สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,บทบาทด้านเศรษฐกิจ,รัตนโกสินทร์,ภาคกลาง,ภาคใต้
Author รัชนี สาดเปรม
Title บทบาทของชาวมุสลิมในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2325-2453
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 223 Year 2521
Source หลักสูตรอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยศิลปากร
Abstract

มุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนียม และประเพณีแตกต่างจากชนกลุ่มอื่นของประเทศไทย มุสลิมเข้า มาติดต่อกับไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย และเข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในสมัยอยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ด้านสังคมมุสลิมเป็นคนไทยพวกหนึ่งที่นับถือและปฏิบัติตนตามหลักศาสนาอิสลาม ด้านเศรษฐกิจมุสลิมเป็นที่รู้จักในฐานะพ่อค้า นักเดินเรือ ซึ่งปรากฏหลักฐานมาโดยตลอดว่าตำแหน่งพระยาจุฬาราชมนตรีที่ทำหน้าที่ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาตินั้น เป็นข้าราชการมุสลิมซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงบทบาทของมุสลิมในด้านเศรษฐกิจของ บทบาทของมุสลิมเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้นใน ด้านการเมือง เพราะปรากฏว่าเคยมีมุสลิมรับราชการเป็นถึงสมุหนายกอัครมหาเสนาบดีในสมัยอยุธยา เป็นการบ่งบ่งบอกว่ามุสลิมเคยเข้ามาบริหารประเทศในตำแหน่งสูงเทียบเท่านายกรัฐมนตรีในสมัยปัจจุบัน นอกกจากนี้ ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญทางจุดยุทธศาสตร์ ดังนั้น บทบาทของมุสลิมจึงน่าสนใจมากไม่แพ้ชนกลุ่มน้อย อื่น ๆ เพราะบทบาททุก ๆ ด้านเกิดขึ้นมาเป็นเวลายาวนานติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน (หน้า บทนำ, 1-2)

Focus

ศึกษาบทบาทของมุสลิมในด้าน สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยอาศัยพื้นฐานด้านบทบาทของมุสลิมในสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรี ในระหว่าง พ.ศ. 2325-2453 เริ่มตั้งแต่การเข้ามาของมุสลิมแต่ละพวก ลักษณะความเป็นอยู่ในสังคม รวมถึงกฎข้อปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม และอิทธิพลของมุสลิมที่มีต่อสังคมไทย ศึกษาผ่านมุสลิมในภาคกลางและภาคใต้ (หน้า 2)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มุสลิมในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2325-2453 (หน้า ง)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ในช่วงที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชขยายอำนาจลงมายังเมืองต่าง ๆ บนแหลมมลายู ศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอิทธิพลอยู่ก่อนแล้ว มีการพบหลักฐานว่ามีมุสลิมเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย มุสลิมได้นำศาสนาเข้ามาผ่านทางการค้าขาย พร้อมทั้งเผยแพร่ถ่ายทอดให้ชาวพื้นเมือง และบางส่วนยังอพยพมาตั้งถิ่นฐานในบริเวรนี้อย่างถาวรด้วย จึงกล่าวได้ว่าไทยได้ติดต่อกับมุสลิมแถบแหลมมลายูในช่วงสมัยสุโขทัย ในสมัยต่อมาคือ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีได้มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นจำนวนมา แต่ละชนชาติมีความประสงค์แตกต่างกันออกไป บ้างก็เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ บ้างก็ต้องการเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทย ในจำนวน นั้นมีชนชาติที่นับถือศาสนาอิสลามเดินทางเข้ามาด้วย ซึ่งมาจากหลายชาติ เช่น เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย มลายู ชวาและจาม มุสลิมเหล่านี้มีจุดประสงค์สำคัญของการเข้ามาก็เพื่อเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้ากับประเทศไทย นอกจากนี้ มุสลิมบางกลุ่มยังแสวงหาผลประโยชน์ทางด้านการเมืองด้วย ดังจะเห็นได้จากมุสลิมได้รับตำแหน่งสูงๆ ในระบบราชการของ ไทย ในสมัยกรุงธนบุรีมุสลิมยังคงเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องในวงราชการเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา แต่ขุนนางมุสลิมในสมัยนี้ไม่เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมากนัก ทั้งนี้เพราะพระองค์ไม่ทรงสนับสนุนศาสนาอื่นที่เข้ามาเผยแพร่ในเมืองไทย เนื่องจากพระองค์เลื่อมใสในพุทธศาสนามาก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้มุสลิมหรือชาวต่างชาติอื่น ๆ ต่างไม่ประสบผลสำเร็จในการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในกรุงธนบุรี (หน้า 1-45)

