|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,ศาสนา,วัฒนธรรม,การตั้งถิ่นฐาน,กรุงเทพมหานคร |
Author |
สมาน ธีระวัฒน์ |
Title |
การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยมุสลิมในกรุงเทพมหานคร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
189 |
Year |
2530 |
Source |
หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาภูมิศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายศึกษาถึงการตั้งถิ่นฐานของไทยมุสลิมทั้งในด้านที่ตั้ง ขนาด การกระจาย ตลอดจนปัจจัยซึ่งมีผลต่อรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสำคัญของศาสนาอิสลาม มัสยิด ต่อการตั้งถิ่นฐานของไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ รวมทั้งวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ของชุมชนไทยมุสลิมกับพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ มักตั้งถิ่นฐานรวมตัวกันอาศัยในชุมชนเฉพาะของตนเองหรือที่เรียกว่าละแวก ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตแบบเดียวกัน ทั้งในด้านเชื้อสาย ความเชื่อ และองค์ประกอบด้านวัฒนธรรมอื่นๆ โดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางของการประกอบพิธีทางศาสนา เป็นศูนย์รวมจิตใจของสังคมไทยมุสลิมในชุมชนนั้น ๆ การอาศัยอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน มีวีถีชีวิตแบบเดียวกัน ทำให้ไทยมุสลิมมักจะคบหาสมาคม และพึ่งพาอาศัยระหว่างคนกลุ่มของตนมากกว่ากับกลุ่มคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไทยมุสลิมซึ่งอาศัยในชุมชนแถบชานเมืองชั้นนอกมีโอกาสสัมผัสกับสังคมอื่นน้อยกว่าไทยมุสลิมในเขตชั้นใน ซึ่งมีโอกาสติดต่อกับสังคมภายนอกมากกว่า |
|
Focus |
ปัจจัยด้านวัฒนธรรมทางเชื้อชาติและศาสนาอิสลามของไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคมเมืองกรุงเทพฯ มีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐานด้านภูมิศาสตร์ กายภาพ ความสัมพันธ์ กิจกรรมต่าง ๆ ที่มีต่อพื้นที่ภายในชุมชนที่มีความเฉพาะ และกิจกรรม ความสัมพันธ์ของคนภายในชุมชนกับชุมชนอื่น ๆ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้แนวคิด "ชุมชน" (Community) ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ใน "ละแวก" ที่เป็นพื้นที่เล็กส่วนหนึ่งในเมือง และมี "อารมณ์ความรู้สึกผูกพันร่วมกัน" รวมทั้งที่ "มีปฏิสัมพันธ์กัน" (หน้า11) มาพิจารณาการตั้งถิ่นฐานของไทย-มุสลิมในบริบทของ กรุงเทพมหานคร และชี้ให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับมัสยิดซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนซึ่งมุสลิมอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มโดยเฉพาะ (หน้า 539,160) และด้วยการวิเคราะห์ในแนว "Nearest- Neighbor Analysis" (หน้า11-14) ซึ่งเป็นการประยุกต์วิเคราะห์การกระจายตัวและการกระจุกตัวของละแวกตามหลักของ Meyer and Huggett (1980: 30) พบว่า ชุมชนไทย-มุสลิมทั้งในเขตชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอกของกรุงเทพฯ มีลักษณะการกระจายแบบสุ่ม (Random Distribution) คือ กระจายแบบสม่ำเสมอ (ดูจากหน้า 13) แต่ไม่เป็นแบบแผนชัดเจนอย่างแบบ Uniform Distribution |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาอาหรับใช้ในการเรียนการสอนศาสนาและประกอบศาสนกิจตามพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและใช้ภาษาไทยสื่อสารในชีวิตประจำวัน (หน้า 128-129) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ละแวกการตั้งถิ่นฐานของไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ สะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์ และความเป็นมาของบรรพบุรุษเชื้อสายมุสลิมกลุ่มต่าง ๆ และความยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีโดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ดังนี้ 1) สายที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวเปอร์เซีย และอพยพมากรุงเทพฯ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.2310) เสียกรุงครั้งที่ 2 (พ.ศ.2360) ตั้งหลักแหล่งกระจัดกระจายตามริมคลองบางหลวง บางกอกใหญ่ บางกอกน้อย รองเมือง สุริวงศ์ มีมัสยิดสองแห่งคือ มัสยิดต้นสนและมัสยิดบางหลวง 2) สายที่มีบรรพบุรุษเป็นจาม/เขมร ซึ่งเป็นทหารอาสาสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้อพยพเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ สมัยปลายอยุธยาคือกลุ่มมุสลิมบริเวณหลังตลาดเจริญผล ถนนพระรามหก ซอยกิ่งเพชร ชุมชนมัสยิดบ้านครัวกลาง และบ้านครัวตะวันตก 3) สายที่มีบรรพบุรุษจากเมืองปัตตานี อพยพเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตั้งถิ่นฐานรอบชานกรุง เช่น สี่แยกบ้านแขก บางคอแหลม ยานนาวา และอื่น ๆ เป็นกลุ่มที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม 4) สายที่มีบรรพบุรุษมาจากประเทศอินโดนีเซีย เข้าประเทศไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งโปรดให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มของชุมชนมุสลิมที่คลองแสนแสบพญาไท หรือที่เรียกว่า "หมู่บ้านมักกะสัน" บางส่วนตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณชุมชนมัสยิดยะวา เขตยานนาวา และชุมชนมัสยิดอินโดนีเซีย แขวงลุมพินี ปทุมวัน 5) สายที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวอินเดีย มาจากประเทศปากีสถาน อินเดียและอัฟกานิสถาน เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเพื่อประกอบอาชีพค้าขาย ในระยะหลังๆ กลุ่มมุสลิมนี้มีภูมิลำเนาบริเวณ ถนนบำรุงเมือง แถบสะพานช้างโรงสี วัดสัมพันธวงศ์ และถนน สีลม เขตบางรัก (หน้า 31-36) |
|
Settlement Pattern |
รูปแบบการกระจายตัวของชุมชนไทยมุสลิมเป็นไปตามการกระจายตัวของมัสยิด อัตราการเพิ่มขึ้นของมัสยิดหมายถึงการเพิ่มขึ้นของชุมชนไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ เนื่องจากมัสยิดเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีทางศาสนาของชุมชน มัสยิดส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ โดยมีจำนวนมากตามลำดับคือ ในเขตหนองจอก พระโขนง มีนบุรี และเขตบางกะปิ การกระจายตัวพบว่ามัสยิดตั้งอยู่ไกลจากจุดศูนย์กลางของกรุงเทพมหานคร 10 กิโลเมตร การตั้งถิ่นฐานกรุงเทพฯเขตชั้นในเป็นกลุ่มไทยมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียและเขมร ส่วนกรุงเทพฯชั้นกลางและชั้นนอกเป็นไทยมุสลิมที่อพยพมาจากปัตตานี (หน้า 157) การใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณพื้นที่มัสยิดในกรุงเทพฯ จะแบ่งออกเป็นพื้นที่เพื่อบริการทางสังคมคือ 1) สุสาน เพื่อความสะดวกในหลักการปฏิบัติประกอบพิธีศพของมุสลิม 2) โรงเรียน เนื่องจากมัสยิดมีบทบาทเป็นศูนย์กลางในการให้ความรู้ทางศาสนาและวิชาการอื่น ๆ โรงเรียนในชุมชนมุสลิมจึงมีโรงเรียนสอนศาสนา สอนเด็กนักเรียนในช่วงเวลาเย็นหลังเลิกเรียนวิชาสามัญ โรงเรียนราษฏร์และโรงเรียนรัฐบาล 3) ที่ดินจัดเก็บผลประโยชน์ที่ดินบริเวณรอบมัสยิด เป็นพื้นที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและมีสัปปุรุษเข้าปลูกบ้านพักอาศัยโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า และสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้เช่าเพื่อการประกอบอาชีพเช่น ร้านค้า ไร่นา จึงเก็บผลประโยชน์เพื่อนำรายได้ไปใช้ประโยชน์ต่อศาสนาของมัสยิดในกรุงเทพฯ (หน้า 79-85) |
|
Demography |
การย้ายถิ่น : การย้ายถิ่นของชุมชนไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ จะย้ายจากเขตชั้นในไปสู่เขตชั้นกลางและเขตชั้นนอกของกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งเป็นการย้ายจากชุมชนที่อยู่ในเขตเดียวกัน อันเนื่องจากการสมรสและย้ายไปอยู่กับญาติ การย้ายถิ่นมักจะอยู่ในระหว่างชุมชนไทยมุสลิมกลุ่มที่มีบรรพบุรุษเชื้อสายเดียวกัน (หน้า 131) ประชากรผู้นับถือศาสนาอิสลามในประเทศไทยมีจำนวน 2,371,151 คน หรือร้อยละ 4.70 ของทั้งประเทศ ถือเป็นศาสนาที่มีจำนวนคนนับถือมากรองลงมาจากศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ (กรรมการศาสนา 2527:13) ส่วนใหญ่ของผู้นับถือศาสนาอิสลามจำนวนกว่าล้านคน มีถิ่นฐานอยู่ใน 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี นาราธิวาส ยะลา และสตูล นอกนั้นกระจายอยู่ในภาคอื่น ๆ โดยมีไทยมุสลิมอยู่เกือบทุกจังหวัด ส่วนกรุงเทพมหานครซึ่งมีโครงสร้างแบบชุมชนเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศ มีผู้นับถือศาสนาอิสลามจำนวน 206,987 คน หรือประมาณร้อยละ 4.00 จากประชากรทั้งหมดในกรุงเทพฯ จำนวน 5,174,682 คน (กรมการศาสนา 2527 : 395) (หน้า 37) ประชากรกลุ่มตัวอย่าง : ข้อมูลประชากรที่เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวิเคราะห์มาจากการสำรวจสัปปุรุษที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 21 ชุมชน จากเขตชั้นใน 6 ชุมชน ชั้นกลาง 7 ชุมชน และชั้นนอก 8 ชุมชน ชุมชนละ 12 ครัวเรือน รวมจำนวน 72 ครัวเรือนในเขตชั้นใน 84 ครัวเรือนในเขตชั้นกลาง และ 94 ครัวเรือนในเขตชั้นนอก ไทยมุสลิมที่ตอบแบบสอบถามจำนวน 250 ครัวเรือน ในชุมชนไทยมุสลิมกรุงเทพมหานคร ข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์ อิหม่าม 12 คน กรรมการมัสยิด 21 คน และสัปปุรุษ 217 คน รวม 250 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลจากผู้ที่มีบทบาทและมีส่วนใกล้ชิดในวงการศาสนาผู้สัมภาษณ์จึงเลือกบุคคลที่เป็นชายมากกว่าหญิง การเก็บรวบรวมข้อมูลจะได้จากเพศชายมากกว่า กล่าวคือมีเพศชายประมาณสองในสาม หรือจำนวน 173 คน ส่วนหนึ่งในสาม เป็นเพศหญิง หรือจำนวน 77 คน นอกจากนี้ ผู้สัมภาษณ์เจาะจงสัมภาษณ์หัวหน้าครัวเรือน หรือบุคคลที่มีอายุมาก ฉะนั้น ไทยมุสลิมที่เป็นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จึงอยู่ในกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 30 ปี โดยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 31-45 ปี ซึ่งมีร้อยละ 34.4 ผู้มีอายุอยู่ระหว่าง 45-60 ปี มีร้อยละ 29.2 รวมทั้งผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี อีกร้อยละ 25.2 ของกลุ่มตัวอย่าง (ตารางที่ 5.4) ส่วนสถานภาพสมรสของผู้ตอบแบบสอบถามพบว่าร้อยละ 80 มีสถานภาพเป็นผู้สมรส ผู้ที่เป็นโสดมีร้อยละ 12.4 และร้อยละ 7.6 ตามลำดับ (หน้า 110-111) |
|
Economy |
อาชีพของไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ เป็นเจ้าของกิจการร้อยละ 14.8 รับจ้างร้อยละ 22.8 เป็นแรงงานภาคเกษตรกรรม โรงงาน ก่อสร้าง และลูกจ้างเอกชน โดยจะพบมากในกรุงเทพฯเขตชั้นกลางและชั้นนอก รับข้าราชการและทำงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 14.4 อยู่ในเขตชั้นในและชั้นนอก ผู้มีรายได้ไม่เกิน 4,000 บาทต่อเดือนมีประมาณร้อยละ 78 ของกลุ่มตัวอย่าง (หน้า 115) กล่าวได้ว่า ประชากรที่เป็นตัวอย่างส่วนใหญ่ในชุมชน หรืออยู่ใกล้ศูนย์กลางซึ่งเป็นมัสยิดมักมีฐานะยากจน อาจเป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งของผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมสูงกว่า มีการย้ายออกจากชุมชนของตนไปอยู่อาศัยในที่ห่างออกไป (ดูหน้า 116) การซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะด้านการบริโภคในคัมภีร์อัลกุรอานให้เลือกรับประทานอาหารที่ชอบธรรม ทำให้ไทยมุสลิมนิยมซื้ออาหารสดสำหรับบริโภคจากมุสลิมด้วยกัน ตลาดสดที่สำคัญคือ ตลาดบางกะปิ ตลาดพระโขนง มีนบุรี หนองจอก วงเวียนใหญ่ การซื้ออาหารปรุงสำเร็จ มุสลิมส่วนใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของตัวอย่างศึกษาปรุงอาหารสำเร็จภายในครัวเรือน หนึ่งในสามซื้ออาหารปรุงเสร็จแล้วจากร้านอาหารภายในชุมชน และร้อยละ 90 ซื้อสินค้าเครื่องใช้จากภายนอกชุมชน (หน้า 155) |
|
Belief System |
วัฒนธรรมทางศาสนาที่สำคัญคือ การละหมาดของสัปปุรุษให้ครบวันละ 5 เวลาและถึงวันศุกร์ต้องไปประกอบพิธีละหมาดที่มัสยิด (หน้า 141) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะของบ้านที่พักอาศัยเป็นบ้านเดี่ยวสร้างด้วยวัสดุไม้มีสามลักษณะคือ 1. บ้านชั้นเดียวติดดิน มีโครงสร้างง่าย ๆ ประกอบด้วยห้องโถงใช้เป็นห้องเอนกประสงค์ มีบริเวณเล็ก ๆ สำหรับประกอบอาหารมีสุขาภายในบ้าน เป็นบ้านที่พบในกรุงเทพฯ เขตชั้นในที่มีปัญหาความหนาแน่นของการใช้ที่ดิน 2. บ้านเดี่ยวชั้นเดียวใต้ถุนโล่ง ลักษณะเหมือนบ้านชั้นเดียวติดดินแต่ยกพื้นให้สูงขึ้นใช้ใต้ถุนเป็นส่วนเอนกประสงค์ บ้านประเภทนี้พบมากในกรุงเทพฯ เขตชั้นกลางและชั้นนอก 3. บ้านสองชั้นเป็นบ้านที่ต่อเติมจากแบบที่สอง ทั้งนี้ภายในบ้านทั้งสามลักษณะจะมีสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลามในครัวเรือนคือ ภาพอักษรอาหรับ สัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวกับดาว (หน้า 124-127) - สถาปัตยกรรมสุเหร่าหรือมัสยิดจะสร้างหอโดมตามศิลปกรรมแบบอาหรับ แต่จะมีลักษณะขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของชุมชนในท้องถิ่นนั้น ๆ - ในเรื่องการแต่งกาย ผู้หญิงสวมเสื้อผ้าปกปิดทุกส่วนยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ ผู้ชายสวมหมวก นุ่งผ้าโสร่ง |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในชีวิตประจำวันไทยมุสลิมในกรุงเทพฯ มีการติดต่อสมาคมกับคนไทยที่นับถือศาสนาอื่น ๆ โดยเฉพาะคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ เนื่องจากความจำเป็นในการประกอบอาชีพ การจับจ่ายซื้อของเครื่องใช้ เป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมสถาบันศึกษา อย่างไรก็ตาม ไทยมุสลิมมีการรวมกลุ่มระหว่างกันอย่างแน่นแฟ้นภายในชุมชน โดยมีลักษณะและวิถีชีวิตของมุสลิมอย่างเคร่งครัด ในขณะที่สามารถเข้ากับสังคมส่วนอื่น โดยเฉพาะสังคมไทยพุทธได้อย่างดี การแต่งงานและเลือกคู่ครองระหว่างไทยมุสลิมกับผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ตัวอย่างชุมชนที่ศึกษามีร้อยละ 44 มีญาติสมรสกับบุคคลที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามมาก่อน แต่ต้องให้เข้ามาเป็นมุสลิมด้วยความศรัทธาก่อนและปฏิบัติตามแนวทางของศาสนาอิสลาม (หน้า 149-154) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|