|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
จีนยูนนาน,อพยพ,กองพล 93,การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ,การเมือง,ชายแดนภาคเหนือ |
Author |
กฤษณา เจริญวงศ์ |
Title |
การศึกษากลุ่มคนจีนอพยพ (กองพล93) ในเขตชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย : การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
จีนยูนนาน จีนฮ่อ มุสลิมยูนนาน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
83 |
Year |
2533 |
Source |
สถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่ |
Abstract |
กลุ่มคนจีนอพยพอดีตทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทยบริเวณภาคเหนือของ 3 จังหวัด ซึ่งไม่ยอมกลับประเทศไต้หวัน ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในจีนตั้งแต่ พ.ศ.2492 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเมือง และเหตุผลส่วนตัวเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนดังกล่าวได้ถูกถือว่าเป็นผู้อพยพ โดยถือว่ามีสถานภาพเป็นชนกลุ่มน้อย กลุ่มหนึ่งในประเทศไทย ทั้งนี้จะเห็นว่าระยะเวลาการอยู่อาศัยที่ผ่านมาเป็นเวลาถึง 30 ปีแล้ว คนกลุ่มนี้ยังยืนหยัดที่จะอยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องการอพยพออกไปที่อื่น อีกทั้งยังพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดการยอมรับจากสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ โดยพยายามยอมรับข้อตกลง หรือข้อแลกเปลี่ยนทางกฎหมายอย่างถูกต้องในแต่ละช่วงสมัย ทั้งนี้ก็เพื่อหวังจะได้รับการ ยอมรับจากคนไทยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางรัฐบาลไทยที่ยื่นข้อเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนกับการจะได้รับสัญชาติเหมือน เช่นคนไทยทั่ว ๆ ไป (หน้า 77-79) |
|
Focus |
ศึกษากลุ่มคนจีนอพยพ (กองพล 93) ในเขตชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อศึกษานโยบายและการปฏิบัติของ รัฐบาลไทยต่อกลุ่มคนจีนอพยพ (อดีตทหารจีนคณะชาติ) และศึกษาถึงบทบาทและสถานภาพของกลุ่มคนจีนอพยพที่มี ต่อการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทย (หน้า ซ.) |
|
Ethnic Group in the Focus |
การศึกษาจำกัดเฉพาะกลุ่มคนจีนอพยพทางภาคพื้นดิน แบ่งออกเป็น 2 พวก ได้แก่ จีนฮ่ออพยพ กับอดีตทหารจีนคณะชาติ หรือที่เรียกว่า ก๊กมินตั๋ง (หน้า ฌ., 1 ) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
อดีตทหารจีนคณะชาติภายใต้ชื่อกองพล 93 หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า "ก๊กมินตั๋ง" ที่เข้ามาอยู่อาศัยตามพื้นที่เขตชายแดน ภาคเหนือของประเทศไทยซึ่งในขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพจีนคณะชาติได้ช่วยเหลือกลุ่มพันธมิตรเพื่อต่อต้าน ญี่ปุ่น โดยฝ่ายจีนคณะชาติได้จัดกำลังป้องกันมณฑลยูนนานภายใต้กองทัพที่ 13 ซึ่งมีกองพล 93 เป็นหน่วยรองหน่วยหนึ่ง ที่ได้รับผิดชอบในเขตพื้นที่สิบสองปันนาและมีกองบัญชาการอยู่ที่ซือเหมา เมื่อไทยส่งกองทัพไปรบที่เชียงตุง ในรัฐฉาน ของพม่า จึงพอรู้จักชื่อกองพล 93 ที่ถูกส่งมาช่วยอังกฤษในพม่า เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงภายในประเทศจีนได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมีประธานเหมา เจ๋อ ตุง เป็นผู้นำกับฝ่ายก๊กมินตั๋ง (จีนชาติ) ซึ่งมีจอมพลเจียงไค เช็ค เป็นหัวหน้าและเป็นรัฐบาลปริหารประเทศจีนด้วย ปรากฏว่าฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนประสบชัยชนะได้ครอบครองผืนแผ่นดินใหญ่ทั้งหมด อันมีผลให้จอมพลเจียงไคเช็คอพยพ ไปตั้งรากฐานใหม่ที่เกาะฟอร์โมซาอันเป็นที่มาของประเทศไต้หวันในปัจจุบัน กองทัพจีนคณะชาติที่มณฑลยูนนานจึงถูกตัดขาดจากกองกำลังส่วนใหญ่ไม่สามารถต้านทานกำลังของกองทัพคอมมิวนิสต์จีน ได้แยกกำลังออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งถอนตัวไปในเวียดนาม อีกส่วนหนึ่งอพยพเข้าอยู่ในรัฐฉาน คือ กองพลที่ 93 สังกัดกองทัพที่ 13 และกองพลที่ 26 สังกัดกองทัพที่ 8 มีนายพล หลีหมิง แม่ทัพกองทัพที่ 8 เป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งขณะนั้นกองพลที่ 93 มีกำลังพลประมาณ 1,700 คน และในระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2492 - มีนาคม พ.ศ.2493 ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปในบริเวณรัฐฉาน รัฐว้า และเชียงตุงของสหภาพพม่า โดยตั้งกองบัญชาการขึ้นที่ท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การกวาดล้างของรัฐบาลพม่าอย่างจริงจังตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2503 ทำให้ทหารจีนคณะชาติต้อง ถอยร่นเข้ามาอยู่ในประเทศไทย (หน้า 1-4) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะภูมิประเทศตามแนวชายแดนภาคเหนือของประเทศไทยที่ติดต่อกับเขตแดนของพม่าเป็นลักษณะป่าทึบและภูเขาสูง ทำให้การคมนาคมไม่สะดวก การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องอาศัยการเดินด้วยเท้าหรือมีม้าเป็นพาหนะเท่านั้น โดยไม่มีหมู่บ้านของชาวไทยอาศัยอยู่ตามบริเวณนั้น มีแค่ชาวเขาอาศัยอยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น อดีตทหารจีนคณะชาติเห็น ว่าพื้นที่บริเวณนั้นเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย จึงได้ตั้งค่ายพักอยู่บริเวณนั้น กองกำลังจีนคณะชาติแบ่งค่ายที่พักส่วนหนึ่งเป็นกองบัญชาการเพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน ติดต่อสื่อสารโดยวิทยุ กับค่ายทหารที่กระจายกันออกไปตามเนินเขาหลาย ๆ ลูก นอกจากนั้นยังมีโรงฝึกของพวกทหาร สถานพยาบาล อาคารเรียน โรงซ่อมอุปกรณ์ และโรงเลี้ยงม้า บริเวณรอบนอกของค่ายใช้เป็นที่พักของทหารและครอบครัว ลักษณะของการสร้างค่าย จะเหมือนหมู่บ้านทั่ว ๆ ไป อาคารและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ส่วนมากก็เป็นวัสดุที่หาได้ในพื้นที่ เช่น ฝ้าไม้ไผ่ หลังคามุงแฝก หรืออาจทำฝาด้วยการนำดินมาปั้นเป็นผนัง เป็นที่น่าสังเกตว่าลักษณะการก่อสร้างนั้นสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และ ดินฟ้าอากาศที่หนาว นอกจากนั้นภายในบ้านเรือนยังคงลักษณะความเป็นวัฒนธรรมจีนให้เห็นอีกด้วย (หน้า7-9) |
|
Demography |
ถ้านับจากการอพยพครั้งสุดท้ายของทหารจีนคณะชาติ (กองพลที่ 93) ในประเทศไทยมีประมาณ 4,000 คน ประเทศลาวมีประมาณ 1,700 คน และอาจมีบางส่วนคงอยู่ในรัฐฉานของพม่าด้วย (หน้า6) |
|
Economy |
เนื่องจากกลุ่มคนจีนอพยพเดิมเป็นทหารโดยอาชีพทำให้คนพวกนี้ไม่มีความสามารถที่จะประกอบอาชีพอื่น และด้วยบริเวณที่อพยพมาอยู่อาศัยลักษณะเป็นป่าทึบ ภูเขาสูง สภาพพื้นที่แห้งแล้วและทุรกันดาร ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ จากสภาพ ความเป็นอยู่ทำให้คนจีนอพยพไปเกี่ยวข้องกับปลูกฝิ่น ซึ่งในประเทศไทยถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในระยะเวลาต่อมามีการพัฒนาทำให้ฝิ่นถูกแปรสภาพเป็นเฮโรอีนซึ่งเป็นสิ่งเสพติดที่ร้ายแรงกว่า กับราคาที่สูงขึ้นด้วย ทำให้รัฐบาลไทยมองกลุ่มคนจีนอพยพไม่ว่าจะเป็นพลเรือน อดีต ทจช.หรือที่เรียกว่า "จีนฮ่อ" ว่าเป็นผู้ค้าสิ่งผิดกฎหมาย และเป็นพวกที่สามารถแสวงหาความ ร่ำรวยได้จากการค้าสิ่งผิดกฎหมายในสายตาของคนภายนอก ลักษณะดังกล่าวทำให้กลุ่มคนพวกนี้นำเงินทุนที่มีอยู่ไปประกอบอาชีพอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายอันจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางรายได้เพิ่มขึ้นทั้งโดยทางตรง และทางอ้อมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ถ้าพิจารณามองในภาพรวมแล้วกลุ่มคนจีนอพยพเพียงส่วนน้อยที่ฐานะทางเศรษฐกิจสูง ส่วนมากมีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ (หน้า 73-75) |
|
Political Organization |
ด้วยลักษณะแห่งการเข้ามาอยู่อาศัยของกลุ่มคนจีนอพยพกลุ่มนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม โดยมีลักษณะเป็นกองกำลังทหารที่ติดอาวุธ ดังนั้นเมื่อเข้ามาอาศัยอยู่ในชายแดนบริเวณภาคเหนือของไทยในตอนแรก (พ.ศ.2504) ก็ยังคงเป็นกองกำลังติดอาวุธเหมือนเดิม บริเวณชุมชนที่อาศัยอยู่ในระยะแรกก็มีลักษณะเป็นทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ด้วยลักษณะการเป็นกองกำลังติดอาวุธแต่เดิม จึงก่อให้เกิดปัญหาการเมือง กล่าวคือ นอกจากจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับการให้ที่พักพิงกองกำลังทหารของจีนคณะชาติ ซึ่งมีผลต่อการแทรกซึมและก่อการ ร้ายของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์มากขึ้น นอกจากนั้นยังกระทบความสัมพันธ์ กับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่า ซึ่งมีเขตแดนติดต่อกันประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาชนกลุ่มน้อยสัญชาติพม่า ซึ่งทหารจีนอพยพได้เข้าไปเกี่ยวข้องและให้การสนับสนุนด้วย เนื่องจากที่ตั้งเอื้ออำนวยจึงเป็นโอกาสให้บรรดากบฏพม่ากลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งชนกลุ่มน้อยสัญชาติพม่าได้เข้ามาอาศัยอยู่ตามบริเวณชายแดนในเขตไทย ดังนั้นการเข้ามาอยู่อาศัยของกองกำลังอดีตทหารจีนอพยพ นับว่าเป็นประเด็นปัญหาที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงทางการเมืองภายในของรัฐบาลในแต่ละ สมัย (หน้า 59) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
นโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาลต่ออดีตทหารจีนคณะชาติอพยพช่วง พ.ศ. 2513-2527 เนื่องจากกองทหารจีนอพยพเป็นกองกำลังติดอาวุธ ดังนั้นการอยู่ของทหารจีนในเขตชายแดนไทยที่ติดกับพม่า จึงเป็นกรณี ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับพม่า ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้รัฐบาลไทยได้มีการเจรจาเพื่อหาทางแก้ปัญหากลุ่มทหาร จีนอพยพ โดยผลออกมาคือทหารจีนอพยพทั้งสองกอง (กองทัพที่ 3 และ 5) สามารถอาศัยอยู่ระหว่างประเทศไทยได้ในฐานะ ผู้อพยพในเขตพื้นที่ที่เคยอาศัยอยู่ในขณะนั้น แต่แบ่งคนส่วนหนึ่งไปอยู่ในพื้นที่ดอยหลวง และดอยผาหม่น จังหวัดเชียงราย เพื่อเตรียมเป็นที่อยู่อาศัยและทำกิน โดยรัฐบาลไทยมีลักษณะการดำเนินการต่อทหารจีนอพยพและครอบครัว กองทัพ 3 และ 5 ดังนี้ 1. สำรวจจำนวนคนและอาวุธ เพื่อจะได้ควบคุมได้ ตลอดจนการทำบัตรประจำตัวของคนจีนอพยพ 2. โยกย้ายทหารจีนอพยพและครอบครัวบางส่วนจากที่อยู่เดิมเข้าไปในพื้นที่ที่มีการคุกคามและรบกวนอยู่ตลอดเวลา 3. จัดตั้งหมู่บ้าน โดยการอพยพของทหารจีนเข้ามาอาศัยอยู่ในเขต อ.ฝาง อ.เชียงดาว ของจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้ง อ.แม่จัน จังหวัดเชียงราย เป็นไปโดยอิสระ แต่ทางราชการจะต้องเข้าไปปรับปรุงหมู่บ้านของคนจีนอพยพใหม่ รวมทั้ง ส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ และจัดการปกครองด้วย (หน้า 16-20) |
|
|