|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,แบบแผนทางเศรษฐกิจ,การเปลี่ยนแปลง,ภาคเหนือ |
Author |
Peter Kunstadler |
Title |
Changing Patterns of Economics among Hmong in Northern Thailand 1960-1990 |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
25 |
Year |
2543 |
Source |
Jean Michaud (edit), Turbulent times and Enduring Peoples. Richmond, Surrey: Curzon Press, pp.167-192. |
Abstract |
งานชิ้นนี้เป็นการสำรวจเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบแผนทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านม้งทางภาคเหนือของประเทศไทย และพบว่า การสร้างถนน ระยะเวลาที่ไปถึงตลาด และการมีหน่วยงานสาธารณสุขเป็นตัวแปรหลักที่สัมพันธ์กับระดับการเปลี่ยนแปลงแบบแผนทางเศรษฐกิจของม้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าม้งทางภาคเหนือต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจการตลาดแบบเงินตราด้วยการปลูกพืชขาย และต้องลงทุนซื้อสินค้าจากภายนอกมากขึ้น ทั้งปุ๋ย สารเคมี และยาฆ่าแมลง |
|
Focus |
การเปลี่ยนแปลงแบบแผนทางเศรษฐกิจของม้งในภาคเหนือของประเทศไทยในช่วงปี ค.ศ.1960-1990 |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยได้อธิบายว่า การสร้างถนนและโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของรัฐไทยในช่วงทศวรรษ 1960-1980 นั้น มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางเศรษฐกิจของม้งจากเดิมที่ปลูกเพื่อยังชีพ และบางส่วนเพื่อขาย กลายมาเป็นการปลูกพืชชนิดใหม่เพื่อขายเป็นหลัก โดยมีสมมติฐานว่าตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงก็คือ ถนน ระยะเวลาที่ไปถึงตลาดและการมีหน่วยงานสาธารณสุขหรือตัวแทนอยู่ในชุมชน และการเปลี่ยนแบบแผนทางเศรษฐกิจของม้งในไทยสัมพันธ์กับการที่ม้งมีทรัพยากรที่ดินจำกัด มีเทคโนโลยีใหม่ที่ลดจำนวนแรงงานในการผลิต ขณะเดียวกัน ก็ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจการตลาดมากขึ้น มีค่าใช้จ่ายต้นทุนสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงส่งผลให้มีการจำกัดจำนวนสมาชิกในครัวเรือน ด้วยการวางแผนครอบครัว (น.187-190) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง ในภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ปี ค.ศ.1987 - 1988 ศึกษาด้วยการลงสำรวจภาคสนาม สัมภาษณ์เป็นภาษาม้ง แปลเป็นไทย ลงรหัสใน SPSS เพื่อประมวลผล |
|
History of the Group and Community |
กล่าวถึงภาพรวมว่า ในช่วงสงครามเย็นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ม้งเข้าไปเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่ายคือ ฝ่ายเสรีประชาธิปไตย (ทุนนิยม) และฝ่ายสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์ในสงครามลับในลาว รัฐบาลไทยกลัวว่าคอมมิวนิสต์และการก่อกบฏจะแพร่เข้ามาในหมู่ม้งในประเทศไทยด้วย ในทศวรรษ 1950 จึงเริ่มโครงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจต่างๆ เช่น แนะนำพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ บริการด้านสุขภาพ รวมทั้งให้โรงเรียนสอนเป็นภาษาไทยกลาง ประมาณกลางทศวรรษ 1960 ได้เริ่มมาตรการควบคุมม้ง โดยสั่งโยกย้ายหมู่บ้านมาตั้งในที่ที่เข้าถึงบริการของรัฐได้สะดวกขึ้น เพื่อควบคุมป่าและแหล่งน้ำในที่สูง ในปลายทศวรรษ 1970 รัฐจึงเริ่มนโยบายกลืนกลายชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ของตำรวจชายแดน กระทรวงสาธารณสุข มหาดไทย และเกษตร มีการสร้างถนน ออกกฎคุมเข้มการเคลื่อนย้ายประชากร ห้ามการปลูกฝิ่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีการผลิตแบบดั้งเดิมของม้งเป็นอย่างมาก |
|
Settlement Pattern |
เนื่องจากเป็นการเก็บสำรวจข้อมูลเชิงปริมาณ ไม่ได้ระบุลักษณะการตั้งถิ่นฐานของแต่ละชุมชน |
|
Demography |
ชุมชนที่สำรวจนั้นมีตั้งแต่ขนาด 1 ครัวเรือนถึง 737 ครัวเรือน (น.172) ส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่เคยเคลื่อนย้ายเพื่อหาที่ดินที่อุดมสมบูรณ์กว่ามาแล้ว ในหมู่บ้าน 198 แห่งที่สำรวจมีผู้นำกลุ่มที่มาตั้งรกรากถึง 318 กลุ่ม ในช่วงปี 1730-1988 ทำการย้ายมาทั้งสิ้น 1,188 ครั้ง ก่อนการปักหลักในพื้นที่ที่สำรวจในปี 1987-1988 นับแต่ต้นทศวรรษ 1960 มีจำนวนมากที่ต้องย้ายเพราะคำสั่งหรือแรงกดดันของรัฐบาล (ตาราง 4, 5 น.174) |
|
Economy |
แต่เดิมม้งยังชีพจากการปลูกข้าวและข้าวโพด (subsistence crop) ปลูกฝิ่นเพื่อใช้เป็นยาและขายบ้าง ปลูกกัญชงเพื่อใช้ทอผ้า และเพื่อขาย (cash crop) โดยมีการจ้างแรงงานจากชนต่างเผ่า เช่น กะเหรี่ยง ลัวะ มาช่วยงานในไร่เพื่อแลกกับฝิ่น แรงงานม้งก็เป็นแรงงานในครัวเรือน ไม่มีการจ้างม้งด้วยกันเป็นเงิน ไม่ได้ใช้เทคโนโลยี ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง แต่ใช้วิธีย้ายที่เพาะปลูกเมื่อดินหมดความอุดมสมบูรณ์ (แบบที่เรียกว่า "ทำไร่เลื่อนลอย" หรือ "ไร่หมุนเวียน") ต่อมามีโครงการเข้ามาส่งเสริมปลูกพืชเศรษฐกิจใหม่ๆ หลายชนิดเพื่อขายส่งตลาด ทดแทนการปลูกฝิ่น จึงมีการเปลี่ยนมาปลูกพืชที่ม้งไม่ได้ใช้ยังชีพ (ตาราง 8 น.178) ประมาณทศวรรษของ 1980 หมู่บ้านม้งจะเพาะปลูกพืชยังชีพและพืชเงินสดผสมผสานกันเป็นส่วนใหญ่ (น.175) ข้าวยังเป็นพืชยังชีพสำคัญในหมู่บ้านส่วนใหญ่ (86.90%) ข้าวโพดสำคัญรองลงมา (74.7%) ในหมู่บ้าน 8 แห่ง (4%) มีการปลูกฝิ่นเป็นส่วนใหญ่ (น.176) แต่มีหลักฐานว่า ได้มีการปลูกพืชเงินสดที่หลากหลายมากขึ้น (61 ชนิด) ในหมู่บ้านม้งที่สำรวจ 191 แห่ง รวมทั้งเริ่มมีการใช้รถไถแทนแรงงานคน มีการใช้ปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ซึ่งต้องซื้อมาจากตลาด มีการจ้างแรงงานโดยให้ค่าจ้างเป็นเงิน และม้งกว่าครึ่ง (103 หมู่บ้าน) มีรายได้จากการเป็นแรงงานรับจ้าง ทั้งภายในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน (น.180) |
|
Social Organization |
ไม่ได้ระบุ กล่าวถึงเพียงว่าขนาดครอบครัวเริ่มเล็กลง เพราะไม่ต้องอาศัยแรงงานในครัวเรือนจำนวนมากเพื่อทำไร่ ประกอบกับมีที่ดินจำกัดและการคมนาคมสะดวกขึ้น ม้งรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษา จึงไปประกอบอาชีพอื่น ๆ แทนการทำไร่ |
|
Political Organization |
เนื่องจากรัฐไทย กำหนดให้การปลูกฝิ่นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และควบคุมการเคลื่อนย้ายประชากรในพื้นที่ป่าและต้นน้ำ ทำให้ม้งทางภาคเหนือของไทยถูกกดดัน ต้องเลิกปลูกฝิ่นเพื่อใช้เองและขาย และหันไปทำอาชีพอื่นๆ ที่โครงการพัฒนาจากหน่วยงานของรัฐเข้ามาแนะนำ |
|
Education and Socialization |
ตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ตำรวจชายแดนเริ่มให้การศึกษาแก่ม้ง โดยสอนด้วยภาษาไทยภาคกลาง ให้ความรู้เรื่องการเพาะปลูกพืชใหม่ ๆ การป้องกันและรักษาสุขภาพ (น.167) |
|
Health and Medicine |
เนื่องจากมีโครงการพัฒนาต่าง ๆ เข้าไปในหมู่บ้าน มีการอบรมตัวแทนม้งให้มีความรู้ด้านสาธารณสุข และการใช้ยาแผนปัจจุบันรักษาโรคแทนการใช้ฝิ่น มีศูนย์สาธารณสุขในหมู่บ้าน เริ่มมีการส่งเสริมให้ม้งวางแผนครอบครัวด้วยวิธีต่าง ๆ ทั้งการใช้ถุงยาง ยาคุม และทำหมัน (น.188-189) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและประชากรของม้ง โดยมีการเปลี่ยนอย่างเร็วมากในทศวรรษ 1980 หลังจากมีการสร้างเครือข่ายถนนและโครงการพัฒนาต่าง ๆ แบบแผนการดำรงชีพและพืชที่ปลูกก็เปลี่ยนไป มีความหลากหลายมากขึ้น การห้ามปลูกฝิ่นและการจำกัดพื้นที่มิให้ทำไร่หมุนเวียนในเขตอนุรักษ์ทำให้ม้งต้องยังชีพด้วยการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ตนไม่ได้บริโภคและขายสู่ตลาด เพื่อให้ได้เงินมาซื้อสินค้าจากภายนอก และด้วยพื้นที่ที่จำกัด ม้งเปลี่ยนมาหากินโดยการเป็นแรงงานรับจ้างมากขึ้น และการพัฒนาในระบบสาธารณสุขซึ่งมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้มีพัฒนาการในการวางแผนครอบครัว |
|
|