|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,กฎหมาย,ระบบศาล,ประวัติศาสตร์,นโยบายรัฐ,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
นงลักษณ์ ชูภารกิจ |
Title |
นโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ พ.ศ. 2444-2489 |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Total Pages |
141 |
Year |
2534 |
Source |
หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาค้นคว้านโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะช่วง พ.ศ. 2444-2489 ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่รัฐบาลได้เข้าไปจัดการเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้อย่างจริงจัง และมีระเบียบแบบแผนที่แน่นอน นโยบายเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ ในช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยอธิบายเงื่อนไขที่เป็นตัวกำหนดนโยบายเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย การดำเนินงานของรัฐ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตลอดจนวิธีการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ในปัจจุบัน (หน้า บทนำ, 136-141) |
|
Focus |
เพื่อศึกษาวิเคราะห์สาเหตุที่รัฐบาลเข้าไปจัดการ และดำเนินงานเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2444-2489 (หน้า 8) |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนไทยในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา สตูล และนราธิวาส (หน้า 9) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ใช้กันส่วนใหญ่ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ภาษามลายู ทั้งการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน การศึกษา ล้วนเกี่ยวข้องกับภาษามลายูทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ภาษามลายูจึงเป็นรากฐานโครงสร้างทางสังคมและเอกลักษณ์ของประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 30-31) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในอดีตเชื่อกันว่าชุมชนมาเลย์ คือ บริเวณที่เป็นจังหวัดปัตตานี รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงคือ ยะลา นราธิวาส และสตูล และบางส่วนของสงขลา ในสมัยนั้นใช้ชื่อว่า ลังกาสุกะ รายละเอียดในลังกาสุกะมีไม่มากนัก รู้เพียงว่าเป็นเมืองของศาสนาพุทธและพราหมณ์อยู่ด้วยกัน เมื่ออาณาจักรลังกาสุกะหายไป ในปลายคริสตศตวรรษที่ 14 ชื่อของปัตตานีเริ่มปรากฏขึ้นมาแทนที่ รวมถึงการเข้ามาของศาสนาอิสลามที่เข้ามาแทนที่ศาสนาพุทธและพราหมณ์ก็เข้ามาในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน บริเวณของจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในสมัยก่อนรัตนโกสินทร์เป็นดินแดนเดียวกัน เรียกกันว่า ปัตตานี หรือ ตานี ซึ่งปัตตานีในอดีตนี้มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของไทย และมีอิสระในการปกครองตนเองตามประเพณีของตน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับปัตตานีไม่ราบรื่นมากนัก เพราะดินแดนส่วนนี้ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับประเทศไทย แต่เป็นแค่รัฐอิสระที่ยอมอ่อนน้อมต่อไทยเท่านั้น เมื่อใดที่มีโอกาสก็จะแข็งข้อและพยายามแยกตัวเป็นอิสระอยู่เสมอ จนมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการปกครองที่มีต่อ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรวมดินแดนแห่งนี้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับราชอาณาจักรไทย แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะดินแดนแห่งนี้มีความแตกต่างจากภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทยในหลาย ๆ ด้านด้วยกัน เช่น ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกันอีกด้วย (หน้า 12-25) |
