สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),วิถีชีวิต,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่
Author ขวัญชีวัน บัวแดง
Title การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง : กรณีศึกษาหมู่บ้านในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 97 Year 2541
Source สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

เป็นการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ของกะเหรี่ยง ว่ามีวิถีการดำรงชีวิตเป็นอย่างไร เพราะปัจจุบันวิถีการดำเนินชีวิตได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภายนอก ที่ส่วนใหญ่จะสร้างบ้านเรือนกันอย่างถาวร หลังคามุง กระเบื้อง ตัวบ้านทำด้วยไม้ ในหมู่บ้านก็มีไฟฟ้าใช้ ทั้งนี้ยังเน้นให้เห็นถึงลักษณะการผลิตทางด้านการเกษตรกรรม ที่ปลูกข้าวเพื่อการบริโภคมากกว่าการขาย มีการหารายได้จากนอกภาคเกษตรกรรม คือ การออกไปรับจ้างขายแรงงานเพื่อนำเงินมา จุนเจือครอบครัว รวมไปถึงภาวะการมีหนี้สินของชาวบ้าน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในการใช้จ่าย เพื่อการครองชีพ มากขึ้น (หน้า 4, 7, 33-37, 70-73)

Focus

ศึกษาทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนกะเหรี่ยง ว่ามีวิถีการดำรงชีวิตในปัจจุบันเป็นอย่างไร ทั้งนี้ยังได้ศึกษาถึงลักษณะการผลิตทางด้านการเกษตรกรรม รวมไปถึงการศึกษาความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อนำมาเปรียบเทียบสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันกับอดีตว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงสกอว์ หรือปกาเกอะญอ (หน้า คำนำ)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยง และภาษาไทย (ภาษาคำเมืองในภาคเหนือ) (หน้า 8)

Study Period (Data Collection)

มกราคม - พฤษภาคม 2541

History of the Group and Community

บรรพบุรุษของกะเหรี่ยงบ้านแม่หลุ ป่าเลา ป่าเฮียะ ห้วยทราย และห้วยปู่เอก อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ปัจจุบันแห่งนี้ มานานมากกว่า 200 ปี มาแล้ว ในการก่อตั้งหมู่บ้าน ฮีโข่จะเป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้านเอง เพราะฮีโข่ก็คือผู้นำของกะเหรี่ยง ฮีโข่มีหน้าที่ ในการประกอบพิธีกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารกับเจ้าแห่งดินและน้ำ ในสมัยนั้นฮีโข่จะมีอยู่ 3 หมู่บ้านคือหมู่บ้าน ที่อยู่บริเวณบ้านแม่หลุในปัจจุบัน เรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ บ้านแม่หลุคี บ้านที่อยู่บริเวณป่าเลา ป่าเฮียะ หรือหมู่บ้านมุคี และ บ้านห้วยทราย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบ้านพะแกก่อทิ ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก มีจำนวนไม่เกิน 10 หลังคาเรือน ในสมัยนั้นจะ ไม่นิยมตั้งหมู่บ้านอยู่อย่างถาวร เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นในหมู่บ้าน เช่น มีเสือมาร้องใกล้หมู่บ้านบ่อยครั้ง หรือมีคน ตายหลายคนติดต่อกัน ฮีโข่จะอพยพโยกย้ายชาวบ้าน ไปตั้งถิ่นฐานในที่แห่งใหม่ อาจจะอยู่ไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก บางที อาจจะวนกลับมาอยู่ที่เดิมอีก อย่างบ้านป่าเลาและบ้านป่าเฮียะที่เป็นที่ดั้งเดิมของหมู่บ้าน แต่ปัจจุบันชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่ทำ ไร่ (หน้า 14 - 20)

Settlement Pattern

ในสมัยก่อนกะเหรี่ยง ไม่นิยมตั้งหมู่บ้านอยู่ที่ใดที่หนึ่งอย่างถาวร เพราะถ้ามีเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเห็นว่าผิดปกติ อย่างเช่นมีเสือมาร้องใกล้บริเวณหมู่บ้าน หรือเกิดการเจ็บป่วย คนในหมู่บ้านตายกันหลายคนติดต่อกัน ฮีโข่จะพาชาวบ้านอพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในที่แห่งใหม่ เพราะพวกเขาเชื่อว่าถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งอัปมงคล แต่สมัยปัจจุบันนิยมตั้งถิ่นฐานกันแบบถาวรแล้ว บ้านที่ปลูกไว้ก็ปลูกกันแบบมั่นคงถาวร หลังคามุงกระเบื้อง บางบ้านก็สร้างด้วยไม้ที่แข็งแรง จะไม่มีการโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ เหมือนสมัยก่อนแล้ว (หน้า 15,16)

Demography

ไม่ได้ระบุ ในงานศึกษาจำนวนประชากรทั้งหมด ระบุแต่เพียงจำนวนครัวเรือนทั้งหมด ที่ตอบแบบสอบถาม บ้านแม่หลุมี 60 ครัวเรือน ป่าเฮียะ 19 ป่าเลา 12 ห้วยทราย 13 ห้วยปู่เอก 8 รวมทั้งหมด 112 ครัวเรือน ( หน้า 9 ) และจำนวนสมาชิกเฉลี่ยในครัวเรือน แยกตามหมู่บ้าน ห้วยปู่เอก 4.9 ห้วยทราย 4.5 แม่หลุ 5.1 ป่าเฮียะ 4.2 ป่าเลา 5.1 (หน้า 27)

Economy

ระบบเศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นแบบยังชีพ การผลิตส่วนใหญ่เน้นเพื่อการบริโภคมากกว่าการขาย การปลูกข้าวเป็นอาชีพหลัก ข้าวที่ชาวบ้านผลิตได้ส่วนใหญ่จะเก็บไว้บริโภคภายในครัวเรือน หากผลิตข้าวได้มากและมีเหลือเก็บจากบริโภค จึงจะนำมาขาย มีบางครอบครัวที่ผลิตข้าวได้ไม่มากนัก แต่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน ก็อาจจะขายข้าวหลังการเก็บเกี่ยวข้าวใหม่ ๆ การปลูกพืชชนิดอื่นไว้ขายก็ทำกันน้อยมาก พืชที่ปลูกได้แก่ถั่วเหลืองและข้าวโพด แต่ต้องใช้ทุนในการเพาะปลูก อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการที่เม็ดผลออกมาไม่ดีอีก ทำให้ไม่คุ้มกับเงินที่ลงทุนไป ส่วนการทำหัตถกรรมเพื่อขาย ไม่ได้ทำกันอย่างจริงจัง อาศัยเวลามีแขกเข้ามาเที่ยวในหมู่บ้าน ก็จะนำมาเสนอขาย หรือใครมีญาติพี่น้องที่อยู่ในตัวเมืองแม่แจ่ม และเชียงใหม่ ซึ่งพอจะฝากขายได้ก็จะฝากขาย และรายได้อื่น ๆ ที่เป็นรายได้เสริมจะมาจากการขายสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย เป็นต้น รายได้อีกทางหนึ่งที่ชาวบ้านนิยมหาทำกันก็คือ การออกไปรับจ้างขายแรงงาน เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายภายในครอบครัว โดยรวมแล้วถือว่าเศรษฐกิจของหมู่บ้านที่ทำการศึกษาอยู่ในฐานะที่ยากจน (หน้า 33-38,46-49)

Social Organization

ลักษณะครัวเรือนเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว มีพ่อ แม่ ลูก อยู่ด้วยกันในบ้าน 1 หลัง และอาจจะมีลูกเขย ลูกสะใภ้อาศัยอยู่ด้วย แต่ไม่ได้อยู่ร่วมกันไปตลอด อาจจะอยู่ด้วยสักระยะ แล้วค่อยแยกไปตั้งบ้านเรือนใหม่ ในสมัยก่อนจะนับถือผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษทางฝ่ายมารดา หากผู้ชายเมื่อแต่งงานแล้ว ก็จะแยกไปตั้งบ้านใหม่อยู่ในหมู่บ้านของฝ่ายภรรยา (หน้า 26) ในอดีตมีฮีโข่เป็นผู้นำในการก่อตั้งหมู่บ้าน หน้าที่ของฮีโข่ก็คือเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม ติดต่อสื่อสารกับเจ้าแห่งดินและน้ำ เพื่อให้หมู่บ้านอยู่ดีมีสุข นอกจากฮีโข่จะทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารกับเจ้าแห่งดินและน้ำแล้ว หากคนในหมู่บ้านประพฤติตนผิดจารีตประเพณี อย่างเช่น ผู้หญิงท้องก่อนแต่ง ฮีโข่จะเป็นผู้ทำพิธีขอขมาต่อเจ้าแห่งดินและน้ำ ถือว่าฮีโข่มีบทบาทในการเป็นผู้นำแทบจะทุกด้าน เพราะการประกอบพิธีกรรม ฮีโข่จะเป็นผู้กระทำ ผู้ที่ไม่ได้เป็นฮีโข่จะกระทำไม่ได้ ถือว่าผิดจารีตประเพณี หมู่บ้านจะอยู่อย่างไม่เป็นสุข พืชผลทางการเกษตรจะไม่ได้ผลผลิต นอกจากนี้แล้ว ตำแหน่งฮีโข่จะสืบทอดโดยบุตรชาย เริ่มตั้งแต่บุตรชายคนโต ไปจนถึงคนเล็กสุด แล้วฮีโข่ต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมด้วย ชาวบ้านจึงจะเห็นสมควรให้เป็นฮีโข่ (หน้า 14 - 20)

Political Organization

การปกครองมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำหมู่บ้าน (ไม่ได้ระบุ แต่ดูจากหน้า 25 ที่กล่าวว่าพ่อหลวงเคยทำงาน กับหน่วยงานของรัฐและดูจากภาพ หน้า 31) (หน้า 25, 31)

Belief System

กะเหรี่ยงมีความเชื่อในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ นับถือผี ซึ่งเป็นเจ้าแห่งดินและน้ำ พวกเขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อุดมสมบูรณ์ เกิดจากเจ้าแห่งดินและน้ำเป็นผู้ประทานมาให้ แต่ในปัจจุบัน กะเหรี่ยงนับถือศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธแทนการนับถือผีบรรพบุรุษแบบดั้งเดิม จะมีก็แต่บางคนเท่านั้นที่ยังนับถือผีบรรพบุรุษแบบเดิมอยู่ ซึ่งในหมู่บ้านของกะเหรี่ยงมีทั้งวัด และโบสถ์คริสต์ด้วย ด้านพิธีกรรมจะมีพิธีการเซ่นไหว้เจ้าแห่งดินและน้ำ เพื่อขอให้เจ้าแห่งดินและน้ำคุ้มครองคนในหมู่บ้านของตนและดลบันดาลให้พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ แล้วให้คนในหมู่บ้านมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงกันทั่วหน้า การเซ่นไหว้จะทำกันที่หอผีประจำหมู่บ้าน ทุกครัวจะต้องมีตัวแทนมาเข้าร่วมพิธี พร้อมกับนำไก่มาเซ่นไหว้ผีร่วมกัน การทำพิธีจะไม่อนุญาตให้คนภายนอกมาเข้าร่วมพิธี เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว ทุกครัวเรือนจะจัดพิธีมัดมือปีใหม่ ปีหนึ่งจะจัดสองครั้ง ครั้งที่ 1 หลังฤดูเก็บเกี่ยว ครั้งที่ 2 เมื่อข้าวกำลังตั้งท้องจะออกรวง พิธีมัดมือหรือผูกข้อมือปีใหม่ จะทำที่บ้านฮีโข่ก่อน เพราะฮีโข่เป็นผู้นำหมู่บ้าน หลังจากฆ่าไก่เสร็จแล้ว จะสวดขอพรจากเจ้าแห่งดินและน้ำ หลังจากนั้นก็เอาไก่ที่ฆ่าเสร็จแล้วมาทำอาหารเลี้ยงผู้เฒ่าผู้แก่ ฮีโข่จะทำพิธีมัดมือให้กับครอบครัวของตนก่อน แล้วจากนั้นตระเวนไปตามบ้านแต่ละหลัง เพื่อร่วมกันหยาดน้ำเหล้าขอพรจากเจ้าแห่งดินและน้ำ และมัดมือให้แต่ละครอบครัว ในวันสุดท้ายฮีโข่จะทำพิธีสวดขอพรจากเจ้าแห่งดินและน้ำอีกครั้ง ที่บ้านของตน โดยแต่ละครัวเรือนจะส่งตัวแทนมาเข้าร่วมพิธี พร้อมทั้งนำหัวเหล้า ซึ่งก็คือเหล้าที่กลั่นออกมาขวดแรก หมากพลู เทียนไข มาขอขมาต่อเจ้าแห่งดินและน้ำ ในกรณีที่มีผู้ประพฤติผิดจารีตประเพณีทางศีลธรรมที่มีมาแต่เดิม อย่างเช่นผู้หญิงท้องก่อนแต่ง ฮีโข่จะต้องทำพิธีฆ่าควาย หรือหมู เพื่อเป็นการขอขมาต่อเจ้าแห่งดินและน้ำ แล้วฮีโข่จะเลี้ยงผีขุนน้ำ ผีห้วย ผีไร่นา หรือเรียกว่า พิธีหลื่อต่า เพื่อให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์และดลบันดาลให้ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ด้วย (หน้า 14, 28)

Education and Socialization

ปัจจุบันชาวบ้านให้ความสำคัญกับการศึกษามากขึ้น เห็นได้จากการที่พวกเขามีการวางแผนครอบครัว ตั้งใจมีลูกเพียง 2 - 3 คน เพราะต้องส่งเสียลูกให้เรียนหนังสือสูงกว่าระดับประถมศึกษากันมากขึ้น และต้องเสียค่าใช้จ่ายกับการเรียนของลูก ในระดับมัธยมศึกษา เพราะเด็กต้องไปอยู่หอพัก ต้องเสียค่ากินค่าอยู่ (หน้า 26)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ด้านสถาปัตยกรรมไม่ได้กล่าวถึง ด้านศิลปะการแสดงระบุแต่เพียงว่า ผู้เฒ่าผู้แก่ซอในงานแต่งงาน (ซอเป็นการร้องรำทำเพลงที่ใส่ทำนองลูกคอ เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปะการร้องเพลงของทางภาคเหนือ) (ดูจากภาพหน้า 89) ด้านหัตถกรรม มีการทอผ้าและทำเครื่องจักสานจากไม้ไผ่ (หน้า 49) ส่วนเสื้อผ้าการแต่งกาย ผู้หญิงส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จะใส่เสื้อผ้าที่ทอเอง ตามแบบของกะเหรี่ยง แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงลวดลายบ้าง เช่น อาจจะมีลวดลายมากขึ้นกว่าเดิม เป็นลายปักที่ประดับด้วยลูกเดือย ใช้ไหมเลื่อมที่เรียกกันว่าไหมญี่ปุ่นมาประดับ ลายพื้นของเสื้อ มีหลายสี แต่เดิมจะนิยมใช้ผ้าสีน้ำเงินและสีดำ แต่ปัจจุบันเสื้อผ้ามีหลายสีมากขึ้น ใช้ผ้าโพกหัวที่ทอขึ้นเอง สวมกางเกงขายาวข้างในก่อนที่จะนุ่งผ้าถุง ผู้หญิงวัยกลางคน บางคนนิยมสวมเสื้อยืดแบบคนพื้นราบ แต่ก็ยังคงนุ่งผ้าถุงอยู่เหมือนเดิม ผู้หญิงวัยรุ่นจะนิยมสวมเสื้อผ้าแบบคนพื้นราบ สวมเสื้อยืดกางเกงยีน แทนการสวมชุดขาวแบบเดิม ส่วนการแต่งกายของผู้ชายไม่ได้กล่าวถึง (หน้า 28 - 32)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์กับกะเหรี่ยงด้วยกัน ที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียง จะมีความสัมพันธ์กันใกล้ชิดกว่าหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล โดยเฉพาะกับญาติพี่น้อง ส่วนใหญ่จะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ส่วนความสัมพันธ์กับคนเมือง จะใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก จะเห็นได้จากการที่ผู้เฒ่าผู้แก่ ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป สามารถพูดภาษาคำเมืองทางภาคเหนือได้ และหากมีสินค้าหัตถกรรม รวมไปถึงเครื่องจักสาน ก็จะนำ ลงมาขายให้กับคนเมือง ส่วนคนเมืองก็ให้การต้อนรับ เลี้ยงดูปูเสื่อกันอย่างดี เหมือนเป็นญาติสนิทกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่มี มาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย มาแล้ว จะอย่างไรก็ตาม หากบ้านของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จัดงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่หรือมีงานมงคลต่างๆ พวกเขาก็จะเชิญอีกฝ่ายหนึ่งไปร่วมงาน ทั้งนี้ นอกจากจะมีความสนิทสนมกัน ตั้งแต่สมัยที่ปลูกฝิ่นกันมาแล้ว ยังมีการ พึ่งพาอาศัยกันในเรื่องการรักษาพยาบาลอีกด้วย เช่นในกรณีที่คนเมืองไปให้หมอกะเหรี่ยงรักษาโรค และกะเหรี่ยงก็ไปรักษา โรคกับ คนเมือง (หน้า 20 - 23)

Social Cultural and Identity Change

ผู้เขียนกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม เช่น การสร้างบ้านเรือน ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะสร้างบ้านเรือนแบบถาวร หลังคามุงกระเบื้องสังกะสี ตัวบ้านทำด้วยไม้ เสาบ้านทำด้วยปูน ในหมู่บ้านมีไฟฟ้าใช้มาตั้งแต่กลางปี 2540 แล้ว ด้านการแต่งกาย ผู้หญิงส่วนใหญ่ทั้งที่แต่งงานแล้วและที่ยังโสด จะสวมเสื้อผ้าแบบคนพื้นเมือง ถ้าเป็นเสื้อผ้าแบบกะเหรี่ยง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงสีสัน ลวดลาย อย่างชุดหญิงสาว แต่เดิมจะเป็นชุดยาวสีขาว แต่เดี๋ยวนี้มีทั้งสีดำและสีอื่นๆ แล้วภายในหมู่บ้านมีทั้งโบสถ์คริสต์ และวัด เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ หันมานับถือศาสนาคริสต์ และพุทธ แทนการนับถือผี จะมีเพียงบางส่วนอย่างผู้เฒ่าผู้แก่ เท่านั้นที่ยังคงนับถือผีแบบเดิมอยู่ และแต่ละครัวเรือน ส่วนใหญ่มีรถจักรยานยนต์กันแทบทุกบ้าน บางบ้านก็มีรถยนต์ด้วย ด้านพิธีกรรมเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่มีพิธีเลี้ยงผีประจำหมู่บ้านเหมือนแบบเดิม เพราะชาวบ้านไปทำบุญที่วัดในวันสงกรานต์แทนการเลี้ยงผี บางคนที่นับถือศาสนาคริสต์ก็ไปเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์และวันสำคัญอื่นๆ แทน จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อชีวิตชาวบ้านหลายประการ ทั้งทางด้านความสัมพันธ์กับคนเมืองที่อยู่รอบข้าง ทำให้ชาวบ้านได้เรียนรู้รูปแบบชีวิตแบบใหม่ แล้วนำมาปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของตนเอง (หน้า 7, 27, 28, 29)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

หนี้สิน : การมีหนี้สินของกะเหรี่ยงมีมานานแล้ว แต่เป็นไปในรูปของการยืมข้าวมากกว่าการยืมเงินเพราะในสมัยก่อนจะปลูกข้าวได้น้อยกว่าสมัยนี้ จึงต้องยืมข้าวมาบริโภค แต่เขาคิดดอกเบี้ยแพงมากถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้ายืมข้าว 10 ถัง ต้องใช้คืน 20 ถัง การกู้ยืมเงินจากญาติพี่น้องก็มีกันมานานแล้วเหมือนกัน แหล่งเงินกู้ที่ชาวบ้านไปกู้ยืมส่วนใหญ่ จะเป็นการไปกู้ยืมจากคนเมือง นักการเมืองท้องถิ่น อย่าง ส.จ อำเภอแม่แจ่ม จะใกล้ชิดกับชาวบ้าน บ้านแม่หลุ จะไปมาหาสู่กันเสมอ ชาวบ้านจะไปยืมเงินจาก ส.จ คนนี้ไปส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ จำนวนครอบครัวที่กู้ยืมเงิน ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ พบว่ามี 19 % ที่ไม่มีหนี้สิน 52 % มีหนี้สินไม่เกิน 6,000 บาท 29 % มีหนี้สินมากกว่า 6,000 บาท จำนวนหนี้สินที่น้อยที่สุดคือ 300 บาท ครัวเรือนที่มีหนี้สินมากที่สุด มีถึง 77,100 บาท เพราะกู้เงินมาซื้อและผ่อนรถยนต์ และเป็นรถยนต์ที่มีเพียง 1 ใน 3 คันที่มีอยู่ในหมู่บ้าน ถ้าเฉลี่ยแล้ว แต่ละครัวเรือนมีหนี้สินเฉลี่ย 8,724 บาท แหล่งกู้ที่ทางราชการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวบ้าน ได้ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นก็คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ ก ส และสหกรณ์เพื่อการเกษตร โครงการแคร์ อีกส่วนตั้งเป็นกองทุนเพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียนภายในหมู่บ้าน โดยมีกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้ดูแล ทางหน่วยงานไม่ต้องการเงินคืน แต่จะคอยดูแลไม่ให้เงินนั้นสูญหายไปไหน และติดตามดูว่าเงินที่ให้ไป ถูกนำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์หรือไม่ นอกจากนั้น ยังมีกองทุนอาสาสมัครเพื่อป้องกันตนเอง ที่ทางอำเภอแม่แจ่มให้มาอีก แล้วก็มีอีกหลายหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน (หน้า 70 - 73)

Map/Illustration

ตาราง - ข้อมูลประชากรและเศรษฐกิจของคุ้มต่างๆ (2537 - 2538) ในชุมชนชาติพันธุ์ไทยแสกบ้านบะหว้า หมู่ที่ 5, 7 ต.ท่าเรือ อ.นาหว้า จังหวัดนครพนม (หน้า47) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามอาชีพหลักและอาชีพเสริม(หน้า48) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามรายได้ของอาชีพหลักเมื่อปีที่ผ่านมา (หน้า49) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามรายได้ของอาชีพเสริมต่อเดือนเมื่อปีที่ผ่านมา (หน้า 50) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามที่ดินทำกิน (หน้า 51) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามเพศ อายุ (หน้า 55) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามสมาชิกในครัวเรือนไปทำงานต่างจังหวัดเมื่อปีที่ผ่านมา (หน้า 57) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามภาษาที่พูดในครัวเรือน (หน้า 57) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามโครงสร้างครอบครัว (หน้า 62) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามวิถีครอบครัวในเรื่อง อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจ การอบรมสั่งสอน การปฏิบัติต่อผู้สูงอายุและญาติพี่น้องของสมาชิกภายในครัวเรือนปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบ 10 ปีที่ผ่านมา (หน้า 65) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามการปฏิบัติตามวิถีครอบครัวในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับอาหาร ขะลำและการเจ็บป่วยของสมาชิกภายในครัวเรือนปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบ 10 ปีที่ผ่านมา (หน้า 68) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามการปฏิบัติต่อความเชื่อทางศาสนาของสมาชิกภายในครอบครัวปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบ 10 ปีที่ผ่านมา (หน้า 84) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามการเข้าร่วมกับชุมชนของสมาชิกภายในครอบครัวปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบ 10 ปีที่ผ่านมา (หน้า 91) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามความเชื่อเรื่องผีของสมาชิกภายในครอบครัวปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบ 10 ปีที่ผ่านมา (หน้า 102) - อัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือน จำแนกตามความคิดเห็นของบุคลิกภาพและพฤติกรรมในอดีต 10 ปีที่ผ่านมากับปัจจุบัน (หน้า146) แผนผัง - แสดงชุมชนชาติพันธุ์ไทยแสกบ้านบะหว้า (หน้า 35) - แสดงอาณาเขตติดต่อระหว่างชุมชนกับอำเภอ (หน้า 37) - แสดงภาพตัดขวางชุมชนชาติพันธุ์ไทยแสกบ้านบะหว้า (หน้า 38) - แสดงที่ตั้งโรงเรียน สถานีอนามัยและชุมชนใกล้เคียง (หน้า 41) - แสดงเขตพื้นที่ป่าชุมชนชาติพันธุ์ไทยแสกบ้านบะหว้า (หน้า 110) - แสดงบริเวณแหล่งดินชุมชนชาติพันธุ์ไทยแสกบ้านบะหว้า (หน้า 114) - แสดงเขตบริเวณแหล่งน้ำชุมชนชาติพันธุ์ไทยแสกบ้านบะหว้า (หน้า 118) รูปภาพ - ปิรามิดประชากรแจกแจงอายุและเพศของชุมชนชาติพันธุ์ไทยแสก (หน้า 56) - การแห่ขบวนฝ่ายชายไปบ้านฝ่ายหญิงในพิธีแต่งงาน (หน้า 182) - การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญการแต่งงานของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง (หน้า182) - การผูกไก่ขาวก่อนคลอดลูก (หน้า 183) - การอยู่ไฟหลังคลอดลูก (หน้า 183)

Text Analyst บุษบา ปรังฤทธิ์ Date of Report 29 มิ.ย 2560
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), วิถีชีวิต, การเปลี่ยนแปลง, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง