|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,เวียต,พวน, กลุ่มชาติพันธุ์,วัฒนธรรม,ประเพณี,นครสวรรค์ |
Author |
เสรี ซาเหลา, สุทธิภาษ ภูเมืองปาน, วิรัตน์ วงศ์รอด, อุทัยวรรณ ใจเอื้อ |
Title |
กลุ่มชาติพันธุ์ : วัฒนธรรมและประเพณี จังหวัดนครสวรรค์ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
เวียด เหวียตเกี่ยว ไทยใหม่, ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, มอญ รมัน รามัญ, ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
158 |
Year |
2545 |
Source |
โปรแกรมพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏนครสวรรค์ |
Abstract |
กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ต่างก็มีภูมิหลังและลักษณะทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป บางกลุ่มก็ตั้ง ถิ่นฐานเฉพาะในเมืองหรือชนบท แต่บางกลุ่มอาศัยทั้งในเมืองและในชนบท ในเรื่องอาชีพจะมีลักษณะผสมผสานปะปนกัน ไป เช่น ไทยทรงดำ ไทยพวน ไทยมอญและไทยอีสานมีทั้ง ที่ทำนา ทำไร่ ค้าขายและรับราชการ แต่ไทยจีนมีอาชีพค้าขายเป็นหลักอย่างเห็นได้ชัด ส่วนในเรื่องของความเชื่อและประเพณี โดยมากเกี่ยวกับวัฏจักรชีวิต คือ เกิด แต่งงาน แก่ เจ็บและตาย แต่ต่างก็มีสาระสำคัญที่ไม่เหมือนกัน สำหรับการใช้ภาษาและการแต่งกายแม้จะยังคงรักษาของดั้งเดิมของชาติพันธุ์ไว้ แต่ต่าง ก็ได้รับอิทธิพลจากภาษาและวัฒนธรรมภาคกลางอย่างทั่วถึง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากของเดิม |
|
Focus |
ศึกษาถึงวัฒนธรรมด้านการประกอบอาชีพ ด้านภาษา การแต่งกาย การรักษาโรค การบริโภคและประเพณีต่าง ๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดนครสวรรค์ และศึกษาถึงศักยภาพของแต่ละชาติพันธุ์ในอันที่จะอนุรักษ์และพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทางวัฒนธรรม (หน้า 11) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยอีสาน ไทยจีนโดยมากเป็นแต้จิ๋วและไหหลำ (หน้า 66) ไทยทรงดำ ไทยพวน ไทยญวน และไทยมอญ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสาน มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน คนไทยอีสานจะพูดภาษาอีสาน แต่ปัจจุบันคนไทยอีสานส่วนใหญ่พูดภาษาไทยหรือไทยภาคกลาง ไม่มีอักษรเขียนเป็นของตนเอง จะใช้อักษรไทยภาคกลางเขียนและใส่คำภาษาถิ่นหรือภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสานลงไป (หน้า 48) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยจีน มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง ในอดีตจะใช้ภาษาแต้จิ๋วไม่ค่อยใช้ภาษาไทย แต่ในปัจจุบันบางส่วนพูดภาษาไทยเพราะมีอาชีพค้าขายส่วนภาษาดั้งเดิมจะพูดกับคนในครอบครัวหรือคนจีนที่มีเชื้อสายเดียวกัน (หน้า 68-69) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง ภาษาที่ใช้คือภาษาไทดำจัดอยู่ในตระกูลไท (Tai Family) สาขาตะวันตกเฉียงใต้ ตัวหนังสือของไทดำเรียกว่า "โตสือไตดำ" (หน้า 85-86) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยพวน มีภาษาพูดคล้ายกับภาษาไทยล้านนาและไทยอีสาน แต่ปัจจุบันโดยมากจะพูดภาษาไทยแต่จะมีเพียงสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ไทยพวนไม่มีภาษาเขียนแต่ใช้ภาษากลางในการติดต่อ(หน้า 101) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยญวน จะพูดภาษาญวน แต่ปัจจุบันใช้ภาษาพูดเป็นภาษาไทยภาคกลางเกือบทั้งหมด และในอดีตใช้ภาษาลาตินเป็นภาษาเขียน แต่ในปัจจุบันเนื่องจากมีการติดต่อสื่อสารกับคนไทยภาคกลางและมีการสอนเขียนภาษาไทย จึงทำให้ภาษาลาติน สูญสิ้นไป (หน้า 119-120) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยมอญ ในอดีตใช้ภาษามอญในการติดต่อสื่อสารแต่ปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากภาษาไทย มอญในจังหวัดนครสวรรค์จึงใช้ภาษาไทยเป็นภาษาพูดแต่สำเนียงออกไปทางมอญและพูดภาษามอญอยู่บ้างในกลุ่มคนมอญด้วยกัน ไทย มอญ มีตัวเขียนเป็นของตนเอง ด้วยอิทธิพลของภาษาไทยทำให้เขียนภาษาไทยและยึดภาษาไทยเป็นภาษาเขียน (หน้า 135-136) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสาน โดยมากอพยพมาจากจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี สกลนคร เลย หนองคาย ชัยภูมิ อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด เนื่องจากในปี พ.ศ. 2500 จังหวัดต่างๆ นั้นเกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรงมาก ทำให้การเกษตร ไม่ได้ผลผลิต ประกอบกับจังหวัดนครสวรรค์มีความอุดมสมบูรณ์จึงทำให้ชาวอีสานเข้ามาจับจองที่ดินทำกิน - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยจีน นครสวรรค์มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 4 เกิดการค้าระบบทุนนิยมและเสรีนิยม เนื่องจากการขนส่งสินค้าได้สะดวกโดยเฉพาะทางน้ำ ทำให้การขยายตัวทางการค้ามีมากขึ้น คนไทยจีนโดยมากจะเป็นแต้จิ๋วและไหหลำที่เริ่มเข้ามาขายแรงงานและประกอบการค้า ปัจจุบันกลุ่มไทยจีนเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ (หน้า 46-47,66) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ มีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น ลาวโซ่ง ผู้ไทดำ อพยพมาจากเมืองแถง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว เข้าสู่ประเทศไทยหลายครั้งตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากภูมิประเทศมีลักษณะใกล้เคียงกับเมืองแถง แคว้นสิบสองจุไท การที่ไทยทรงดำอาศัยอยู่ในที่ต่างๆ ในประเทศไทยเหตุผลหนึ่งคือ ไทยดำรุ่นเก่ามีความปรารถนาแรงกล้าที่จะกลับไปบ้านเกิดของตนจึงพยายามเดินทางขึ้นไปทางเหนือ เมื่อถึงฤดูฝนก็พักที่ใดที่หนึ่ง ทำนาหาเสบียงแล้วเดินทางต่อจนกระทั่งคนแก่ต้องเสียชีวิตลูกหลานก็มิสามารถเดินทางกลับได้จึงตั้งหลักอาศัยอยู่ตามทางเป็นแห่งๆ (หน้า 82-84) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยพวน ในจังหวัดนครสวรรค์โดยมากอพยพมาจากอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยญวน ในประเทศไทยได้อพยพมาจากเวียดนาม ลาว เข้ามาอยู่ในประเทศไทยประมาณสงครามโลกครั้งที่ 2 อพยพเข้ามาทางภาคตะวันออกของประเทศไทยและทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมากจะอยู่ทางภาคตะวันออกประมาณร้อยละ 80 สำหรับญวนที่อพยพมาจากปากน้ำโพ รู้เพียงว่าคนญวนกลุ่มหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์ ซื้อที่ดินฝั่งต้นแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณที่แม่น้ำปิงและแม่น้ำน่านมาบรรจบกันต่อมาในฤดูฝนน้ำเชี่ยวมากได้ตัดขาดบริเวณที่ดินนี้เป็นเกาะซึ่งเรียกกันว่า "เกาะญวน" ซึ่งต่อมาถูกสายน้ำพัดหายไปในที่สุด กลุ่มชาติพันธุ์ญวนจึงได้ปลูกสร้างบ้านเรือนบริเวณตลาดริมน้ำ ต่อมาได้ย้ายไปหลังวันทามารีย์เนื่องจากน้ำเซาะจนตลิ่งพัง (หน้า 100,118-119) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยมอญ เป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ใพม่าและประเทศไทย ไทยมอญเรียกตัวเองว่า "มอญ" แต่พม่าเรียกชนชาติมอญว่า "ตะเลง" การอพยพของมอญเข้ามาในประเทศไทยมีบันทึกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2127 คือหลังจากที่พระนเรศวรมหาราชประกาศอิศรภาพที่เมืองแครง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์อพยพเข้ามาครั้งใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
|
Settlement Pattern |
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสาน การตั้งบ้านเรือนส่วนใหญ่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นชุมชนปลูกบ้านติดกันตั้งอยู่ห่างจากเมือง บ้านเรือนเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูงหลังคามุงสังกะสีและมีหน้าจั่ว มีหน้าต่าง มีประตูแห่งเดียว การปลูกบ้านนิยมปลูกสองหลังคู่กันคือมีหน้าจั่วคู่กัน บางหลังจะกั้นห้อง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นที่โล่งเรียกว่า บ้านอเนกประสงค์ เรือนของคนไม่มีฐานะจะมีลักษณะเป็นกระท่อมหลังคามุงแฝก (หน้า 49) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยจีน การตั้งเรือนส่วนใหญ่จะอยู่รวมกันเป็นชุมชนขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วเขตจังหวัด บ้านเรือนของคนจีนจะเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวติดต่อกัน ครอบครัวใหญ่มีพี่น้องอยู่ร่วมกัน ปัจจุบันกระจายอยู่ในชุมชนที่เจริญเกือบทุกอำเภอ ปลูกบ้านเป็นบ้านปูน (หน้า 69) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ เรือนของไทยทรงดำเป็นเรือนหลังใหญ่มีห้องกว้างห้องเดียวใช้เป็นที่นอน มีที่ทำครัวและเก็บข้าวของต่าง ๆ มีหน้าจั่วและระเบียงบ้านทั้งหน้าและหลัง ด้านหน้าใช้เป็นที่รับแขกและนั่งเล่นเรียกว่า "กกชาน" ด้านหลังเรียกว่า "กว้าน" สำหรับทำพิธีเซ่นผีบรรพบุรุษที่เป็นท้าว โดยจะจัดมุมใดมุมหนึ่งของกว้านเรียกว่า "กะล่อหอง" มีบันไดลงจากบ้านทั้ง 2 ด้านแต่บันไดด้านหน้าจะใหญ่กว่า หลังคาจะมุงด้วยหญ้าคา มีลักษณะสูงชันและมุงหญ้าคาลงต่ำจนถึงพื้นบ้านเกือบมิด (หน้า 87-90) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยพวน การตั้งบ้านเรือนโดยมากจะรวมกันเป็นชุมชนเรียกว่า "คุ้ม" เรือนไทยพวนมีใต้ถุนบ้านเรียกว่า "ก้องตาล่าง" บ้านมีขนาด 2-3 ห้องขึ้นไป ตามห้องต่างๆ จะมีการเจาะช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพื่อระบายอากาศ แต่ปัจจุบันนิยมสร้างบ้าน 2 ชั้นแบบมีใต้ถุนสูงมุงหลังคาด้วยสังกะสีหรือกระเบื้อง การตั้งบ้านเรือนนิยมปลูกบ้านตามฐานะ ครอบครัวใดมีฐานะดีจะสร้างเรือนใหญ่โต (หน้า 102) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยญวน จะรวมกันเป็นชุมชนขนาดเล็กบริเวณวัดคาทอลิก เรือนในอดีตเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวติดกันแบบปั้นหยา ประตูจะมีเหลี่ยมแต้ ปัจจุบันปลูกเป็นบ้านปูนและเป็นห้องแถวอยู่กันเป็นครอบครัวขนาดเล็ก (หน้า 120) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยมอญ บ้านเป็นเรือนที่มีชานหรือนอกชานติดต่อกันเป็นแพยาวเรียกว่าเรือนแถว โดยเรือนของพ่อแม่จะอยู่ตรงกลางและต่อเรือนออกเป็นปีกซ้ายและขวาของบุตรหลาน ลักษณะของเรือนไทยมอญเป็นเรือนใต้ถุนสูง ชั้นเดียวปลูกในลักษณะให้มีชานหรือนอกชานติดต่อกันเป็นแพยาว เรียกว่า "เรือนแถว" โดยเรือนของพ่อแม่จะอยู่ตรงกลางและต่อเรือนออกทั้งปีกซ้ายและปีกขวาเป็นของบุตรหลาน (หน้า 136-137) |
|
Demography |
ปี พ.ศ. 2447 มีคนไทยจีนในนครสวรรค์ถึง 6,000 คน ในขณะที่ภาคกลาง (ไม่รวมกรุงเทพมหานคร) มีคนจีนประมาณ 10,000 คน และคนจีนในนครสวรรค์จัดว่าอยู่ในอันดับ 3 รองจากกรุงเทพมหานครและภูเก็ต (หน้า 66) ส่วนกลุ่มอื่นๆ มิได้ระบุ |
|
Economy |
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสานมีอาชีพทำนา ทำไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพดเป็นหลัก อาชีพที่ต้องอาศัยภูมิปัญญาของตน เช่น การทำขนมจีน การทอผ้า การจักสาน การทำไม้กวาด เป็นต้น - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยจีน อาชีพส่วนใหญ่จะเป็นการค้าขาย เป็นพ่อค้าคนกลางและทำการขนส่งสินค้าในการจำหน่ายสินค้า - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ มีอาชีพทำนา ทำไร่สมัยก่อนนอกจากอาชีพหลักแล้วมีอาชีพรอง ได้แก่การจกสาน เลี้ยงไหม ทอผ้า เย็บปักถักร้อย เป็นต้นนอกจากนี้ยังมีการประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง ค้าขาย รับจ้างหรือรับราชการ - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยพวน มีอาชีพทำนา ทำไร่และเลี้ยงสัตว์ เป็นหลัก อาชีพรองลงมาจะอยู่ในลักษณะของการรับจ้าง ภูมิปัญญาของไทยพวนในจังหวัดนครสวรรค์คือผู้หญิงจะทอผ้า ส่วนผู้ชายจะตีเหล็กเพื่อใช้ในครัวเรือนและขาย - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยญวนในอดีตประกอบอาชีพที่สำคัญคือ การค้าขายและเลี้ยงหมู และทำโรงฆ่าสัตว์ ต่อมาได้ทำอาชีพหาปลา ปัจจุบันทำโรงฆ่าไก่และส่งไก่ขาย - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยมอญ โดยมากจะประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ (แพะ) การทำอิฐมอญและเครื่องปั้นดินเผา |
|
Belief System |
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสาน มีประเพณีที่สำคัญและสืบต่อกันมาโดยมากจะเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต ได้แก่ ประเพณีเกี่ยวกับการเกิดในอดีตเมื่อเด็กเกิดมา จะเอาเด็กใส่กระด้ง ภายในกระด้งจะมีหนังสือ เข็ม มีดและดินสอ เพราะคนไทยอีสานเชื่อว่าจะทำให้เด็กเรียนเก่ง โตขึ้นจะได้ เป็นเจ้าคนนายคน หมอตำแยเป็นผู้ทำคลอด ส่วนรกจะฝังไว้ใต้บันไดแล้วขัดเป็นซี่ ๆ ล้อมไว้เพื่อป้องกันปอบกิน ประเพณีการ แต่งงาน มีประเพณีคล้ายคลึงกับคนไทยภาคกลาง คือ มีการหมั้น การบายศรีสู่ขวัญ การทำบุญและการส่งตัวเข้าหอ ประเพณีเกี่ยวกับการตาย มีประเพณีคล้ายคลึงกับคนไทยภาคกลาง แต่จะมีความแตกต่างในด้านการประกอบพิธีกรรมบางขั้นตอน ประเพณีบุญบ้องไฟ (บุญบั้งไฟ) มีความเชื่อว่า การจุดบั้งไฟขึ้นไปขอฝนจากพระยาแถน ประเพณีการเลี้ยงปู่ตา มีความเชื่อว่าเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ประเพณีบุญข้าวจี่ เป็นการทำข้าวจี่ถวายพระสงฆ์ บุญพระเวศ คือการฟังเทศน์มหาชาติ บุญคูณลาน เป็นการทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลแด่ข้าวในนาของตน บุญกุ้มข้าวใหญ่ เป็นการทำบุญหลังเก็บเกี่ยวข้าวในนา ประเพณีบุญข้าวประดับดิน คือ การห่อข้าว ของคาวหวาน หมากพลู แล้วนำไปวางไว้ตามพื้นเพื่อให้ทานแก่ผีบรรพบุรุษ ประเพณีบุญข้าวสาก มีการทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตายคล้ายกับพิธีสารทของคนไทย ประเพณีการขอฝน พิธีแห่ข้าวพันก้อนมีจุดประสงค์ 2 ประการคือ เมื่อมีการทำบุญพระเวศและเมื่อฝนไม่ตกในฤดูการทำนาโดยมีจุดปรสงค์เพื่อขอฝน (หน้า 51-60) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยจีน ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด จะนิยมให้ลูกหลานคนแรกเป็นชายเพราะเชื่อว่าลูกชายจะสืบเชื้อสายสกุล ส่วนลูกสาวเมื่อแต่งงานจะไปใช้นามสกุลของสามี เมื่อมีลูกหลานเกิดในครอบครัวจะทำการไหว้อาพั้วในวันที่ 7 เดือน 7 ของทุกปีเป็นการไหว้พ่อซื้อแม่ซื้อผู้คุ้มครองเด็ก ประเพณีการแต่งงาน จะแต่งคล้ายกับคนไทยแต่จะมีการไหว้บรรพบุรุษ ประเพณีเกี่ยวกับการตาย เมื่อตายจะนำศพไปประกอบพิธีกรรมและจะนำไปฝังเพื่อให้ลูกหลานได้มาเคารพ ประเพณีตรุษจีน ถือว่าเป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวกลับบ้านมาพบปะเห็นหน้าเห็นตาพร้อมเพียงกัน ประเพณีวันเช็งเม็ง เป็นธรรมเนียมไหว้บรรพบุรุษที่ฮวงซุ้ยในช่วงเดือน 3 ของจีน ประเพณีวันสารทจีน เป็นเทศกาลไหว้เจ้าประจำเดือน 7 เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ เทศการถือศีลกินเจและวันสิ้นปี ซึ่งเรียกว่าวันจ่าย ทำความสะอาดบ้าน ชำระหนี้สิน (หน้า 70-77) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ พิธีเสนเรือน เป็นการประกอบพิธีเซ่นผีเรือนโดยหมอเสน พิธีเสนตั้งบั้ง (เสนมนต์) เป็นพิธีกระทำสำหรับบ้านที่มีบรรพบุรุษซึ่งมีเวทย์มนต์ สามารถรักษาผู้ป่วยด้วยเวทย์มนต์ จะมีพิธีเสนเรือนในตอนเช้า ประเพณีงานศพ ไทยทรงดำจะให้ความสำคัญกับการตายมาก จะหยุดงานทุกอย่างเพื่อมาช่วยจัดงานศพ ประเพณีการแต่งงาน มีการจัดงานกินดอง (เลี้ยงเพื่อการเกี่ยวดองเป็นญาติกัน) ขั้นตอนการแต่งงานมี 4 ขั้นตอนคือ "ส่อง สู่ ส่งและสา" "ส่อง" เป็นขั้นตอนการสู่ขอ ผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะไปสู่ขอจากพ่อแม่ฝ่ายหญิง "สู่" เป็นขั้นตอนหลังการหมั้นซึ่งฝ่ายชายสามารถไปมาหาสู่ฝ่ายหญิงได้ "ส่ง" เป็นขั้นตอนส่งตัวเจ้าสาวให้แก่เจ้าบ่าวในพิธีแต่งงานซึ่งจะจัดในเดือนคู่ "สา" มีขึ้นในกรณีที่พ่อแม่ไม่เรียกสินสอดทองหมั้น ฝ่ายชายจึงต้อง "อาสา" รับใช้ให้แก่พ่อแม่ฝ่ายหญิงเป็นการทดแทน (หน้า 92-97) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยพวน ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด เมื่อเด็กเกิดมาจะนำเด็กใส่กระด้ง ภายในกระด้งจะมีหนังสือ เข็ม มีดและดินสอ ซึ่งจะเหมือนกับประเพณีของไทยอีสาน ประเพณีการแต่งงานหรือกินดองไทยพวน จะเริ่มจากการสู่ขอกันก่อนโดยการเรียกการแต่งงานว่า บายศรีสู่ขวัญ แล้วจะทำการหมั้นเหมือนกับของไทย ปัจจุบันการแต่งงานของไทยพวนจะเหมือนกับการแต่งงานของคนไทย ภาคกลางประเพณีเกี่ยวกับการตาย ประเพณีบุญกำฟ้าเป็นประเพณีที่ถือว่าการทำบุญกันฟ้าเป็นการป้องกันมิให้ฟ้าผ่าเมื่ออกไปไถนา ประเพณีบุญพระเวส (บุญเดือนสี่)ประเพณีบุญสงกรานต์ ประเพณีบุญเลี้ยงบ้าน เป็นงานบุญเลี้ยงบ้านหรือเลี้ยงปู่ตา(บรรพบุรุษทั้งฝ่ายบิดาและมารดา) ประเพณีบุญห่อข้าว บุญเดือนเก้าเป็นความเชื่อตามฮีตครองที่ต้องทำบุญอุทิศผลแรก ได้แก่ เปรต อสุรกายเพื่อป้องกันมิให้ถูกผีเหล่านั้นมารบกวนทำร้าย ประเพณีบุญข้าวสาก บุญเดือนสิบเป็นความเชื่อตามฮีตครองที่ต้องทำบุญอุทิศผลแรกให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ (หน้า 104 -114) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยญวน ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด เชื่อว่า ทารกเมื่อเกิดมาได้ 3-5 วันจะทำพิธีล้างบาปในโบสถ์ เชื่อว่าเมื่อทำพิธีแล้วจะมีแต่สิ่งที่ดีเข้ามาในชีวิตเมื่อเสร็จพิธีจะมีการฉลองกันภายในครอบครัว ประเพณีเกี่ยวกับการตาย เมื่อมีคนตายเกิดขึ้นคนญวนที่อยู่ในบ้านจะไปบอกชาวบ้านให้นำดอกไม้ไปไหว้ศพ แล้วนำศพมาสวดในโบสถ์ (หน้า 122-123 ) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยมอญ ประเพณีเกี่ยวกับการเกิดของเด็ก ในสมัยก่อนเมื่อเด็กเกิดมาจะนำเด็กมาอาบน้ำแล้ววางในกระด้งยื่นให้หมอตำแยและหมอตำแยก็ยื่นให้ญาติของแม่เด็กแล้วพูดว่า "สามวันเป็นลูกผี สี่วันเป็นลูกคน" ยื่นกลับไปมา 3 รอบโดยจะต้องพูดทุกรอบ ประเพณีการแต่งงาน มีความคล้ายคลึงกับประเพณีการแต่งงานของคนไทยภาคกลาง ประเพณีเกี่ยวกับการตาย สมัยก่อนแยกประเภทของศพไว้ 2 ประเภทได้แก่ ศพตายไม่ดี ไม่มีการตั้งศพเพื่อบำเพ็ญกุศลแต่จะรีบนำศพใส่โลงแล้วฝังทันที ส่วนศพคนตายดี จะมีการตั้งศพเพื่อบำเพ็ญกุศล ประเพณีการแข่งขันเรือยาว ประเพณีเทศน์มหาชาติ ประเพณีสงกรานต์ การจับข้อมือสาว การเข้าผี จะเล่นกันเฉพาะงานตรุษ-สงกรานต์ เพราะถือกันว่างานนี้ผีจะมาเล่นด้วย ประเพณีเลี้ยงผีเรือนจะทำต่อเมื่อสามีภรรยามีบุตรแล้ว 2 คนและทุกเดือน 6 จะนำหม้อของผีปู่ย่าตายายมาทำพิธี (หน้า137-144) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสาน ในอดีตจะรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีการรักษาแบบฝังเข็มและการรักษาด้วยเวทย์มนต์และมีความเชื่อในเรื่องของการรักษาด้วยหมอผี ในปัจจุบันเมื่อเจ็บป่วยจะไปโรงพยาบาล สถานีอนามัยหรือคลินิก (หน้า 51) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยจีน ในอดีตจะรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ จะเน้นการกินโสมเป็นส่วนใหญ่ ส่วนปัจจุบันจะเป็นการรักษาที่ทันสมัยเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 70) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ ใช้ไสยศาสตร์ เป่าเสกโดยใช้คาถาอาคาควบคู่กับยาสมุนไพร ปัจจุบันจะเข้ารักษาจากสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลเป็นหลัก(หน้า 91) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยพวน ในอดีตจะรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังมีการรักษาแบบฝังเข็มและมีความเชื่อในเรื่องของการรักษาด้วยหมอผี ปัจจุบันเมื่อเจ็บป่วยจะไปโรงพยาบาล สถานีอนามัยหรือคลินิกเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 104) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยญวนในอดีตจะรักษาโรคด้วยยาผงหรือยาหม้อที่ได้จากสมุนไพร เพราะสมัยนั้นไม่มีหมอ ปัจจุบันเมื่อเจ็บป่วยจะไปโรงพยาบาล สถานีอนามัย หรือคลินิกเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 121) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสาน การแต่งกายในอดีตผู้ชายจะนุ่งโสร่ง ไม่ใส่เสื้อแล้วใช้ผ้าขาวม้พาดเอว เสื้อม่อฮ่อม ผ้าไหมสเล ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุง ผ้าซิ่น โจงกระเบนผ้ามัดหมี่ซึ่งทอจากผ้าไหม จะสวมเสื้อทรงแขนกระบอก คนอีสานส่วนใหญ่จะแต่งกายขึ้นอยู่กับดิน ฟ้า อากาศในท้องถิ่นนั้นๆ แต่ปัจจุบัน จะแต่งกายตามยุคสมัยนิยม (หน้า 49-50) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยจีน ในอดีตผู้ชายจะนุ่งกางเกงขาก๊วย ไม่ใส่เสื้อ ผู้หญิงจะนุ่งกางเกงขาก๊วยใส่เสื้อคอจีน ปัจจุบันจะแต่งกายตามสมัยนิยม (หน้า 69-70) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ การแต่งกายนิยมใช้ชุดสีดำหรือสีครามแก่เป็นพื้น การแต่งกายแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวันและชุดในโอกาสพิเศษเสื้อของผู้ชายจะเรียกว่า เสื้อไท มักจะสวมเสื้อไทกับกางเกงขาก๊วยของจีน เสื้อของผู้หญิงจะเรียกว่าเสื้อก้อม เสื้อไท เป็นเสื้อฝ้ายแขนยาวสีดำ ผ่าหน้าตลอดติดกระดุมเงินประมาณ 10-15 เม็ด นิยมใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว ถ้าเป็นโอกาสพิเศษจะใช้ผ้าขาวม้าทอจากผ้าไหมชุดธรรมดาของหญิงจะเป็นชุดรัดรูปพอดีตัว เอวสั้นแขนกระบอกรัดข้อมือ คอเสื้อคล้ายคอจีนผ่าหน้าตลอดติดกระดุมเงิน ปัจจุบันการแต่งกายของไทยทรงดำในจังหวัดนครสวรรค์จะแต่งเฉพาะบางโอกาสเท่านั้น (หน้า 87-90) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยพวน การแต่งกายในอดีตผู้ชายไม่นิยมใส่เสื้อ ต่อมาใส่เสื้อคอกลมและนุ่งโสร่ง ส่วนผู้หญิงไม่นิยมใส่เสื้อ นุ่งโสร่งแต่ต่อมาใส่เสื้อแล้วมีผ้าพาดบนไหล่ซ้าย สตรีสูงอายุจะนุ่งโจงกระเบนแล้วใช้ผ้าแถบคาดไม่สวมเสื้อ ในปัจจุบันคนไทยพวนจะแต่งกายตามยุคสมัยนิยม (หน้า 101-103) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยญวน ในอดีตจะนุ่งดำ ผู้ชายใส่เสื้อกุยเฮง กางเกงธรรมดาแบบกางเกงจีนตัดผมรองทรง ผู้หญิงจะใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ไว้ผมยาวและเอาผ้าคลุมศีรษะ ในปัจจุบันจะแต่งกายตามยุคสมัยนิยม (หน้า 120-121) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยมอญ การแต่งกายในอดีตของหญิงชาวบ้านทั่วไปจะเป็นแบบนุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อเอวสั้น เรียกว่า เสื้อบ่าน้อยไว้ผมดอกกระทุ่ม จอนทัดหูเวลาทำงานใช้ผ้าแถบคาดอกหรือตะเบ็งมาน ประดับด้วนเครื่องเงิน แต่ปัจจุบันการแต่งกายได้รับอารยธรรมตะวันตก การแต่งกายจึงเป็นแบบสมัยใหม่ (หน้า136-137) |
|
Folklore |
ในพิธีแห่ข้าวพันก้อนของคนไทยอีสาน ชาวบ้านที่มารับจะถามคนในขบวนแห่ว่า "ด้วยพระรัตนตรัยและพระพุทธรูปองค์ศักดิ์สิทธิ์ผ่านจะบันดาลน้ำฝนให้แก่หมู่เฮาหรือไม่" คนในขบวนแห่ก็จะตอบว่า "ท่านจะบันดาลน้ำฝนให้แก่หมู่เฮา ต่อไปฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ประชาชน พลเมือง วัว ควายจะสบาย น้ำจะมีใช้เต็มทุ่งนา ปูปลาอาหารจะไม่อดอยาก" ชาวบ้านที่มารอรับจะแสดงความยินดีเปล่งเสียงไชโย (หน้า 59) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
โดยมากทุกกลุ่มชาติพันธุ์จะมีการปรับเปลี่ยนลักษณะบางประการตามบริบทของสังคมที่ผันแปรไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัฒนธรรมการแต่งกาย การสร้างเรือนหรือประเพณีวัฒนธรรมบางประการ ดังตัวอย่างเช่น - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสานจะพูดภาษาอีสานหรือภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยอีสาน แต่ปัจจุบันคนไทยอีสานส่วนใหญ่พูดภาษาไทยหรือไทยภาคกลาง (หน้า 48) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยจีน ในอดีตจะใช้ภาษาแต้จิ๋วไม่ค่อยใช้ภาษาไทย แต่ในปัจจุบันบางส่วนพูดภาษาไทยเพราะมีอาชีพค้าขายส่วนภาษาดั้งเดิมจะพูดกับคนในครอบครัวหรือคนจีนที่มีเชื้อสายเดียวกัน(หน้า 68-69) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยญวน จะพูดภาษาญวนแต่ปัจจุบันได้ใช้ภาษาพูดเป็นภาษาไทยภาคกลางเกือบทั้งหมด และในอดีตใช้ภาษาลาตินเป็นภาษาเขียน แต่ในปัจจุบันเนื่องจากมีการติดต่อสื่อสารกับคนไทยภาคกลางและมีการสอนเขียนภาษาไทยจึงทำให้ภาษาลาตินสูญสิ้นไป (หน้า 119-120) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยมอญ ในอดีตใช้ภาษามอญในการติดต่อสื่อสาร แต่ปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากภาษาไทยจึงใช้ภาษาไทยเป็นภาษาพูดแต่สำเนียงออกไปทางมอญ - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยมอญ มีตัวเขียนเป็นของตนเอง ด้วยอิทธิพลของภาษาไทยทำให้เขียนภาษาไทยและยึดภาษาไทยเป็นภาษาเขียน (หน้า 135-136) ในอดีตจะรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการรักษาแบบฝังเข็มและการรักษาด้วยเวทย์มนต์ ตลอดจนมีความเชื่อในเรื่องของการรักษาด้วยหมอผี ในปัจจุบัน เมื่อเจ็บป่วยจะไปโรงพยาบาล สถานีอนามัยหรือคลินิก ในอดีต หมอตำแยเป็นผู้ทำคลอด ในปัจจุบันโดยมากจะคลอดที่โรงพยาบาล (หน้า51-52) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ เดิมใช้ไสยศาสตร์ เป่าเสกโดยใช้คาถาอาคมควบคู่กับยาสมุนไพร ปัจจุบันจะเข้ารักษาจากสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลเป็นหลัก (หน้า 91) เรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนเป็นบ้านสมัยใหม่ โดยมากจะเป็นเรือนไม้ มีใต้ถุนสูงสำหรับพักผ่อน (หน้า 90) - กลุ่มชาติพันธุ์ไทยพวน ในอดีตจะรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังมีการรักษาแบบฝังเข็มและมีความเชื่อในเรื่องของการรักษาด้วยหมอผี ปัจจุบันเมื่อเจ็บป่วยจะไปโรงพยาบาล สถานีอนามัยหรือคลินิกเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 104) |
|
|