สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,กฎหมาย,ระบบศาล,ประวัติศาสตร์,นโยบายรัฐ,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้
Author นงลักษณ์ ชูภารกิจ
Title นโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ พ.ศ. 2444-2489
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ Total Pages 141 Year 2534
Source หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Abstract

งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาค้นคว้านโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะช่วง พ.ศ. 2444-2489 ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่รัฐบาลได้เข้าไปจัดการเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้อย่างจริงจัง และมีระเบียบแบบแผนที่แน่นอน นโยบายเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ ในช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยอธิบายเงื่อนไขที่เป็นตัวกำหนดนโยบายเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย การดำเนินงานของรัฐ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตลอดจนวิธีการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ในปัจจุบัน (หน้า บทนำ, 136-141)

Focus

เพื่อศึกษาวิเคราะห์สาเหตุที่รัฐบาลเข้าไปจัดการ และดำเนินงานเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2444-2489 (หน้า 8)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

คนไทยในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา สตูล และนราธิวาส (หน้า 9)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาที่ใช้กันส่วนใหญ่ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ภาษามลายู ทั้งการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน การศึกษา ล้วนเกี่ยวข้องกับภาษามลายูทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ภาษามลายูจึงเป็นรากฐานโครงสร้างทางสังคมและเอกลักษณ์ของประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 30-31)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ในอดีตเชื่อกันว่าชุมชนมาเลย์ คือ บริเวณที่เป็นจังหวัดปัตตานี รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงคือ ยะลา นราธิวาส และสตูล และบางส่วนของสงขลา ในสมัยนั้นใช้ชื่อว่า ลังกาสุกะ รายละเอียดในลังกาสุกะมีไม่มากนัก รู้เพียงว่าเป็นเมืองของศาสนาพุทธและพราหมณ์อยู่ด้วยกัน เมื่ออาณาจักรลังกาสุกะหายไป ในปลายคริสตศตวรรษที่ 14 ชื่อของปัตตานีเริ่มปรากฏขึ้นมาแทนที่ รวมถึงการเข้ามาของศาสนาอิสลามที่เข้ามาแทนที่ศาสนาพุทธและพราหมณ์ก็เข้ามาในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน บริเวณของจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในสมัยก่อนรัตนโกสินทร์เป็นดินแดนเดียวกัน เรียกกันว่า ปัตตานี หรือ ตานี ซึ่งปัตตานีในอดีตนี้มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของไทย และมีอิสระในการปกครองตนเองตามประเพณีของตน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับปัตตานีไม่ราบรื่นมากนัก เพราะดินแดนส่วนนี้ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับประเทศไทย แต่เป็นแค่รัฐอิสระที่ยอมอ่อนน้อมต่อไทยเท่านั้น เมื่อใดที่มีโอกาสก็จะแข็งข้อและพยายามแยกตัวเป็นอิสระอยู่เสมอ จนมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการปกครองที่มีต่อ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรวมดินแดนแห่งนี้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับราชอาณาจักรไทย แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะดินแดนแห่งนี้มีความแตกต่างจากภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทยในหลาย ๆ ด้านด้วยกัน เช่น ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกันอีกด้วย (หน้า 12-25)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ประชากรในปัตตานีจากการสำรวจในปี พ.