมครูสำหรับท้องที่ห่างไกล แต่เป็นการทำงานในส่วนน้อยของบริเวณที่อยู่อาศัยของชาวเขาทั้งหมด กระทรวงเกษตรช่วยส่งเสริมจัดฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่กสิกรรมที่ประจำหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ หลังจากรัฐบาลประกาศห้ามจำหน่ายและสูบฝิ่น โครงการพัฒนาชาวเขาและสงเคราะห์ชาวเขาถูกแบ่งออกเป็น 4 โครงการ ได้แก่ โครงการนิคมสร้างตนเองและสงเคราะห์ชาวเขา,โครงการสงเคราะห์ชาวเขาโดยใช้หน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ ศูนย์วิจัยชาวเขาและโครงการชาวเขาสัมพันธ์ โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแล (หน้า107- 113)

Health and Medicine

กระทรวงสาธารณสุขได้จัดฝึกอบรมแก่พนักงานประจำกลุ่มพัฒนาเคลื่อนที่ แต่การปฏิบัติงานทั่วไปยังมีน้อย (หน้า 112)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชาวเขาบางครอบครัวมีการทำเครื่องประดับด้วยโลหะเงิน ทอผ้าและการปักลวดลาย เย็บเสื้อผ้า พวกแม้วสวมใส่แหวนเป็นเครื่องประดับทั้งชายและหญิง (หน้า 60, 145) บางครั้งมีการจัดงานฉลองที่เป็นการแสดงออกถึงความสามารถในทางศิลปะ และเป็นการสนองความต้องการทางสังคม และสันทนาการของชาวเขาอยู่เป็นประจำ (หน้า 16)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเขากับรัฐบาลไทย : มักเป็นไปด้วยดีเสมอ เพราะว่าพวกนี้อดทนต่อการปฏิบัติที่ ได้รับ และได้รับอนุญาตให้ครอบครองที่ดินและย้ายจากแหล่งหนึ่งไปอีกแหล่งได้ ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานโดยปราศจากการรบกวน (หน้า 15) ความสัมพันธ์ระหว่างม้งซึ่งเป็นผู้ปลูกฝิ่นและชาวจีนยูนาน : ซึ่งเป็นพ่อค้ารับซื้อฝิ่นมีมายาวนานมาก เป็นความสัมพันธ์ที่ดีและ เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย (หน้า 61)

Social Cultural and Identity Change

ถ้าปีใดเพาะปลูกได้ผลดีและได้เงินมาก จะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน เช่น ปี 2507 บ้านแม่โถ หลายครัวเรือนเปลี่ยนหลังคาบ้านเป็นหลังคาสังกะสี บางบ้านซื้อวิทยุทรานซิสเตอร์ แหวนเงินและเครื่องเงิน (หน้า 60,145) ความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวข้องกับการเข้ามาขององค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสนับสนุนให้ลดการปลูกฝิ่นของชาวเขา โดยในรายงานได้ให้ข้อเสนอแนะว่าควรทำอย่างกระชับและเป็นขั้นเป็นตอนเพราะการตัดวงจรการเพาะปลูกฝิ่นทันทีนั้นมีผลกระทบอย่างมากต่อวิถีชีวิตของชาวเขา