|
Demography |
ประชากรในปัตตานีจากการสำรวจในปี พ.ศ. 2449 มีทั้งหมด 242,052 คน แบ่งออกเป็นคนเชื้อสายมลายู 208,076 คน คนไทย 30,597 คน และคนจีน 3,332 คน (หน้า 26-28) |
|
Political Organization |
ปัญหาของประเทศไทยในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดจากความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างของคนปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เชื้อสายมลายูกับประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม และความเป็นมาของประวัติศาสตร์ที่สวนทางกันตลอดเวลา ทำให้นโยบายของรัฐบาลไทยที่จะพัฒนาภูมิภาคนี้ไม่ประสบผลสำเร็จและได้รับการต่อต้านอยู่เสมอ ในช่วงก่อน พ.ศ. 2444 ไทยปกครองหัวเมืองมลายูในฐานะเมืองประเทศราช เจ้าเมืองมีอิสระในการปกครองตนเองทุกอย่าง โดยต้องจัดส่งดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการอื่น ๆ มาถวายต่อพระมหากษัตริย์ไทยตามกำหนด และเมื่อเวลาไทยมีศึกสงครามต้องให้ความช่วยเหลือด้านกำลังพลและเสบียง โดยทางไทยได้ให้เมืองนครศรีธรรมราชดูแลเมืองไทรบุรีและกลันตัน ส่วนเมืองสงขลาดูแลเมืองปัตตานีและตรังกานู ส่วนกระบวรการยุติธรรมใน 4 จังหวัดภาคใต้ถือเป็นอำนาจสิทธิขาดของเจ้าเมือง ซึ่งเจ้าเมืองอาจจะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นก็ได้ สำหรับตัวกฎหมายมีทั้งหลักกฎหมายไทย อังกฤษ และอิสลาม การพิจารณาคดีต่าง ๆ ในบริเวณ 7 หัวเมืองนั้น ใช้ทั้งหลักกฎหมายอิสลาม คือ ถ้าเป็นคดีระหว่างจีนหรือไทย ก็มักจะใช้ พระราชกำหนดกฎหมายไทย ถ้าเป็นความระหว่างมุสลิมกับมุสลิมก็ใช้กฎหมายอิสลาม ถ้าเป็นความระหว่างมุสลิมกับไทยหรือคนจีนบางทีก็ใช้กฎหมายไทย บางทีก็ใช้กฎหมายอิสลาม ทั้งนี้แล้วแต่ความพอใจของเจ้าเมือง ส่วนคดีเกี่ยวกับมรดกหรือเรื่องสามีภรรยานั้น อิสลามถือว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ต้องตัดสินตามหลักกฎหมายศาสนา โดยมี "โต๊ะกาลี" ผู้รอบรู้คัมภีร์เกี่ยวกับศาสนาเป็นตุลาการ โดยทั้งหมดรัฐบาลถือว่าเป็นกิจการภายในของแต่ละเมืองรัฐบาลจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว นโยบายเกี่ยวกับกฎหมายและระบบศาลในหัวเมืองมลายูได้เปลี่ยนแปลงเมื่ออังกฤษได้เข้ามามีอิทธิพลในหัวเมืองมลายู เริ่มจากการเช่าเกาะหมากจากเจ้าเมืองไทรบุรีเพื่อเป็นสถานีการค้าสำหรับเสบียงอาหาร เชื้อเพลิง และการซ่อมแซมเรือสินค้า รวมถึงเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือเพื่อป้องกันน่านน้ำมลายูและอ่าวเบงกอล ซึ่งต่อมาอังกฤษทิ้งนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในรัฐต่าง ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของตน และเสริมสร้างอิทธิพลและอำนาจของตนให้มั่นคง ผู้ปกครองมลายูจึงเป็นแต่เพียง ผู้ปกครองในนาม รัฐมลายูภาคกลางและภาคใต้จึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษ ส่วนรัฐภาคเหนืออยู่ในอำนาจของไทย (หน้า 26-56) รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงการปกครองหัวเมืองมลายูให้มีประสิทธิภาพและแบบแผนมากขึ้น เนื่องจากอธิปไตยของไทยเหนือหัวเมืองมลายูกำลังถูกอังกฤษคุกคาม โดยเริ่มลดอำนาจตามประเพณีของเจ้าเมืองลง คือแม้จะยังมีอำนาจปกครองเมืองอยู่ แต่ต้องอยู่ภายใต้ความเห็นชอบของข้าหลวงที่รัฐบาลส่งไปควบคุมดูแล ส่วนในกรณีของการตัดสินคดี คดีที่มีโทษประหารชีวิตหรือริบทรัพย์ เจ้าเมืองจะต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อนเหมือนหัวเมืองชั้นใน คดีที่อุทธรณ์ต้องส่งให้ข้าหลวงพิจารณา การดำเนินการทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนในปี พ.ศ.2439 มีการจัดตั้งมณฑลนครศรีธรรมราช และให้รวมบริเวณ 7 หัวเมืองมาขึ้นอยู่กับมณฑลนครศรีธรรมราช (57-62) กฏหมายและระบบศาลในบริเวณ 7 หัวเมืองตามข้อบังคับศาลเมืองแขก 7 หัวเมือง : เนื่องจากสภาพศาลในบริเวณ 7 หัวเมือง การพิพากษาคดีไม่ค่อยเป็นระเบียบ ไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าคดีใดจะฟ้องที่ศาลใด บางเรื่องฟ้องที่ศาลเมือง บางเรื่องฟ้อง ศาลข้าหลวง และกฏหมายที่ใช้ในบริเวณ 7 หัวเมือง บางเรื่องก็ใช้พระราชกำหนดกฏหมายกรุงเทพฯ บางเรื่องใช้ตามหลักศาสนา อิสลาม จึงมีการรวมศาลเมืองและศาลข้าหลวงเข้าเป็นศาลเดียวกัน โดยให้แต่ละหัวเมืองในบริเวณ 7 หัวเมืองตั้งศาลขึ้น และใช้พระราชกำหนดกฏหมายกรุงเทพฯ ส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาและประเพณีท้องที่ได้ร่าง "ข้อบังคับสำหรับศาลเมืองแขก 7 หัวเมือง" ขึ้นบังคับใช้ คดีที่คู่กรณีเป็นอิสลามเป็นความกันในเรื่องครอบครัวและมรดก ศาลจะตัดสินตามธรรมเนียมอิสลามก็ได้ แต่ก่อนจะตัดสินต้องนำคำตัดสินนั้นเสนอต่อผู้ว่าราชการเมืองหรือข้าหลวงประจำเมืองวินิจฉัยก่อน ยกเว้นเรื่องมโนสาเร่ที่ทุนทรัพย์ไม่เกิน 20 บาท ให้ศาลตัดสินไปตามกฏหมายอิสลามได้เลย สำหรับคดีอาญาต้องใช้ พระราชกำหนดกฏหมายไทย และต้องส่งคำตัดสินให้ผู้ว่าราชการเมืองและข้าหลวงตรวจก่อนทุกครั้ง (หน้า 62-64) การที่รัฐบาลกลางให้ศาลไทยตัดสินคดีเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ถือเป็นความผิดพลาด เพราะคำตัดสินของศาลและความเห็นของข้าหลวงมักขัดแย้งกับเจ้าเมืองเสมอ ๆ แม้รัฐบาลและข้าหลวงจะบอกว่าตัดสินไปตามกฏหมายอิสลามก็ตาม ทำให้เจ้าเมืองบางคนที่ต่อต้านอำนาจรัฐบาลกลางนำไปเป็นข้ออ้างว่าข้าหลวงไทยตั้งใจทำลายล้างศาสนาอิสลาม เพราะไม่ยอมให้โต๊ะกาลีตัดสินตามหลักศาสนาอิสลาม และเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษเข้าแทรกแซงในบริเวณ 7 หัวเมือง รัฐบาลจึงต้องแก้ไขข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณ 7 หัวเมือง รศ.120 (พ.ศ.2444) โดยให้ศาลไทยพิจารณาคดีความแพ่งและอาญาทั่วไป และแบ่งศาลไทยเป็น 3 ชั้น คือ 1.ศาลบริเวณ 2.ศาลเมือง 3.ศาลแขวง สำหรับศาลศาสนาให้ตั้งศาลโต๊ะกาลีขึ้นพิจารณาคดีความศาสนาอิสลามที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดกที่มีมุสลิมเป็นโจทย์และจำเลย โดยให้พระยาเมืองทุกเมืองในบริเวณ 7 หัวเมืองเลือกโต๊ะหะยีที่รอบรู้คัมภีร์โกหร่าน และที่ราษฎรนับถือ ตั้งเป็นโต๊ะกาลีเมืองละไม่ต่ำกว่า 6 คน (หน้า 64-70) ในปี พ.ศ.2449 (รศ.125) รัฐบาลยกฐานะบริเวณ 7 หัวเมืองขึ้นเป็นมณฑลปัตตานี ศาลบริเวณก็ได้รับการยกฐานะเป็นศาลมณฑล อย่างไรก็ตาม ศาลมณฑลปัตตานียังคงขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยเช่นเดิม เนื่องจากสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่ามณฑลปัตตานียังไม่พร้อมที่จะแยกไปขึ้นกับกระทรวงยุติธรรมดังเช่นศาลมณฑลอื่น ๆ ทำให้การดำเนินงานด้านกฏหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้เป็ไปอย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จภายใต้กระทรวงมหาดไทย (พ.ศ.2444-2458) แต่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2458 ทรงโอนงานศาลมณฑลปัตตานีไปขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม ใช้ระเบียบแบบแผนเดียวกับหัวเมืองชั้นในอื่น ๆ ทำให้ราษฎรในมณฑลปัตตานีที่นับถือศาสนาอิสลามเดือดร้อน ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มต่อต้านรัฐบาลขึ้นในปี พ.ศ.2465 เนื่องจากในทางปฏิบัติกระทรวงยุติธรรมไม่ได้คำนึงถึงสภาพสังคมที่แตกต่างกัน (หน้า 71-72, 83, 89, 95) (ส่วนศาลในจังหวัดสตูลนั้นขึ้นกับกระทรวงยุติธรรมมาแต่แรก - หน้า 89) กฏหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรม (พ.ศ.2458-2475) : การปรับปรุงศาลศาสนาในมณฑลปัตตานีใหม่ภายใต้กระทรวงยุติธรรม ตำแหน่งโต๊ะกาลีที่ถูกเปลี่ยนเป็นดะโต๊ะยุติธรรม ซึ่งเป็นผู้พิพากษาในศาลศาสนา ไม่ได้มาจากการคัดเลือกของที่ประชุมโต๊ะหะยี หรือผู้รอบรู้ศาสนาอิสลามเหมือนเดิม แต่เป็นตำแหน่งที่เลือกสรรโดยความเห็นชอบของอธิบดีผู้พิพากษามณฑลปัตตานี และสมุหเทศาภิบาลมณฑลปัตตานี อีกทั้งคู่ความก็ไม่มีสิทธิเลือกโต๊ะกาลีที่ตนนับถือและพอใจให้เป็นอนุญาโตตุลาการตัดสินคดีเหมือนเดิม และแม้จะมีสิทธิอุทธรณ์ฏีกาได้ แต่ก็มีความจำเป็นน้อยกว่าการได้เลือกอนุญาโตตุลาการที่คู่ความพอใจและนับถือเป็นผู้พิจารณาคดี เนื่องจากผลออกมาเป็นอย่างไร ก็ไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์หรือฎีกาอีก (หน้า 90-91) นอกจากนี้ เพื่อความเป็นระเบียบแบบแผนเดียวกัน กระทรวงยุติธรรมได้ยกเลิกสิ่งที่กระทรวงมหาดไทยสร้างไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ราษฎรในการติดต่อกับศาล เช่น ยกเลิกศาลแขวงในอำเภอเบตง ให้ไปใช้ศาลจังหวัดยะลาแทน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทาง 6-7 วันจึงจะถึง ทำให้เดือดร้อนทั้งราษฎรไทย มุสลิม และเจ้าหน้าที่ เป็นต้น (หน้า 97) ประการต่อมาในทางปฏิบัติดะโต๊ะยุติธรรมไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินชี้ขาดเหมือนเดิม เพราะเมื่อตัดสินแล้ว ดะโต๊ะยุติธรรมต้องลงชื่อ 2 คน หรือพร้อมด้วยผู้พิพากษาศาลเมืองหรือศาลมณฑล รวมเป็น 2 นาย จึงใช้เป็นคำพิพากษาคดีแพ่งประเพณีศาสนาอิสลามได้ และในทางปฏิบัติ มองกันว่า ความเห็นของโต๊ะกาลีมักถูกบิดเบือนไปจากคำภีร์อัลกุรอานโดยผู้พิพากษาไทยเสมอ ทำให้มุสลิมในมณฑลปัตตานีไม่พอใจและลดความนิยมในศาลศาสนาลงเรื่อย ๆ ซึ่งดูได้จากตัวเลขสถิติคดีแพ่งที่เกี่ยวกับศาสนา อิสลามในระยะหลัง พ.ศ.2458 (ตารางหน้า 94) ลดลงเป็นลำดับ ราษฎรมุสลิมหันไปพึ่งผู้รอบรู้คัมภีร์อัลกุรอานที่ตัวเองนับถือและพอใจนอกศาล ให้เป็นผู้ตัดสินคดีความ (หน้า 90-93) ปี พ.ศ.2466 ที่ประชุมเสนาบดีเห็นว่า ควรจัดการศาลศาสนาให้เหมือนเมื่อก่อน พ.ศ.2458 ซึ่งโจทย์และจำเลยมุสลิมมีโอกาสเลือกโต๊ะกาลีที่ทั้งสองฝ่ายพอใจเป็นผู้ตัดสินคดี แต่ให้การศาลในมณฑลปัตตานียังคงอยู่ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมตามเดิม อย่างไรก็ตาม หากกระทรวงยุติธรรมจะออกกฏข้อบังคับอะไรในมณฑลปัตตานี จะต้องปรึกษาขอความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทยก่อน เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้ว น่าจะเป็นไปด้วยดีเหมือนที่เคยเป็นมาในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ศาลศาสนาก็ยังไม่ได้รับความนิยมจากราษฎรมุสลิมเหมือนเดิม เพราะการเลือกคนที่จะมาเป็นดะโต๊ะยุติธรรมยังคงใช้วิธีการและหลักเกณฑ์เดิม ในปี พ.ศ. 2468 มีฎีกากล่าวโทษเจ้าเมืองสายบุรี จึงทำให้รัฐบาลหันมาสนใจการดำเนินงานด้านกฏหมายและการศาลในมณฑลปัตตานีอีกครั้ง (หน้า 107-109) แต่ก็ยังยึดรูปแบบที่รัชกาลที่ 6 ทรงวางไว้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตามความเห็นของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเคยใช้เมื่อก่อนปี พ.ศ.2458 และได้ผลดี ด้วยเห็นว่า การจัดการศาลศาสนาในมณฑลปัตตานีเป็นเรื่องการเมือง ควรมีการผ่อนผันตามความจำเป็นในพื้นที่ แต่เสนาบดีส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะไม่คุ้นเคยกับหัวเมืองมลายู และไม่เข้าใจถึงลักษณะพิเศษที่แตกต่างกับมณฑลอื่น ๆ แม้จะมีเหตุการณ์ที่สื่อให้เห็นถึงข้อบกพร่องในทางปฏิบัติและความไม่พอใจของราษฎรมุสลิมแล้วก็ตาม (หน้า 112-113) กฏหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรม (พ.ศ. 2476 - 2489) : หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเลย์มุสลิมคิดว่าอาจได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง ซึ่งรวมถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมด้วย แต่ต้องผิดหวัง เพราะรัฐบาลไม่ได้ตอบสนองความต้องการดังกล่าว กฏหมายและระบบศาลใน 4 จังหวัดภาคใต้ จึงยัง คงอยู่ในรูปแบบหลักการเดิมเหมือนก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง จะก้าวหน้าเฉพาะเรื่องการร่างหลักกฏหมายอิสลามว่าด้วย ครอบครัวและมรดกเท่านั้น (หน้า 116-118) นโยบายชาตินิยมและผลกระทบที่มีต่อมาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ นโยบายรัฐนิยมของจอมพล ป.พิบูลสงคราม สร้างความไม่พอใจแก่มาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในปี พ.ศ.2486 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศใช้ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และ บรรพ 6 แทนการใช้กฏหมายอิสลามเรื่องครอบครัวและมรดกใน 4 จังหวัดภาคใต้ และเป็นการยกเลิกตำแหน่งดะโต๊ะยุติธรรมไปด้วย คือประชาชนมุสลิมทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดกเช่นเดียวกับส่วนอื่นของประเทศ ทำให้มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้เกิดความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้น จะถือว่าเป็นบาป ดังนั้น มาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้จึงหลีกเลี่ยงการขึ้นศาลไทย มักจะให้โต๊ะอิหม่ามตัดสินคดีความ และหากยังตกลงกันไม่ได้ ก็มักไปขอคำตัดสินจากศาลศาสนาในรัฐไทรบุรี ปะลิศ กลันตัน หรือตังกานู รัฐใดรัฐหนึ่ง ส่วนมาเลย์มุสลิมในปัตตานีไม่มีดินแดนติดต่อกับรัฐมลายู จึงเลือกกอฏี (โต๊ะกาลี) เพื่อตัดสินข้อพิพาท ซึ่งก็คือ หะยีสุหลง ผู้เป็นที่ยกย่องนับถือของมาเลย์มุสลิมในปัตตานี (หน้า 124-127) นอกจากนั้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาพเศรษฐกิจใน 4 จังหวัดภาคใต้ตกต่ำลง เกิดการขาดแคลนข้าว อาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภค ประสบความอดอยาก ทำให้มาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้เกิดความไม่พอใจ เพราะมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐในมาตรการปันส่วนข้าว ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการประกอบกันดังกล่าว รวมทั้งกระแสชาตินิยมมลายู จึงทำให้เกิดกระแสต้องการแยกตัวออกจากการปกครองของไทย (หน้า 129-131) ในปี พ.ศ.2489 ภายใต้รัฐบาลของ นายปรีดี พนมยงค์ ได้หันมาใช้นโยบายผ่อนปรนมากขึ้น และประกาศใช้ "พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฏหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล" และกระทรวงยุติธรรมประกาศ "หลักเกณฑ์และวิธีการ การบรรลุการแต่งตั้ง การเลื่อนอันดับ และการออกจากราชการของดะโต๊ะยุติธรรม" การประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ ทำให้การพิพากษาคดีความแพ่งเรื่องครอบครัวและมรดกของมาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ มีความแตกต่างจากคดีแพ่งในเรื่องเดียวกันที่ใช้กับภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ อย่างไรก็ตาม การผ่อนปรนดังกล่าวไม่ได้สร้างความพอใจให้มาเลย์มุสลิมดังที่รัฐบาลหวัง เนื่องจากมาเลย์มุสลิมมองว่าเป็นการถูกแทรกแซงในด้านศาสนา และเรียกร้องความเป็นอิสระในด้านศาสนาเรื่อยมา (หน้า 131-135) |
|
Belief System |
ศาสนาอิสลามมีลักษณะแตกต่างจากศาสนาอื่นที่สำคัญคือ เป็นศาสนาที่มีบทกำหนดความเชื่อและการปฏิบัติเกือบทุกแง่มุม มีคำสอนทั้งในระดับนโยบายทั่วไป และในระดับการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน สรุปแล้วแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีพฤติกรรมใดหรือแนวความคิดใดของมนุษย์ที่จะพ้นขอบข่ายของศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามจึงมิได้เป็นเพียงศาสนาหรือความเชื่อของมุสลิมเท่านั้น แต่ยังเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต หลักสำคัญที่มุสลิมถือปฏิบัติมี 5 ประการ 1. การปฏิบัติตน เพื่อเป็นการยืนยันในความเป็นเอกภาพของพระเจ้า และเป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าจะเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮเพียงองค์เดียว พร้อมกับให้คำรับรองว่าท่านบีมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ ทั้งเป็นการสัญญาว่าจะต้องปฏิบัติตามคำสอนด้วย 2. การนมาซ เป็นการเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าที่สำคัญยิ่งของศาสนาอิสลาม 3. การบริจาคทาน ทานในที่นี้หมายความรวมถึงทรัพย์สิน สติปัญญา กำลังกาย ซึ่งถือเป็นหน้าที่ปฏิบัติของมุสลิม 4. การถือศีลอด เพื่อให้รู้จักบังคับตนเองให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง ซึ่งหลักศาสนากำหนดว่าให้บังคับตนเองโดยงดกิน งดดื่ม งดร่วมประเวณี งดการประพฤติไปตามอารมณ์ฝ่ายต่ำที่ต้องห้าม การถือศีลอดนี้ได้กำหนดระยะเวลาถือปฏิบัติไว้ในพระคัมภีร์ 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ คือการไปเยือนวิหารกะอบะฮ์ (หน้า 29-30) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่าง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือในจังหวัดปัตตานี ยะลา สตูล และนราธิวาส กับไทยนั้น ทั้ง 4 จังหวัดเป็นดินแดนต่อเนื่องกันในสมัยรัตนโกสินทร์ ดินแดนส่วนนี้เป็นเมืองเดียวกัน เรียกว่า ปัตตานี หรือตานี ได้เริ่มมีความสัมพันธ์กับไทยมาตั้งแต่อยุธยา โดยมีฐานะเป็นประเทศราชของไทย และมีอิสระในการปกครองตนเองตามแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น เพียงแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายพระมหากษัตริย์ไทยทุก 3 ปี (หน้า 15) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
1. ตารางเปรียบเทียบคดีความแพ่งที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามในระยะก่อนและหลัง พ.ศ.2458 (หน้า 94) 2. แสดงลำดับการตั้งภาค อาณาเขตภาค และอุปราชภาค (หน้า 99) |
|
|