ศ. 2449 มีทั้งหมด 242,052 คน แบ่งออกเป็นคนเชื้อสายมลายู 208,076 คน คนไทย 30,597 คน และคนจีน 3,332 คน (หน้า 26-28)

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ปัญหาของประเทศไทยในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดจากความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างของคนปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เชื้อสายมลายูกับประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม และความเป็นมาของประวัติศาสตร์ที่สวนทางกันตลอดเวลา ทำให้นโยบายของรัฐบาลไทยที่จะพัฒนาภูมิภาคนี้ไม่ประสบผลสำเร็จและได้รับการต่อต้านอยู่เสมอ ในช่วงก่อน พ.ศ. 2444 ไทยปกครองหัวเมืองมลายูในฐานะเมืองประเทศราช เจ้าเมืองมีอิสระในการปกครองตนเองทุกอย่าง โดยต้องจัดส่งดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการอื่น ๆ มาถวายต่อพระมหากษัตริย์ไทยตามกำหนด และเมื่อเวลาไทยมีศึกสงครามต้องให้ความช่วยเหลือด้านกำลังพลและเสบียง โดยทางไทยได้ให้เมืองนครศรีธรรมราชดูแลเมืองไทรบุรีและกลันตัน ส่วนเมืองสงขลาดูแลเมืองปัตตานีและตรังกานู ส่วนกระบวรการยุติธรรมใน 4 จังหวัดภาคใต้ถือเป็นอำนาจสิทธิขาดของเจ้าเมือง ซึ่งเจ้าเมืองอาจจะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นก็ได้ สำหรับตัวกฎหมายมีทั้งหลักกฎหมายไทย อังกฤษ และอิสลาม การพิจารณาคดีต่าง ๆ ในบริเวณ 7 หัวเมืองนั้น ใช้ทั้งหลักกฎหมายอิสลาม คือ ถ้าเป็นคดีระหว่างจีนหรือไทย ก็มักจะใช้ พระราชกำหนดกฎหมายไทย ถ้าเป็นความระหว่างมุสลิมกับมุสลิมก็ใช้กฎหมายอิสลาม ถ้าเป็นความระหว่างมุสลิมกับไทยหรือคนจีนบางทีก็ใช้กฎหมายไทย บางทีก็ใช้กฎหมายอิสลาม ทั้งนี้แล้วแต่ความพอใจของเจ้าเมือง ส่วนคดีเกี่ยวกับมรดกหรือเรื่องสามีภรรยานั้น อิสลามถือว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ต้องตัดสินตามหลักกฎหมายศาสนา โดยมี "โต๊ะกาลี" ผู้รอบรู้คัมภีร์เกี่ยวกับศาสนาเป็นตุลาการ โดยทั้งหมดรัฐบาลถือว่าเป็นกิจการภายในของแต่ละเมืองรัฐบาลจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว นโยบายเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลในหัวเมืองมลายูได้เปลี่ยนแปลงเมื่ออังกฤษได้เข้ามามีอิทธิพลในหัวเมืองมลายู เริ่มจากการเช่าเกาะหมากจากเจ้าเมืองไทรบุรีเพื่อเป็นสถานีการค้าสำหรับเสบียงอาหาร เชื้อเพลิง และการซ่อมแซมเรือสินค้า รวมถึงเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือเพื่อป้องกันน่านน้ำมลายูและอ่าวเบงกอล ซึ่งต่อมาอังกฤษทิ้งนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในรัฐต่าง ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของตน และเสริมสร้างอิทธิพลและอำนาจของตนให้มั่นคง ผู้ปกครองมลายูจึงเป็นแต่เพียง ผู้ปกครองในนาม รัฐมลายูภาคกลางและภาคใต้จึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษ ส่วนรัฐภาคเหนืออยู่ในอำนาจของไทย (หน้า 26-56) รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงการปกครองหัวเมืองมลายูให้มีประสิทธิภาพและแบบแผนมากขึ้น เนื่องจากอธิปไตยของไทยเหนือหัวเมืองมลายูกำลังถูกอังกฤษคุกคาม โดยเริ่มลดอำนาจตามประเพณีของเจ้าเมืองลง คือแม้จะยังมีอำนาจปกครองเมืองอยู่ แต่ต้องอยู่ภายใต้ความเห็นชอบของข้าหลวงที่รัฐบาลส่งไปควบคุมดูแล ส่วนในกรณีของการตัดสินคดี คดีที่มีโทษประหารชีวิตหรือริบทรัพย์ เจ้าเมืองจะต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อนเหมือนหัวเมืองชั้นใน คดีที่อุทธรณ์ต้องส่งให้ข้าหลวงพิจารณา การดำเนินการทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนในปี พ.