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

จากการศึกษาของคณะสำรวจพบว่าพวกชาวเขาชอบปลูกฝิ่นในสิ่งแวดล้อมแบบป่าดงดิบ (หน้า120) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 14 ล้านไร่ ได้รับผลกระทบจากการทำไร่เลื่อนลอย ถ้ามองในแง่ของนักป่าไม้และนักอนุรักษ์ทรัพยากรดินและน้ำแล้วเหตุการณ์เช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง (หน้า 32-33) การฟื้นฟูป่าถือเป็นเรื่องที่ทำได้แต่การป้องกันการขยายตัวทำได้ยากและต้องใช้ทุนสูงมาก (หน้า 118) เนื่องจากแต่ละครอบครัวนั้นต้องใช้ที่ปลูกฝิ่นประมาณ 16 ไร่และปลูกข้าวประมาณ 32.5 ไร่ รวมแล้ว 48.5 ไร่ในระยะเวลา 10 ปี (หน้า 53) เมื่อดินที่ใช้ปลูกฝิ่นไม่สามารถให้ผลผลิตได้ดีตามที่ต้องการแล้ว เนื่องจากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 5-10 ปี ชาวเขาจะย้ายไปหายังแหล่งใหม่ ซึ่งดินที่เหมาะแก่การปลูกฝิ่นหาได้ไม่ง่ายนัก (หน้า 66) ชาวเขามีความสามารถในการโค่นถางป่าและมีมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงในการเตรียมดิน (หน้า 123) การทำไร่เลื่อนลอยกล่าวโดยรวมแล้วการเสื่อมโทรมและสูญเสียยังไม่มากนัก เพราะว่ามีไม้เลื้อย หญ้าไม้เล็ก และไม้ใหญ่ขึ้นมามาก ไม่เช่นนั้นแล้วผู้เพาะปลูกจะไม่สามารถกลับมาทำการเพาะปลูกในที่เดิมในระยะเวลา 5-15 ปีได้ ซึ่งอาจจะสะท้อนได้ว่าชาวเขามีภูมิปัญญาในการเลือกที่ดินและมีความรู้เกี่ยวกับพืชและสัตว์ในบริเวณที่ใช้ทำกินดี แต่ก็ยังมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดการพังทลายของหน้าดินได้ เช่น ประชากรเพิ่มขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างฝิ่นกับพืชชนิดอื่นๆ ผลของการปลูกฝิ่นที่มีต่อศักยภาพของดิน ชาวเขาที่ปลูกฝิ่นต่างทราบถึงปัญหาของการติดฝิ่น ความไม่แน่นอนในราคาผลผลิตและยังละเมิดกฏหมายด้วย ถ้าหากมีอาชีพอื่นทำที่เหมาะสม ส่วนใหญ่เต็มใจที่จะเลิกปลูกฝิ่นเพราะว่าทำเพื่อให้ได้เงินมาไม่ใช่เพราะใจรัก (หน้า 70-71, 85) พ.ศ. 2501 รัฐบาลประกาศห้ามจำหน่ายและสูบฝิ่น ทางรัฐบาลได้เข้าช่วยเหลือโดยจัดตั้งองค์กรต่าง ๆ เข้าช่วยเหลือชาวเขา ปัญหาในปัจจุบันคือ ยังไม่มีสิ่งใดที่มีค่าทางเศรษฐกิจมาแทนฝิ่นได้ ถ้ามีการจัดรูปแบบองค์กรใหม่และพัฒนาควบคู่ไปกับการศึกษา พัฒนาพลเมืองและการวิจัย บางท้องที่อาจให้เงินอุดหนุน อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ต้องอาศัยหลาย ๆ วิธีเนื่องจากความซับซ้อนทางการเกษตร เศรษฐกิจและสังคมของบริเวณนั้น (หน้า 119) ในรายงานวิจัยระบุว่าเนื้อความที่ระเอียดยิ่งกว่ารายงานฉบับนี้อาจจะหาดูได้จาก ผลงานของ Mr.Young (พ.ศ. 2505) และพัทยา สายหู (พ.ศ.2502) และรายงานของศูนย์วิจัยชาวเขากรมประชาสงเคราะห์

Map/Illustration

- แผนที่ภาพที่ 2 แสดงเส้นทางอพยพ (หน้า 47) - แผนที่อันดับที่ 1 บริเวณพื้นที่บ้านแม่ปูน (หน้า 68) - แผนผังอันดับที่ 1 หมู่บ้านแม่ปูน (หน้า 69) - แผนผังอันดับที่ 2 หมู่บ้านโล๊ะป่าไคร้ (หน้า 70) - แผนที่อันดับ 2 บริเวณพื้นที่หมู่บ้านโล๊ะป่าไคร้ (หน้า 71)

Text Analyst ปัญญ์ชลี ผกามาศ Date of Report 01 ม.ค. 2548
TAG ชาวเขา, การปลูกฝิ่น, ความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคม, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง