สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม พัฒนาการ ชุมชนมุสลิม ลุ่มทะเลสาบสงขลา ภาคใต้
Author เอี่ยม ทองดี
Title อิสลาม : พัฒนาการของชุมชนมุสลิม : ศึกษาบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา พ.ศ. 2442-2542
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 368 Year 2547
Source กลุ่มโครงการวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้บริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาในรอบร้อยปี สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

การศึกษาอิสลามกับพัฒนาการของชุมชนมุสลิมในบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา ผู้วิจัยได้แบ่งพัฒนาการของชุมชนมุสลิมออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ คือ ช่วงก่อนร้อยปีที่ผ่านมา (ก่อน พ.ศ. 2442) และช่วงร้อยปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2442 - 2542) ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นอีก 3 ช่วงย่อยคือ ยุคการศึกษาอิสลามในสถาบันครอบครัว (พ.ศ. 2442 - 2487) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนปอเนาะ (พ.ศ. 2488 - 2516) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา (พ.ศ. 2517 - 2542) พัฒนาการของชุมชนมุสลิมในพื้นที่ที่ศึกษาขึ้นอยู่กับการศึกษาและการเผยแพร่อิสลามเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะศาสนาอิสลามได้เข้ามาเป็นโครงสร้างหลักส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ปลูกฝังพฤติกรรมต่างๆ แก่สังคมในพื้นที่นี้มาแต่โบราณ เป็นสื่อกลางประสานเชื่อมโยงผู้คนในสังคม มีคุณธรรม จริยธรรม มนุษยธรรมและหลักธรรมต่างๆ เป็นเป้าหมายของชีวิต มีแบบแผนพฤติกรรมรายละเอียดที่แตกต่างกัน พัฒนาการเรื่องต่างๆ ทางศาสนาจึงเป็นพลังที่ผลักดันให้สังคมเกิดความเป็นระเบียบวินัย มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเป็นการเพิ่มพลังชีวิตนำไปสู่สันติของท้องถิ่น ยุคก่อนร้อยปีที่ผ่านมา / ยุคไร้สถาบันการศึกษา (ยุคการศึกษาแบบดั้งเดิม) หรือยุคสาดดาด ช่วงเวลาตั้งแต่อดีต/โบราณมาจนถึงปี พ.ศ. 2442 เป็นชุมชนที่เน้นการปฏิบัติอิสลามตามประเพณีที่สืบต่อกันมา มากกว่าการเรียนรู้ทางหลักอิสลาม เป็นยุคที่มีผู้ปฏิบัติมากกว่าผู้รู้ศาสนา ลักษณะด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในยุคนี้โดยทั่วไปเน้นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอยู่ในชุมชนหรือในท้องถิ่นตามธรรมชาติ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรมก็จำกัดในแวดวงจำกัดและเน้นความสัมพันธ์ทางเครือญาติ (สายโลหิตและการเกี่ยวดอง) ตามแบบแผนทางสังคมและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ระบบอุปถัมภ์ การผลิต การแจกจ่าย การบริโภคแลกเปลี่ยนผลผลิต จะวนเวียนอยู่ในกรอบความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นหลัก ยุคการศึกษาอิสลามในสถาบันครอบครัว (พ.ศ. 2442 - 2487) เป็นยุคที่การจัดการศึกษาศาสนาเกิดขึ้นในครอบครัว เริ่มมีผู้รู้ ผู้เข้าใจและผู้นำทางศาสนาอิสลาม ที่เข้าใจในหลักปฏิบัติมากขึ้น การเรียน การเผยแพร่อิสลามสู่ชุมชนมากขึ้น ชุมชนมุสลิมยังคงพัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป บทบาทความสำคัญของกลุ่มที่อยู่ในระบบอุปถัมภ์มาสู่สถาบันครอบครัวมากขึ้น สถาบันครอบครัวมีความเข้มแข็งขึ้น มีบทบาทต่อส่วนรวมมากขึ้น ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนปอเนาะ (พ.ศ. 2488 - 2516) เป็นยุคที่การเรียนการสอนศาสนาในครอบครัวได้พัฒนาขึ้นเป็นโรงเรียนที่เรียกว่า ปอเนาะ โรงเรียนเป็นกรรมสิทธิ์ของโต๊ะครูหรือกลุ่มบุคคลหรือมัสยิด ลักษณะทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในยุคนี้ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคม เรื่องเครือญาติเริ่มลดหย่อนความเข้มข้นลง สำนึกในความเป็นมุสลิมมีความชัดเจนขึ้น ประเพณีปฏิบัติเดิมๆ ที่ผิดพลาดได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง ระบบอุปถัมภ์ยังคงมีอยู่ แต่อาศัยปัจจัยอื่นๆ เกี่ยวข้องด้วยเช่น ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ ทางการเมืองการปกครอง การผลิตเป็นไปเพื่อการขาย ชุมชนสัมพันธ์กับการตลาดโดยตรง ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา (พ.ศ. 2517 - 2542) เป็นช่วงเวลาการพัฒนาเปลี่ยนแปลงยกระดับการศึกษาโรงเรียนปอเนาะให้เปิดสอนวิชาศาสนาควบคู่กับวิชาสามัญ ชุมชนให้ความสำคัญกับการศึกษาอิสลามอย่างชัดเจน ลักษณะทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในยุคนี้ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับส่วนต่างๆ ภายในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น ความสัมพันธ์ทางสังคมเรื่องเครือญาติที่ต่างศาสนามีวงจำกัดเฉพาะญาติสนิทและอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงมากขึ้น สำนึกความเป็นมุสลิมมีโครงสร้างเป็นระบบจากชุมชนสู่ท้องถิ่น สู่ประเทศ สู่ภูมิภาคและสู่ความเป็นสากล ระบบอุปถัมภ์ได้พัฒนาการขึ้นให้สอดคล้องกับพัฒนาการเรื่องความสัมพันธ์ทางสังคม มีปัจจัยอื่นเป็นองค์ประกอบ เช่น ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง การผลิต การบริโภคและการแลกเปลี่ยนผลผลิตเน้นการผลิตที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม การค้า การบริการ

Focus

ศึกษา พัฒนาการของศาสนาอิสลามกับชุมชนมุสลิมในบริบททะเลสาบสงขลาในรอบร้อยปีที่ผ่านมา ปัจจัยและเงื่อนไขที่ทำให้เกิดพัฒนาการด้านต่างๆ เพื่อใช้พัฒนาการดังกล่าวให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนมุสลิมในบริเวณทะเลสาบสงขลาและส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างองค์ความรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอันจะนำไปสู่ความเข้าใจและเห็นคุณค่าความสำคัญในรากเหง้าและความเป็นมาของชุมชนมุสลิม ใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารหลักฐานจากแหล่งต่างๆ และจากภาคสนาม ด้วยวิธีการสนทนากลุ่มย่อย จัดเวทีย่อยในชุมชน (หน้า 4 - 5)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มประชากรไทยมุสลิม โดยผู้วิจัยได้แบ่งเป็น กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษเป็นคนไทย กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษมาจากมลายูหรือเป็นกลุ่มเชื้อสายมาเลย์ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษจากชาวอาหรับเปอร์เซีย กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษมาจากชะวา กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษมาจากเอเชียใต้ (หน้า 76 - 77)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาท้องถิ่นภาคใต้ (หน้า 83)

Study Period (Data Collection)

เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 (ประมาณเดือนกันยายน) เสนอผลงานวิจัยระหว่างปี พ.ศ. 2543 - 2544

History of the Group and Community

ชุมชนมุสลิมในประเทศไทยมีมาพร้อมๆ กับสมัยสุโขทัย บริเวณพื้นที่จังหวัดปัตตานีในปัจจุบันปรากฏร่องรอยของอารยธรรมอิสลามที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ในบริเวณทะเลสาบสงขลานั้น ปรากฏหลักฐานความเป็นชุมชนเมืองในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เกิดจากมุสลิมกลุ่มหนึ่งได้อพยพมาจากพื้นที่อื่น และมีอำนาจในทางการเมืองการปกครอง ในพื้นที่นั้น เป็นระยะเวลาต่อเนื่องมายาวนาน ได้เผยแพร่ศาสนาเข้าสู่ชุมชนต่างๆ ทำให้คนในพื้นที่ที่เคยนับถือศาสนาอื่น เข้ารับอิสลามมากขึ้น ทำให้เกิดชุมชนมุสลิมขึ้นโดยรอบพื้นที่ทะเลสาบสงขลา (หน้า 68-69) กลุ่มชนมุสลิมเช่นพวกพ่อค้า นักเดินเรือ ได้เริ่มอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งบริเวณหัวเขาแดง กลางพุทธศตวรรษที่ 22 ได้ตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนเมือง เติบโตขึ้นเป็นเมืองที่มีอำนาจครอบคลุมพื้นที่ลุ่มทะเลสาบสงขลาทั้งหมดและประกาศเป็นเมืองอิสระไม่ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา มีผู้นำคนสำคัญคือสุตต่านสุลัยมาน พ.ศ. 2232 กรุงศรีอยุธยาส่งกำลังมาปราบปรามได้กวาดต้อนผู้คนบางส่วนไปไว้ที่เมืองไชยาและกรุงศรีอยุธยาบางส่วน (หน้า 3 - 4 ) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีมุสลิมอพยพมาจากมลายู ตั้งรกรากอยู่ที่ สี่แยกบ้านแขก พระโขนง มีนบุรี หนองจอก ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา นครนายก นนทบุรี บางส่วนอพยพมาจากอินโดนีเซีย บางส่วนมาจากอินเดีย บางส่วนมาจากยูนาน ชาวอาหรับที่มาค้าขายและตั้งรกรากอยู่ในบริเวณภาคใต้ (หน้า 20)

Settlement Pattern

มี 2 ลักษณะ ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมทะเลหรือแม่น้ำลำคลอง กับ ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ราบห่างไกลแม่น้ำลำคลอง ลักษณะการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือตั้งบ้านเรือนแบบหนาแน่นเป็นกระจุกหรือเป็นกลุ่ม เช่น ชุมชนเมืองและชุมชนไทยมุสลิม กับการตั้งบ้านเรือนแบบกระจายตัวไปตามพื้นที่ทำมาหากิน เช่น ชุมชนไทยพุทธในชนบท (หน้า 61) บ้านเรือนในยุคก่อนร้อยปี มีลักษณะแบบใดแบบหนึ่งคือ ชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยทั้งหมดเป็นไทยมุสลิม เป็นชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นไทยมุสลิม คือมากกว่า ร้อยละ ๘๐ เป็นชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยประมาณครึ่งหนึ่งเป็นมุสลิม และเป็นชุมชนที่ผู้อาศัยส่วนใหญ่เป็นศาสนิกอื่นๆ ลักษณะบ้านเรือนไม่ได้แบ่งพื้นที่บ้านเรือนออกเป็นส่วนต่างๆ เพื่อใช้สอยตามหลักการศาสนาแต่อย่างใด พื้นที่ทำละหมาดไม่ได้กำหนดห้องไว้เฉพาะ นอกจากเป็นที่อยู่อาศัยประจำแล้ว ยังเป็นสถานที่ทำกิจกรรมอื่นๆ เช่นประกอบพิธีเข้าสุหนัด พิธีการแต่งงาน สอนศาสนา มีการเน้นการรักษาความสะอาดของบ้านเรือนมาก (หน้า 89 - 111) ยุค 2517 - 2542 การตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในชุมชนเมือง เป็นแบบผสมผสานตามเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและความพอใจของปัจเจกชน เช่น หมู่บ้านจัดสรร พื้นที่ เช่นหมู่บ้าน ตำบล ถือเอาความเป็นมุสลิมมาเป็นปัจจัยกำหนดขอบเขตพื้นที่ของชุมชนจากชุมชนอื่น (หน้า 251 - 274)

Demography

จำนวนประชากรที่มีภูมิลำเนาในทะเลสาบสงขลาจากหลักฐานการสำรวจปี พ.ศ. 2534 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,225,827 คน จำนวนครัวเรือนทั้งหมด 246,047 ครัวเรือน (กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2534) (หน้า 61) การกระจายตัวของชุมชน ชุมชนมุสลิมกระจายตัวจากทะเลสาบสู่พื้นที่โดยรอบ ฝั่งตะวันออกทะเลสาบได้แก่ ชุมชนหัวเขาแดง ชุมชนท่าเสา ชุมชนม่วงงาม ชุมชนบ้านบน บริเวณพื้นที่ตอนกลางทะเลสาบ ได้แก่ ชุมชนเกาะหมาก ชุมชนเกาะนางคำ ชุมชนปากพะยูน ฝั่งตะวันตก ได้แก่ ชุมชนชะรัด ชุมชนตะโหมด ชุมชนท่าช้าง ชุมชนควนในช่อง ชุมชนท่าชะมวง ฝั่งทิศใต้ ได้แก่ ชุมชนบ้านโฮะ ชุมชนท่าช้าง ชุมชนเกาะหมี ชุมชนบ้านตรับ ชุมชนน้ำจาย (หน้า 114 - 115)

Economy

การทำนาข้าว ประกอบเป็นอาชีพหลักมาแต่โบราณ พื้นที่ทำนาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดพัทลุง บางส่วนในอำเภอระโนด อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา พ.ศ. 2442 - 2487 การทำนาเป็นการทำนาปี ทำนาน้ำฝน ทำนาหว่านแห้ง ทำนาดำ ปลูกข้าวเจ้า การใช้แรงงานคนและสัตว์ อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ใช้ปุ๋ยมูลค้างคาวบำรุงข้าวกล้า ใช้คาถาเมตตาจิตป้องกันและกำจัดศัตรูข้าว การแลกเปลี่ยนแรงงานแบบลงแขก เมื่อ พ.ศ. 2493 มีโครงการชลประทานของรัฐเข้ามาช่วย ทำให้ชาวนาทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง มีการเปลี่ยนแปลงพันธุ์ข้าวจากข้าวพื้นเมืองมาเป็นพันธุ์ข้าว ก.ข. ในปัจจุบันแม้คนส่วนใหญ่จะคงทำนา แต่รายได้หลักที่เลี้ยงครอบครัวมาจากอาชีพอื่นๆ เช่น รับจ้างกรีดยาง รับจ้างใช้แรงงานก่อสร้าง แรงงานขุดดิน ไปรับจ้างในเมือง การทำงานในบริษัท โรงงานอุตสาหกรรม (หน้า 121 - 126) การทำสวนยางพารา ได้เข้ามาในพื้นที่เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2442 ต่อมามีบริษัทสวนยางพาราขนาดใหญ่ คือ THE JENG JENG PLANTATION CO. และบริษัท THE WAE CHANG YEN PLANTATION CO. ทำให้มีการขยายการปลูกยางพาราไปตามพื้นที่ภูเขา พื้นที่ราบลูกคลื่น ประชากรมากกว่าหนึ่งในสามประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับยาง เช่น รับจ้างตัดยาง เป็นลูกจ้างในสวนยาง ขนส่งยาง รับซื้อยาง ค้าขายอุปกรณ์เกี่ยวกับยางพารา รับติดตายาง เป็นต้น ในปัจจุบันเจ้าของสวนยางรายย่อยและคนรับจ้างกรีดยางยังคงมีปัญหาเรื่องรายได้ไม่เพียงพอรายจ่าย ทำไร่นาแบบผสมผสาน เช่น ทำไร่ปลูกข้าว ในไร่ไม่ได้ปลูกข้าวอย่างเดียว มีพริก ฟักแฟง ไว้บริเวณจอมปลอก ข้าวโพด มีข้าวฟ่างแซม พื้นที่หัวไร่หรือริมไร่จะปลูกไม้ผล เช่น กล้วย ทุเรียน สะตอ เงาะ พื้นที่ปลายนามักจะเป็นสวนสมรม มีพืชผัก พืชผล การประมง เป็นอาชีพหลักของประชากรบางกลุ่มมาแต่โบราณ การประมงในพื้นที่นี้แบ่งเป็น การประมงพื้นบ้าน และการประมงสมัยใหม่ - การประมงพื้นบ้าน ส่วนใหญ่เป็นไทยมุสลิม ผลผลิตที่ได้นำไปขายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ปลาสด ปลาแป้ง ปลาหมักดอง ตลาดปลาที่สำคัญกระจายอยู่รอบทะเลสาบ เช่น ตลาดสงขลา ตลาดปากพะยูน ตลาดลำปำ และจากตลาดเหล่านี้กระจายไปสู่ตลาดอื่น เช่น ตลาดหาดใหญ่ ตลาดควนเนียง การหาปลาและสัตว์น้ำใช้เรือเล็กหาปลาชายฝั่ง ใช้เครื่องมือแบบพื้นบ้าน โบละ ไซ โพงพาง แห - ตั้งแต่ปี 2517 - 2540 เปลี่ยนจากเรืออวนรุนเป็นอวนลาก เปลี่ยนจากทำประมงชายฝั่งมาเป็นประมงน้ำลึก ปัจจุบันการทำการประมงประสบปัญหา มีบางกลุ่มเปลี่ยนมาเลี้ยงกุ้งกุลาดำ สภาพของทะเลถูกปิดกั้น โดยสร้างสิ่งกีดขวาง การหมุนเวียนของสัตว์น้ำไม่ทั่วถึง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ตั้งแต่ปี 2520 มี เลี้ยงปลาในกระชัง เลี้ยงปลาน้ำจืด เลี้ยงกุ้งกุลาดำ แต่ได้ผลผลิตไม่แน่นอน รายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ ทำให้มีการเปลี่ยนจากอาชีพประมงไปเป็นอาชีพ ค้าขาย รับจ้างทั่วไป กรรมกร คนงาน รับจ้างขนส่ง ปลูกปาล์ม ขายลูกกุ้ง อาหารกุ้ง ยากุ้ง เครื่องมืออุปกรณ์ ตลาดสงขลาที่เคยเป็นศูนย์กลางสำคัญของสินค้าในทะเลสาบมาเป็นศูนย์กลางสินค้าจากแหล่งอื่นๆ ตลาดปากพะยูนซบเซา กลายเป็นสถานระบายสินค้าที่ผ่านมาจากชุมชนทางหาดใหญ่หรือพัทลุง การเดินเรือรับส่งสินค้าในทะเลสาบสงขลายุติลงโดยสิ้นเชิง (หน้า 274- 293) การหาของป่า เช่น ต้นไม้ พันธุ์ไม้ สมุนไพร สัตว์ป่า เครื่องเทศ แร่ธาตุ หิน มูลค้างคาว รังนก รัฐบาลได้เปิดให้ภาคเอกชนเข้าไปสัมปทาน จึงไม่ค่อยมีประโยชน์กับชาวบ้านนัก การค้าขาย บริเวณนี้เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญๆ เช่น เมืองหัวเขาแดง ตำบลหัวเขา อ.สิงหนคร จังหวัดสงขลา อ.หัวไทรและชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ลำปำ ปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ท่าเสา จะทิ้งพระ ระโนด จังหวัดสงขลา ตลาดเมืองลุงและตลาดสงขลา หาดใหญ่ สินค้าที่สำคัญในปัจจุบัน ข้าว ยางพารา กุ้ง รังนก สัตว์น้ำ ของป่า ผลไม้ งานบริการต่างๆ (หน้า 54 - 60) มุสลิมมีความชำนาญเป็นพิเศษในอาชีพบางอย่าง เช่น อาชีพค้าขายวัวควาย อาชีพประมง รับซื้อวัวควายส่งไปขายในตลาดปาดังเบซาร์หรือมาเลเซีย