ศ.2439 มีการจัดตั้งมณฑลนครศรีธรรมราช และให้รวมบริเวณ 7 หัวเมืองมาขึ้นอยู่กับมณฑลนครศรีธรรมราช (57-62) กฏหมายและระบบศาลในบริเวณ 7 หัวเมืองตามข้อบังคับศาลเมืองแขก 7 หัวเมือง : เนื่องจากสภาพศาลในบริเวณ 7 หัวเมือง การพิพากษาคดีไม่ค่อยเป็นระเบียบ ไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าคดีใดจะฟ้องที่ศาลใด บางเรื่องฟ้องที่ศาลเมือง บางเรื่องฟ้อง ศาลข้าหลวง และกฏหมายที่ใช้ในบริเวณ 7 หัวเมือง บางเรื่องก็ใช้พระราชกำหนดกฏหมายกรุงเทพฯ บางเรื่องใช้ตามหลักศาสนา อิสลาม จึงมีการรวมศาลเมืองและศาลข้าหลวงเข้าเป็นศาลเดียวกัน โดยให้แต่ละหัวเมืองในบริเวณ 7 หัวเมืองตั้งศาลขึ้น และใช้พระราชกำหนดกฏหมายกรุงเทพฯ ส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาและประเพณีท้องที่ได้ร่าง "ข้อบังคับสำหรับศาลเมืองแขก 7 หัวเมือง" ขึ้นบังคับใช้ คดีที่คู่กรณีเป็นอิสลามเป็นความกันในเรื่องครอบครัวและมรดก ศาลจะตัดสินตามธรรมเนียมอิสลามก็ได้ แต่ก่อนจะตัดสินต้องนำคำตัดสินนั้นเสนอต่อผู้ว่าราชการเมืองหรือข้าหลวงประจำเมืองวินิจฉัยก่อน ยกเว้นเรื่องมโนสาเร่ที่ทุนทรัพย์ไม่เกิน 20 บาท ให้ศาลตัดสินไปตามกฏหมายอิสลามได้เลย สำหรับคดีอาญาต้องใช้ พระราชกำหนดกฏหมายไทย และต้องส่งคำตัดสินให้ผู้ว่าราชการเมืองและข้าหลวงตรวจก่อนทุกครั้ง (หน้า 62-64) การที่รัฐบาลกลางให้ศาลไทยตัดสินคดีเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ถือเป็นความผิดพลาด เพราะคำตัดสินของศาลและความเห็นของข้าหลวงมักขัดแย้งกับเจ้าเมืองเสมอ ๆ แม้รัฐบาลและข้าหลวงจะบอกว่าตัดสินไปตามกฏหมายอิสลามก็ตาม ทำให้เจ้าเมืองบางคนที่ต่อต้านอำนาจรัฐบาลกลางนำไปเป็นข้ออ้างว่าข้าหลวงไทยตั้งใจทำลายล้างศาสนาอิสลาม เพราะไม่ยอมให้โต๊ะกาลีตัดสินตามหลักศาสนาอิสลาม และเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษเข้าแทรกแซงในบริเวณ 7 หัวเมือง รัฐบาลจึงต้องแก้ไขข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณ 7 หัวเมือง รศ.120 (พ.ศ.2444) โดยให้ศาลไทยพิจารณาคดีความแพ่งและอาญาทั่วไป และแบ่งศาลไทยเป็น 3 ชั้น คือ 1.ศาลบริเวณ 2.ศาลเมือง 3.ศาลแขวง สำหรับศาลศาสนาให้ตั้งศาลโต๊ะกาลีขึ้นพิจารณาคดีความศาสนาอิสลามที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดกที่มีมุสลิมเป็นโจทย์และจำเลย โดยให้พระยาเมืองทุกเมืองในบริเวณ 7 หัวเมืองเลือกโต๊ะหะยีที่รอบรู้คัมภีร์โกหร่าน และที่ราษฎรนับถือ ตั้งเป็นโต๊ะกาลีเมืองละไม่ต่ำกว่า 6 คน (หน้า 64-70) ในปี พ.ศ.2449 (รศ.125) รัฐบาลยกฐานะบริเวณ 7 หัวเมืองขึ้นเป็นมณฑลปัตตานี ศาลบริเวณก็ได้รับการยกฐานะเป็นศาลมณฑล อย่างไรก็ตาม ศาลมณฑลปัตตานียังคงขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยเช่นเดิม เนื่องจากสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่ามณฑลปัตตานียังไม่พร้อมที่จะแยกไปขึ้นกับกระทรวงยุติธรรมดังเช่นศาลมณฑลอื่น ๆ ทำให้การดำเนินงานด้านกฏหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้เป็ไปอย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จภายใต้กระทรวงมหาดไทย (พ.ศ.2444-2458) แต่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2458 ทรงโอนงานศาลมณฑลปัตตานีไปขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม ใช้ระเบียบแบบแผนเดียวกับหัวเมืองชั้นในอื่น ๆ ทำให้ราษฎรในมณฑลปัตตานีที่นับถือศาสนาอิสลามเดือดร้อน ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มต่อต้านรัฐบาลขึ้นในปี พ.ศ.2465 เนื่องจากในทางปฏิบัติกระทรวงยุติธรรมไม่ได้คำนึงถึงสภาพสังคมที่แตกต่างกัน (หน้า 71-72, 83, 89, 95) (ส่วนศาลในจังหวัดสตูลนั้นขึ้นกับกระทรวงยุติธรรมมาแต่แรก - หน้า 89) กฏหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรม (พ.ศ.2458-2475) : การปรับปรุงศาลศาสนาในมณฑลปัตตานีใหม่ภายใต้กระทรวงยุติธรรม ตำแหน่งโต๊ะกาลีที่ถูกเปลี่ยนเป็นดะโต๊ะยุติธรรม ซึ่งเป็นผู้พิพากษาในศาลศาสนา ไม่ได้มาจากการคัดเลือกของที่ประชุมโต๊ะหะยี หรือผู้รอบรู้ศาสนาอิสลามเหมือนเดิม แต่เป็นตำแหน่งที่เลือกสรรโดยความเห็นชอบของอธิบดีผู้พิพากษามณฑลปัตตานี และสมุหเทศาภิบาลมณฑลปัตตานี อีกทั้งคู่ความก็ไม่มีสิทธิเลือกโต๊ะกาลีที่ตนนับถือและพอใจให้เป็นอนุญาโตตุลาการตัดสินคดีเหมือนเดิม และแม้จะมีสิทธิอุทธรณ์ฏีกาได้ แต่ก็มีความจำเป็นน้อยกว่าการได้เลือกอนุญาโตตุลาการที่คู่ความพอใจและนับถือเป็นผู้พิจารณาคดี เนื่องจากผลออกมาเป็นอย่างไร ก็ไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์หรือฎีกาอีก (หน้า 90-91) นอกจากนี้ เพื่อความเป็นระเบียบแบบแผนเดียวกัน กระทรวงยุติธรรมได้ยกเลิกสิ่งที่กระทรวงมหาดไทยสร้างไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ราษฎรในการติดต่อกับศาล เช่น ยกเลิกศาลแขวงในอำเภอเบตง ให้ไปใช้ศาลจังหวัดยะลาแทน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทาง 6-7 วันจึงจะถึง ทำให้เดือดร้อนทั้งราษฎรไทย มุสลิม และเจ้าหน้าที่ เป็นต้น (หน้า 97) ประการต่อมาในทางปฏิบัติดะโต๊ะยุติธรรมไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินชี้ขาดเหมือนเดิม เพราะเมื่อตัดสินแล้ว ดะโต๊ะยุติธรรมต้องลงชื่อ 2 คน หรือพร้อมด้วยผู้พิพากษาศาลเมืองหรือศาลมณฑล รวมเป็น 2 นาย จึงใช้เป็นคำพิพากษาคดีแพ่งประเพณีศาสนาอิสลามได้ และในทางปฏิบัติ มองกันว่า ความเห็นของโต๊ะกาลีมักถูกบิดเบือนไปจากคำภีร์อัลกุรอานโดยผู้พิพากษาไทยเสมอ ทำให้มุสลิมในมณฑลปัตตานีไม่พอใจและลดความนิยมในศาลศาสนาลงเรื่อย ๆ ซึ่งดูได้จากตัวเลขสถิติคดีแพ่งที่เกี่ยวกับศาสนา อิสลามในระยะหลัง พ.ศ.2458 (ตารางหน้า 94) ลดลงเป็นลำดับ ราษฎรมุสลิมหันไปพึ่งผู้รอบรู้คัมภีร์อัลกุรอานที่ตัวเองนับถือและพอใจนอกศาล ให้เป็นผู้ตัดสินคดีความ (หน้า 90-93) ปี พ.ศ.2466 ที่ประชุมเสนาบดีเห็นว่า ควรจัดการศาลศาสนาให้เหมือนเมื่อก่อน พ.ศ.2458 ซึ่งโจทย์และจำเลยมุสลิมมีโอกาสเลือกโต๊ะกาลีที่ทั้งสองฝ่ายพอใจเป็นผู้ตัดสินคดี แต่ให้การศาลในมณฑลปัตตานียังคงอยู่ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมตามเดิม อย่างไรก็ตาม หากกระทรวงยุติธรรมจะออกกฏข้อบังคับอะไรในมณฑลปัตตานี จะต้องปรึกษาขอความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทยก่อน เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้ว น่าจะเป็นไปด้วยดีเหมือนที่เคยเป็นมาในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ศาลศาสนาก็ยังไม่ได้รับความนิยมจากราษฎรมุสลิมเหมือนเดิม เพราะการเลือกคนที่จะมาเป็นดะโต๊ะยุติธรรมยังคงใช้วิธีการและหลักเกณฑ์เดิม ในปี พ.ศ. 2468 มีฎีกากล่าวโทษเจ้าเมืองสายบุรี จึงทำให้รัฐบาลหันมาสนใจการดำเนินงานด้านกฏหมายและการศาลในมณฑลปัตตานีอีกครั้ง (หน้า 107-109) แต่ก็ยังยึดรูปแบบที่รัชกาลที่ 6 ทรงวางไว้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตามความเห็นของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเคยใช้เมื่อก่อนปี พ.ศ.2458 และได้ผลดี ด้วยเห็นว่า การจัดการศาลศาสนาในมณฑลปัตตานีเป็นเรื่องการเมือง ควรมีการผ่อนผันตามความจำเป็นในพื้นที่ แต่เสนาบดีส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะไม่คุ้นเคยกับหัวเมืองมลายู และไม่เข้าใจถึงลักษณะพิเศษที่แตกต่างกับมณฑลอื่น ๆ แม้จะมีเหตุการณ์ที่สื่อให้เห็นถึงข้อบกพร่องในทางปฏิบัติและความไม่พอใจของราษฎรมุสลิมแล้วก็ตาม (หน้า 112-113) กฏหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรม (พ.ศ. 2476 - 2489) : หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเลย์มุสลิมคิดว่าอาจได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง ซึ่งรวมถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมด้วย แต่ต้องผิดหวัง เพราะรัฐบาลไม่ได้ตอบสนองความต้องการดังกล่าว กฏหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ จึงยัง คงอยู่ในรูปแบบหลักการเดิมเหมือนก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง จะก้าวหน้าเฉพาะเรื่องการร่างหลักกฏหมายอิสลามว่าด้วย ครอบครัวและมรดกเท่านั้น (หน้า 116-118) นโยบายชาตินิยมและผลกระทบที่มีต่อมาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ นโยบายรัฐนิยมของจอมพล ป.พิบูลสงคราม สร้างความไม่พอใจแก่มาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในปี พ.ศ.2486 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศใช้ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และ บรรพ 6 แทนการใช้กฏหมายอิสลามเรื่องครอบครัวและมรดกใน 4 จังหวัดภาคใต้ และเป็นการยกเลิกตำแหน่งดะโต๊ะยุติธรรมไปด้วย คือประชาชนมุสลิมทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดกเช่นเดียวกับส่วนอื่นของประเทศ ทำให้มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้เกิดความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้น จะถือว่าเป็นบาป ดังนั้น มาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้จึงหลีกเลี่ยงการขึ้นศาลไทย มักจะให้โต๊ะอิหม่ามตัดสินคดีความ และหากยังตกลงกันไม่ได้ ก็มักไปขอคำตัดสินจากศาลศาสนาในรัฐไทรบุรี ปะลิศ กลันตัน หรือตังกานู รัฐใดรัฐหนึ่ง ส่วนมาเลย์มุสลิมในปัตตานีไม่มีดินแดนติดต่อกับรัฐมลายู จึงเลือกกอฏี (โต๊ะกาลี) เพื่อตัดสินข้อพิพาท ซึ่งก็คือ หะยีสุหลง ผู้เป็นที่ยกย่องนับถือของมาเลย์มุสลิมในปัตตานี (หน้า 124-127) นอกจากนั้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาพเศรษฐกิจใน 4 จังหวัดภาคใต้ตกต่ำลง เกิดการขาดแคลนข้าว อาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภค ประสบความอดอยาก ทำให้มาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้เกิดความไม่พอใจ เพราะมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐในมาตรการปันส่วนข้าว ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการประกอบกันดังกล่าว รวมทั้งกระแสชาตินิยมมลายู จึงทำให้เกิดกระแสต้องการแยกตัวออกจากการปกครองของไทย (หน้า 129-131) ในปี พ.ศ.2489 ภายใต้รัฐบาลของ นายปรีดี พนมยงค์ ได้หันมาใช้นโยบายผ่อนปรนมากขึ้น และประกาศใช้ "พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฏหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล" และกระทรวงยุติธรรมประกาศ "หลักเกณฑ์และวิธีการ การบรรลุการแต่งตั้ง การเลื่อนอันดับ และการออกจากราชการของดะโต๊ะยุติธรรม" การประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ ทำให้การพิพากษาคดีความแพ่งเรื่องครอบครัวและมรดกของมาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ มีความแตกต่างจากคดีแพ่งในเรื่องเดียวกันที่ใช้กับภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ อย่างไรก็ตาม การผ่อนปรนดังกล่าวไม่ได้สร้างความพอใจให้มาเลย์มุสลิมดังที่รัฐบาลหวัง เนื่องจากมาเลย์มุสลิมมองว่าเป็นการถูกแทรกแซงในด้านศาสนา และเรียกร้องความเป็นอิสระในด้านศาสนาเรื่อยมา (หน้า 131-135)

Belief System

ศาสนาอิสลามมีลักษณะแตกต่างจากศาสนาอื่นที่สำคัญคือ เป็นศาสนาที่มีบทกำหนดความเชื่อและการปฏิบัติเกือบทุกแง่มุม มีคำสอนทั้งในระดับนโยบายทั่วไป และในระดับการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน สรุปแล้วแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีพฤติกรรมใดหรือแนวความคิดใดของมนุษย์ที่จะพ้นขอบข่ายของศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามจึงมิได้เป็นเพียงศาสนาหรือความเชื่อของมุสลิมเท่านั้น แต่ยังเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต หลักสำคัญที่มุสลิมถือปฏิบัติมี 5 ประการ 1. การปฏิบัติตน เพื่อเป็นการยืนยันในความเป็นเอกภาพของพระเจ้า และเป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าจะเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮเพียงองค์เดียว พร้อมกับให้คำรับรองว่าท่านบีมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ ทั้งเป็นการสัญญาว่าจะต้องปฏิบัติตามคำสอนด้วย 2. การนมาซ เป็นการเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าที่สำคัญยิ่งของศาสนาอิสลาม 3. การบริจาคทาน ทานในที่นี้หมายความรวมถึงทรัพย์สิน สติปัญญา กำลังกาย ซึ่งถือเป็นหน้าที่ปฏิบัติของมุสลิม 4. การถือศีลอด เพื่อให้รู้จักบังคับตนเองให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง ซึ่งหลักศาสนากำหนดว่าให้บังคับตนเองโดยงดกิน งดดื่ม งดร่วมประเวณี งดการประพฤติไปตามอารมณ์ฝ่ายต่ำที่ต้องห้าม การถือศีลอดนี้ได้กำหนดระยะเวลาถือปฏิบัติไว้ในพระคัมภีร์ 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ คือการไปเยือนวิหารกะอบะฮ์ (หน้า 29-30)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์ระหว่าง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือในจังหวัดปัตตานี ยะลา สตูล และนราธิวาส กับไทยนั้น ทั้ง 4 จังหวัดเป็นดินแดนต่อเนื่องกันในสมัยรัตนโกสินทร์ ดินแดนส่วนนี้เป็นเมืองเดียวกัน เรียกว่า ปัตตานี หรือตานี ได้เริ่มมีความสัมพันธ์กับไทยมาตั้งแต่อยุธยา โดยมีฐานะเป็นประเทศราชของไทย และมีอิสระในการปกครองตนเองตามแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น เพียงแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายพระมหากษัตริย์ไทยทุก 3 ปี (หน้า 15)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

1. ตารางเปรียบเทียบคดีความแพ่งที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามในระยะก่อนและหลัง พ.ศ.2458 (หน้า 94) 2. แสดงลำดับการตั้งภาค อาณาเขตภาค และอุปราชภาค (หน้า 99)

Text Analyst วศิน เชี่ยวจินดากานต์ Date of Report 06 พ.ย. 2555
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, กฎหมาย, ระบบศาล, ประวัติศาสตร์, นโยบายรัฐ, สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง