|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กูย กวย(ส่วย),วิถีครอบครัว,ชุมชน,บุรีรัมย์ |
Author |
สมมาตร์ ผลเกิด |
Title |
วิถีครอบครัวและชุมชนชาติพันธุ์ไทยส่วย บ้านดงกระทิง ตำบลบ้านด่าน อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
194 |
Year |
2538 |
Source |
คณะอนุกรรมการวิจัยวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ |
Abstract |
ในอดีตส่วยบ้านดงกระทิงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีทางความเชื่ออย่างเคร่งครัดจนเกิดเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม แต่ปัจจุบันความสำนึกในการที่จะรักษาชาติพันธุ์กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยรวมเข้ามาพร้อมกับนโยบายการพัฒนาประเทศของภาครัฐและการแข่งขัน เพื่อเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของภาคเอกชน เป็นผลให้กูยต้องเผชิญกับการกลืนทางวัฒนธรรม แปรสภาพเป็นสังคมที่ไร้เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในภาพรวมสำหรับการปรับตัวเข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ในกระแสโลกาภิวัตน์ของส่วยบ้านดงกระทิง สามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดีแม้จะส่งผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตในบางส่วนเปลี่ยนแปลงบ้าง ก็เป็นการปรับเพื่อความดำรงอยู่บนพื้นฐานที่สามารถสืบค้นต้นตอความเป็นมาของประเพณีและพิธีกรรมเหล่านั้นได้ |
|
Focus |
สภาพทั่วไปของชุมชน วิถีครอบครัวและการเปลี่ยนแปลงในกระแสโลกาภิวัตน์ของชาติพันธุ์ไทยส่วย บ้านดงกระทิง ตำบลบ้านด่าน อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากูยอยู่ในกลุ่มภาษาเดียวกับภาษามอญ - เขมร สาขา Katuic ตะวันตกซึ่งเป็นกลุ่มภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก กูย แต่ละถิ่นใช้สำเนียงที่ต่างกัน หากใช้ระบบเสียงมาเป็นเกณฑ์ในการแบ่งอาจแบ่งภาษากูยออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ได้แก่ กลุ่มภาษา กูย (กูย - กูย) และกลุ่มภาษากวย (กูย - กวย) (หน้า 37) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
บรรพบุรุษของส่วยบ้านดงกระทิง อพยพมาจากจังหวัดสุรินทร์ (หน้า26) ในพงศาวดารเมืองละแวกได้กล่าวถึงชนเผ่ากูยว่า "ครั้งหนึ่งกษัตริย์กัมพูชาได้ขอความช่วยเหลือไปยังกษัตริย์กูยให้มาช่วยปราบอริราชศัตรู กษัตริย์กูยได้ยกกองทัพไปช่วยรบจนได้ชัยชนะ ความสัมพันธ์ของอาณาจักรกัมพูชากับอาณาจักรกูยจึงดำเนินไปด้วยไมตรีอันดีสืบต่อเรื่อยมา" (หน้า 30) ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18-20 มีเอกสารหลายเล่มกล่าวถึงอาณาจักรของชนเผ่ากูยว่า ตั้งอยู่ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ตอนใต้ของลาวและตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา โดยอาณาจักรดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับอยุธยาด้วย แต่หลังจากนั้นไม่มีเอกสารใดกล่าวถึงชนเผ่ากูยอีกเลย ในอดีตที่อยู่ของชนเผ่ากูยจะอยู่ทางอีสานใต้ อำนาจรัฐของไทยและเขมรไม่สามารถเข้าไปควบคุมชนเผ่ากูยอย่างเข้มงวด เนื่องจากชนเผ่ากูยจะอยู่ตามป่า ตามภูเขาสูง ชนกลุ่มนี้จึงเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อเมืองใด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2200 อันเป็นปีที่อพยพมาจากเมืองอัตตะปือแสนปางแห่งแคว้นจำปาศักดิ์ ปัจจุบัน กูยอาศัยอยู่ทั่วไปในพื้นที่ต่าง ๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยมากจะตั้งหลักแหล่งอยู่ระหว่างแม่น้ำมูลและสาขากับเทือกเขาพนมดงรัก(หน้า 32-34 ) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานจะอยู่ร่วมกันเป็นกระจุกกลุ่มเครือญาติหรือโคตรตระกูลเดียวกัน (หน้า 9) เรือนของส่วยบ้านดงกระทิงมีสภาพเรียบง่าย ใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง เน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความสวยงาม (หน้า 85) จากสภาพบ้านเรือนปัจจุบันสามารถจำแนกพัฒนาการได้ดังนี้ - กระท่อม เป็นบ้านชั้นเดียวไม่มีใต้ถุนหรือใต้ถุนเตี้ยปูพื้นด้วยไม้ไผ่ผ่าครึ่งตามยาวใช้ค้อนทุบคลี่ออกเป็นแผ่นปูจนเต็ม ฝาบ้านทำจากไม้ขัดแตะใบยางหรือใบพลวง หลังคาจั่วมุงหญ้าคา เข้าไม้ประกอบเป็นตัวเรือนใช้วิธีเจาะรูแล้วตอกลิ่มใช้ตอกไม้ไผ่ เถาวัลย์หรือหวายช่วยยึด และนิยมสร้างยุ้งข้าวคู่กับการสร้างเรือนเพื่อเก็บผลิตผลทางการเกษตร - บ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง เมื่อย้อนหลัง 40 ปีขึ้นไป หลังคาเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วมุงด้วยกระเบื้องไม้หรือสังกะสี หน้าจั่วใช้ไม้ไผ่ขัดแตะหรือไม้กระดานตีปิดป้องกันฝนสาด เสาบ้านทำด้วยไม้ถากเป็นรูปแปดเหลี่ยมหรือเสากลม ใต้ถุนสูงประมาณ 1.50 - 2.00 เมตร ปูพื้นด้วยไม้กระดาน ฝาเรือนบางหลังจะทำจากไม้ไผ่ขัดแตะใบตอง บ้านที่มีฐานะดีจะทำด้วยไม้กระดาน แผนผังเรือนยังคงยึดรูปแบบมาจากบ้านกระท่อมเพียงแต่ขยายส่วนให้กว้างขึ้น องค์ประกอบของเรือนได้แก่ ห้องโล่งหรือห้องเปิง ห้องนอนจะมีตั้งแต่ 2-3 ห้อง ห้องครัว ร้านน้ำ ชานบ้าน และบันไดบ้านจะมีลักษณะคล้ายบันไดลิง ปกติจะอยู่ทางทิศตะวันออก - บ้านแฝดหรือเรือนแฝด เป็นเรือนใต้ถุนสูง โครงสร้างและองค์ประกอบต่าง ๆ มีลักษณะเหมือนบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงสองหลังขนาบกัน ระหว่างชายคาของบ้านทั้งสองทำเป็นรางน้ำ พื้นใต้รางน้ำเป็นชาน - บ้านสองชั้น เป็นบ้านสมัยใหม่มีลักษณะคล้ายบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง ชั้นบนมีฝาไม้กระดานปิดบังอย่างมิดชิด มีหน้าต่างขนาดมาตรฐานสากล หลังคามุงด้วยสังกะสีหรือกระเบื้อง ครอบครัวที่มีฐานะดีจะตีฝ้าเพื่อกันความร้อน ชั้นล่างจะก่อซิเมนต์บล็อกหรืออิฐมอญเป็นผนังบ้าน มีความมั่นคงแข็งแรง มีการทาสีตามสมัยนิยมเพื่อป้องกันเนื้อไม้จากแดดและฝน แผนผังเรือนสมัยใหม่ไม่ยึดรูปแบบอย่างอดีต แต่เน้นทั้งประโยชน์ใช้สอยและความงามควบคู่กัน บ้านชั้นเดียวที่ได้รับความนิยมคือบ้านชั้นเดียวแบบตะวันตกที่เรียกว่า "บ้านทรงสเปน" |
|
Demography |
กูยเยอในอำเภอราศีไศล มีประชากรประมาณ 8,000 คน ปัจจุบันส่วยตั้งถิ่นฐานทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 686 หมู่บ้านใน 4 จังหวัดได้แก่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์และจังหวัดอุบลราชธานี มีประชากรประมาณ 273,570 คน (หน้า 37) บ้านดงกระทิงแบ่งออกเป็น 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านดงกระทิง มีประชากร 757 คน บ้านหนองทับ มีประชากร 711 คนและบ้านโพธิ์ทอง มีประชากร 339 คน (พฤษภาคม 2538) (หน้า 42) |
|
Economy |
ในอดีตเป็นการผลิตเพื่อยังชีพ เพื่ออุปโภคบริโภคภายในครอบครัว ผลผลิตที่เหลือจะนำแจกจ่ายหรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้าน นอกเหนือจากการเพาะปลูกแล้ว ชาวบ้านหนองทับยังมีการเก็บของป่าล่าสัตว์เพื่อยังชีพ รายได้ส่วนใหญ่มาจากการรับจ้างเผาถ่านขาย อาชีพที่ของชาวบ้านดงกระทิงที่สำคัญและปฏิบัติสืบต่อกันมาจากอดีตจนปัจจุบัน ได้แก่ - การทำไร่ การทำนา ในยุคแรกเป็นการทำเพื่อยังชีพ การปลูกพืชผักสวนครัวถือเป็นอาชีพรองซึ่งทำในช่วงว่างเว้นจากการทำไร่ ทำนา - อาชีพรับจ้าง ในระยะแรกการกระทำกิจกรรมใดๆจะไม่มีการการว่าจ้างกันแต่จะใช้วิธีขอแรงที่เรียกว่า "ลงแขก" แต่หลังจากนำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาใช้ การช่วยแรงงานลดน้อยลงแทบจะไม่มีเพราะแต่ละคนมีงานทำในตัวเมืองเข้าออกงานตามเวลาที่สถานประกอบการกำหนดซึ่งเป็นผลพวงจากระบบเศรษฐกิจที่มุ่งแข่งขันกันสร้างฐานะ อาชีพคล้องช้าง ถือเป็นเอกลักษณ์ของส่วย เพื่อมาฝึกชักลากซุงและเป็นฐานะแสดงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของส่วยในอดีต แต่ปัจจุบันไม่สามารถทำได้เนื่องจากช้างมีปริมาณลดลง ความจำเป็นในการใช้ช้างมีน้อยลงเพราะเครื่องจักรเข้ามามีบทบาทมากขึ้น (หน้า 17-23) |
|
Social Organization |
โครงสร้างครอบครัวของส่วยในอดีตเป็นครอบครัวขยาย สมาชิกในครอบครัวมีความผูกพันแน่นแฟ้นจะเคารพในระบบอาวุโสยังไม่มีการวางแผนครอบครัว เป็นสังคมซึ่งต้องใช้แรงงานมากจึงทำให้ครอบครัวมีขนาดใหญ่ โครงสร้างครอบครัวของส่วยบ้านดงกระทิงจำแนกตามประเภทของผู้นำครอบครัวสามารถจำแนกได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ - ครอบครัวที่แม่ฝ่ายหญิงเป็นผู้นำ เกิดจากเมื่อลูกสาวแต่งงานฝ่ายชายจะเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายหญิงในฐานะ "ลูกเขย" - ครอบครัวที่พ่อแม่ฝ่ายชายเป็นผู้นำ เกิดจากครอบครัวฝ่ายชายมีลูกคนเดียว - ส่วนครอบครัวที่มีพ่อเป็นผู้นำ จะเป็นโครงสร้างครอบครัวขนาดเล็ก เรียกว่า "ครอบครัวเดี่ยว" เกิดจากการออกเรือนมาจาก พ่อตา - แม่ยาย หรือพ่อปู่ - แม่ย่า การสืบสายตระกูลผู้ชายเป็นผู้นำและลูกชายเป็นผู้สืบสายตระกูล เพราะลูกชายสามารถทำงานหนักและแบกภาระในการดูแลครอบครัวแทนพ่อได้ (หน้า 64 - 67) |
|
Political Organization |
บ้านดงกระทิง แบ่งเขตการปกครองเพิ่มอีก 2 หมู่บ้านได้แก่หมู่บ้านทองทับ หมู่ที่ 13 และหมู่บ้านโพธิ์งาม หมู่ที่ 15 (หน้า 9) |
|
Belief System |
ความเชื่อทางศาสนาของกูยมีลักษณะผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธกับการนับถือผี (Animism) (หน้า 127) และมีพิธีกรรมสำคัญคือ พิธีกรรมในการคล้องช้าง จะเริ่มที่ศาลประกำเพื่อแจ้งให้ผีประกำหรือครูประกำทราบว่าพวกตนจะออกไปคล้องช้างและขอความคุ้มครอง ดูแลให้แคล้วคลาดจากอันตรายและให้มีโชคลาภกลับมา ความเชื่อเกี่ยวกับการกินอาหารในอดีตและยังยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่น ความเชื่อที่ว่า กินหางปลาไหลจะทำให้เลือดกำเดาไหลไม่หยุด เด็กกินขาไก่ โตขึ้นจะแย่งคู่ครองคนอื่น กินของฝากผู้อื่นจะเป็นคอพอก เป็นต้น (หน้า 25,83) ไทยกวยจะสร้างบ้านไปทางทิศตะวันออกห้ามหันทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่า ทิศตะวันตกเป็นทิศของผีสางหากลูกจะปลูกบ้านใหม่ห้ามสร้างทางทิศใต้ของบ้านหลังเดิม ห้ามปลูกยุ้งข้าวหันหน้าไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตก (หน้า 103) |
|
Education and Socialization |
ปี พ.ศ. 2475 เจ้าอาวาสบ้านดงกระทิงได้สร้างศาลาสำหรับเป็นสถานศึกษา การสอนในระยะแรกประมาณปี พ.ศ. 2475 ไม่มีครูสอนอย่างเป็นทางการ มีพระเป็นผู้อบรมศีลธรรมแก่เยาวชน ราวปี พ.ศ. 2477 มีครูทำการสอนอย่างเป็นรูปธรรมโดยจัดการเรียนการสอนแบบสหศึกษา จนถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ระยะต่อมาทางราชการได้จัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างอาคารเรียนอย่างเป็นทางการ มีครูทำการสอน 2 คน มีนักเรียนเข้าเรียนครั้งแรก จำนวน 140 คน เป็นชาย 99 คนและหญิง 44 คน ปัจจุบันมีนักเรียนจำนวน 349 คน เป็นชาย 170 คน หญิง 179 คนมีครูประจำการ 14 คน (หน้า28) |
|
Health and Medicine |
บ้านดงกระทิงมีสถานีอนามัยเป็นสถานที่รักษาพยาบาลแก่ชาวบ้านในอาการที่ไม่รุนแรงมาก และส่งเสริมป้องกันและให้คำแนะนำในด้านสาธารณะสุขแก่โรงเรียนในพื้นที่ใกล้เคียง (หน้า 28) ในอดีตจะใช้ยาสมุนไพรที่ได้ทั้งจากพืชและสัตว์ควบคู่กับการใช้เวทมนต์คาถาทางไสยศาสตร์รักษาตามความเชื่อของชุมชน (หน้า 113) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เรื่องเกี่ยวบ้านเรือนอยู่อาศัยและพัฒนาการดูได้ในหัวข้อ Settlement Pattern การแต่งกาย หมอช้างที่เข้ามาเซ่นผีประกำต้องนุ่งโสร่งไหมสีเขียว ตองอ่อน ไม่สวมเสื้อ ถือผ้าขาวม้า 2 ผืน ผืนหนึ่งคาดเอวอีกผืนหนึ่งคล้องคอเฉวียงไหล่ (หน้า 25) การแต่งกายในอดีตเป็นไปอย่างเรียบง่าย สีเสื้อผ้าจะไม่ดูฉูดฉาด ในแต่ละช่วงของอายุจะแต่งกายแตกต่างกันออกไป - การแต่งกายของเด็ก เด็กชายนิยมไว้ผมจุกหรือแกละสำหรับคนที่เจ็บป่วยบ่อย หัวโล้นโกนศีรษะป้องกันเหา เด็กชายก่อน วัยเรียนโดยมากจะเปลือยกาย มีผ้าห่มพันกายบ้างในฤดูหนาว พ่อแม่จะเจาะเปลือกหอยแครง หอยเบี้ยหรือเหรียญกษาปณ์ 1 สตางค์ บางคนมีเส้นด้ายสีแดงเป็นเครื่องรางห้อยคอ เด็กหญิงอายุก่อนวัยเรียนทรงผมไม่ต่างจากเด็กชาย การแต่งกายจะมี ตะปิ้งปิดบริเวณอวัยวะเพศ ไม่สวมเสื้อ มีเครื่องประดับเช่นเดียวกับชาย - การแต่งกายของชาย จะไว้ผมรองทรงหรือไว้ผมยาวถึงต้นคอ อยู่บ้านไม่นิยมสวมเสื้อ นุ่งผ้าขาวม้า กางเกงหูรูดหรือกางเกงขาก๊วย มีผ้าขาวม้าคาดเอง ชุดทำงานจะเป็นเสื้อคอกลมผ่าอกแขนยาว สีดำ นุ่งกางเกงหูรูดหรือกางเกงขาก๊วย ใช้ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือโพกหัว ไม่สวมเสื้อขณะทำงานก็มี ปัจจุบันการแต่งกายมีลักษณะเหมือนคนเมืองทุกประการ ชายสูงอายุปกติจะไม่สวมเสื้อแต่จะนุ่งกางเกงหูรูด กางเกงขาก๊วยหรือโสร่ง มีผ้าขาวม้าคาดเอว พาดไหล่หรือโพกศีรษะ บางครั้งจะนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวนั่งทำเครื่องจักสาน ในโอกาสพิเศษ ผู้สูงอายุจะสวมเสื้อคอกลมผ่าอกคล้ายเสื้อกุยเฮง สีขาวหรือสีน้ำเงินใช้ผ้าขาวม้าคาดพุงหรือพาดไหล่ - การแต่งกายของหญิง ในอดีต ไว้ผมยาว สวมเสื้อคอกลมผ่าอกแขนสั้น หรือคอกระเช้าขณะอยู่บ้าน ชุดทำงานจะเป็นเสื้อคอกลมผ่าอกแขนยาวสีดำหรือสีน้ำเงิน นุ่งผ้าถุง ในโอกาสพิเศษจะใส่เสื้อสีต่างๆ หญิงสาวที่มีฐานะดีจะนุ่งผ้ามัดหมี่ ปัจจุบันการแต่งกายของหญิงเปลี่ยนแปลงไปมาก จะแต่งกายแบบคนเมือง หญิงสูงอายุ หลังแต่งงานมีลูกแล้วหนึ่งคนจะนิยมเปลือยกายท่อนบน ไม่สวมเสื้อ บางโอกาสจะใช้สไบกระโจมอกหรือพาดไหล่ นุ่งผ้าถุงดำหรือน้ำเงิน หญิงชราเมื่ออยู่บ้านจะเปลือยกาย ยกเว้นผู้มีฐานะดีจะใส่เสื้อคอกระเช้า ในโอกาสพิเศษจะใส่เสื้อคอกลมผ่าอกแขนยาว นิยมใช้เงินพดด้วงทำกระดุม จะไว้ทรงผมเป็นทรงดอกกระทุ่มปล่อยจอนยาวทั้งสองข้างสำหรับห้อยดอกไม้ ปัจจุบันการแต่งกายของหญิงสูงอายุไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก(หน้า 110 - 113) |
|
Folklore |
นิทาน ภาษิต พังเพยและปริศนาคำทายของไทยกวยสามารถจำแนกเป็นประเภทได้แก่ ภาษิตและคำสอน เป็นวรรณกรรมแบบ มุขปาฐะที่ผู้สูงอายุได้เล่าและสั่งสอนบุตรหลาน ปริศนาคำทาย ชี้ให้เห็นความเป็นอยู่ สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมใกล้ ๆ ตัว และเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ทดลองปัญญา จากผู้ใหญ่มีต่อเด็กหรือจากเด็กต่อเด็ก ปริศนาที่ใช้ทายได้แก่ ปริศนาคำทายเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับคน การกระทำ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พืช ผักผลไม้และคำทายอื่น ๆ (หน้า 44-52) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก กูยมีการอพยพย้ายถิ่นด้วยเหตุผลด้านเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารและอื่นๆเป็นปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดการผสมกลมกลืนทั้งทางด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรมกับกลุ่ม "ไทย - ลาว" และกลุ่ม "ไทย - เขมร" ส่งผลก่อให้เกิดกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกว่า "ส่วย - ลาว" และ "ส่วย - เขมร" (หน้า 37) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลง ชาวบ้านโดยมากต้องออกไปขายแรงงานในตัวเมืองหรือต่างถิ่น ปล่อยให้ผู้สูงอายุอยู่บ้านเลี้ยงเด็กและเลี้ยงสัตว์โดยลำพัง ทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไปมาก (หน้า 21) ปัจจุบัน สภาพทางสังคมของชาวบ้านดงกระทิงถูกกระแสวัฒนธรรมจากสังคมเมืองและวัฒนธรรมตะวันตกจนทำให้ค่านิยมยกย่องคนดี มีคุณธรรมลดลง ค่านิยมใหม่ยกย่องคนมีเงิน ค่านิยมในการสะสมวัตถุว่าเป็นสิ่งที่ควรเอาแบบอย่างมีมากขึ้น คน หนุ่มสาวจะแต่งกายและใช้ภาษากลางมากกว่าภาษาถิ่น ความสัมพันธ์ของคนกับชุมชนเริ่มห่างเหิน ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ เคยปฏิบัติถูกละเลยและสูญหายไปในที่สุด (หน้า 126) - ครอบครัวกับประเพณี ปัจจุบันความร่วมมือในการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับประเพณีหรืองานบุญต่าง ๆ เริ่มเสื่อมลง สมาชิกของ ชุมชนวัยแรงงานต้องออกไปขายแรงงานต่างถิ่น ทำให้ขาดการเชื่อมโยงสืบทอดประเพณีอันดีงามของชุมชน - ครอบครัวกับการจัดการสภาพแวดล้อมชุมชน ไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเพราะทรัพยากรอุดมสมบูรณ์เกินความต้องการ ปัจจุบันจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการทรัพยากรมีเพิ่มมากขึ้น ทรัพยากรบางประเภทถูก ใช้จนหมด ดินและน้ำถูกใช้จนเสื่อมคุณภาพ ปัจจุบันหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกับชุมชนเพื่อวางแผนจัดการ จัดระบบ การใช้ทรัพยากรเพื่อรักษาความสมดุลของสภาพแวดล้อม - ครอบครัวกับกระบวนการอยู่ร่วมกันในชุมชน ในอดีตมีความสมานสามัคคีกันอย่างดีเพราะสมาชิกในชุมชนมีความสัมพันธ์ในลักษณะของเครือญาติเมื่อมีความขัดแย้งในหมู่สมาชิกในชุมชน ผู้อาวุโสหรือผู้นำชุมชนจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ปัจจุบันประชากรเพิ่มขึ้นปัญหาการกระทบกระทั่งกันในหมู่สมาชิกในเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรต่าง ๆ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น |
|
Map/Illustration |
- แผนที่แสดงที่ตั้งชุมชนบ้านดงกระทิง(10) - แผนที่ชุมชนบ้านดงกระทิง(11) - แผนที่แสดงเส้นทางอพยพของส่วย(31) - แผนที่แสดงที่ตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(35) |
|
|