|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,บทบาทด้านเศรษฐกิจ,รัตนโกสินทร์,ภาคกลาง,ภาคใต้ |
Author |
รัชนี สาดเปรม |
Title |
บทบาทของชาวมุสลิมในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2325-2453 |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
223 |
Year |
2521 |
Source |
หลักสูตรอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
มุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนียม และประเพณีแตกต่างจากชนกลุ่มอื่นของประเทศไทย มุสลิมเข้า มาติดต่อกับไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย และเข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในสมัยอยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ด้านสังคมมุสลิมเป็นคนไทยพวกหนึ่งที่นับถือและปฏิบัติตนตามหลักศาสนาอิสลาม ด้านเศรษฐกิจมุสลิมเป็นที่รู้จักในฐานะพ่อค้า นักเดินเรือ ซึ่งปรากฏหลักฐานมาโดยตลอดว่าตำแหน่งพระยาจุฬาราชมนตรีที่ทำหน้าที่ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาตินั้น เป็นข้าราชการมุสลิมซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงบทบาทของมุสลิมในด้านเศรษฐกิจของ บทบาทของมุสลิมเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้นใน ด้านการเมือง เพราะปรากฏว่าเคยมีมุสลิมรับราชการเป็นถึงสมุหนายกอัครมหาเสนาบดีในสมัยอยุธยา เป็นการบ่งบ่งบอกว่ามุสลิมเคยเข้ามาบริหารประเทศในตำแหน่งสูงเทียบเท่านายกรัฐมนตรีในสมัยปัจจุบัน นอกกจากนี้ ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญทางจุดยุทธศาสตร์ ดังนั้น บทบาทของมุสลิมจึงน่าสนใจมากไม่แพ้ชนกลุ่มน้อย อื่น ๆ เพราะบทบาททุก ๆ ด้านเกิดขึ้นมาเป็นเวลายาวนานติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน (หน้า บทนำ, 1-2) |
|
Focus |
ศึกษาบทบาทของมุสลิมในด้าน สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยอาศัยพื้นฐานด้านบทบาทของมุสลิมในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรี ในระหว่าง พ.ศ. 2325-2453 เริ่มตั้งแต่การเข้ามาของมุสลิมแต่ละพวก ลักษณะความเป็นอยู่ในสังคม รวมถึงกฎข้อปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม และอิทธิพลของมุสลิมที่มีต่อสังคมไทย ศึกษาผ่านมุสลิมในภาคกลางและภาคใต้ (หน้า 2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2325-2453 (หน้า ง) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในช่วงที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชขยายอำนาจลงมายังเมืองต่าง ๆ บนแหลมมลายู ศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอิทธิพลอยู่ก่อนแล้ว มีการพบหลักฐานว่ามีมุสลิมเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย มุสลิมได้นำศาสนาเข้ามาผ่านทางการค้าขาย พร้อมทั้งเผยแพร่ถ่ายทอดให้ชาวพื้นเมือง และบางส่วนยังอพยพมาตั้งถิ่นฐานในบริเวรนี้อย่างถาวรด้วย จึงกล่าวได้ว่าไทยได้ติดต่อกับมุสลิมแถบแหลมมลายูในช่วงสมัยสุโขทัย ในสมัยต่อมาคือ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีได้มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นจำนวนมา แต่ละชนชาติมีความประสงค์แตกต่างกันออกไป บ้างก็เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ บ้างก็ต้องการเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทย ในจำนวน นั้นมีชนชาติที่นับถือศาสนาอิสลามเดินทางเข้ามาด้วย ซึ่งมาจากหลายชาติ เช่น เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย มลายู ชวาและจาม มุสลิมเหล่านี้มีจุดประสงค์สำคัญของการเข้ามาก็เพื่อเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้ากับประเทศไทย นอกจากนี้ มุสลิมบางกลุ่มยังแสวงหาผลประโยชน์ทางด้านการเมืองด้วย ดังจะเห็นได้จากมุสลิมได้รับตำแหน่งสูงๆ ในระบบราชการของ ไทย ในสมัยกรุงธนบุรีมุสลิมยังคงเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องในวงราชการเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา แต่ขุนนางมุสลิมในสมัยนี้ไม่เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมากนัก ทั้งนี้เพราะพระองค์ไม่ทรงสนับสนุนศาสนาอื่นที่เข้ามาเผยแพร่ในเมืองไทย เนื่องจากพระองค์เลื่อมใสในพุทธศาสนามาก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้มุสลิมหรือชาวต่างชาติอื่น ๆ ต่างไม่ประสบผลสำเร็จในการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในกรุงธนบุรี (หน้า 1-45) |
|
Settlement Pattern |
ตั้งแต่สมัยอยุธยา ธนบุรี จนมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีมุสลิมพวกต่างๆ เข้ามามีบทบาทหลายด้าน มุสลิมพวกแรกอยู่ในเมืองไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและธนบุรีจัดเป็นพวกที่เก่าแก่ที่สุด โดยอพยพหลบภัยมาตามลำน้ำหลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว ได้มาตั้งหลักแหล่งกระจัดกระจายอยู่ตามฝั่งคลองซึ่งอยู่บริเวณชานเมืองหลวง กลุ่มที่สอง ได้แก่ มุสลิมที่อพยพมาจากหัวเมืองประเทศราชทางภาคใต้ขึ้นมาอาศัยอยู่ตามบริเวณชานกรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลทางการเมือง และพวกสุดท้ายเป็นมุสลิมในบังคับบัญชาของต่างชาติ ได้เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย (หน้า 46-56) |
|
Economy |
มุสลิมที่ทำการค้าเป็นพวกที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา เริ่มแรกธุรกิจการค้าไม่ใหญ่โตมาก แต่เมื่อไทยทำสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์กับมหาอำนาจตะวันตก สนธิสัญญาทำให้เกิดความไม่เสมอภาคขึ้น พ่อค้ามุสลิมเข้ามาค้าขายในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ และพ่อค้าได้ผลประโยชน์จากการค้าจำนวนมากแต่ฝ่ายเดียว ประเทศไทยในสมัยนั้นจึงได้ออกกฎหมายใช้บังคับพ่อค้าต่างชาติรวมทั้งการประกาศใช้พิกัดภาษี แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะปรากฏว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพ่อค้ามุสลิมเข้ามาตั้งหลักแหล่งค้าขายอย่างมั่นคงในกรุงเทพฯ พวกหนึ่ง และอีกพวกหนึ่งเป็นพ่อค้าเร่ออกค้าขายตามหัวเมืองต่าง ๆ พ่อค้าที่ตั้งหลักแหล่งในกรุงเทพฯ เป็นผู้จำหน่ายสินค้าทั้งขายปลีกและขายส่ง สำหรับสินค้ามีทั้งที่ผลิตขึ้นภายในประเทศและที่สั่งมาจากต่างประเทศ ไม่เฉพาะประเทศที่เป็นมุสลิมเท่านั้น ทั้งนี้เพราะการค้าขายจำเป็นต้องสนองความต้องการของลูกค้า ส่วนพ่อค้าเร่ที่ออกค้าขายตามหัวเมืองต่างๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นในสมัยรัชการที่ 5 พ่อค้าเหล่านี้มีการเร่ออกไปรับซื้อและขายสินค้าตามหัวเมืองต่าง ๆ ในขณะที่สถานที่รับซื้อและขายสินค้าตามหัวเมืองในสมัยนั้นของแต่ละเมืองเป็นเพียงตลาดเล็ก ๆ ที่มีพ่อค้าแม่ค้านัดชุมนุมกันขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า ไม่มีใครถืออาชีพค้าขายอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เพราะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องค้าขายอย่างจริงจัง อีกทั้งค่านิยมของสังคมไทยพื้นบ้านก็ไม่นิยมอาชีพค้าขายมากไปกว่าการเกษตรกรรม (หน้ 116-142) |
|
Social Organization |
ลักษณะสังคมและอิทธิพลบางอย่างของมุสลิมที่มีต่อคนไทยพอจะกล่าวได้ว่า มุสลิมดำเนินชีวิตอยู่โดยอาศัยศาสนาอิสลามเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ลักษณะทางสังคมของมุสลิมตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ไม่ได้รับอิทธิพลจากสังคมไทยมากนัก สังคมมุสลิมเป็นสังคมปิด เพราะบทบัญญัติในศาสนาบางเรื่องมีส่วนทำให้มุสลิมไม่ปะปนกับสังคมอื่น ๆ เช่น บทบัญญัติที่ว่าด้วยการแต่งงาน ห้ามไม่ให้มุสลิมแต่งงานกับคนนอกศาสนา เป็นต้น มุสลิมส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีผลทำให้มุสลิมบางพวกประสบผลสำเร็จในการเข้ามาประกอบอาชีพต่าง ๆ ในเมืองไทย เนื่องจากการประพฤติตนดี มุ่งประกอบอาชีพสุจริต ไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม มีมุสลิมบางส่วนอาศัยการถือปฏิบัติหลักการทางศาสนาอย่างเคร่งครัดของมุสลิมด้วยกันมาเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ ด้วยการก่อความไม่สงบในสังคม (หน้า 46-66) |
|
Political Organization |
มุสลิมในสมัยอยุธยามีบทบาทในการบริหารประเทศในตำแหน่งสูงสุดตำแหน่งหนึ่ง คือ สมุหนายกอัครมหเสนาบดี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ และมีอำนาจมากในทางการเมืองมาก ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนปลาย แต่ในสมัยธนบุรีอำนาจทาง การเมืองของมุสลิมลดลงเพราะไม่ปรากฏว่ามีมุสลิมได้รับตำแหน่งทางการเมืองสูงเท่าเดิมอีก เนื่องจากพระเจ้าตากสินมหาราชไม่ทรงโปรดชนต่างศาสนา ทำให้มุสลิมหมดโอกาสที่จะแสดงความสามารถในสมัยนั้น อำนาจทางการเมืองของมุสลิมในราชสำนักไทยจึงเริ่มลดน้อยลง เหลือแต่เพียงตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจและอิทธิพล เช่น เป็นทหาร เป็นต้น เนื่องจากมุสลิมมีความสามารถในการเดินเรือ และรู้เรื่องเกี่ยวกับทะเลดี ความสามารถนี้เกิดจากการเป็นพ่อค้าเดินเรือติดต่อค้าขายระหว่างประเทศ มาก่อน ในขณะที่คนไทยไม่มีประสบการณ์ในทางทะเลเลย ดังนั้น จะเห็นได้จากการค้าของไทยกับต่างประเทศตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา หน้าที่รับผิดชอบจะตกเป็นของมุสลิมตลอดมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ (หน้า 167-172) |
|
Belief System |
มุสลิมคือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม หลักสำคัญที่มุสลิมถือปฏิบัติมี 5 ประการ - ประการแรก คือ การปฏิบัติตน เพื่อเป็นการยืนยันในเอกภาพของพระเจ้า และเป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าจะเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮเพียงองค์เดียว โดยจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ พร้อมกับให้คำรับรองว่าท่าน นบีมุฮัมมัด เป็นศาสนทูตของพระองค์ ทั้งเป็นการสัญญาว่าจะต้องปฏิบัติตามคำสอนด้วย -ประการที่สอง เรียกว่า นมาซ เป็นการเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าที่สำคัญยิ่งของศาสนาอิสลาม -ประการที่สาม การบริจาคทาน ทานในที่นี้หมายความรวมถึงทรัพย์สิน สติปัญญา กำลังกาย ซึ่งถือเป็นหน้าที่ปฏิบัติของมุสลิม -ประการที่สี่ คือ การถือศีลอด เพื่อให้รู้จักบังคับตนเองให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง ซึ่งหลักศาสนากำหนดว่าให้บังคับตนเองโดยงดกิน งดดื่ม งดร่วมประเวณี งดการประพฤติไปตามอารมณ์ฝ่ายต่ำที่ต้องห้าม การถือศีลอดนี้ได้กำหนดระยะเวลาถือปฏิบัติไว้ในพระคัมภีร์ -ประการที่ห้า คือ การประกอบพิธีฮัจญ์ คือการไปเยือนวิหารกะอบะฮ์ (หน้า 67- 68) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มุสลิมที่อยู่พื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยนับถือศาสนาอิสลาม ในขณะที่คนไทยที่อยู่มาดั้งเดิมนับถือพุทธศาสนา ความเคร่งครัดในการถือหลักปฏิบัติและความแตกต่างทางด้านศาสนาทำให้สังคมมุสลิมไม่สามารถผสมกลมกลืนกับสังคมไทยได้ แม้ว่าจะอยู่เมืองไทยนานเท่าใดก็ตาม (หน้า 67-78) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|