|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ศาสนา,ความเชื่อ,เชียงใหม่ |
Author |
Nusit Chindarsi |
Title |
The Religion of the Hmong Njua |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
197 |
Year |
2519 |
Source |
Bangkok : The Siam Society |
Abstract |
งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี ขวัญ และโชคลาง จักรวาลวิทยาของม้งจั้วะที่บ้านแม่โถ โดยการเข้าไปสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมในพิธีกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และพิธีกรรมแห่งวงจรชีวิต ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการจัดความสัมพันธ์ทางสังคมภายในครอบครัว กลุ่มย่อย และชุมชน โดยผ่านรายละเอียดของขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มย่อย เช่น เรื่องเล่าตำนานถึงสาเหตุที่มีข้อปฏิบัติปลีกย่อยที่ต่างกัน และการแบ่งปันส่วนของเนื้อสัตว์ที่ใช้บวงสรวงในพิธีกรรมให้กับผู้ที่มาร่วมพิธี (หน้า 114-119, 122-125) |
|
Focus |
ศึกษาความเชื่อ พิธีกรรมในชีวิตของม้งจัวะที่บ้านแม่โถ |
|
Theoretical Issues |
งานชิ้นนี้มุ่งศึกษาระบบความเชื่อ จักรวาลวิทยา และการนับถือผีของม้งจ๊วะที่บ้านแม่โถ ที่ส่งผลให้เกิดการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และวงจรชีวิตของชุมชน เป็นงานชาติพันธุ์วรรณนาที่ศึกษาและบันทึกข้อมูลอย่างละเอียดทั้งทางด้านสถิติ และรายละเอียดของพิธีกรรม พร้อมทั้งเชื่อมโยงให้เห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรมในฐานะเครื่องบ่งชี้ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ (ย่อย) เดียวกัน และสร้างเอกภาพในหมู่ม้ง พิธีกรรมความเชื่อยังเป็นการควบคุมทางสังคมที่ช่วยให้ชุมชนม้งสามารถจัดการกับปัญหาวิกฤติต่าง ๆ ได้ในสภาวะของหมู่บ้านที่ห่างไกล ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภค |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง หรือที่ถูกเรียกว่า แม้ว เน้นเฉพาะม้งจั๊วะ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ม้งน้ำเงิน (น.5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้งจั๊วะพูดภาษาม้งจั๊วะ แต่ก็สามารถพูดภาษาของจีนยูนนาน ไทยล้านนา กะเหรี่ยงได้เพื่อการค้าขายและติดต่อกัน แต่ผู้ที่เข้าร่วมในพิธีกรรมจะพูดภาษาม้งเท่านั้น ห้ามพูดภาษาอื่น |
|
Study Period (Data Collection) |
ศึกษาด้วยการลงภาคสนาม ตั้งแต่ธันวาคม ค.ศ. 1964 - ธันวาคม ค.ศ. 1967 |
|
History of the Group and Community |
กล่าวถึงประวัติคร่าว ๆ ว่าม้งอพยพมาจากจีน ผ่านมาทางอันนัม (เวียดนาม) เข้าไทย ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 18-19 (หน้า 2) |
|
Settlement Pattern |
ตั้งถิ่นฐานอยู่บนแนวสันเขา ซึ่งมีหุบเขา นิยมตั้งบ้านบนที่ลาดซึ่งล้อมรอบด้วยแนวเขา เพราะระบายน้ำได้ดีในฤดูฝน และมีแนวกันลมมรสุม มีแหล่งน้ำ ซึ่งการเลือกทำเลที่ดีนี้ใช้กับการเลือกที่ฝังศพด้วย สาเหตุที่ม้งที่แม่โถเลือกตั้งบ้านที่เนินลาดของ Umlong เพราะห่างจากบริเวณเพาะปลูก สัตว์เลี้ยงจึงไม่เข้าไปทำให้พื้นที่เพาะปลูกเสียหาย และพวกเขาต้องการซ่อนไร่ฝิ่นไม่ให้บุคคลจากภายนอกเห็น โดยเฉพาะตำรวจ เพราะฝิ่นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย พวกเขาอาจต้องจ่ายค่าคุ้มครอง (หน้า 5-6) ม้งชอบอยู่รวมกับเครือญาติเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีการย้ายถิ่นฐานเมื่อดินหมดความสมบูรณ์แล้ว โดยจะย้ายไปอาศัยญาติที่แห่งอื่น ๆ ซึ่งมีที่ดิน ในปี ค.ศ.1965 ม้งที่แม่โถแยกกันตั้งบ้านเป็น 7 กลุ่ม กลุ่ม A ใหญ่ที่สุดมีบ้าน 21 หลังอยู่แนวเขา Umlong เป็นกลุ่มแรกที่มาตั้งรกราก กลุ่ม B มี 5 หลัง กลุ่ม C มี 6 หลังอยู่ตามแนวลำธาร กลุ่ม D อยู่ห่างออกไปในหุบเขาลึก กลุ่ม E อยู่อีกด้านหนึ่งของเขา กลุ่ม F มี 4 หลังห่างไปทางตะวันตกเฉียงใต้ กลุ่มโบเระ (Boreh) มี 7 หลัง ห่างจากกลุ่ม A 2 ไมล์ ระหว่างทางไปพื้นที่เพาะปลูก (ภาพถ่ายทางอากาศของหมู่บ้าน) (ลักษณะบ้านม้งดูหัวข้อ Art and Crafts) |
|
Demography |
จากการสำรวจของรัฐบาลไทยเมื่อปี ค.ศ.1965 มีม้งอยู่ในประเทศไทยประมาณ 53,031 คน ใน 8 จังหวัด แต่จำนวนนั้นสำรวจจากพื้นที่ระดับความสูง 600 เมตรเท่านั้น จึงคาดว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่าที่ได้จากการสำรวจ เพราะหมู่บ้านม้งส่วนใหญ่อยู่ที่ความสูง 3,500-5,000 ฟุต ( ตาราง หน้า 2-4) หมู่บ้านที่ศึกษามีประชากร 570 คน ชาย 262 คนและหญิง 308 คน มาจาก 4 ตระกูลแซ่ แซ่ตั้งเป็นกลุ่มใหญ่สุด รองลงมาคือ แซ่หวาง แซ่จาง และแซ่หยาง (หน้า 6) เมื่อที่ดินเริ่มหมดความอุดมสมบูรณ์ก็จะมีม้งบางส่วนอพยพออกไปหาที่อยู่ใหม่กับญาติที่อื่น เพราะสามารถช่วยเหลือกันได้และมาร่วมงานศพได้ ปลายปี ค.ศ.1965 ม้งแซ่ตั้ง 6 หลังคาเรือน ซึ่งย้ายมาที่ Umlong ในต้นปี 1964 ได้ย้ายกลับไปหมู่บ้านเก่าที่เชียงราย เพราะไม่มีที่พอทำกิน ที่ส่วนใหญ่ถูกกะเหรี่ยงครอบครองอยู่ ทำให้กลุ่มแซ่หวางบางคนคิดที่จะย้ายไปหาญาติที่บ้านห้วยงูใน จ.ตาก ด้วย แต่หัวหน้าหมู่บ้านก็ยับยั้งไว้ แต่ก็ได้เพียงชั่วคราวเมื่อกลุ่มแรกย้ายไป กลุ่มอื่น ๆ ที่เหลือก็ย้ายด้วย (หน้า 7) นอกจากนี้หากเกิดเหตุการณ์ณ์ที่สัตว์เลี้ยงเป็นโรค หรือเหตุร้ายอื่น เช่น เสือเข้ามากินสัตว์เลี้ยง หัวหน้าบ้านป่วย ก็ถือเป็นลางบอกเหตุว่าผีประจำหมู่บ้านไม่ปกป้องแล้ว หากทำการเซ่นบวงสรวงแล้ว ผลผลิตยังไม่ดีก็จะมีการโยกย้ายไปที่อื่น ปี 1966 เมื่อกลุ่มแซ่หวางย้ายไปอยู่กับญาติที่ตาก อีก 6 ครอบครัว (28 คน) ก็อพยพไปอยู่ที่บ้าน Mena อ.เชียงดาว จากนั้นกลุ่มแซ่ตั้งอีก 40 คนก็ย้ายตามไปเช่นกัน (หน้า 8) อีกสาเหตุที่ทำให้ม้งต้องย้ายถิ่นก็เป็นเพราะฝิ่นเป็นสิ่งผิดกฎหมายในไทย เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลตรวจพบ พวกเขาจึงต้องอพยพหนี (หน้า 10) |
|
Economy |
ม้งที่หมู่บ้านนี้ยังชีพจากการปลูกข้าวและฝิ่น มีการจ้างแรงงานจากชนต่างเผ่า เช่น กะเหรี่ยง ลัวะ มาช่วยงานในไร่ด้วย นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์พวกหมู ไก่ วัว ซึ่งเป็นของที่ใช้บวงสรวงในพิธีกรรมต่าง ๆ และเป็นค่าสินสอดในการสู่ขอผู้หญิง |
|
Social Organization |
ครอบครัวม้งมีขนาดใหญ่ เพราะม้งนิยมมีภรรยาหลายคน ต้องการมีลูกจำนวนมาก (เพื่อเป็นแรงงานในการทำไร่และกระทำพิธีศพอย่างใหญ่โต) โดยเฉพาะลูกผู้ชาย เพราะถือว่ามีสถานะสูงกว่าหญิง ผู้หญิงมีสถานะต่ำและถือเป็นสมบัติของบ้านสามีเมื่อแต่งงานไปแล้ว ต้องทำงานหนักตลอดแม้ในยามท้อง การสืบสายตระกูลจะยึดตามแซ่ของฝ่ายชายเป็นหลัก (หน้า 71-75) ในการสู่ขอหญิงสาวมาแต่งงาน ฝ่ายชายจะต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้แก่พ่อแม่ฝ่ายหญิงเป็นเงิน หมู และไก่ (หน้า 76) เมื่อแต่งงานแล้วหญิงถือเป็นสมบัติของบ้านสามี ไม่สามารถส่งเงินกลับไปให้พ่อแม่ได้ กรณีที่ทะเลาะถูกสามีทุบตีขับไล่ หากกลับไปหาพ่อแม่จะอยู่ร่วมบ้านเดิมไม่ได้ ต้องสร้างบ้านหลังใหม่ให้ เพราะถือว่าไปไหว้ผีตระกูลสามีแล้ว กรณีที่สามีจะมารับกลับก็ต้องจ่ายค่าชดใช้ให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงอีกครั้ง หากสามีตาย จะแต่งงานใหม่ ก็จะต้องจ่ายเงินให้แก่พ่อแม่สามีเก่า ผู้ชายม้งจะมี 3 ชื่อ ตั้งชื่อแรกเมื่ออายุ 3 วันรับเข้าเป็นมนุษย์ อีกชื่อตั้งขึ้นเพื่อบอกลำดับการเกิด และชื่อสุดท้ายตั้งให้โดยพ่อตาเมื่อมีลูก (หน้า 81) ม้งมักอยู่รวมกันในกลุ่มแซ่เดียวกัน และกลุ่มย่อยของเครือญาติ (subgroup) มีความนับถือในผู้อาวุโส โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้เป็นหมอรักษา เรียกว่า Glunggler (priest) และคนทรงเรียงว่าเน้ง (shaman) ซึ่งส่วนใหญ่หมอทรงประจำแซ่จะมีบทบาทเป็นผู้นำกลุ่ม เพราะสามารถทำพิธีป้องกันผีมารบกวนหมู่บ้านและช่วยรักษาโรคได้ ชาวบ้านมักจะนิยมขอให้คนทรงแซ่เดียวกันทำพิธีให้ หมอทรงจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญได้รับการนับถือ (หน้า 44-46) |
|
Political Organization |
เนื่องจากรัฐไทย มีการแต่งตั้งกำนันเป็นผู้ดูแลระดับตำบล แต่ในหมู่บ้านม้งแต่ละแห่งจะให้เลือกผู้ใหญ่บ้านกันเอง เมื่อมีปัญหาขัดแย้งภายในกลุ่มม้งด้วยกัน ผู้ใหญ่บ้านจะทำหน้าที่ตัดสิน หากตกลงกันไม่ได้จริง ๆ จึงจะนำมาปรึกษากำนันให้ช่วยตัดสิน (หน้า 47) หรือหากมีข้อพิพาทระหว่างม้งกับคนกลุ่มอื่น ก็อาจทำการฟ้องร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีในชั้นศาล แต่โดยทั่วไปม้งไม่นิยมติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพราะม้งปลูกฝิ่นซึ่งถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย |
|
Belief System |
ม้งมีความเชื่อเรื่องผีต่าง ๆ ทั้งผีในธรรมชาติ ผีบ้าน ผีบรรพบุรุษ และเชื่อว่าผีเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน การทำมาหากิน (หน้า 17-33) จึงมีพิธีกรรมบูชาผีต่าง ๆ ทั้งผีบรรพบุรุษ ผีบ้าน ผีประตู ผีเสากลางบ้าน ผีเน้งเพื่อถามสาเหตุของโรค โดยผ่านทางคนทรง หรือการเสี่ยงทายเขาสัตว์หรือกระดูกไก่ ซึ่งจะทำนายได้ทั้งกระดูกตีนไก่และกระดูกสะโพก หากอุ้งตีนไก่มีรูปทรงงอคดไปด้านซ้ายขวาหรือด้านหลัง ก็หมายถึงลางร้าย หากเป็นสีแดงก็หมายถึงลางดี กระดูกสะโพกจะหมายถึงกลุ่มคนหรือครัวเรือน หากส่วนบนและล่างมีรูพอๆ กัน หรือส่วนบนมีรูมากกว่า หมายถึงลางดี เป็นต้น (หน้า 49-51) นอกจากนี้ยังเชื่อเรื่องลางบอกเหตุ เช่น จะถางที่ปลูกบ้าน จะสู่ขอหญิงให้ลูกชาย หากระหว่างนั้นพบงู เสือหมี ก็จะถือว่าเป็นลางร้ายและยกเลิกการกระทำนั้นเสีย ม้งมีความเชื่อว่าก่อนเกิดจะต้องจับฉลากใบอนุญาตมีอายุขัยในโลก มีความเชื่อเรื่องขวัญ (ฮูปลี) (หน้า 29-30) เมื่อเด็กเกิดได้ 3 วัน ก็จะทำพิธีรับเข้าเป็นสมาชิกมนุษย์ (หน้า 65) เมื่อเวลาเสียชีวิตก็นิยมจัดงานศพอย่างใหญ่โต เพราะถือกันว่าหากไม่มีพิธีศพใหญ่โต จะทำให้วิญญาณไปรวมอยู่ระดับเดียวกับสัตว์ (หน้า 10) ขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ จะมีข้อปลีกย่อยที่แตกต่างกันภายในกลุ่มย่อย ซึ่งจะสืบทอดต่อกันมารุ่นต่อรุ่นและถือเป็นตัวแบ่งว่าใครเป็นสมาชิกของกลุ่มย่อยใด (หน้า 113) เทศกาลปีใหม่ถือเป็นพิธีสำคัญ ม้งเชื่อว่าหากเริ่มต้นปีอย่างดีก็จะนำมาซึ่งโชคดีตลอดปี ดังนั้นม้งทั้งหมดจะหยุดงานมารวมตัวกัน อาจมีการเลื่อนกำหนดออกไปภายใน 15 วัน เพื่อให้คนส่วนใหญ่เก็บเกี่ยวเสร็จและสามารถหยุดงานมาร่วมฉลองได้ มีการทำพิธีบวงสรวงผีในแต่ละบ้านและทุกครอบครัวจะมารวมกันเซ่นบวงสรวงหมูและไก่ด้วย ปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่หนุ่มสาวจะได้ผูกสัมพันธ์ พบปะและเลือกคู่ ดังนั้น จึงมักแต่งชุดที่ดีที่สุด เล่นเกมโยนลูกช่วงและร้องเพลงเล่นดนตรีอย่างสนุกสนาน และมีการไปเยี่ยมเยียนหมู่บ้านอื่นๆ ที่จัดงานไม่ตรงกันด้วย ในวันที่สามหรือวันสุดท้ายของเทศกาลทุกบ้านจะต้องจุดธูปบอกกล่าวผีทั้งหลายว่างานฉลองได้สิ้นสุดลงแล้ว ขอให้คุ้มครองคนในบ้านและนำโชคดีมาสู่ชีวิต จากนั้นจึงจะกลับไปเริ่มทำงานอีกครั้ง (หน้า 136-139) |
|
Education and Socialization |
ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ จะมีการเชิญญาติใกล้ชิดมาร่วมด้วย ซึ่งมักจะนำลูกชายติดตามไปด้วย การทำเช่นนี้เป็นวิธีสั่งสอนอบรมให้เด็กได้เห็นและจดจำ และสืบทอดการประกอบพิธีซึ่งเจ้าบ้านที่เป็นชายจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติต่อไป |
|
Health and Medicine |
ม้งไม่มีความคิดเรื่องโรคภัยเกิดจากเชื้อโรค แม้จะมีความรู้เรื่องสมุนไพรที่ใช้รักษาบาดแผลและอาการเจ็บป่วยภายนอก เช่น การใช้ฝิ่น เป็นต้น แต่พวกเขาก็เชื่อว่าการที่ขวัญหาย หรือ ผีไม่พอใจเป็นสาเหตุให้เขาเจ็บป่วย การรักษาความเจ็บป่วยนั้นจึงต้องทำพิธีเซ่นบวงสรวงผี โดยผ่านหมอทรง ซึ่งจะเป็นผู้ค้นหาสาเหตุว่าเป็นเพราะละเมิดต่อผีใดและเซ่นสังเวยแก่ผีนั้น ซึ่งอาจทำได้หลายครั้ง และถ้าไม่สามารถรักษาได้ ก็หมายถึงอายุขัยที่คนนั้นมีได้หมดสิ้นลงแล้ว ผู้ศึกษาได้บันทึกสถิติและจำแนกพิธีการรักษาโรคในระหว่างการเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างละเอียด ดูตาราง 1-8 (หน้า 101-103) ซึ่งโรคที่เป็นมากที่สุดคือ ปวดท้อง รองลงมาคือ ปวดหัว เป็นไข้ อ่อนเปลี้ย (ตาราง 7 หน้า 102) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะบ้านม้ง (หน้า15) ปลูกคร่อมพื้นดิน และยกแคร่สูงประมาณ 1.5 ฟุตเพื่อเป็นห้องนอน โดยทั่วไปบ้านม้งจะมี 2 ประตู แต่ม้งจั๊วะจะมีประตูเดียว มีเตาเล็ก และเตาใหญ่ ทุกส่วนในบ้านของม้งถือว่ามีผีคุ้มครองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสากลางบ้าน ประตู เตาไฟ ในบ้านมักไม่มีหน้าต่าง ผนังบริเวณตรงข้ามประตูจะเป็นที่ไว้หิ้งผีเน้งและเป็นที่ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ การแต่งกาย - ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีการแต่งกายชุดม้ง ประดับด้วยเงินอย่างสวยงาม สวมห่วงคอเงินและแหวน เพื่อแสดงถึงฐานะและดึงดูดใจเพื่อนต่างเพศ (หน้า 136) ดูภาพ Girl playing ball และ Boy playing pan pipes |
|
Folklore |
ม้งมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพเจ้า และวิญญาณต่างๆ ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์เป็นจำนวนมาก เรื่องเล่าเหล่านี้มีผลต่อการควบคุมทางสังคมในชุมชนด้วย ในเรื่องของกำเนิดมนุษย์และโลกนั้น มีเรื่องเล่าว่า เดิมมีม้งคู่หนึ่งมีลูกชายและลูกสาว ได้ทราบจากมังกรว่าน้ำจะท่วมโลก จึงสร้างกลองและใส่ลูก ๆ ไว้ในนั้น เมื่อ Yoso เทพเจ้าสูงสุดทราบว่าน้ำท่วมโลกจึงให้เทพทั้ง 4 มาช่วย เมื่อน้ำแห้งทุกสรรพสิ่งตายหมด เหลือเพียงชายหญิงที่อยู่ในกลอง เทพจึงให้ทั้งคู่แต่งงานกัน คลอดออกมาเป็นก้อนเนื้อ เทพให้ทั้งสองตัดเนื้อเป็นชิ้นเล็กและโยนไปทุกทิศเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งคนและสัตว์ขึ้นมา (หน้า 19-20) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้งรู้สึกว่าสถานะของม้งสูงกว่าคนกลุ่มอื่นที่อยู่รอบข้าง ดังนั้นจึงไม่นิยมแต่งงานกับคนนอกกลุ่ม ความสัมพันธ์กับกะเหรี่ยง - โดยทั่วไปจะมีการติดต่อค้าขายกัน และบางกรณีมีกะเหรี่ยงที่ติดฝิ่นมาทำงานเป็นแรงงานรับจ้างราคาถูกให้ม้งเพื่อแลกกับฝิ่น เนื่องจากม้งที่แม่โถอยู่อาศัยใกล้เคียงกับกะเหรี่ยงจึงมีความขัดแย้งเรื่องที่ดิน เพราะม้งเข้าไปใช้ที่ดินของกะเหรี่ยง ทำให้กะเหรี่ยงไม่พอใจแต่ก็กลัวเพราะม้งมีปืน จึงใช้วิธีขโมยพืชผลหรือปล่อยให้สัตว์เข้าไปในไร่ทำให้พืชผลเสียหาย ส่วนม้งเองก็หวาดกลัวคาถาอาคมของกะเหรี่ยงที่ทำให้ถึงแก่เสียชีวิตได้ จึงไม่มีการเผชิญหน้าอย่างตรง ๆ แต่จะใช้วิธีฟ้องร้องต่อตำรวจและสู้คดีในชั้นศาล ความสัมพันธ์กันชาวจีนยูนนาน ซึ่งเป็นพ่อค้าเร่ เป็นไปในลักษณะที่ม้งกู้ยืมเงินมาและขายฝิ่นให้ ความสัมพันธ์กับลัวะที่อยู่มาก่อน ก็จะเป็นแรงงานรับจ้างราคาถูกในไร่ม้ง มีกรณีที่ม้งไปรุกล้ำที่ดินที่ลัวะกันไว้ให้วิญญาณบรรพบุรุษ ลัวะจะไปแจ้งตำรวจ ม้งกลัวตำรวจเพราะปลูกฝิ่น จึงยอมถอนออกจากที่นั้น (หน้า 12-14) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เดิมม้งจะเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อใช้บวงสรวงในพิธีกรรม ซึ่งมีขึ้นตลอดวงจรชีวิต ไม่ได้เลี้ยงเพื่อจำหน่าย ต่อมาเกิดการเปลี่ยนครั้งสำคัญในปี 1967 ม้งที่แม่โถนำหมูจำนวนมากไปขายที่ตลาดในอำเภอแม่สะเรียง ผู้วิจัยสันนิษฐานว่าม้งคงจะพบว่าการรักษาด้วยยาสมัยใหม่นั้นได้ผลกว่าวิธีรักษาแบบดั้งเดิมของตน ประกอบกับไม่มีเงินซื้อข้าวจึงได้นำหมูมาขายพร้อมกัน เพื่อจะได้ไม่ละอายใจในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน (หน้า 143-144) |
|
Map/Illustration |
- ภาพถ่ายทางอากาศของหมู่บ้าน - ภาพ Girl playing ball และ Boy playing pan pipes - ลักษณะบ้านม้ง หน้า 15 - ตาราง 1-8 บันทึกสถิติและจำแนกพิธีการรักษาโรค หน้า 101-103 |
|
|