|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลีซอ,ปัญหาความยากจน,การตั้งถิ่นฐาน,เชียงใหม่ |
Author |
Sittechai Singhasakares, Kuppin Simbolon, Ricky Alisky Martin |
Title |
A Community Forestry Program for The Lisu Settlement Ban Tung Ku Village, Prao District, Chiang Mai Province, Thailand |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลีซู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
40 |
Year |
2531 |
Source |
Regional Community Forestry Training Center, Faculty of Forestry, Kasetsart University, Bangkok |
Abstract |
งานชิ้นนี้ศึกษาการตั้งถิ่นฐานของลีซอที่หมู่บ้าน บ้านทุ่งกู่ (Ban Tung Ku) อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากชุมชน ที่อยู่ไม่เป็นหลักเเหล่งมาเป็นหมู่บ้านถาวรกว่า 20 ปีเเล้ว พบว่าชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาต่ำกว่ามาตรฐาน ความยากจน ทำให้ต้องพยายามดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอดด้วยการเกษตรกรรม แม้จะต้องรุกล้ำพื้นที่ป่าก็ตาม |
|
Focus |
การตั้งถิ่นฐานของชาวเขาเผ่าลีซอที่หมู่บ้าน บ้านทุ่งกู่ (Ban Tung Ku) ซึ่งมีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของวิถีชีวิตของลีซอเอง และความแตกต่างทางวัฒนธรรมและที่ต้องเผชิญ เมื่อต้องย้ายจากที่สูงสู่ที่ราบ (หน้า 1) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนศึกษาชาวเขาเผ่าลีซอ ซึ่งจะอยู่กระจัดกระจายออกไปในภาคเหนือ ชาวเขาเผ่าลีซอในประเทศไทยจะถูกเรียกว่า ไทยลีซอ (Thai-Lisu) แต่พวกเขาเรียกตัวเองว่า "Chinese-Lisu" เพราะมีการแต่งงานกันภายในกลุ่มระหว่างไทยลีซอกับลีซอใน ยูนนาน (หน้า 1-2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เชื่อว่าลีซอมีต้นกำเนิดทางตอนใต้ของจีน จากนั้นจึงอพยพลงมาทางใต้ตามแม่น้ำสาละวิน จนถึงพม่าและได้เข้ามายังประเทศไทย คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลภาษาTibeto-Burman (หน้า 1) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้เขียนได้ออกเดินทางไปพื้นที่ศึกษาด้วยตัวเองถึง 4 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงเดือนตุลาคม ในปี ค.ศ. 1988 (หน้า 9) |
|
History of the Group and Community |
ถิ่นฐานเดิมของชาวเผ่าลีซอ อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน และได้อพยพลงมาทางใต้ตามเส้นทางแม่น้ำสาละวิน จนถึงพม่าและจากนั้นก็เข้ามายังประเทศไทย ปัจจุบันชาวเผ่าลีซออาศัยอยู่กระจัดกระจายใน 9 จังหวัดทางภาคเหนือของไทย เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรลีซออาศัยอยู่ที่เชียงใหม่จากหลักฐานที่ปรากฏได้พบ ครอบครัวของลีซอครั้งเเรกบริเวณดอยช้างในจังหวัดเชียงรายเมื่อ 60 ปีที่เเล้ว ลีซอที่อยู่ในประเทศไทยมีความแตกต่างกับลีซอทางเหนือของพม่า ทั้งนี้ เพราะว่ากลุ่มอยู่แยกกันมาหลายชั่วอายุคน และยังมีการแต่งงานกับลีซอในจีนด้วย (หน้า 1-2) |
|
Settlement Pattern |
ลีซอส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานกันอยู่ในเทือกเขาบนพื้นที่สูง ส่วนลีซอทุ่งกู่อพยพมาจาก "Ban Klong Jae" ซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาระดับ 1,000 เมตร พวกเขาจะเลือกตั้งหมู่บ้านที่สามารถมีอิสระทางการเมืองการปกครองได้ ขณะเดียวกันก็ต้องการตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านคนไทยภาคเหนือ เพื่อที่จะซื้อข้าวหากพืชผลมีไม่เพียงพอ รวมถึงต้องการอยู่ใกล้กับหมู่บ้านของกะเหรี่ยงและลาหู่ (Lahu) ที่สามารถจ้างด้วยค่าเเรงงานต่ำ และก็ยังชอบอาศัยอยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านของลีซอกลุ่มอื่นเพราะรู้สึกปลอดภัย และต้องตั้งอยู่ไม่ไกลจากชาวยูนนานผู้ที่จะมารับซื้อฝิ่น และแต่ละหมู่บ้านจะมีศาลประจำหมู่บ้านซึ่งทำหน้าที่คุ้มครองหมู่บ้านให้ปลอดภัยจากวิญญาณชั่วร้าย (หน้า 2) |
|
Demography |
ผู้เขียนได้อ้างอิงข้อมูลการสำรวจชาวเขาของสำนักวิจัยชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี ค.ศ. 1986 มีประชากรลีซอเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 24,013 คน นับเป็น 4.35 เปอร์เซนต์ของประชากรชาวเขาทั้งหมดในประเทศไทย (หน้า 1) หมู่บ้านทุ่งกู่ของลีซอมีประชากร 405 คน ชาย 188 คน หญิง 217 คน ซึ่งเป็นข้อมูลที่นักวิจัยได้จากการสัมภาษณ์ผู้นำหมู่บ้าน ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1988 (หน้า 15) |
|
Economy |
ลีซอที่นี่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ทำนาขั้นบันได ปลูกข้าวโพด พืชผักต่าง ๆ และเลี้ยงสัตว์ ในคราวที่ต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตหรือต้องการเงินมาใช้ ทั้งชายและหญิงจะทำงานในไร่นาให้กับหมู่บ้านคนไทย โดยได้รับค่าเเรงวันละ 30-40 บาท เพราะไม่มีงานอื่นมารองรับ ประจวบกับมีจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและปัญหาดินเสื่อม เพื่อความอยู่รอดจึงต้องไปยืมข้าว ยืมเงินเขามาและหาพื้นที่ใหม่สำหรับเพาะปลูก และเหตุนี้ทำให้ผู้ไร้ที่ทำกินต้องรุกล้ำพื้นที่ป่าอย่างผิดกฎหมาย (หน้า 19-20, 22) ชาวบ้านมีการออกไปหาของป่า เช่น ไม้ไผ่ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการนำไปประดิษฐ์ทำสิ่งของต่าง ๆ และยังเก็บเห็ด ถั่ว หรือพืชใบเขียว อื่น ๆ ในป่าไปบริโภคเอง หรือบางคราวก็นำไปขาย และแม้ว่าพวกเขาจะมีสัตว์เลี้ยง เช่น หมู ไก่ แต่ก็ยังมีการล่าสัตว์ในป่าเพื่อเอาเนื้ออีกด้วย (หน้า 34) |
|
Social Organization |
กลุ่มเครือญาตินับว่ามีความสำคัญที่สุดสำหรับลีซอ เพราะมีส่วนในการตัดสินใจต่างๆ ในหมู่บ้านจะมีผู้นำที่ได้รับคัดเลือกโดย ผู้สูงวัยกว่า โดยผู้นำจะมาทำหน้าที่ตัดสินความยุติธรรม และสร้างความมั่นคงให้หมู่บ้าน (หน้า 15) ในหมู่บ้านของลีซอที่ทุ่งกู่ จะมีทั้งครอบครัวขยายและครอบครัวเดี่ยว ตามประเพณีสมาชิกในบ้านจะต้องเชื่อฟังผู้ที่อาวุโสที่สุด หรือบิดาซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งทางสังคมหรือศาสนา (หน้า 19) |
|
Political Organization |
ผู้อาวุโสลีซอจะทำหน้าที่คัดเลือกผู้นำที่จะเข้ามาปกครองหมู่บ้าน ผู้นำนี้จะเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินความยุติธรรมมากกว่าเป็น ผู้ปกครอง ส่วนใหญ่จะมีหน้าที่รักษาความสงบในชุมชนและทำหน้าที่เป็นตัวกลางติดต่อกับรัฐบาลไทย นอกจากนี้ผู้นำในหมู่บ้านของลีซอยังมีอีก 2 คน คือ นักบวช และหมอผี โดยนักบวชจะถูกเลือกโดยผู้อาวุโสและทำหน้าที่เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม และติดต่อกับผีบรรพบุรุษ (ผีคุ้มครองหมู่บ้าน) ส่วนหมอผีต้องติดต่อกับผีบรรพบุรุษ ในเรื่องที่เกี่ยวกับสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บ และวิธีรักษาพยาบาล (หน้า 2) |
|
Belief System |
ศาสนา - ลีซอมีความเชื่อเรื่องภูตผีที่ปกป้องหมู่บ้าน เรียกว่า Wu Su โดยผู้นำในหมู่บ้านนี้คือ นักบวชและหมอผี จะต้องสามารถติดต่อกับภูตผีได้ โดยนักบวชจะทำหน้าที่เป็นสื่อระหว่างชาวบ้านกับภูตผีที่ดูแลหมู่บ้าน ส่วนหมอผีมีหน้าที่กำจัดความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเคราะห์ร้าย ชาวบ้านในหมู่บ้านจะเลี้ยงหมู ไก่ เพื่อบริโภคด้วย และก็เอาไปใช้บูชาภูตผีด้วย (หน้า 15,19) ประเพณี - ลีซอเชื่อว่าเมื่อลูกชายคนโตแต่งงานจะต้องอยู่ดูแลครัวเรือนก่อน ห้ามออกไปตั้งบ้านเรือนของตนเองจนกว่าน้องชายของเขาจะเเต่งงาน ส่วนลูกสาวต้องออกจากเรือนและย้ายไปเรือนของสามีหลังจากเเต่งงาน (หน้า 19) ความเชื่อ - หมู่บ้านของลีซอทุกหมู่บ้านต้องมีศาลประจำหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่อยู่ของวิญญาณผู้คุ้มครอง หรือปู่ที่ปกป้องหมู่บ้านจากภยันตรายและปีศาจ โดยจะตั้งศาลในพื้นที่รั้วล้อม ห้ามผู้หญิงเข้า และเพื่อความศักดิ์สิทธิ์จะต้องสร้างใต้ต้นไม้ที่มีใบครึ้ม (หน้า 2) |
|
Education and Socialization |
ไม่มีรายละเอียดชัดเจน แต่กล่าวไว้ว่าเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ที่มีอายุมากว่า 6 ปี ต้องเข้าเรียนโรงเรียนรัฐบาล |
|
Health and Medicine |
ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงวิธีการรักษา แต่ลีซอเชื่อในหมอผี ซึ่งจะเป็นผู้ปัดเป่าโรคภัย และเคราะห์ร้าย อย่างไรก็ดีชาวบ้านก็เข้าใจว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องธรรมชาติ และพวกเขาก็เข้ารับบริการด้านสุขภาพจากคลินิกในหมู่บ้านสันกาโมก (San Ka Mog) ซึ่งอยู่ไกลออกไป 600 เมตร นอกจากนี้ ลีซอยังรู้เรื่องสมุนไพรเป็นอย่างดี (หน้า 28 ) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่กล่าวว่าลีซอมีความรู้ด้านงานหัตถกรรม เช่น การเย็บปัก นอกจากนี้ ยังทำผลิตภัณฑ์จากวัสดุไม้ไผ่และต้นไม้ต่าง ๆ (หน้า 31) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่กล่าวว่าไทยลีซอได้เเต่งงานกับยูนนานมาหลายช่วงสมัย พวกเขาจึงเรียกตนเองว่า Chinese Lisu (หน้า 2) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ลีซอมีขนบธรรมเนียมที่ยึดถือกันอยู่ แต่อย่างไรก็ดี มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง โดยหลายครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้มาตั้งแต่ 4 ปีที่เเล้ว หมู่บ้านเริ่มมีการพัฒนาขึ้น แต่ละบ้านมีห้องน้ำและห้องส้วมเป็นสัดเป็นส่วน (หน้า 19) |
|
Other Issues |
ลีซอจะปลูกพืชไว้รอบ ๆ บ้าน จากการสำรวจเเบบสุ่ม 6 ครัวเรือน พบพืชจำแนกได้ถึง 42 ชนิด ได้แก่ พืชประเภทเนื้อไม้(woody) พืชไม่ใช่เนื้อไม้ (non-woody) และประเภทพืชประดับ (ornamentals) จากการสำรวจพบว่าพืชส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้น ซึ่งลีซอนำผลมาบริโภคเป็นอาหารและทำฟืน นอกจากนี้ ยังทำปศุสัตว์เลี้ยงเป็ด ไก่ ส่วนพืชที่ไม่ใช่เนื้อไม้ ได้แก่ ผักต่างๆไม้เลื้อย ไม้เตี้ย ปลูกเพื่อกินผล และยังปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย พืชเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาดินเสื่อมตามมา นอกจากนี้ ลีซอยังปลูกพืชสมุนไพรเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคและเป็นไม้ประดับ ผืนป่าเป็นแหล่งอาหารชองลีซอ และพวกเขาก็มีความสามารถในการรักษาป่าชุมชน รู้จักการนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น การสร้างบ้านเรือน การทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตามภูมิปัญญาของตน ครั้นประชากรเพิ่มขึ้นก็เกิดปัญหาเรื่องขาดเเคลนที่ดิน และขาดประสิทธิภาพในการทำเกษตรกรรม เนื่องจากเพิ่งโยกย้ายมาตั้งฐานในที่ราบ (หน้า 26-31) |
|
|