Social Organization

ยุคก่อนร้อยปีที่ผ่านมา (ก่อนปี 2442) ครอบครัว เป็นครอบครัวรวม ผู้มีอำนาจตัดสินใจคือผู้อาวุโส สถานการณ์ทางสังคมยุคนี้ ขึ้นอยู่กับผู้นำหรือผู้อุปถัมภ์ เป็นหน่วยผลิตสิ่งที่ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของชุมชนและระบบอุปถัมภ์ในชุมชน ครอบครัวจะทำหน้าที่ผลิตร่วมกันกับครอบครัวอื่นๆ เช่น การทำนารวมหรือช่วยกันทำนาให้กับผู้อุปถัมภ์ จะทำหน้าที่ผลิตให้กับผู้อุปถัมภ์ แบ่งปันผลผลิตให้กับผู้อุปถัมภ์ สถาบันครอบครัวมีบทบาทหนุนเสริมผู้นำกลุ่มในเครือข่ายของระบบอุปถัมภ์ เป็นหลักประกัน ตัวประกัน รับโทษแทน เป็นผู้บริโภควัฒนธรรมมากกว่าผู้สร้าง สถาบันการศึกษาไม่มีตัวตนที่ชัดเจน มัสยิดเป็นเสมือนสมบัติส่วนตัวของตระกูลหรือในกลุ่มระบบอุปถัมภ์ เป็นกลไกหนึ่งในการรวมพลังสนับสนุนระบบอุปถัมภ์ เป็นตัวแทนสังคมในชุมชนไปสร้างสัมพันธภาพกับสังคมอื่นๆ เป็นต้นตอของรากเหง้าวัฒนธรรมอิสลาม เช่น การแต่งกาย ชีวิตประจำวัน ผู้นำชุมชน ทั้งผู้นำโดยธรรมชาติ ผู้นำทางศาสนาและผู้นำทางการเมืองการปกครอง มักจะเป็นคนเดียวกัน เป็นผู้สื่อข่าวสารการเปลี่ยนแปลงและเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ด้านของชุมชน (หน้า 284) ยุคการศึกษาอิสลามในสถาบันครอบครัว (2442 - 2487) ครอบครัวหนุนเสริมผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ในการดำเนินงานทางศาสนาทั้งในชุมชนและระหว่างชุมชน มุสลิมเชื่อผู้นำ ปฏิบัติตามผู้นำ ครอบครัวเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่วัฒนธรรมอิสลามสู่ชุมชน สถาบันครอบครัวพัฒนาความเข้มแข็งขึ้น คลี่คลายจากส่วนบุคคลหรือความสำคัญของปัจเจกชน มีระบบกลไกของส่วนกลางเข้ามาควบคุม ฐานความเข้มแข็งของสังคมมุสลิมในยุคนี้เคลื่อนจากอำนาจบารมีส่วนบุคคลมาเป็นอำนาจบารมีของครอบครัว ผู้นำชุมชนเปลี่ยนมาเป็นบทบาทของผู้นำศาสนามากกว่าจะเป็นทั้งผู้นำทางการเมืองการปกครองและทางศาสนา จารีต กฎเกณฑ์ โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม มุสลิมสามารถอธิบายโครงสร้างและกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ โดยสรุปให้เห็นถึงอำนาจของพระเจ้าที่มีอยู่ในสรรพสิ่ง ที่ทำให้อิสลามกลายเป็นทางเลือกของผู้ที่ลังเล จารีต กฎเกณฑ์ โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมหลายอย่างมีลักษณะหลวมๆ ยืดหยุ่น ทำให้การเข้ามาดำรงอยู่ของอิสลามท่ามกลางวัฒนธรรมเดิมเป็นไปได้ง่าย (หน้า 293) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนปอเนาะ (พ.ศ. 2488 - 2516) สถาบันครอบครัวและบ้านเรือน มีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว สมาชิกในครอบครัวมีอิสระในการดำรงชีพ ครอบครัวในยุคนี้ไม่มีบทบาทในการจัดการศึกษาอิสลาม แต่ได้พัฒนาการมาอยู่ในฐานะเป็นผู้หนุนเสริมให้เกิดสถาบันระดับที่สูงขึ้นกว่าระดับครอบครัว คือ เป็นสถาบันของชุมชนมุสลิม มัสยิดเป็นศูนย์รวมชีวิตและจิตวิญญาณของชุมชน เป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสาร กิจกรรมต่างๆ ทางศาสนา การเผยแพร่อิสลามสู่ชุมชน เป็นศูนย์กลางให้กับองค์กรของรัฐที่จะพบปะประชาชน คนสำคัญของมัสยิดในการขับเคลื่อนบทบาทต่างๆ มี โต๊ะอิหม่าม คอเต็บ บิลาน คณะกรรมการมัสยิด โต๊ะครูของปอเนาะ ผู้นำชุมชนเป็นองค์กรของรัฐ เช่น กำนัน แพทย์ประจำตำบล ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ผู้ทรงภูมิปัญญาของชุมชน ทำหน้าที่ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด กลุ่มอิสลามศึกษา คณะกรรมการมูลนิธิอิสลามในสถานที่ต่างๆ (หน้า 301) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา (พ.ศ. 2517 - 2542) สถาบันทางสังคม ได้แก่สถาบันครอบครัวและเครือญาติ สถาบันศาสนา สถาบันการศึกษา สถาบันทางการเมืองการปกครอง องค์กรชุมชน ครอบครัวมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวที่ชัดเจน บทบาทของครอบครัวและเครือญาติลดลง การพัฒนาคุณค่าความสำคัญของบทบาทสถาบันศาสนาอิสลามมีความชัดเจนขึ้น มัสยิดนอกจากเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางศาสนาแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางกิจกรรมอื่นๆ ของชุมชน เช่น เป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นศูนย์การประสานงานระหว่างราชการกับประชาชน เป็นศูนย์กลางให้การศึกษาอาชีพและสายสามัญแก่ชุมชน เป็นศูนย์ส่งเสริมอาชีพแก่ชุมชน บางมัสยิดมีการรวมตัวพัฒนาชุมชนด้านอื่นๆ เช่น จัดสวัสดิการชุมชน (หน้า 229-234 ) การแต่งงาน ที่ถูกต้องตามองค์ประกอบ 5 ประการ คือ 1.ผู้ปกครองของหญิงที่จะแต่งงาน 2.พยานไม่น้อยกว่า 2 คน 3.ชายผู้เป็นสามี 4.หญิงผู้จะเป็นภรรยา 5.คำตกลงนิกาห์ จากผู้ปกครองหญิงกับฝ่ายผู้จะเป็นสามี พิธีการแต่งงานจะเริ่มต้นด้วยการสู่ขอ พิธีแต่งงานจะเริ่มโดยการคุตบะฮ์นิกาห์ คือผู้ใหญ่ในพิธีจะสอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้รู้จักบทบาทหน้าที่ต่างๆ ที่จะเกิดหลังการแต่งงาน อิสลามอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้ไม่เกิน 4 คน โดยถือว่าเป็นภริยาในฐานะเดียวกัน ไม่มีใครมีสิทธิเหนือกว่าใคร ภริยาทุกคนอยู่ภายใต้การเลี้ยงและการปกครองของสามีด้วยความยุติธรรมอย่างแท้จริง ค่านิยมในการแต่งงานในยุค พ.ศ. 2442 - 2487 เน้นความสำคัญการแต่งงานในกลุ่มศาสนาเดียวกันมากขึ้น การแต่งงาน ใช้คำว่า "ไหว้เมียหรือได้ผัวหรือไหว้" แทนคำว่า "นิกาห์" ขั้นตอนต่างๆ ในพิธีกรรมไม่ได้แตกต่างไปจากประเพณีพื้นบ้าน กรณีผู้ชายที่มีสิทธิ์จะมีภรรยา ๔ คนนั้นไม่พบในหมู่ชาวบ้านทั่วไป แต่จะพบในบางหมู่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจวาสนาหรือเป็นผู้นำ (หน้า 103 - 107) การเกิด ไม่อนุญาตให้ใช้วิธีการใดๆ ในการคุมกำเนิด แต่กำชับให้มีการเพิ่มประชากรและการเพิ่มคุณภาพของประชากร กรณีที่มีเหตุผลทางสุขภาพจะอนุญาตเป็นรายๆ ไป ตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม คือ แพทย์ลงความเห็นว่าถ้ามีลูกแล้วจะเป็นอันตรายต่อมารดา การคุมกำเนิดชั่วคราว โดยอ้างเหตุผลความเป็นอยู่ อนุญาตให้ ในยุคร้อยปีที่ผ่านมา การเกิด เมื่อตั้งครรภ์ครบสามเดือน ก็ฝากท้องกับหมอตำแย เมื่อครบ ๗ เดือน ให้หมอตำแยดูครรภ์ เมื่อใกล้คลอดญาติๆ จะมานอนเฝ้า เมื่อเด็กคลอดแล้ว