Settlement Pattern

ตั้งแต่สมัยอยุธยา ธนบุรี จนมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีมุสลิมพวกต่างๆ เข้ามามีบทบาทหลายด้าน มุสลิมพวกแรกอยู่ในเมืองไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและธนบุรีจัดเป็นพวกที่เก่าแก่ที่สุด โดยอพยพหลบภัยมาตามลำน้ำหลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว ได้มาตั้งหลักแหล่งกระจัดกระจายอยู่ตามฝั่งคลองซึ่งอยู่บริเวณชานเมืองหลวง กลุ่มที่สอง ได้แก่ มุสลิมที่อพยพมาจากหัวเมืองประเทศราชทางภาคใต้ขึ้นมาอาศัยอยู่ตามบริเวณชานกรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลทางการเมือง และพวกสุดท้ายเป็นมุสลิมในบังคับบัญชาของต่างชาติ ได้เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย (หน้า 46-56)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

มุสลิมที่ทำการค้าเป็นพวกที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา เริ่มแรกธุรกิจการค้าไม่ใหญ่โตมาก แต่เมื่อไทยทำสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์กับมหาอำนาจตะวันตก สนธิสัญญาทำให้เกิดความไม่เสมอภาคขึ้น พ่อค้ามุสลิมเข้ามาค้าขายในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ และพ่อค้าได้ผลประโยชน์จากการค้าจำนวนมากแต่ฝ่ายเดียว ประเทศไทยในสมัยนั้นจึงได้ออกกฎหมายใช้บังคับพ่อค้าต่างชาติรวมทั้งการประกาศใช้พิกัดภาษี แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะปรากฏว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพ่อค้ามุสลิมเข้ามาตั้งหลักแหล่งค้าขายอย่างมั่นคงในกรุงเทพฯ พวกหนึ่ง และอีกพวกหนึ่งเป็นพ่อค้าเร่ออกค้าขายตามหัวเมืองต่าง ๆ พ่อค้าที่ตั้งหลักแหล่งในกรุงเทพฯ เป็นผู้จำหน่ายสินค้าทั้งขายปลีกและขายส่ง สำหรับสินค้ามีทั้งที่ผลิตขึ้นภายในประเทศและที่สั่งมาจากต่างประเทศ ไม่เฉพาะประเทศที่เป็นมุสลิมเท่านั้น ทั้งนี้เพราะการค้าขายจำเป็นต้องสนองความต้องการของลูกค้า ส่วนพ่อค้าเร่ที่ออกค้าขายตามหัวเมืองต่างๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นในสมัยรัชการที่ 5 พ่อค้าเหล่านี้มีการเร่ออกไปรับซื้อและขายสินค้าตามหัวเมืองต่าง ๆ ในขณะที่สถานที่รับซื้อและขายสินค้าตามหัวเมืองในสมัยนั้นของแต่ละเมืองเป็นเพียงตลาดเล็ก ๆ ที่มีพ่อค้าแม่ค้านัดชุมนุมกันขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า ไม่มีใครถืออาชีพค้าขายอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เพราะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องค้าขายอย่างจริงจัง อีกทั้งค่านิยมของสังคมไทยพื้นบ้านก็ไม่นิยมอาชีพค้าขายมากไปกว่าการเกษตรกรรม (หน้ 116-142)

Social Organization

ลักษณะสังคมและอิทธิพลบางอย่างของมุสลิมที่มีต่อคนไทยพอจะกล่าวได้ว่า มุสลิมดำเนินชีวิตอยู่โดยอาศัยศาสนาอิสลามเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ลักษณะทางสังคมของมุสลิมตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ไม่ได้รับอิทธิพลจากสังคมไทยมากนัก สังคมมุสลิมเป็นสังคมปิด เพราะบทบัญญัติในศาสนาบางเรื่องมีส่วนทำให้มุสลิมไม่ปะปนกับสังคมอื่น ๆ เช่น บทบัญญัติที่ว่าด้วยการแต่งงาน ห้ามไม่ให้มุสลิมแต่งงานกับคนนอกศาสนา เป็นต้น มุสลิมส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีผลทำให้มุสลิมบางพวกประสบผลสำเร็จในการเข้ามาประกอบอาชีพต่าง ๆ ในเมืองไทย เนื่องจากการประพฤติตนดี มุ่งประกอบอาชีพสุจริต ไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม มีมุสลิมบางส่วนอาศัยการถือปฏิบัติหลักการทางศาสนาอย่างเคร่งครัดของมุสลิมด้วยกันมาเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ ด้วยการก่อความไม่สงบในสังคม (หน้า 46-66)

Political Organization

มุสลิมในสมัยอยุธยามีบทบาทในการบริหารประเทศในตำแหน่งสูงสุดตำแหน่งหนึ่ง คือ สมุหนายกอัครมหเสนาบดี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ และมีอำนาจมากในทางการเมืองมาก ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนปลาย แต่ในสมัยธนบุรีอำนาจทาง การเมืองของมุสลิมลดลงเพราะไม่ปรากฏว่ามีมุสลิมได้รับตำแหน่งทางการเมืองสูงเท่าเดิมอีก เนื่องจากพระเจ้าตากสินมหาราชไม่ทรงโปรดชนต่างศาสนา ทำให้มุสลิมหมดโอกาสที่จะแสดงความสามารถในสมัยนั้น อำนาจทางการเมืองของมุสลิมในราชสำนักไทยจึงเริ่มลดน้อยลง เหลือแต่เพียงตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจและอิทธิพล เช่น เป็นทหาร เป็นต้น เนื่องจากมุสลิมมีความสามารถในการเดินเรือ และรู้เรื่องเกี่ยวกับทะเลดี ความสามารถนี้เกิดจากการเป็นพ่อค้าเดินเรือติดต่อค้าขายระหว่างประเทศ มาก่อน ในขณะที่คนไทยไม่มีประสบการณ์ในทางทะเลเลย ดังนั้น จะเห็นได้จากการค้าของไทยกับต่างประเทศตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา หน้าที่รับผิดชอบจะตกเป็นของมุสลิมตลอดมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ (หน้า 167-172)

Belief System

มุสลิมคือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม หลักสำคัญที่มุสลิมถือปฏิบัติมี 5 ประการ - ประการแรก คือ การปฏิบัติตน เพื่อเป็นการยืนยันในเอกภาพของพระเจ้า และเป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าจะเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮเพียงองค์เดียว โดยจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ พร้อมกับให้คำรับรองว่าท่าน นบีมุฮัมมัด เป็นศาสนทูตของพระองค์ ทั้งเป็นการสัญญาว่าจะต้องปฏิบัติตามคำสอนด้วย -ประการที่สอง เรียกว่า นมาซ เป็นการเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าที่สำคัญยิ่งของศาสนาอิสลาม -ประการที่สาม การบริจาคทาน ทานในที่นี้หมายความรวมถึงทรัพย์สิน สติปัญญา กำลังกาย ซึ่งถือเป็นหน้าที่ปฏิบัติของมุสลิม -ประการที่สี่ คือ การถือศีลอด เพื่อให้รู้จักบังคับตนเองให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง ซึ่งหลักศาสนากำหนดว่าให้บังคับตนเองโดยงดกิน งดดื่ม งดร่วมประเวณี งดการประพฤติไปตามอารมณ์ฝ่ายต่ำที่ต้องห้าม การถือศีลอดนี้ได้กำหนดระยะเวลาถือปฏิบัติไว้ในพระคัมภีร์ -ประการที่ห้า คือ การประกอบพิธีฮัจญ์ คือการไปเยือนวิหารกะอบะฮ์ (หน้า 67- 68)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

มุสลิมที่อยู่พื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยนับถือศาสนาอิสลาม ในขณะที่คนไทยที่อยู่มาดั้งเดิมนับถือพุทธศาสนา ความเคร่งครัดในการถือหลักปฏิบัติและความแตกต่างทางด้านศาสนาทำให้สังคมมุสลิมไม่สามารถผสมกลมกลืนกับสังคมไทยได้ แม้ว่าจะอยู่เมืองไทยนานเท่าใดก็ตาม (หน้า 67-78)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Text Analyst วศิน เชี่ยวจินดากานต์ Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, ไทยมุสลิม, บทบาทด้านเศรษฐกิจ, รัตนโกสินทร์, ภาคกลาง, ภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง