|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ปัจจัยเสี่ยง,การเจ็บป่วยและตาย,เด็กและทารก,เชียงใหม่ |
Author |
พัฒน์ สุจำนงค์, สมพงษ์ ชีวสันต์, ชูศักดิ์ วิทยาภัค |
Title |
ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเจ็บป่วยและการตายของเด็กและทารกในกลุ่มชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในภาคเหนือของไทย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
166 |
Year |
2529 |
Source |
สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานชิ้นนี้ศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเจ็บป่วยและการตายของเด็กและทารก โดยพิจารณาใน 2 ลักษณะ คือ 1. ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเจ็บป่วยและตายของเด็กและทารกกะเหรี่ยงโดยตรง ได้แก่ การประพฤติปฏิบัติทางด้านสุขภาพอนามัยของแม่บ้านและสมาชิกในครัวเรือน สภาวะทางโภชนาการของเด็กและการได้รับภูมิคุ้มกันโรค 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อ "ปัจจัยเสี่ยง" อาจกล่าวได้ว่า เป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยอ้อมต่อการเจ็บป่วยและการตายของเด็กและทารกกะเหรี่ยง ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรม ตลอดจนการเข้าถึงและการได้รับบริการทางด้านสาธารณสุข (หน้า 3) |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งทางตรงทางอ้อมที่ส่งผลต่อการเจ็บป่วยและการตายของเด็กและทารกกะเหรี่ยง โดยพิจารณาใน 2 ลักษณะ คือ 1) ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเจ็บป่วยและตายของเด็กและทารกกะเหรี่ยงโดยตรง ได้แก่ การประพฤติปฏิบัติทางด้านสุขภาพอนามัยของแม่บ้านและสมาชิกในครัวเรือน สภาวะทางโภชนาการของเด็กและการได้รับภูมิคุ้มกันโรค 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อ "ปัจจัยเสี่ยง" อาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยอ้อมต่อการเจ็บป่วย และการตายของเด็กและทารกกะเหรี่ยง ปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรม ตลอดจนการเข้าถึงและการได้รับบริการทางด้านสาธารณสุข (หน้า 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ในอำเภอสะเมิง และอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงนิยมสร้างบ้านแบบยกพื้นสูงจากพื้นดิน โดยสูงจากพื้นประมาณ 90 เซนติเมตร เพื่อจะได้สามารถทำคอกเลี้ยงสัตว์ไว้ใต้ถุนบ้านได้ จึงทำให้เกิดความสกปรก และมีกลิ่นอับเหม็น ภายในบ้านค่อนข้างอับทึบ ระบายอากาศไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนในด้านสุขอนามัย การดูแลรักษาความสะอาดอื่น ๆ ภายในบ้าน ที่พอจะสามารถเรียกได้ว่าสะอาดจริง ๆ นั้น มีน้อยมาก บริเวณบ้านโดยทั่วไปจึงจัดว่าสกปรก ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านของคนพื้นราบและสังคมเมือง สภาพของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง เป็นบ้านที่สกปรกมาก หรือค่อนข้างแย่และอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า (หน้า 59) |
|
Demography |
อำเภอสะเมิง มี 5 ตำบล 35 หมู่บ้าน จำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 3,932 ครัวเรือน มีประชากร 18,496 คน ร้อยละ 67 เป็นชาว พื้นราบ ที่เหลือร้อยละ 25 เป็นกะเหรี่ยง ร้อยละ 6 เป็น ม้ง และร้อยละ 2 เป็นลีซอ อำเภอแม่แจ่ม มี 6 ตำบล และ 66 หมู่บ้าน มีจำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 7,521 ครัวเรือน ประชากรรวม 41,405 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพื้นราบ รองลงมาเป็นกะเหรี่ยง ที่เหลือได้แก่ ม้ง ลั่วะ ลีซอ และจีนฮ่อ ตามลำดับ ในการศึกษาได้เลือกครัวเรือนกะเหรี่ยงเพื่อมาเป็นตัวอย่างในการศึกษา จำนวน 600 ครัวเรือน ในอำเภอสะเมิง 300 ครัวเรือน จากทั้งหมด 3,932 และในอำเภอแม่แจ่มจำนวน 300 ครัวเรือน จากทั้งหมด 7,521 เมื่อรวมทั้งสองอำเภอแล้ว ในจำนวนครัวเรือนตัวอย่างจำนวน 600 ครัวเรือนนี้ถือเป็นร้อยละ 14.66 ของครัวเรือนทั้งหมดที่มีอยู่ (หน้า 28-29) ในเรื่องภาวะอนามัยเจริญพันธุ์ของสตรี พบว่าหญิงกะเหรี่ยงแต่ละคนตั้งครรภ์เฉลี่ยแล้ว 4 ครั้ง จำนวนเด็กที่รอดชีวิตเมื่อตอนคลอด 3.86 คน และเด็กที่รอดชีวิตขณะคลอดและปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ เฉลี่ย 3.54 คน ในกลุ่มทดลองพบว่ามีความต้องการมีลูกเพิ่มมากกว่าในกลุ่มควบคุม แต่เมื่อพิจารณาในส่วนรวมแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ต้องการมีลูกเพิ่ม ส่วนการคุมกำเนิดพบว่าวิธีที่นิยมมากที่สุด คือ ยาฉีดคุมกำเนิด รองลงมาคือ ยาเม็ดคุมกำเนิด และการทำหมันทั้งหญิง และชาย ตามลำดับ (หน้า 47) ภาวะการเสียชีวิต ใน 5 ปีที่ผ่านมา มีคนเสียชีวิต 88 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 63.6 เป็นเพศชาย ที่อายุต่ำกว่า 1 ปี มีจำนวนมากที่สุด ถึงร้อยละ 34.1 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา แสดงว่าอัตราการเสียชีวิตของทารกในหมู่กะเหรี่ยงมีสูง สำหรับสถานการณ์การเสียชีวิตในรอบปีที่ผ่านมามีจำนวน 21 คน ดังนั้นเมื่อคำนวณหาอัตราการเสียชีวิตอย่างหยาบของประชากรในรอบ 1 ปี จึงเท่ากับ 5.28 ต่อประชากร 1,000 คน ทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี มีจำนวน 180 คน และตายไปจำนวน 6 คน คงเหลือ 174 คน ดังนั้นเมื่อคำนวณหาอัตราการเสียชีวิตของทารก จึงเท่ากับ 33.33 ต่อจำนวนการเกิดมีชีวิต 1,000 คน สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากโรคติดเชื้อร้อยละ 56.8 สาเหตุอื่นๆ ร้อยละ 21.6 ไม่ทราบสาเหตุร้อยละ 20.5 และตายด้วยโรคระบบหมุนเวียนโลหิตร้อยละ 1.1 การที่มีสาเหตุการตายจากโรคติดเชื้อสูงนั้น น่าจะเป็นโรคติดเชื้อเกี่ยวระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร เพราะว่าสภาพสาธารณสุขมูลฐานและสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงอยู่ในสภาพที่ต่ำมาก บ้านอับชื้น สัตว์เลี้ยงใต้ถุนบ้าน การระบายอากาศไม่ดี บริเวณบ้านสกปรกและอนามัยส่วนบุคคลไม่ดี ขาดเครื่องนุ่งห่มกันหนาว ดังนั้น โอกาสการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อจึงมีสูง (หน้า 39) |
|
Economy |
คนในวัยแรงงานของกะเหรี่ยงจะนับเอาตั้งแต่อายุ 11 ปีขึ้นไป เพราะชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่เข้าสู่วัยแรงงานเร็วกว่าชาวพื้นราบ เนื่องจากไม่ค่อยได้เรียนต่อ การทำงานของคนในวัยแรงงานจำนวน 2,342 คน พบว่ามีอาชีพทำนาทำไร่มากที่สุด รองลงมา คือ ทำไร่เพียงอย่างเดียว และทำนาเพียงอย่างเดียว ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีอาชีพอื่นๆ เช่น รับจ้าง ค้าขาย ในจำนวนนี้มีประชากรวัยแรงงานที่ยังเรียนหนังสืออยู่ด้วย (หน้า 35) ครัวเรือนตัวอย่างมีที่ดินถือครองเฉลี่ยเท่ากับ 6.65 ไร่ต่อครัวเรือน ทั้งนี้จำแนกเป็นจำนวนที่ดินถือครอง 5 ไร่และต่ำกว่า ร้อยละ 43.2 จำนวน 6-9 ไร่ ร้อยละ 39.2 และ 10 ไร่ขึ้นไปร้อยละ 17.6 ลักษณะการถือครองที่ดินนั้นส่วนใหญ่เป็นแบบเป็นเจ้าของเอง ไม่พบว่ามีการเช่าที่ดินทำกิน ครัวเรือนที่มีที่นา มี 442 ครัวเรือนจากครัวเรือนตัวอย่างทั้งหมด มีที่ไร่ที่สวน 458 ครัวเรือน จากจำนวนครัวเรือนทั้งหมด เมื่อปีที่ผ่านมามีผู้ปลูกข้าวนาปีจำนวน 452 ครัวเรือน ที่ดินที่ใช้ปลูกข้าวนาปีเฉลี่ย 4.55 ไร่ต่อครัวเรือน ได้ผลผลิตข้าวนาปีเท่ากับ 152.92 ถังต่อครัวเรือน ส่วนการปลูกข้าวไร่มีครัวเรือนที่ปลูกข้าวไร่ 396 ครัวเรือน จากครัวเรือนทั้งหมด เฉลี่ยแล้วใช้ที่ดินสำหรับการปลูกข้าวไร่ 3.39 ไร่ต่อครัวเรือน ผลผลิตข้าวไร่ที่ได้เฉลี่ย 18.15 ถังต่อไร่ ครัวเรือนหนึ่งจะได้ผลผลิต 57.78 ถัง นอกจากปลูกข้าวนาปีและข้าวไร่แล้ว มีการปลูกพืชไร่อย่างอื่นบ้าง เช่น ไม้ผลต่าง ๆ ซึ่งส่วนมากเป็นการปลูกไว้เพื่อการบริโภคในครัวเรือนเท่านั้น ส่วนการเลี้ยงสัตว์เป็นการเลี้ยงเพื่อใช้งานและบริโภคในครอบครัว ไม่ได้เลี้ยงเพื่อขาย มีผู้เลี้ยงวัว 158 ครัวเรือน ควายมีเลี้ยง 388 ครัวเรือน หมูมีเลี้ยงมากถึง 522 ราย มีครัวเรือนที่เลี้ยงไก่มากถึงร้อยละ 91 ของครัวเรือนทั้งหมด อย่างไรก็ตามครัวเรือนที่มีรายได้จากการเลี้ยงสัตว์มีเพียง 174 ครัวเรือนเท่านั้น รายได้จากการเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยเท่ากับ 2,885.87 บาทต่อครัวเรือน หัตถกรรมในครัวเรือนของกะเหรี่ยงในการสำรวจครั้งนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 82.8 มีการทำหัตถกรรมเพื่อใช้ในครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทอผ้า เกือบทุกครัวเรือนจะมีเครื่องทอผ้าด้วยมือ เด็กสาวทุกคนจะหัดทอผ้าเพื่อเอาไว้ใส่เอง กะเหรี่ยงถือว่าการทอผ้าเป็นอาชีพที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ รายได้จากการรับจ้างถือเป็นแหล่งรายได้ที่เป็นเงินสดแหล่งใหญ่ พบว่า มีครัวเรือนที่มีสมาชิกไปทำงานรับจ้าง 396 ครัวเรือน ระยะเวลาที่ไปรับจ้างเฉลี่ยเท่ากับ 2.79 เดือน มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเท่ากับ 2,535.34 บาท รายได้รวมของครัวเรือนพบว่ามีครัวเรือนที่มีรายได้ 5,000 บาทและต่ำกว่า คิดเป็นร้อยละ 39.5 รายได้ 5,001 -10,000 บาท ร้อยละ 36.3 และมีรายได้ 10,001 บาทและสูงกว่า ร้อยละ 24.2 เฉลี่ยแล้วรายได้ของครัวเรือนเท่ากับ 8,277.46 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง ปรากฏว่ากลุ่มทดลองมีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงกว่ากลุ่มควบคุม ในการคำนวณรายได้ของครัวเรือนในการวิจัยนี้ได้รวมเอามูลค่าของผลผลิตข้าวนาปีและข้าวไร่ไว้ด้วย (หน้า 51-52) |
|
Political Organization |
อำเภอสะเมิงประกอบด้วย 5 ตำบล มีจำนวนหมู่บ้าน 35 หมู่บ้าน มีจำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 3,932 ครัวเรือน มีประชากร 18,496 คน ร้อยละ 67 เป็นชาวพื้นราบ ที่เหลือร้อยละ 25 เป็นกะเหรี่ยง ร้อยละ 6 เป็น ม้ง และร้อยละ 2 เป็นลีซอ อำเภอแม่แจ่ม ประกอบด้วย 6 ตำบล และ 66 หมู่บ้าน มีจำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 7,521 ครัวเรือน ประชากรรวม 41,405 คน กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นชาวพื้นราบร้อยละ 49 กะเหรี่ยงร้อยละ 48 ที่เหลือ ได้แก่ ม้ง ร้อยละ 2 ลัวะ ลีซอ และจีนฮ่อ รวมกันร้อยละ 1 (หน้า 28) |
|
Belief System |
การนับถือศาสนาพบว่า มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง โดยในกลุ่มควบคุมนับถือศาสนาพุทธร้อยละ 38.6 ศาสนาคริสต์ ร้อยละ 27.1 และนับถือผี (Animism) ร้อยละ 34.3 ส่วนในกลุ่มทดลองนับถือศาสนาพุทธร้อยละ 19.9 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 65.5 และนับถือผีร้อยละ 14.6 (หน้า 35) |
|
Education and Socialization |
ในเรื่องของการศึกษานั้น กะเหรี่ยงจัดว่าเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาน้อยมาก การศึกษาที่กะเหรี่ยงได้รับนั้น จะได้เรียนแค่ชั้นประถมศึกษาเท่านั้น ที่สูงกว่าชั้นประถมมีเพียง ร้อยละ 1.70 สำหรับผู้หญิงกะเหรี่ยงที่มีหน้าที่ดูแลเด็ก มีเพียง 32 ครัวเรือนเท่านั้นที่ได้เรียนหนังสือ จึงเกิดปัญหาว่าเวลาที่การติดต่อโดยใช้ภาษาไทยกลาง หรือภาษาไทยท้องถิ่นกับผู้หญิงกะเหรี่ยงจะไม่ค่อยได้ผล ส่วนมากจะอายและไม่กล้าพูดด้วย แต่ถ้าเป็นภาษากะเหรี่ยงยังพอพูดสื่อความหมายกันได้ ส่วนผู้ชายถึงแม้จะได้เรียนน้อย แต่ผู้ชายมีโอกาสพบปะ พูดคุยหรือปฏิสัมพันธ์กับคนพื้นราบมาก จึงสามารถพูดภาษาไทยพื้นเมืองได้ เพราะฉะนั้นระดับการศึกษาและภาษาของกะเหรี่ยงจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการทำงานพัฒนากับชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (หน้า 33-34) |
|
Health and Medicine |
การเจ็บไข้ได้ป่วยในรอบ 1 ปี ของกะเหรี่ยง จากจำนวน 3,976 คน พบว่ามีผู้ป่วย 1,329 คน เมื่อจำแนกตามกลุ่มตัวอย่างปรากฏว่าในกลุ่มควบคุมมีผู้ป่วยร้อยละ 31.7 กลุ่มทดลองมีผู้ป่วยร้อยละ 35.2 เมื่อพิจารณาโดยส่วนรวมอัตราการเจ็บป่วยของประชากรตัวอย่างเท่ากับ 334 ต่อประชากร 1000 คน ในกลุ่มผู้ป่วยจำนวน 1,329 คนนั้น พบว่า ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจมากที่สุดรองลงมาคือ โรคระบบทางเดินอาหาร โรคระบบผิวหนัง โรคระบบกล้ามเนื้อ ระบบอื่น ๆ และมีที่ไม่ทราบสาเหตุ เป็นที่น่าสังเกตว่าเฉพาะโรคมาเลเรียมีผู้ป่วยร้อยละ 14.0 ของผู้ป่วยทั้งหมด เมื่อคิดอัตราการติดโรค ต่อ 1,000 ก็ปรากฏว่าอัตราการติดโรคมาเลเรียเท่ากับ 46.5 ช่วงของการเจ็บป่วยส่วนมากจะเป็นในฤดูหนาว รองลงมาคือ ฤดูฝนและฤดูร้อน สาเหตุอันเนื่องมาจาก สภาพแวดล้อมทางด้านภูมิอากาศ และการขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม เพราะกะเหรี่ยงจะเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจในอัตราสูงกว่าโรคอื่น ๆ วิธีการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย ส่วนใหญ่จะรักษาจากการสาธารณสุขแผนปัจจุบันซึ่งแสดงว่าการรักษาแผนใหม่เป็นที่ยอมรับจากกะเหรี่ยง นอกจากนี้เป็นการซื้อยามากินเอง และมีการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น ยาสมุนไพร หมอเถื่อน ไสยศาสตร์ และไม่มีการรักษา ปล่อยให้หายเอง เมื่อเกิดการเจ็บป่วย กลุ่มควบคุมจะไปรับการรักษาจากสถานีอนามัยมากที่สุดส่วนในกลุ่มทดลองไปรับการรักษาพยาบาลจากสำนักงานส่งเสริมสุขภาพชุมชนมากที่สุด ทั้งนี้เพราะกลุ่มทดลองในอำเภอแม่แจ่มเกือบทั้งหมดมีสำนักงานส่งเสริมสุขภาพชุมชนตั้งอยู่ แต่เมื่อพิจารณาโดยส่วนรวมแล้วพบว่านิยมไปรับการรักษาพยาบาลจากสถานีอนามัยมากที่สุด (หน้า 36-37) การรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ มีดังนี้ วัคซีน DPT (Dipteria Pertusis Tetanus) เป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคคอตีบ ไอกรนและบาดทะยัก เป็นวัคซีนที่ต้องให้ตามเกณฑ์อายุจำนวน 3 ครั้ง คือ เมื่ออายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน หลังจากนั้นต้องให้เป็นการกระตุ้นอีก 3 ครั้งคือ เมื่ออายุ 18 เดือน, 3 ปี และ 6 ปี นอกจากนี้ ต้องให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยักอีกทุก 10 ปี ผลการวิจัยพบว่าในทั้งสองกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนดังกล่าวแต่ไม่ครบตามกำหนดทุกครั้ง คิดเป็นอัตราร้อยละ 64.2 ไม่ได้รับวัคซีน DPT ร้อยละ 31.5 ในกลุ่มทดลองมีอัตราร้อยละของการได้รับวัคซีนสูงกว่ากลุ่มควบคุม เพราะอยู่ใกล้สถานบริการมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานส่งเสริมสุขภาพชุมชน วัคซีน BCG สำหรับป้องกันวัณโรคพบว่าทั้งสองกลุ่มจะได้รับคิดเป็นอัตราร้อยละ 61.2 ไม่ได้รับร้อยละ 38.8 อัตราร้อยละของการได้รับวัคซีนนี้ในกลุ่มทดลองมีสูงกว่ากลุ่มควบคุม วัคซีน BCG นี้จะให้หลังคลอดประมาณ 24 ชั่วโมงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น วัคซีน POLIO สำหรับป้องกันโรคโปลิโอ เป็นวัคซีนที่ต้องให้ตามเกณฑ์อายุเช่นเดียวกับวัคซีน DPT ผลการศึกษาพบว่าในกลุ่มควบคุมได้รับวัคซีนชนิดนี้แต่ไม่ครบตามกำหนด ในอัตราร้อยละ 43.7 ได้รับครบตามกำหนดร้อยละ 1.4 และไม่ได้รับร้อยละ 51.7 ส่วนในกลุ่มทดลองพบว่าได้รับแต่ไม่ครบกำหนด ร้อยละ 66.5 ได้รับครบตามกำหนดร้อยละ 0.4 และไม่ได้รับร้อยละ 30.8 วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน ต้องให้เมื่ออายุครบ 12 เดือน จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ในทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่ไม่ได้รับวัคซีนชนิดนี้ สาเหตุที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับแต่ไม่ครบ อาจมีสาเหตุ 2 ประการ คือ บริการทางด้านสาธารณสุขยังเข้าไม่ถึง และอีกสาเหตุหนึ่งคือ ชาวเขาขาดความเข้าใจในเรื่องการรับภูมิคุ้มกันโรค จึงมิได้นำบุตรหลานของตนเองไปรับบริการจากเจ้าหน้าที่ (หน้า 41-42) ลักษณะทางด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ลักษณะบ้านของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่เป็นบ้านแบบยกพื้นสูงจากพื้นดินเกินกว่า 90 เซนติเมตรขึ้นไปเพื่อทำเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ ทำให้การระบายอากาศภายในบ้านไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้เกิดความสกปรก ถ้าเปรียบเทียบที่อยู่อาศัยตลอดจนสุขาภิบาลแวดล้อมกับสังคมคนพื้นราบและสังคมเมือง สภาพของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงก็ถือว่า เป็นสภาพที่สกปรก หรือค่อนข้างแย่และอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาก แหล่งน้ำดื่ม ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในปัจจุบันมีการทำน้ำประปาภูเขาใช้กันในหลายหมู่บ้าน และมีการใช้น้ำบ่อเป็นน้ำดื่มด้วย นอกนั้นเป็นน้ำจากลำห้วยลำธาร และน้ำบ่อทราย ลักษณะของประปาภูเขาก็คือ การใช้ท่อประปา (ในบางหมู่บ้านใช้รางรินทำด้วยไม้ไผ่) ต่อน้ำจากแหล่งน้ำบนภูเขาเข้ามายังหมู่บ้าน บางแห่งก็มีถังเก็บน้ำสำหรับพักน้ำอีกทีหนึ่ง การทำให้น้ำสะอาดของกะเหรี่ยง คือ การต้ม แต่ที่ต้มน้ำดื่มกันจริง ๆ มีน้อยมาก ภาชนะที่ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงใช้เก็บน้ำในบ้าน ได้แก่ โอ่งมีฝาปิด กระบอกไม้ไผ่ แกลลอน และถังเก็บน้ำ ปริมาณของน้ำดื่มมีเพียงพอตลอดปี เพราะเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร บ่อน้ำที่ใช้ยังมีอยู่น้อยมาก และผู้ใช้น้ำบ่อจะไม่มีบ่อน้ำเป็นของตัวเอง ในกรณีของผู้ใช้น้ำบ่อจำนวน 322 ครัวเรือน ตัวบ่อจะอยู่ห่างจากแหล่งน้ำโสโครกเดิมประมาณ 30 เมตร ลักษณะของบ่อน้ำมีปากบ่อและชานบ่อ แต่มักจะไม่มีการยารอยต่อด้วยซีเมนต์ จากปากบ่อลงไปลึก 10 ฟุต ไม่มีฝาปิด ไม่มีสูบน้ำมือโยกและรางระบายน้ำ ขยะที่มากที่สุดเป็นเศษใบไม้ รองลงมาคือ ขยะจากมูลสัตว์ ส่วนใหญ่ใช้วิธีการกำจัดขยะโดยการเผาร้อยละ 57.5 ไม่มีการกำจัดขยะเลยร้อยละ 33.8 การปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณบ้านพบว่า มีการกวาดบริเวณบ้านเกินกว่า 2 วันต่อครั้งมากที่สุด รองลงมาคือกวาดทุกวัน ทุกๆ 2 วัน และไม่เคยกวาดเลยตามลำดับ สำหรับการใช้ส้วม ส่วนใหญ่ไม่มีส้วมใช้โดยเฉพาะในกลุ่มควบคุม ไม่มีส้วมใช้มีสูงมาก ในกรณีที่มีส้วมใช้ 152 ครัวเรือน พบว่า 71.7 สมาชิกครัวเรือนใช้ส้วมทุกคน ร้อยละ 21.7 ใช้ส้วมเป็นบางคน และมีร้อยละ 6.6 ไม่ใช้ส้วมเลย ในกลุ่มที่ไม่ใช้ส้วมส่วนมากจะอ้างว่าไม่มีน้ำ แต่จากการสังเกตน่าจะเป็นเพราะเคยชินกับการถ่ายอุจจาระในป่ามากกว่า ด้านการป้องกันไข้มาเลเรียโดยส่วนใหญ่นอนไม่กางมุ้ง แต่ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมักจะสุมไฟในบ้านอยู่ตลอด เพื่อเป็นการไล่ยุงและแมลงต่างๆ การพ่น DDT. ในบ้าน พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 71.5 เคยได้รับการพ่น DDT มาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง เกี่ยวกับการป้องกันโรคพยาธิที่ติดต่อจากพื้นดินพบว่า ส่วนใหญ่สมาชิกในครัวเรียนมีและใช้รองเท้าทุกครั้งที่ลงจากบ้าน รองลงมาคือ มีรองเท้า แต่ใช้เป็นบางครั้ง และไม่มีรองเท้าใช้เลยร้อยละ 9. ผลการตรวจทางพยาธิวิทยา จากการนำอุจจาระจำนวน 62 ตัวอย่างจากอำเภอสะเมิง และ 168 ตัวอย่างจากอำเภอแม่แจ่ม รวมเป็น 230 ตัวอย่างมาตรวจเบื้องต้น พบว่า กะเหรี่ยงจากอำเภอสะเมิงและอำเภอแม่แจ่ม มีภูมิประเทศดินน้ำอากาศ และขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายกันมาก การตรวจหาความชุกชุมของเชื้อปารสิตโดยการตรวจอุจจาระคล้ายกันมาก ใช้วิธีการตรวจแบบ Formalin-ether concentration techniques พบพยาธิต่าง ๆ คล้ายกับชาวพื้นราบ แต่ไม่พบพยาธิใบไม้ในตับ อาจเนื่องมาจากมีโอกาสรับประทานอาหารประเภทปลาน้อย และไม่นิยมทานอาหารดิบ และอาจไม่มีหอยที่เป็น Intermediat Host (หน้า 59-65) การอนามัยแม่และเด็ก มารดาที่คลอดบุตรแล้ว ไม่เคยรับการตรวจหลังคลอดเลย มีถึงร้อยละ 95.8 เมื่อตั้งครรภ์ก็ไม่เคยฝากครรภ์ ทำคลอดโดยหมอตำแยในหมู่บ้าน บางกรณีก็ให้พ่อแม่หรือสามีทำคลอดให้ ร้อยละ 91.2 ของครัวเรือนตัวอย่างยังคงใช้วิธีตัดสายสะดือทารกด้วยผิวไม้ไผ่ เด็กที่เกิดมาจะได้กินนมมารดา โดยเฉลี่ยแล้วจะให้ลูกกินนมประมาณ 24 เดือน วิธีการหย่านมส่วนใหญ่จะปล่อยให้เด็กเบื่อไปเอง การเตรียมอาหารให้ทารกและเด็กเล็ก ถ้าเป็นอาหารประเภทแป้งจะเคี้ยว (หม้ำ) แล้วจึงป้อน ซึ่งอาจมีโอกาสที่ทารกจะติดเชื้อโรคจากมารดาและเสียธาตุอาหารที่สำคัญ เพราะเด็กจะได้รับแต่กากเท่านั้น อาหารประเภทเนื้อส่วนใหญ่จะยังไม่ให้เด็กกิน (หน้า 162) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
รูปภาพที่ 1 แผนที่แสดงหมู่บ้านและเส้นทางคมนาคม แผนภูมิที่ 1 หน้า 32 ปิรามิดประชากร ตารางที่ 1 หน้า 22 กลุ่มครัวเรือนตัวอย่าง จำแนกตามพื้นที่ศึกษา ตารางที่ 2 หน้า 29 จำนวนประชากรจำแนกตามอำเภอและกลุ่มชาติพันธุ์ ตารางที่ 3 หน้า 29 จำนวนครัวเรือนทั้งหมดและครัวเรือนตัวอย่าง ตารางที่ 4 หน้า 31 จำนวนประชากรตัวอย่างจำแนกตามเพศและกลุ่มอายุ ตารางที่ 5 หน้า 33 อัตราส่วนร้อยละ ของ มี/ไม่มี การศึกษาอายุ 6 ปีขึ้น ตารางที่ 6 หน้า 33 ระดับการศึกษาของประชากรอายุ 6 ปี ขึ้นไป ตารางที่ 7 หน้า 34 อัตราร้อยละของการนับถือศาสนา ตารางที่ 8 หน้า 35 ภาวะ การทำงานของประชากรตัวอย่าง ตารางที่ 9 หน้า 36 อัตราร้อยละของการประกอบอาชีพของประชากรตัวอย่าง ตารางที่ 10 หน้า 38 ภาวะ การเจ็บป่วย " 11 หน้า 40 ภาวะ การตายในรอบ 5 ปี " 12 หน้า 44 ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี " 13 หน้า 48 ลักษณะทางประชากรของครัวเรือนที่ศึกษา " 14 หน้า 53 ลักษณะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน " 15 หน้า 61 สภาพทางด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม " 16 หน้า 67 การบริหารทางด้านสาธารณสุข " 17 หน้า 71 การได้รับภูมิคุ้มกันโรค " 18 หน้า 73 สุขาภิบาลอาหาร " 19 หน้า 79 การอนามัยแม่และเด็ก |
|
|