กล่าวนามพระผู้เป็นเจ้าต้อนรับเด็ก ถ้าไม่มีผู้รู้ก็ทำตามประเพณีพื้นบ้านเดิมๆ หากเด็กเกิดเจ็บป่วย ไม่สบายบ่อยๆ แก้ได้ยาก จะนิยมการบนบานศาลกล่าวพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือบรรพบุรุษ เมื่อเด็กเติบโตสามารถเข้ารับอิสลามได้ก็จะจัดพิธีให้เข้ารับอิสลาม (หน้า 103 - 107) การเลี้ยงดู อิสลามกำชับให้พ่อและแม่ร่วมกันเลี้ยงดูลูกให้มีความสุขกาย สุขภาพใจสมบูรณ์ ฝึกฝนให้ลูกปฏิบัติศาสนา มีมารยาทและความรู้ควบคู่กันไป ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเป็นของพ่อโดยตรง แม่เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด การแบ่งมรดก อิสลามกำหนดหลักการแบ่งมรดกไว้อย่างแน่นอน ทายาทฝ่ายชายที่มีสิทธิ์รับมรดก ตามตำแหน่งทางเครือญาติ ได้แก่ลูก ลูกของลูกชาย พ่อ ปู่ พี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกัน พี่น้องร่วมพ่อเดียวกัน พี่น้องร่วมแม่เดียวกัน ลูกของพี่น้องชายร่วมพ่อแม่เดียวกัน ลูกของพี่น้องชายร่วมแม่เดียวกัน พี่น้องชายของพ่อร่วมพ่อแม่เดียวกัน พี่น้องชายของพ่อร่วมพ่อเดียวกัน ลูกของพี่น้องของพ่อร่วมพ่อแม่เดียวกัน ลูกของพี่น้องของพ่อร่วมพ่อเดียวกัน สามี นายผู้ปล่อยทาส ทายาทฝ่ายหญิง ลูกหญิง ลูกหญิงของลูกชาย แม่ ย่า ยาย พี่น้องร่วมพ่อเดียวกัน พี่น้องหญิงร่วมพ่อเดียวกัน พี่น้องหญิงร่วมแม่เดียวกัน ภริยา นายหญิงผู้ปล่อยทาส การแสดงความเคารพ การแสดงความเคารพให้กระทำโดยการสลามหรือการจับมือ หรือการกอดสลับบ่า หรือการจูบมือ จูบหน้าผาก หากต่างเพศกันจะไม่มีการสัมผัสทางผิวหนัง ให้ยกมือแตะหน้าผากเป็นสัญญาณในการให้สลามกัน การกล่าวสลามนอกจากเป็นคำพูดแสดงความเคารพแล้ว ยังเป็นการทักทายโดยทั่วไป ถือเป็นวัฒนธรรมอิสลามที่ทุกคนต้องปฏิบัติ (หน้า 35 - 39) ในสมัยก่อนร้อยปีผ่านมา ไม่พบการแสดงออกในลักษณะดังกล่าวในชีวิตทั่วไปนัก ส่วนมากจะกระทำกันในพิธีละหมาดที่มัสยิด ที่นิยมกระทำกันคือการจับมือ ไม่ได้กอดสลับบ่า ในยุคร้อยปีที่ผ่านมา การแสดงความเคารพ โดยการกล่าวสลามหรือการจับมือ หรือการกอดสลับบ่า หรือการจูบมือ จูบหน้าผาก (หน้า 103 - 107) ลักษณะวัฒนธรรมเป็นการบูรณาการทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมพื้นบ้าน วัฒนธรรมทางศาสนาและลัทธิวิญญาณนิยม มีระบบเครือญาติ การเกี่ยวดอง ระบบพรรคพวกเพื่อนฝูง ระบบเครือญาติ การเกี่ยวดองและพรรคพวกเพื่อนฝูง กฎเกณฑ์และหลักการทางศาสนาไม่เป็นอุปสรรคกีดกั้นในเรื่องนี้ ในส่วนของการเกี่ยวดอง เมื่อเกี่ยวดองกันแล้วต้องนับถือกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยไม่คิดถึงความแตกต่างทางศาสนา มีการเป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงหรือ เป็น "เกลอ" เมื่อรู้จักกันแล้วหากยังไม่เกี่ยวข้องโดยญาติหรือการเกี่ยวดองใดๆ ก็จะต้องเป็นเกลอกัน คือต้องเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้ แสดงให้เห็นถึง ความเป็นนักเลง เรียกว่า "คนใหญ่" (หน้า 65 -68) ในยุคก่อนร้อยปีที่ผ่านมา มุสลิมให้ความสำคัญในความเป็นเครือญาติ การเกี่ยวดองและความเป็นเพื่อนในลักษณะต่างๆ ผู้ที่เป็นเครือญาติเป็นเพื่อนสามารถไปมาหาสู่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้อย่างเต็มที่ ไม่มีช่องว่างใดๆ (หน้า 86) ตายายระดม สัญลักษณ์แสดงความสัมพันธ์ของเครือญาติ สมัยร้อยปีที่ผ่านมา กรณีผู้ที่มีเป็นเครือญาติเดียวกันมาแต่เดิมแล้วมานับถือศาสนาต่างกันภายหลัง ความสัมพันธ์ทางสังคมยังคงต่อเนื่องเหมือนเดิม มีหลักการว่า "ยังมีบรรพบุรุษเดียวกัน" ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษยังคงปฏิบัติต่อไปได้ หากคนไทยมุสลิมที่มีบรรพบุรุษเป็นคนไทยพุทธ ก่อนทำพิธีเข้าสุหนัตจะต้องทำพิธีบวชเป็นสามเณรหรือบางคนบวชเป็นภิกษุ เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษเสียก่อน ก่อนพิธีเข้าสุหนัตจึงมีการแห่แหนคนที่จะเข้าสุหนัตไปบวชเป็นสามเณรที่วัด (หน้า 92) เป็นเกลอ เมื่อร้อยปีที่ผ่านมา เป็นกระบวนการสร้างเครือญาติโดยไม่จำกัดศาสนาหรือข้ามพรมแดนศาสนา คนในสมัย นั้นมีนิสัยชอบถามประวัติความเป็นมาของผู้มาใหม่ ถ้าเห็นว่าผู้นั้น มาดี เป็นมิตร มักจะเริ่มต้นสร้างสัมพันธ์โดยการเป็นเกลอ เป็นกลุ่มทางสังคมที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดนอกเหนือจากกลุ่มเครือญาติ โดยคนที่เป็นเกลอกันมักมีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน มีอายุรุ่นราวเดียวกัน มีลักษณะทางจิตใจคล้ายคลึงกัน ไม่ได้เป็นเครือญาติกัน มีบ้านเรือนอยู่ห่างกัน เพศเดียวกัน (หน้า 92) ช่วยงาน คือการร่วมทำบุญ การร่วมบุญ หรือการช่วยทำงาน เช่นทำบุญในงานประเพณีต่างๆ ในกรณีของวงศาคณาญาติที่ต่างศาสนากัน การทำบุญใช้วิธีการให้เงินทองทรัพย์สิน ข้าวปลาอาหาร ทาส ก่อนร้อยปีที่ผ่านมา มีอยู่มากในพื้นที่ที่ศึกษา เป็นทาสเพราะเป็นหนี้ บุญคุณหรือเพราะความเป็นญาติ การขอเด็กๆ ที่มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆ ไปไว้ใช้งานในครัวเรือน เป็นการเกื้อกูลกันและกันในวงญาติ จะได้เป็นไทยก็ต่อเมื่อแต่งงานออกเรือน (หน้า 92) ความสัมพันธ์ทางสังคมกับคนนอกพื้นที่ศึกษา มีความสัมพันธ์ทางสังคมกับชุมชนอื่น หลายชุมชน คือ ชุมชนปัตตานี ชุมชนจะนะ ชุมชนสตูล ชุมชนปะเหลียน ชุมชนนครศรีธรรมราช ชุมชนไชยา ชุมชนในเขตภาคกลาง ชุมชนเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นชุมชนมุสลิมด้วยกัน ส่วนชุมชนที่เป็นศาสนาอื่นๆ มักจะไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากนัก ความสัมพันธ์กับชุมชนอื่นในต่างประเทศ มีกลุ่มคนที่เดินทางมาจากประเทศอินโดนีเซีย มาสร้างเมืองหัวเขาแดง กลุ่มคนจากเมืองกลันตัน เมืองตรังกานู เมืองไทรบุรี เมืองปลิส อินเดีย ซึ่งเป็นการเดินทางมาค้าขาย ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ทางศาสนา (หน้า 96 - 97) สาธารณสถานในชุมชนและองค์กรอิสลามในชุมชน พัฒนาจากความเป็นส่วนบุคคลสู่ความเป็นสังคม พัฒนาจากความไม่เป็นระบบมาสู่ความเป็นระบบที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย พัฒนาจากรากฐานภูมิปัญญาและเทคโนโลยีพื้นบ้าน ไปสู่ภูมิปัญญาจากอัลกุรอานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ พัฒนาจากระบบความสัมพันธ์แบบพื้นบ้านสู่ระบบความสัมพันธ์แบบสากล

Political Organization

ยุคก่อนร้อยปีที่ผ่านมา (ก่อนปี พ.ศ.2442) ปี 2185 รัฐอยุธยาได้มอบหมายให้ผู้นำที่เป็นไทยมุสลิมเป็นตัวแทนในการใช้อำนาจปกครองเมืองหัวเขาแดง เมืองพัทลุง มีความผ่อนปรนให้ความไว้วางใจและให้อำนาจแก่ชุมชนมุสลิม ทำให้ชุมชนสามารถปฏิบัติตามหลักอิสลามได้อย่างเสรี ความเข้มแข็งหรือความอ่อนแอของชุมชนมุสลิมในพื้นที่นี้ ขึ้นอยู่กับอำนาจ บารมีของผู้นำเป็นสำคัญ นับตั้งแต่ผู้นำระดับสูง เช่น ดาโต๊ะโมกอล สุลต่านสุลัยมาน พระยาราชบังสัน ทวดโหม เป็นต้น มาจนกระทั่งผู้นำในระดับชุมชนในท้องถิ่น เช่น ทวดโฮะ บ้านโฮะ ตาหมอเทพ เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำมีอำนาจบารมี ชุมชนมุสลิมก็จะเข้มแข็ง เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำอ่อนแอ ชุมชนมุสลิมจะอ่อนแอตาม มีความขัดแย้งในชุมชน มีการเอารัดเอาเปรียบ มีการลักขโมย มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก จึงทำให้คนในชุมชนต้องสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมแบบ ระบบเครือญาติ ระบบเกี่ยวดอง ระบบอุปถัมภ์ ระบบพรรคพวก ทั้งภายในและภายนอกชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคง (หน้า 83 - 118) ยุคการศึกษาอิสลามในสถาบันครอบครัว (พ.ศ.2442 - 2487) ในช่วงต้นของยุคนี้ชุมชนมุสลิมยังอาศัยอำนาจบารมีของผู้นำที่สืบทอดมาแต่เดิม มีอำนาจเหลืออยู่ในครอบครัวเครือญาติผู้นำคนสำคัญๆ พอมาถึงช่วงกลาง เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ชุมชนมุสลิมได้เริ่มต้นใช้สิทธิส่วนบุคคล ส่วนครอบครัวและสังคม ตามระบอบประชาธิปไตย สถาบันทางการเมืองการปกครอง มีผู้ใหญ่บ้านและคณะผู้ช่วย เป็นผู้บริหารระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล มีขุนหรือกำนัน แพทย์ประจำตำบล ระดับอำเภอ มีนายอำเภอ ระดับจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัด ชุมชนมุสลิมมีความเข้มแข็งขึ้นจากการกระจายอำนาจการปกครอง กลุ่มที่มีประวัติความเป็นมาในทางการเมืองการปกครองจากอดีต เข้าไปมีส่วนร่วม เช่น เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งอื่นๆ เช่นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อำนาจความเป็นชุมชนมุสลิมเริ่มมีพลังที่เกาะเกี่ยวกับอย่างหนาแน่น (หน้า 121 - 137) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนปอเนาะ (พ.ศ.2488 - 2516) มีการคัดเลือกผู้นำมัสยิดหรือโต๊ะอิหม่าม คอเต็บ บิลาน คัดมาจากคนในชุมชน มีการเผชิญหน้าระหว่างอุดมการณ์คอมมิวนิสต์กับการเมืองแบบประชาธิปไตยผสมเผด็จการ กลไกของรัฐหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีใช้อำนาจในทางเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการด้านสังคมของชุมชนมุสลิม เช่น หลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ บังคับให้นักเรียนมุสลิมเรียนวิชาพุทธศาสนา มีกระแสบริโภคนิยม กระแสทุนนิยม กระแสชาตินิยม เป็นการเผชิญหน้าระหว่างวัฒนธรรมพื้นบ้านกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ วัฒนธรรมอิสลามจากประทศทางตะวันออกกลางและประเทศเพื่อนบ้านได้เข้าสู่พื้นที่นี้อย่างเป็นกระบวนการผ่านระบบการศึกษาผ่านบุคคลที่ได้รับการศึกษา ผ่านสื่อต่างๆ (หน้า 301) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา (พ.ศ.2517 - 2542) การเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองการปกครองมักจะมีเงื่อนไขของสังคมมุสลิมเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น รู้จักใช้ประโยชน์ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน หรือสิทธิชุมชนที่มีอยู่จากสถาบันการเมืองการปกครองทุกระดับมากขึ้น เช่นการเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาดูแล จัดการเรื่องต่างๆ มีการประสานเครือข่ายทางการเมืองการปกครองที่เป็นมุสลิมด้วยกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สถาบันศาสนา ได้แก่มัสยิด เป็นศูนย์กลางในท้องถิ่นต่างๆ เป็นของส่วนรวม บุคคลไม่มีสิทธิ์ปกครองถือสิทธิ์หรือผูกขาด ในสมัยท่านนบีมุฮัมมัด ซ.ล. มัสยิดเป็นสถานที่ปฏิบัติศาสนา การประชุม การศึกษา การบริหารประเทศ การแต่งงาน การตัดสินคดีความ เป็นสถาบันบริหารทั้งด้านอาณาจักรและศาสนจักรควบคู่กันไป เกิดการจัดตั้งอำเภอหรือกิ่งอำเภอใหม่ มีพระราชบัญญัติการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เช่น ถนน ประปา ชลประทาน สถานพยาบาล สถานบริการประชาชน การสร้างท่าเรือน้ำลึก ความขัดแย้งทางการเมือง การยุติลงของพคท. ลดภาวะความกดดันจากฝ่ายต่างๆ ลง ความขัดแย้งจากการพัฒนาของรัฐ ชุมชนปากพะยูนเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนกักน้ำเค็มคลองสะเดา (หน้า 234 - 251)

Belief System

ความเชื่อพื้นบ้าน - ชุมชนมุสลิมอาศัยความเชื่อพื้นบ้านเป็นปัจจัยหนุนเสริมให้อิสลามสามารถหยั่งหลักการพื้นฐานลงในชุมชน เข้าถึงผู้คนและสร้างสังคมขึ้นอย่างได้เป็นรูปธรรม มีความเชื่อในเรื่องอำนาจจิตวิญญาณ อิทธิปาฏิหาริย์ ความศักดิ์สิทธิ์ พลังคาถาอาคม อำนาจของเทพเจ้า การอ้อนวอนบวงสรวงบูชา มีเทวดา ฟ้า ดิน อิสลามได้อธิบายต่อยอดโดยการเชื่อมโยงปรากฏการณ์หลายอย่างให้เห็นได้อย่างมีเหตุผล โดยไม่ทำให้รู้สึกแปลกแยกไปจากความเชื่อพื้นบ้านดั้งเดิม เช่น อธิบายว่า แท้จริงแล้วผู้มีอำนาจสูงสุดคือพระอัลลอฮ์ ส่วนเทพเจ้าต่างๆ เหล่านั้นแท้จริงคือ "มาลอีกะห์" เป็นเทพที่ไร้ตัวตน ไม่มีเพศ ไม่กิน ไม่นอน ไม่มีคู่ครอง ไม่มีบุตร คอยปฏิบัติตามคำบัญชาของพระเจ้าเท่านั้น มุสลิมในยุคก่อนร้อยปีที่ผ่านมายังไม่สลัดความเชื่อพื้นบ้านออกไป เน้นให้มุสลิมเข้าใจในความเป็นอิสลามในหลักการที่สำคัญๆ เท่านั้น ไม่เน้นวิถีชีวิตความเป็นมุสลิมในรายละเอียดปลีกย่อยให้มีความแปลกไปจากความเชื่อพื้นบ้านที่มีอยู่เดิม มรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของมุสลิมไม่มีความแตกต่างกับคนไทยศาสนาอื่นๆ มากนัก (หน้า 85) ประเพณีและพิธีกรรมในพื้นที่ที่ศึกษามี ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีเข้าสุหนัด ประเพณีบวชพระ ประเพณีเข้าพรรษา ออกพรรษา ประเพณีทำบุญเดือนสิบ ประเพณีชักพระ ประเพณีทอดกฐิน ผ้าป่า ประเพณีถือศีลอด ประเพณีวันฮารีรายอ ประเพณีงานกรีฑา ประเพณีออกปาก (ลงแขก) ประเพณีบวชนางไม้ ประเพณีทำบุญกุโบ - ประเพณีแห่คนเข้าสุหนัต ในสมัยก่อนร้อยปีที่ผ่านมา ต้องจัดขบวนแห่ไปทำพิธีบวชนางไม้หรือประกอบพิธี (สมมติว่า) ได้บวชสามเณรในพุทธศาสนาก่อน แล้วจึงจะประกอบพิธีสุหนัตได้ ถือเป็นพิธีกรรมการทดแทนบุญคุณบรรพบุรุษฝ่ายที่นับถือพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ก่อนที่จะเข้ารับอิสลาม - ไหว้นางไม้ ต่อมาคนที่เข้าสุหนัตไม่สบายใจที่จะบวช จึงปรับเปลี่ยนมาเป็นพิธี ไหว้นางไม้ หรือที่เรียกว่า พิธี แต่งงานกับนางไม้ แทนการบวช แห่คนที่จะเข้าสุหนัตไปทำพิธีที่ต้นไม้ใหญ่ (หน้า 92) - การนับถือทวด ชุมชนมุสลิมที่เก่าแก่มักจะมีตำนานเกี่ยวกับทวดปรากฏอยู่ในชุมชน ชุมชนเก่าแก่โดยทั่วไปมีหลุมฝังศพของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกชุมชน และมีตำนานเกี่ยวกับหลุมศพเหล่านั้น มักเรียกเจ้าของหลุมฝังศพนั้นๆ ว่า "ทวด" มีการอ้างถึงอิทธิปาฏิหาริย์ ของทวด ทำให้ทวดบางแห่งถูกเล่าขานว่ากลายเป็นงูใหญ่บ้าง สัตว์ใหญ่บ้าง เช่น ทวดโฮะ ณ บ้านโฮะ ตำบลบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทวดโหม บ้านชะรัด อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง มักปรากฏร่างเป็นเสือร้าย ทวดหุม บ้านหัวเขาแดง อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา สามารถบันดาลให้ความปรารถนาของลูกหลานที่กราบไหว้ประสบผลสำเร็จ (หน้า 114 - 115) - การตาย เมื่อมีผู้เจ็บป่วยให้ไปเยี่ยมอาการและขอพรให้ พิธีเกี่ยวกับศพ จัดให้นอนบนที่สูง ใช้นิ้วรีดเปลือกตาให้ปิดสนิท ใช้ผ้าคลุมไว้ทั้งร่างกาย สวมใส่เครื่องแต่งกายธรรมดา ให้มีการเยี่ยมผู้ตาย เมื่อได้เวลาอันควรไม่เกิน 24 ชั่วโมง ให้จัดการอาบน้ำศพจนสะอาด จัดการห่อด้วยผ้าสีขาวอย่างมิดชิด ร่วมกันทำละหมาดและขอพรให้ ซึ่งการละหมาดขอพรให้คนตายจะแตกต่างไปจากการละหมาดทั่วไป คือ ผู้ทำละหมาด ยืนตรง ยกมือทั้งสองขึ้นระดับไหล่ กล่าวตักบีร แล้วลดลงมากอดใต้อกให้มือขวาทับมือซ้าย แล้วอ่านบทสรรเสริญ (ฟาติฮะฮ์) จากนั้นยกมือขึ้นตักรบี แล้วลดลงมากอดใต้อก แล้วอ่านบทขอพร (ซอลาหวาต) แด่ท่านศาสดาบรมุฮัมมัด ซ.ล. จบแล้วยกมือขึ้นตักบีร แล้วลดลงมากอดที่ใต้อกแล้วขอพรให้ผู้ตาย เสร็จแล้วยกมือขึ้นตักรบีเป็นครั้งสุดท้าย แล้วขอพรให้ผู้ตาย เป็นอันเสร็จพิธี นำศพไปฝัง ในยุคร้อยปีที่ผ่านมา เมื่อตาย มุสลิมจะนำศพไปฝังในวันนั้น เมื่อทราบว่าญาติเจ็บไข้ ก็มักจะมานอนเฝ้า จนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือไม่ก็ตายลง หลังจากนั้นจะมีพิธีการทำบุญตามกำลังของญาติๆ (หน้า 105 3 - 107) การบริโภค สิ่งที่บริโภคตามหลักการของอิสลามต้องประกอบด้วยคุณลักษณะ 2 ประการ คือ หะลาล หมายถึงสิ่งบริโภคที่ศาสนาอนุมัติให้บริโภคได้ และได้มาโดยสุจริต ถูกต้องตามบทบัญญัติอิสลาม และ ฏอยยิบัน หมายถึงอาหารที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการ สะอาด ถูกหลักอนามัย การรับประทานอาหาร ให้รับประทานแต่พอสมควร ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ประมาณ 1 ใน 3 ส่วนของกระเพาะอาหาร ให้ดื่มน้ำ 1 ส่วนและว่างไว้ 1 ส่วน ก่อนรับประทานให้ล้างมือให้สะอาด เมื่อจะลงมือรับประทานให้กล่าวพระนามของพระอัลลอย์ ว่า "บิสมิลลาฮิรเราะห์มานิรรอฮีม" เมื่อรับประทานเสร็จแล้วกล่าวขอบคุณอัลลอย์ ว่า "อัลฮัมดุลิลาลาห์" ในการรับประทานอาหารนั้นควรรับประทานอาหารที่อยู่ด้านหน้าของตัวเอง เท่านั้น ยกเว้นอาหารหลายอย่างที่จัดไว้ร่วมกัน ให้หยิบจากข้างหน้าตัวเองก่อนแล้วเอื้อมหยิบจากที่ไกล ควรใช้มือขวารับประทาน รับประทานพร้อมๆ กันหลายคน ไม่ควรตำหนิอาหารและไม่ควรให้อาหารเหลือทิ้ง (หน้า 41) การปฏิบัติตามหลักอิสลามของมุสลิม - การปฏิบัติตามหลักปฏิบัติพื้นฐาน (อัรกานุลอิสลาม) หมายถึงหลัก ศาสนกิจที่อิสลามบัญญัติเป็นพื้นฐานแรกสำหรับมุสลิมทุกคนที่ต้องปฏิบัติ คือ การปฏิญาณตน การละหมาด การจ่ายซากาต การถือศีลอด การบำเพ็ญฮัจย์ - การปฏิบัติตามหลักอิห์ซานหรือหลักศีลธรรม จริยธรรม หรือคุณธรรม เป็นหลักการพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติอันดีงามของอิสลาม - ปฏิบัติตามหลักศรัทธา (อัลอีมาน) คือ ศรัทธาในอัลลอฮ (ซุบบาฮานะฮูวาตาอาลา) เชื่อมั่นด้วยหลักฐานและสติปัญญาว่าพระองค์มีอยู่ พระองค์ทรงไว้ซึ่งพลานุภาพ ทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุด ทำให้แสดงออกโดย การปฏิบัติการละหมาด เพื่อรำลึกถึงอัลลอฮ ศรัทธาในมลาอีกะห์ ศรัทธาในคัมภีร์ ศรัทธาต่อศาสนาทูตหรือศาสดา ศรัทธาในวันสิ้นโลก (เยามุลอาคิร) ศรัทธาในกฎแห่งสภาวะการณ์ - หลักศาสนกิจ และหลักศีลธรรม ซึ่งกำหนดไว้ในบัญญัติอิสลาม เช่น หลักการของซากาต หลักการเผยแพร่อิสลาม หลักการส่งเสริมการเรียนรู้ การปฏิบัติตนตามหลักปฏิบัติอะมัล - การปฏิบัติตามหลักฟัรฎอัยน์ - การปฎิบัติตามหลักฟัรฎกิฟายะฮ์ เป็นหลักปฏิบัติของส่วนรวมหรือสังคม ถือว่าเป็นหน้าที่ของสังคม เพื่อสังคม การปฏิบัติตามหลักการของอิสลาในการดำเนินชีวิตโดยทั่วไป เช่น การแต่งงาน การเกิด การเลี้ยงดูลูก การตาย การแบ่งมรดก การทำความเคารพ การแต่งกาย การบริโภค ฯลฯ (หน้า 87 - 98) - ดะวะ เป็นวิธีการปฏิบัติตามหลักห์ซานหรือหลักศีลธรรม จริยธรรม เป็นรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย คือการรวมกลุ่มผู้สมัครใจที่จะออกจากครอบครัวมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ณ ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง ทำกิจกรรมร่วมกัน จาริกไปเยี่ยมเยือนและเปลี่ยนทัศนะในชุมชนต่างๆ ใช้ชีวิตแบบสมถะ กินง่าย อยู่ง่าย แบบแผนการคิด ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ การให้ความหมาย ยุคการศึกษาอิสลามในสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2442 - 2487 คนในยุคนี้คิดว่าตนเองและสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นเพื่อนทุกข์ มีความเสมอภาค เป็นการเกื้อกูลกัน คนต้องอาศัยธรรมชาติ ธรรมชาติก็ต้องอาศัยคน ชื่นชมคนที่มีความจริงใจ เปิดเผยตรงไปตรงมา ยอมรับคนที่มีความเป็นนักเลง เห็นดีเห็นงามกับคนที่มีคุณธรรม นิยมผู้กล้า (หน้า 121 - 126) อุดมการณ์อิสลาม เน้นให้ความสำคัญในความเป็นมุสลิมหรืออิสลามในความหมายว่าเป็นพี่น้องกัน เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดเอกภาพในความสัมพันธ์ทางสังคมของไทยมุสลิม ส่งเสริมให้เกิดคุณธรรม จริยธรรม (หน้า 86)

Education and Socialization

ยุคก่อนร้อยปีที่ผ่านมา (ก่อนปี พ.ศ.2442) ในสมัยดั้งเดิม หรือสมัยสาดดาด การศึกษาเล่าเรียนเป็นไปตามแบบแผนที่เคยมีมา เป็นการเรียนรู้การดำรงชีพ และประเพณีต่างๆ เช่น การแต่งกาย การทำไร่ทำนา การหาปลา ไม่มีหนังสือตำราเรียน หากใครประสงค์จะเรียนรู้เรื่องใดโดยเฉพาะ เช่นหมอพื้นบ้าน ช่างสร้างบ้าน ช่างทอง ต้องเป็นฝากตัวเป็นศิษย์ ของผู้เชี่ยวชาญ หรือเป็นการสืบกันมาในตระกูล การเผยแพร่อิสลามด้วยวิธีการสื่อสารถ่ายทอดด้วยวาจาแล้วปฏิบัติให้เป็นตัวอย่าง ปฏิบัติศาสนาตามประเพณีปฏิบัติที่สืบต่อมาแต่โบราณ ไม่มีแบบแผนที่แน่นอน ไม่มีองค์กรรับผิดชอบโดยตรง จุดเน้นของศาสนาอยู่ที่ความศรัทธา ความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นที่ตั้ง ชาวบ้านในอดีตนิยมไปรวมตัวกันที่มัสยิด คนที่รู้หลักศาสนาจริงๆ หาได้ยาก ขาดแคลนผู้สอน ใครพอมีความรู้ทางศาสนาก็แนะนำ สั่งสอนไปตามความรู้ความเข้าใจ แต่ชุมชนก็ให้ความสำคัญต่อการศึกษาศาสนาสูงกว่าเรื่องราวใดๆ ผู้ที่ได้รับการศึกษาส่วนใหญ่เป็นบุตรหลานหรือทายาทของผู้นำ จัดการศึกษาโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสอน เรื่องราวที่ศึกษาเป็นเรื่องของอิสลาม เรื่องของไสยศาสตร์ คาถาอาคมที่เกี่ยวข้องกับการรบทัพจับศึก การเมืองการปกครองเท่าที่จำเป็น ด้านอิสลามยังไม่มีหนังสือให้ศึกษา มีแต่การจดจำในสมองของโต๊ะครูหรือโต๊ะอิหม่าน (หน้า 284) ยุคการศึกษาอิสลามในสถาบันครอบครัว (พ.ศ. 2442 - 2487) ในยุคนี้ภูมิปัญญาจากคัมภีร์อัลกุรอาน ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ร้อยรัดความเป็นชุมชนมุสลิมให้มีความเข้มแข็งมั่นคง สามารถสร้างวัฒนธรรมประเพณีของตนเองขึ้นมาได้บ้างแล้ว เริ่มมีการสั่งสอนให้คิดพึ่งพระเจ้าอย่างเดียว ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระเจ้า เริ่มมีการนำเอาความรู้บางอย่างจากพระคัมภีร์อัลกุรอานมาใช้แทนที่ความรู้ที่มีมาแต่เดิมมากขึ้น เช่น การอธิบายโลกและสรรพสิ่ง มีการต่อยอดนิทานพื้นบ้านให้จบลงที่อำนาจของพระเจ้า เลิกเชื่อในบางอย่างเช่น การเซ่นไหว้เจ้าที่ต่างๆ คัมภีร์อัลกุรอานในยุคนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก หะยีหมาน บ้านหาน อำเภอหาดใหญ่ ต้องไปขอยืมต้นฉบับที่คัดลอกมาอีกครั้งหนึ่งจากมาเลย์เซีย (หน้า 121 - 126) ในสมัยรัชกาลที่ 4 (พ.ศ.2409) สมัยรัชกาลที่ 5 ได้รวมเมืองไทรบุรี เมืองปะลิส เมืองสตูลเข้าด้วยกัน (พ.ศ.2440) และประกาศใช้พระราชบัญญัติการปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 (พ.ศ.2441) มีการจัดตั้งมณฑลขึ้นในภาคใต้ (พ.ศ.2449) ทำให้มุสลิมในพื้นที่ที่ศึกษาสามารถติดต่อกับมุสลิมในพื้นที่อื่นๆ ได้สะดวก มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนหลักปฏิบัติต่างๆ ได้กว้างขวางขึ้น มีโอกาสไปศึกษาเล่าเรียนศาสนาในพื้นที่อื่นๆ และคนในพื้นที่อื่นๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในพื้นที่ศึกษาได้มากขึ้น ได้เปิดโอกาสให้เด็กๆ เยาวชนและผู้สนใจมาเรียนหลักศาสนา หลักปฏิบัติทางศาสนา เรียกว่า "อ่านหนังสือ" หรือ "เรียนหนังสือ" ตั้งแต่หัวค่ำไปจนดึก เด็กๆ จะหลับนอนอยู่ที่บ้านผู้สอน กลับไปทำงานในครอบครัวของตนเองตอนเช้า ผู้สอนศาสนาก็ประกอบอาชีพตามปกติเหมือนชาวบ้านทั่วไป ไม่ต้องเตรียมการสอนหรือศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้เพิ่มเติมมากนัก เป็นการเรียนการสอนภายในครอบครัวในชุมชน เป็นความรู้ที่มักเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษในยุคก่อน ผสมผสานกับความรู้ที่มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางศาสนากับผู้รู้ที่สัญจรมาจากถิ่นอื่น (หน้า 69 -72) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนปอเนาะ (พ.ศ. 2488 - 2516) ปอเนาะ เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์อัล - กุรอานและหลักปฏิบัติในศาสนาอิสลาม ของเด็กๆ และเยาวชน เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของคนแก่ที่ไม่มีภาระทางครอบครัว ในปอเนาะมีวิชาการอ่านคัมภีร์พระอัลกุรอ่าน การศึกษาหลักปฏิบัติศาสนกิจ เรียกว่า "เรียนหนังสือแขก" เป็นสถานที่ที่โต๊ะครู หรือชุมชน สร้างขึ้น ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ส่วนบุคคล โดยมากเป็นของโต๊ะครูที่เป็นผู้สอนอยู่ในปอเนาะนั้นๆ ปอเนาะในยุคร้อยปีที่ผ่านมามีไม่มากนัก นักเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย (หน้า 112 - 114) โต๊ะครู คือผู้บุกเบิกการศึกษาและนำหลักปฏิบัติอิสลามสู่ชุมชนอย่างเป็นระบบ นอกจากสอนเด็กๆ แล้วยังสอนชาวบ้านที่มัสยิดด้วย ทำให้ชาวบ้านศรัทธาเอาลูกมาฝากเรียนหนังสือให้อยู่ประจำที่บ้านโต๊ะครู ช่วยทำงานบ้านโต๊ะครูบ้าง อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้กลายมาเป็น ปอเนาะ นอกจากเด็กในชุมชนแล้วยังมีเด็กจากชุมชนอื่นๆ เข้ามาเรียนด้วย ผลตอบแทนที่โต๊ะครูได้รับคือการได้ปฏิบัติภารกิจตามหลักอิสลาม เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน ซึ่งจะจัดซากาตมาให้โต๊ะครูเป็นเครื่องยังชีพ โรงเรียนปอเนาะบนควน อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง เป็นโรงเรียนปอเนาะแห่งแรกในพื้นที่ที่ศึกษา มีการจัดระบบการเรียนการสอนและมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระเบียบ มีความทันสมัยตามแบบอย่างการศึกษาอิสลามในประเทศอื่นๆ จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2486 (หน้า 69 -72) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา (พ.ศ. 2517 - 2542) การศึกษาอิสลาม เป็นสถาบันหลักให้ชุมชนและท้องถิ่นได้พึ่งพาอาศัย เป็นศูนย์รวมภูมิปัญญาและปราชญ์ของชุมชน กลายเป็นค่านิยมใหม่คือพ่อแม่ประสงค์ให้เด็กๆ เรียนโรงเรียนศาสนามากกว่าจะให้เรียนโรงเรียนสายสามัญ ในปี พ.ศ. 2517 รัฐจึงมีนโยบายยกระดับโรงเรียนปอเนาะขึ้นเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา จัดระบบการเรียนการสอนทั้งความรู้สามัญและความรู้ทางศาสนาควบคู่กันไป ให้การสนับสนุนครูและงบประมาณ รับรองวิทยาฐานะของนักเรียนที่จบให้เทียบเท่ากับโรงเรียนอื่นๆ ของรัฐ ผู้เรียนจบแล้วได้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศและในประเทศ เช่น วิทยาลัยวิชาการศึกษา วิทยาลัยครูสงขลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทำให้โรงเรียนปอเนาะขอจดทะเบียนยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาเกือบหมด ในพื้นที่ที่ศึกษามีจำนวน 12 โรง ในเขต จ.พัทลุง 6 โรง จ.สงขลา 6 โรง เปิดสอนสายสามัญระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 5 โรง นอกนั้นสอนระดับมัธยมตอนต้น สอนศาสนาระดับ 5 จำนวน 7 โรง ระดับ 7 จำนวน 5 โรง โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาเป็นองค์กรกลางให้ผู้ประสงค์จะส่งเสริมการศึกษาและการเผยแพร่ได้ดำเนินการได้ตามความต้องการ เป็นศูนย์กลางของชุมชนมุสลิม สร้างสรรค์ค์ผู้รู้ด้านอิสลามให้กับชุมชนต่างๆ เมื่อโรงเรียนปอเนาะเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนแล้ว ได้หยุดรับไทยมุสลิมที่เป็นคนเฒ่าคนแก่หรือเป็นผู้ใหญ่ที่สนใจปฏิบัติธรรมเข้าอยู่ในโรงเรียน แต่เดิมคนเหล่านี้จะมาปลูกกระท่อมอยู่ในในที่ดินของปอเนาะ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ปลูกพืชผักกินและขายประทังชีวิตได้ มีลูกหลานนำข้าวปลาอาหารมาส่งให้บ้าง จะอยู่ไปถึงวันตาย หรือลูกหลานมารับกลับเมื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ การที่ญาติผู้ใหญ่ได้มาอยู่ในปอเนาะแต่เดิมเป็นความภาคภูมิใจของลูกหลาน ของตระกูล เพราะเป็นการพัฒนาชีวิตไปสู่ความเป็นอิสลามอย่างต่อเนื่องจนถึงวาระสุดท้าย ในยุคนี้ยังเหลือปอเนาะอยู่ 2 แห่ง คือ ปอเนาะม่วงทวน อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง และปอเนาะชะรัด อ.กงหรา จ.พัทลุง มีปอเนาะที่สร้างใหม่ 1 แห่งคือ ปอเนาะชุมชนวัดกระ ลักษณะของคัมภีร์อัลกุรอาน องค์กรอิสลามแห่งประเทศไทยร่วมกับราชการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับอิสลามและองค์กรอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศได้ร่วมกันจัดแปลและพิมพ์คัมภีร์อัลกุรอานฉบับภาษาไทยออกมาเผยแพร่ ทำให้เปิดโอกาสให้มีผู้ศึกษามากขึ้นและกว้างขึ้น มัสกัส - สถาบันการศึกษาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ มัสกัส เป็นศูนย์การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับอิสลาม มัสยิด - เป็นศูนย์กลางให้การศึกษาอาชีพและสายสามัญแก่ชุมชน ศูนย์กลางการศึกษาอิสลามของชุมชน เน้นให้มีประสิทธิภาพทั้งการเรียนการสอน การบริหารจัดการและการประเมินผล (หน้า 229 - 241 )

Health and Medicine

มีความรู้เรื่องยาสมุนไพร ความรู้เรื่องรักษาเอ็นและกระดูก เรื่องรักษาพิษจากสัตว์ ปัจจุบัน การเกิด เรื่องสุขภาพแม่และเด็กได้อาศัยการแพทย์สมัยใหม่ นิยมคลอดกับแผนปัจจุบัน แต่ในชุมชนห่างไกลยังคงพึ่งหมอตำแย ยาสมุนไพร การละหมาดขอพรจากพระเจ้า (หน้า 121 - 126)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย อิสลามกำหนดการแต่งกายของมุสลิมทั้งชายและหญิงไว้อย่างรัดกุม มีเป้าหมายเพื่อมิให้เปิดเผยหรือเน้นสัดส่วน ในสมัยก่อนร้อยปีที่ผ่านมา การแต่งกาย เป็นไปตามบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ในสมัยนั้นเสื้อผ้าหายาก - ผู้ชายมักใช้ผ้าขาวม้าผืนเดียวพาดบ่า บางครั้งโพกหัว บางโอกาส เสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ในการทำงาน ผู้ชายส่วนใหญ่นิยมนุ่งผ้าโสร่งหรือผ้าขาวม้า ไม่นิยมใส่เสื้อ - ผู้หญิงนิยมนุ่งผ้าโสร่ง ใส่เสื้อและผ้าคลุมหัว หรือใช้หมวกแทนผ้า ไม่แตกต่างกับศาสนิกอื่นๆ เสื้อผ้าไม่ได้แสดงอัตลักษณ์ของมุสลิมมากนัก คนแก่นิยมนุ่งผ้าจูงกระเบน ใส่เสื้อคอกระเช้า ที่ยังสาวนุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อคอบ่า แขนทรงกระบอก การแต่งกายในพิธีกรรม เช่น การละหมาด จะมีชุดเฉพาะ ผู้ใหญ่ทุกคนจะมีชุดเป็นของตนเอง ผู้หญิงนิยมใช้ผ้าขาวคลุมหัว นุ่งผ้าถุงและใส่เสื้อตัวที่มีไว้เพื่อพิธีนี้ มีผ้าปูพื้นที่ใช้เฉพาะพิธีนี้ ผู้ชายก็เช่นเดียวกัน ส่วนหมวกนั้นมีเฉพาะบางคน แต่ละพื้นที่มีความเคร่งครัดต่างกัน ในชุมชนหัวเขาแดง การแต่งกายตามแบบแผนของมุสลิมอย่างปัจจุบันมีมาแต่โบราณ ผู้ชายใช้ผ้าโพกศีรษะเมื่อออกจากบ้านไปในที่ต่างๆ ผู้หญิงไม่ยืนยันว่าต้องคลุมศีรษะออกไปทำงาน สำหรับพิธีก็จะมีหมวก แต่หายาก มีเฉพาะบุคคลสำคัญๆ จึงนิยมใช้ผ้าขาวม้าโพกศีรษะแทน การประดับตกแต่งร่างกาย ผู้ชายไม่นิยมใส่เครื่องประดับใดๆ ผู้หญิงก็มีโอกาสน้อยมากในการประดับตกแต่งของมีค่า (หน้า 107-108) มัสยิด เป็นจุดศูนย์กลางและศูนย์รวมกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน สมัยก่อนร้อยปีที่ผ่านมาเรียกว่า สุเหร่า คำว่ามัสยิดไม่เป็นที่คุ้นเคย สุเหร่าในสมัยนั้นเป็นบ้านเรือนที่ชาวบ้านอยู่อาศัยทั่วไป ชาวบ้านบริจาคให้ใช้เป็นที่ละหลาด มัสยิดในสมัยนั้นเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูงเหมือนกับบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ไม่กั้นแบ่งเป็นห้อง ปัจจุบันมัสยิด มีการก่อสร้างใหม่แบบคอนกรีตถืออิฐโบกปูน หลังคาใหญ่ แบบสมัยใหม่ มัสยิดที่สร้างขึ้นใหม่นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรี เกียรติยศ ชื่อเสียง กุโบว์ หรือสถานที่ฝังศพ ตั้งอยู่นอกชุมชน ในพื้นที่สาธารณะของหมู่บ้าน ทำเลที่ตั้งมักเป็นที่สูง หรือเป็นเนิน มีต้นไม้หรือเป็นป่าไม้ ขนาดพื้นที่ไม่กำหนด แต่เพียงพอต่อความต้องการของชุมชน กุโบร์ในสมัยนั้นไม่มีอะไรประดับหลุมศพมากนัก บนหลุมศพจะมีเพียงแก่นไม้ที่ทำเป็นสัญลักษณ์ปักไว้ ด้านหัวศพและพูนดิน บริเวณที่เป็นหลุมศพให้สูงกว่าบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น กุโบว์หลายแห่งที่เกิดขึ้นมาแต่สมัยดั้งเดิมได้กลายมาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านในปัจจุบัน เช่น กุโบร์ทวดโฮะ ที่บ้านโฮะ อำเภอหาดใหญ่ กุโบว์สุลต่านสุไลมาน หัวเขาแดง สิงหนคร กุโบว์ตาตุมรหุม บ้านชะรัด อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง (หน้า 251)

