|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูมุสลิม,คนพุทธ,เพศสภาพ,ความสัมพันธ์,บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตก,ภาคใต้ |
Author |
Ryoko Nishii |
Title |
Gender and Religion: Muslim-Buddhist Relationship on the West Coast in Southern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์เอกสารแห่งประเทศไทย หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Total Pages |
10 |
Year |
2542 |
Source |
7 International Conference on Thai Studies (4-8 July,1999). University of Amsterdam, The Netherland |
Abstract |
ความขัดแย้งในบทบาทของผู้หญิงในฐานะศูนย์กลางแห่งศรัทธาและการรักษาพรมแดนความต่างทางศาสนา ทั้งผู้หญิงชาวพุทธและมุสลิมต่างก็มีกิจกรรมการปฏิบัติเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางศาสนา ในขณะที่อีกด้านหนึ่งผู้หญิงก็มีความลื่นไหวสูงข้ามพ้นพรมแดนทางศาสนาง่ายกว่าผู้ชายเมื่อมีการแต่งงานระหว่างศาสนาและพิธีกรรมการบวชมุสลิม เพื่อความเข้าใจในปรากฏการณ์นี้ จึงต้องจำเป็นที่จะรู้ถึงลักษณะเฉพาะที่แน่นอนของความสัมพันธ์ระหว่างเพศสภาพในคนไทยภาคใต้ ความสัมพันธ์ทางเพศสภาพของเพศใดเพศหนึ่งไม่ใช่พื้นฐานที่เกี่ยวโยงกับพรมแดนทางศาสนา ทั้งชาวพุทธและมุสลิมมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเพศสภาพนี้ร่วมกัน ผู้หญิงจะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางศาสนาในชีวิตประจำวันเพื่อความดีงามเพียบพร้อมทางศีลธรรมจรรยา แต่บทบาทของการสงวนรักษาความแตกต่างของพรมแดนทางศาสนาถูกแสดงแทนผ่าน "ภาษา" (ประเพณี) ที่กำหนดให้เป็นบทบาทของผู้ชาย ทั้งชาวพุทธและมุสลิมกลับเก็บรักษาพิธีกรรมที่เข้มข้นให้เป็นบทบาทของผู้ชายในนามของการบวชในผู้ชายชาวพุทธที่เป็นผู้ใหญ่และพิธีเข้าสุหนัด (ขลิบ) ในผู้ชายมุสลิมที่เป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นในการแต่งงานข้ามศาสนาผู้ชายจะมีความเข้มงวดต่อการรักษาอัตลักษณ์ทางศาสนาของกลุ่มมากกว่าผู้หญิง (หน้า 9) นอกจากนี้ จากกรณีศึกษาพบว่า การปฏิบัติตนทางศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอของผู้หญิงในชีวิตประจำวันไม่มีความสัมพันธ์กับการรักษาพรมแดนทางศาสนาของกลุ่ม ทั้งนี้บทบาทของผู้หญิงเป็นระบบที่ครอบครองพื้นที่เฉพาะภายในครัวเรือนที่ไม่ได้ขยายออกไปสู่ภายนอก ซึ่งเป็นระดับของศาสนาที่กลุ่มยึดถือร่วมกันทั้งหมด และผู้หญิงก็ไม่ได้เป็นศูนย์กลางที่อยู่เฉพาะ |
|
Focus |
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเพศสภาพคนพุทธกับมุสลิมในบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกของประเทศไทย |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยพยายามแสดงให้เห็นว่า ในชุมชนที่ศึกษามีปรากฏการณ์ที่ไม่เหมือนกับในชุมชนมุสลิมของชายฝั่งตะวันออกทางใต้สุด(บริเวณปัตตานี ยะลา นาราธิวาส) คือ มีอัตราส่วนการแต่งงานข้ามกลุ่มศาสนาค่อนข้างสูงทำให้มีการเปลี่ยนศาสนาตามคู่สมรส ซึ่งผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนมากกว่าผู้ชายและมุสลิมบางสายตระกูลมีการบวชเป็นพระสงฆ์ ในกรณีของผู้ชายและเป็นชีในกรณีของผู้หญิงอีกด้วย (หน้า 1) ด้วยหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยพยายามอธิบายว่า ผู้หญิงที่เป็นมุสลิมและพุทธต่างก็ถูกมองว่าผูกติดกับบ้าน ส่วนผู้ชายเป็นฝ่ายที่ต้องออกไปข้างนอกและมีอิสระเสรีมากกว่า ผู้หญิงจึงเปรียบเสมือนผู้รักษาศีลธรรมและพรมแดนของกลุ่มและศาสนาในระดับหนึ่ง แต่ในกิจกรรมทางศาสนา ทั้งผู้ชายพุทธและมุสลิมยังเป็นหัวใจสำคัญ (หน้า 7-8) แต่ในทางตรงกันข้ามผู้หญิงก็ใช่ว่าจะถูกกักกันให้อยู่ในพรมแดนเสมอไป โดยเฉพาะในกรณีที่มีการแต่งงานข้ามกลุ่ม ผู้หญิงกลับเป็นฝ่ายที่ต้องข้ามพรมแดนทางศาสนาไปมากกว่าผู้ชาย (หน้า 8) ในความเห็นของผู้วิจัยเพศสภาพอย่างเช่น บทบาทของหญิงก็มีความซับซ้อนและลื่นไหลไปมาตามบริบทสังคม ทำให้ในบางครั้งพรมแดนทางศาสนาและเพศสภาพไม่ทับซ้อนหรือมีความเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจน เพราะในกรณีที่แต่งงานข้ามกลุ่ม ผู้หญิงกลับให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่าและจำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนาตามสามี |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมเชื้อสายมาลายูและคนไทยพุทธ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาการศึกษา 16 เดือน ช่วงปี ค.ศ.1987-1988 หลังจากนั้นแบ่งออกเป็นสามช่วง ช่วงละสองเดือนคือในปี ค.ศ.1989, 1991 และ 1994 (หน้า 1) |
|
History of the Group and Community |
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา พรมแดนระหว่างประเทศสยามและเมืองประเทศราชที่อยู่ทางตอนเหนือของมาเลเซียในปัจจุบันมีความคลุมเครือ และมีการอพยพเคลื่อนย้ายของประชากรอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังเป็นบริเวณชายแดนที่ห่างไกลจากการควบคุมจากศูนย์กลางของการปกครอง เมื่อเวลาผ่านไปบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียจึงมีลักษณะเฉพาะ เนื่องจากอิทธิพลของการผสมผสานทางวัฒธรรมระหว่างมุสลิมและคนไทยพุทธ (หน้า 1) |
|
Demography |
ภาคใต้ของไทยประกอบด้วยประชากรที่นับถือศาสนาอิสลาม 73% และในแต่ละจังหวัดในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบด้วยประชากรที่นับถือศาสนาอิสลาม 60%-80% ในพื้นที่ทางชายฝั่งตะวันตกทางภาคใต้ของไทย หรือจังหวัดสตูลเป็นกลุ่มมุสลิมพูดภาษาไทยและไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง พื้นที่ที่ทำการศึกษาเป็นหมู่บ้านที่อยู่ด้านชายฝั่งตะวันตกทางภาคใต้ของไทย เป็นหมู่บ้านที่มีประชากรนับถือศาสนาพุทธและอิสลามเป็นจำนวนเท่ากันและพูดภาษาท้องถิ่นภาคใต้เหมือนกัน (หน้า 2) |
|
Social Organization |
บทบาทของผู้หญิงในชีวิตประจำวันทั้งของมุสลิมและชาวพุทธจะเชื่อมโยงกับภายในหรือพื้นที่ของบ้านและครอบครัว ในขณะที่ผู้ชายจะเป็นเพศที่ออกไปทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงจะเป็นศูนย์กลางที่ถูกจำกัดให้อยู่กับพื้นที่และมีสามีกับลูกล้อมรอบ เนื่องจากศีลธรรมจรรยาเรื่องเพศผู้หญิงเป็นเพศที่เสื่อมเสียง่าย เมื่อร่างกายและศีลธรรมจรรยาในเรื่องเพศของผู้หญิงถูกจำกัดควบคุมคือศูนย์กลางของพรมแดนและประเพณีของกลุ่ม ศีลธรรมจรรยาของผู้หญิงถูกป้องกันไว้ด้วยอัตตลักษณ์และความต่อเนื่องของกลุ่ม และจริยธรรมของผู้หญิงก็ปกป้องพรมแดนทางศาสนาเอาไว้ คนไทยพุทธมักจะอ้างถึงบทบาทของผู้หญิงกับการเป็น "ผู้พิทักษ์" แห่งศรัทธา (gate keeper of the fait) ศาสนาพุทธจะยึดการปฏิบัติที่อยู่ในศีลธรรมความดีงามของผู้หญิงเป็นศูนย์กลาง แต่จะเน้นให้ผู้ชายซึ่งบวชเป็นพระเป็นศูนย์กลางแห่งศาสนา (หน้า 7) |
|
Belief System |
บทบาทเพศสภาพในพิธีกรรมทางศาสนา พิธีกรรมการบรรพชาในมุสลิมของหมู่บ้านกรณีศึกษา แม้ว่าจะบวชได้ทั้งหญิงและชาย แต่ส่วนมากจะเป็นเพศหญิง โดยมีเหตุผลการบวชที่แท้จริงคือ เนื่องจากแม่เคยบวชมาก่อน ลูกจึงต้องปฏิบัติตามรับช่วงสืบต่อ ชาวบ้านเรียกสายตระกูลนี้ว่า "ตระกูลพุทธ" (trakun buat) หรือ "ชาวพุทธ" (chwa buat) แม้ว่าสายตระกูลเหล่านี้จะไม่สามารถสืบย้อนถึงบรรพบุรุษคนพุทธได้ แต่การบวชนี้ก็เป็นการยอมรับว่าเป็นพันธะสัญญาที่ต้องทำให้ลุล่วง ซึ่งการบวชชีนี้ถือเป็นวิถีธรรมเนียมปฏิบัติของผู้หญิงชาวพุทธและมุสลิม ธรรมเนียมนี้เป็นการสืบทอดโดยผู้หญิงและเป็นการปฏิบัติที่อยู่เหนือพรมแดนทางศาสนา ในทางตรงกันข้ามผู้ชายชาวพุทธที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจะบวชพระโดยทั่วไป แต่ไม่เคยมีปรากฏผู้ชายมุสลิมที่เป็นผู้ใหญ่บวชเป็นพระ นอกจากการบวชเด็กชายมุสลิมเป็นเณรเพื่อแก้บน แต่เมื่อเด็กชายเติบโตขึ้นก็จะเข้าพิธีสุหนัด (ขลิบ) เพื่อเป็นมุสลิม พิธีเข้าสุหนัตนั้นสำหรับมุสลิมคือการเปลี่ยนสถานภาพจากเด็กเป็นผู้ใหญ่และถือเป็นมุสลิมโดยสมบูรณ์ ดังนั้นก่อนเข้าพิธีสุหนัตเพื่อเป็นมุสลิมที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เด็กจะต้องตัดขาดจากสายตระกูลชาวพุทธก่อน (หน้า 4) การปฏิบัติทางศาสนกิจอิสลาม มุสลิมในหมู่บ้านกรณีศึกษาไม่เคร่งครัดกับการปฏิบัติ ละหมาด 5 เวลา และละหมาดที่มัสยิดในวันศุกร์ จากสถิติในปี 1994 ผู้ที่ปฏิบัติศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอเป็นเพศชาย 14% เพศหญิง 33% ในทางตรงกันข้ามสถิติของผู้ที่ไม่ปฏิบัติทางศาสนกิจ เป็นชาย 77% เป็นหญิง 55% ในช่วงเดือนถือศีลอดในเดือนรอมฏอน มีผู้ชายถือศีลอด 20% ผู้หญิง 41% ในขณะที่คนที่ไม่เคยถือศีลอดเลยเป็นชาย 27% เป็นเพศหญิง 4% การให้คำจำกัดความสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามหรือผู้ที่เป็นมุสลิม คือ การไม่ตักบาตร ไม่กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล และไม่สามารถไหว้พระ ถึงแม้มุสลิมในหมู่บ้านจะรับประทานหมูและดื่มเหล้า แต่ก็ยังเป็นมุสลิม ซึ่งชี้ให้เห็นความต่างระหว่างสองศาสนาในเรื่องการปฏิบัติทางศาสนาที่ต่างกัน (หน้า 5) การปฏิบัติทางศาสนกิจของชาวพุทธ เพศหญิงจะผูกพันกับการปฏิบัติศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอ วันสำคัญทางศาสนาของชาวพุทธในภาคใต้คือเดือนสิบซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนเพ็ญ (พฤศจิกายน) และมีสองครั้ง ครั้งแรกคือวันพระจันทร์เต็มดวงในเดือนสิบ และหลังจากนั้นอีก 15 วัน พิธีกรรมทางศาสนานี้เป็นการทำบุญอุทิศให้กับดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว พิธีกรรมนี้ในช่วงปี ค.ศ.1987 และ 1988 เพศหญิงจะนั่งในวัด ส่วนผู้ชายจะนั่งอยู่ด้านนอกเพื่อมาพบปะพูดคุยกัน โดยในการทำบุญกุศลผู้หญิงและเด็กจะใส่บาตรพระที่ออกบิณฑบาตในตอนเช้ามากกว่าชาย ผู้ชายจะบวชพระเพื่อทำบุญกุศล แม้ว่าผู้หญิงจะบวชเป็นชีได้แต่ก็ได้บุญไม่เท่าเทียมกับการบวชพระ (หน้า 6) การบรรพชา/บวชของมุสลิมในหมู่บ้านกรณีศึกษาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพื่อแก้บนหรือขอขมาแก่วิญญาณบรรพบุรุษชาวพุทธ มิใช่การบวชเพื่อความบริสุทธิ์ดีงามทางศีลธรรมจรรยา เนื่องจากเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยของลูกหลานเกิดจากวิญญาณบรรพบุรุษไทยพุทธตามจองเวร จึงมีการร้องขอไม่ให้ทำร้ายและต้องมีการบวชเพื่อตอบแทน นอกจากนี้เพื่อเป็นการตัดขาดจากสายตระกูลชาวไทยพุทธ ธรรมเนียมนี้ปฏิบัติสืบเนื่องมาอย่างน้อย 60 ปี โดยการบวชจะปฏิบัติตามขั้นตอนพิธีแบบพุทธศาสนาคือโกนผม ผู้ชายห่มจีวรสีเหลือง ผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาว หลังจากบวชแล้วจะอยู่หนึ่งคืนที่วัด จากนั้น จะกลับมาใช้ชีวิตเป็นมุสลิมในชีวิตประจำตามเดิม โดยไม่ต้องผ่านพิธีกรรมเพื่อกลับมาเป็นมุสลิมอีกครั้งและไม่ถือว่าบาป สำหรับในครอบครัวมุสลิมกำหนดให้ลูกหนึ่งคนบวชต่อหนึ่งครอบครัว โดยจะเป็นลูกคนโต จากกรณี ศึกษาชาวบ้านมุสลิม 15 รายที่เคยผ่านการบวชมาแล้ว มีเพียง 4 รายที่สามารถสืบย้อนกลับไปยังบรรพบุรุษคนไทยพุทธได้ (หน้า 5) ภาษาและศาสนา ในพื้นที่หมู่บ้านกรณีศึกษา ทั้งสองคำคือคำว่า "ภาษา" และ "ศาสนา" หมายถึง ศาสนาทั้งสองคำ คำแรกคือศาสนาจะใช้อ้างถึงบุญ บาป ผลกรรมและการเก็บเกี่ยวผลจากการทำบุญและศาสนาเป็นเครื่องยกระดับจิตใจ เป็นความคิดที่มีร่วมกันในชาวพุทธและมุสลิม ส่วนคำที่สองคือ ภาษา โดยทั่วไปคำว่าภาษาจะหมายถึงภาษาที่ใช้ในการสื่อสารหรือสำเนียงในมาตรฐานไทย ในพื้นที่กรณีศึกษาภาษาใช้อ้างถึงการปฏิบัติที่มีความเฉพาะแตกต่างกันในแต่ละศาสนา ใช้ในความหมายของประเพณี การกระทำ การแสดงออกโดยการปฏิบัติ นอกจากนี้ยังมีการเรียกกำหนดบ่งชี้ "ภาษาแขก" และ "ภาษาไทย" ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในการปฏิบัติทางศาสนกิจที่ต่างกัน (หน้า 6) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในหมู่บ้านกรณีศึกษามีอัตราการแต่งงานระหว่างคนไทยพุทธและมุสลิมสูงถึง 20% เพราะเมื่อเทียบกับพื้นที่และงานศึกษาที่เคยมีมาก่อน เช่น งานวิจัยของฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ ในปัตตานีพบว่า มีการแต่งงานระหว่างไทยพุทธและมุสลิมน้อยมากและงานของ Wizeler ก็พบว่า มี 3.1% ในกลันตัน ซึ่งอัตราการแต่งงานระหว่างคนไทยพุทธและมุสลิมในหมู่บ้านนี้ 29.3% แต่งงานเนื่องจากความรัก ส่วนอัตราการแต่งงานระหว่างคนไทยพุทธและพุทธ กับมุสลิมและมุสลิมเท่ากับ 73.8% และการแต่งงานแบบหนีตามกันไปคือการที่อีกฝ่ายย้ายเข้าไปอยู่กินในครัวเรือนของอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยหรือย้ายไปสร้างครอบครัวใหม่ด้วยกันการแต่งงานประเภทนี้ภายหลังจะได้การยินยอมจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย และอุดมการณ์ความคิดของของชาวบ้านในหมู่บ้านเชื่อว่าเมื่อมีการแต่งงานระหว่างคนไทยพุทธและมุสลิมแล้ว คู่สามีภรรยาจะต้องเปลี่ยนศาสนาให้มานับถือศาสนาเดียวกัน ซึ่งผู้หญิงมีแน้วโน้มในการเปลี่ยนศาสนามากกว่าผู้ชายเท่าตัว ซึ่งการหนีตามกันไปนี้จะเกิดขึ้นระหว่างคู่สมรสไทยพุทธและมุสลิม 39.4% และทิศทางการเปลี่ยนศาสนาจากกรณีศึกษามี 16 รายเปลี่ยนจากศาสนาพุทธมาเป็นอิสลาม 19 กรณีเปลี่ยนจากศาสนาพุทธมาเป็นอิสลาม และ 2 กรณีที่คู่บ่าวสาวต่างคนต่างเปลี่ยนมานับถือศาสนาของอีกฝ่าย ซึ่งคู่สมรสยังคงติดต่อมีความสัมพันธ์กับครอบครัวเดิมซึ่งก็คือพ่อแม่ของตนเอง โดยการเปลี่ยนศาสนาจากอิสลามมาเป็นพุทธจะไม่พบในพื้นที่อื่นเลยเพราะตามหลักอิสลามถือว่าบาป(หน้า 2) สำนวนท้องถิ่นที่ใช้เรียกผู้ชายคนพุทธแต่งงานกับผู้หญิงมุสลิมคือ "เข้าแขกเอาเมีย" "เข้าแขก" หมายถึงการต้องผ่านพิธีกรรมจากคนพุทธเข้ามาเป็นมุสลิม ในขณะที่มุสลิมเปลี่ยนเป็นพุทธไม่มีพิธีกรรมใด และไม่มีสำนวนเรียกผู้หญิงชาวพุทธที่เปลี่ยนเป็นมุสลิม หรือเรียกมุสลิมทั้งสองเพศเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ (หน้า 3) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|