Folklore

การละเล่นพื้นบ้าน การแสดงมโนราห์ การเล่นหนังตะลุง การแสดงลิเกรองแง็ง - มะโย่ง การละเล่นของเด็ก การร้องเรือ การขับบทเพลงบอก (หน้า 68 )

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

สรุปได้ว่า เอกลักษณ์ของมุสลิมบริเวณทะเลสาบสงขลา ได้แก่ 1. ประเพณีพิธีกรรม เช่น ประเพณีเข้าสุหนัด ประเพณีถือศีลอด ประเพณีวันฮารีรายอ ประเพณีงานกรีฑา ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีบวชพระ ประเพณีเข้าพรรษา ออกพรรษา ประเพณีทำบุญเดือนสิบ ประเพณีชักพระ ประเพณีทอดกฐินผ้าป่า ประเพณีออกปาก (ลงแขก) ประเพณีบวชนางไม้ ประเพณีทำบุญกุโบ 2. วัฒนธรรมเป็นการบูรณาการทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมพื้นบ้าน วัฒนธรรมทางศาสนาและลัทธิวิญญาณนิยม มีระบบเครือญาติ การเกี่ยวดอง ระบบพรรคพวกเพื่อนฝูง 3. ความเชื่อ มี ความเชื่อพื้นบ้าน เรื่องอำนาจจิตวิญญาณ อิทธิปาฏิหาริย์ ความศักดิ์สิทธิ์ พลังคาถาอาคม อำนาจของเทพเจ้า การอ้อนวอนบวงสรวงบูชา มีเทวดา ฟ้า ดิน การนับถือทวด แต่ความเชื่อสูงสุดคืออำนาจของพระอัลลอฮ์ ส่วนเทพเจ้าต่างๆ เหล่านั้นแท้จริงคือ "มาลอีกะห์" เป็นเทพที่ไร้ตัวตน ไม่มีเพศ ไม่กิน ไม่นอน ไม่มีคู่ครอง ไม่มีบุตร คอยปฏิบัติตามคำบัญชาของพระเจ้าเท่านั้น 4. การปฏิบัติตามหลักอิสลาม การปฏิบัติตามหลักปฏิบัติพื้นฐาน (อัรกานุลอิสลาม) คือ การปฏิญาณตน การละหมาด การจ่ายซากาต การถือศีลอด การบำเพ็ญฮัจย์ - การปฏิบัติตามหลักอิห์ซานหรือหลักศีลธรรม ปฏิบัติตามหลักศรัทธา(อัลอีมาน) หลักศาสนกิจ และหลักศีลธรรม การปฏิบัติตนตามหลักปฏิบัติอะมัล การปฏิบัติตามหลักฟัรฎอัยน์ และ การปฎิบัติตามหลักฟัรฎกิฟายะฮ์ - การปฏิบัติตามหลักการของอิสลามในการดำเนินชีวิตโดยทั่วไป เช่น การแต่งงาน การเกิด การเลี้ยงดูลูก การตาย การแบ่งมรดก การทำความเคารพ การแต่งกาย การบริโภค 5. การแต่งกาย อิสลามกำหนดการแต่งกายของมุสลิมทั้งชายและหญิงไว้อย่างรัดกุม มีเป้าหมายเพื่อมิให้เปิดเผยหรือเน้นสัดส่วน 6. ภาษา ภาษาหลักใช้คือภาษาไทยถิ่นใต้ แต่คำศัพท์บางคำที่มาจากอัลกุรอาน เช่น คำอุทาน คำดุอาร์

Social Cultural and Identity Change

ยุคก่อนร้อยปีที่ผ่านมา (ก่อนปี พ.ศ.2442) มีเป้าหมายการผลิตเพื่อการบริโภค เหลือแลกเปลี่ยน แจกจ่ายหรือซื้อขาย สิ่งที่ผลิตคือ ปลาและอาหารทะเล ทรัยพากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความอุดมสมบูรณ์ ไม่มีปัญหาความขัดแย้งเนื่องมาจากการแย่งชิงทรัพยากร (หน้า 284) การค้าขาย พอมีบ้างแต่ไม่มาก สินค้าสำคัญมี เครื่องเทศ ของป่า รังนก ข้าว ปลา สัตว์เลี้ยง เครื่องปั้นดินเผา น้ำตาล ผ้าทอ ตลาดกลางอยู่รอบทะเลสาบ เช่น ชุมชนท่าเสา ชุมชนหัวเขาแดง ชุมชนปากพะยูน ชุมชนลำปำ ชุมชนบ่อท่อ (หน้า 114 -116) ยุคการศึกษาอิสลามในสถาบันครอบครัว (พ.ศ. 2442 - 2487) ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ยังคงเพียงพอต่อความต้องการของชุมชน ในยุคนี้รัฐเปิดสัมปทานรังนก ที่เกาะสี่เกาะห้า สัมปทานการเก็บไข่เต่าที่หาดไข่เต่า ส่งเสริมให้อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นระบบและเข้มงวด มีการทำนา เช่น ทำนาดำ ทำนาหว่าน ทำนาหวะ ทำนาเช่า ทำสวนยาง สวนหมาก สวนมะพร้าว สวนเรียน สวนพลู ทำไร่ ทำการประมง ดักโบละ ดักไซ ดักส้อน ทอดแห ผูกแห (หน้า 121 - 126) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนปอเนาะ (พ.ศ. 2488 - 2516) กระแสเศรษฐกิจแบบผลิตเพื่อขาย ผลิตในลักษณะประกอบการเป็นอุตสาหกรรม เช่นการเกษตรเริ่มปลูกพืชเชิงเดี่ยว อุตสาหกรรมแปรรูป อุตสาหกรรมสร้างผลิตภัณฑ์ ใช้สารเคมี มีนายทุนเข้าไปใช้ทรัพยากร (หน้า 301) ยุคการศึกษาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา (พ.ศ. 2517 - 2542) การประกอบอาชีพแบบเดิมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ มีการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำประมงน้ำลึก ค้าขาย รับจ้างทั่วไป คนงานในโรงงาน เลี้ยงปลาในกระชัง นายหน้าค้าที่ดิน นายทุน ข้าราชการระดับสูง นักวิจัย มีหนี้สินมากขึ้น (หน้า 275 - 277) สังคมและอัตลักษณ์ของมุสลิมในบริเวณทะเลสาบสงขลาเปลี่ยนแปลงไปพัฒนาการของการศึกษาอิสาม ดังนี้ ในยุคก่อนร้อยปีที่ผ่านมาหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลามยังเป็นการปฏิบัติตามประเพณีที่สืบต่อกันมา และผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นบ้าน ยังคงมีประเพณีที่ปฏิบัติกันในชุมชน ทั้งประเพณีที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา อิสลาม และความเชื่อเรื่องวิญญาณนิยม เช่น ประเพณีเข้าสุหนัด ประเพณีถือศีลอด ประเพณีวันฮารีรายอ ประเพณีงานกรีฑา ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีบวชพระ ประเพณีเข้าพรรษา ออกพรรษา ประเพณีทำบุญเดือนสิบ ประเพณีชักพระ ประเพณีทอดกฐินผ้าป่า ประเพณีออกปาก (ลงแขก) ประเพณีบวชนางไม้ ประเพณีทำบุญกุโบว์ การอ้อนวอนบวงสรวงบูชา มีเทวดา ฟ้า ดิน การนับถือทวด การแต่งกายไม่แตกต่างกับศาสนิกอื่นๆ ในชุมชนมากนัก เมื่อการศึกษาอิสลามมีการพัฒนาสู่ความเป็นสากลมากขึ้น ทำให้หลักการปฏิบัติต่างๆ ถูกต้องตามหลักศาสนามากขึ้น เช่น การแต่งกาย ประเพณีพิธีกรรมที่เป็นไปตามวัฒนธรรมพื้นบ้านไม่ได้ปฏิบัติต่อไป เน้นการปฏิบัติประเพณีในศาสนาอิสลาม และนำคำศัพท์จากคัมภีร์อัลกุรอาน มาใช้ผสมกับการพูดภาษาหลักสำเนียงถิ่นใต้ การบริโภคปฏิบัติตามหลักการของศาสนาคือหลักหะลาลและฎอยยิบัน

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

- แผนที่แสดงพื้นที่หมู่บ้านศึกษา (หมู่ที่ 2) (หน้า 12) - รูปภาพงานมัดมือปีใหม่ (หน้า 30 - 32) - รูปภาพการเลี้ยงผีไร่ และการลงแขกกันตีข้าวในนา (หน้า 59 -61)

Text Analyst พัชรลดา จุลเพชร Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG มุสลิม พัฒนาการ ชุมชนมุสลิม ลุ่มทะเลสาบสงขลา ภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง