|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,การผลิตซ้ำ,ความเชื่อ,ค่านิยม,วิถีชีวิต,ความสัมพันธ์ในชุมชน,เชียงราย |
Author |
วันดี สมรัตน์ |
Title |
การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมของชุมชนไทลื้อ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
123 |
Year |
2544 |
Source |
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การวิจัยเรื่อง การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมของชุมชนไทลื้อ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาวัฒนธรรมด้านความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิต ความสัมพันธ์ และกลไกที่คนไทลื้อใช้ในการผลิตซ้ำ ด้านความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิตและความสัมพันธ์ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ พระสงฆ์ หัวหน้าครอบครัว ผู้นำหมู่บ้าน ผู้อาวุโส ครู กลุ่มองค์กรในชุมชน การสังเกตกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิตและความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในชุมชน ข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ของข้อมูล การจำแนกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ตามวัตถุประสงค์ แล้วนำเสนอโดยการบรรยาย และสรุปเชิงวิเคราะห์ผลการศึกษาวิจัย สรุปได้ดังนี้ ไทลื้อมีความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิตความสัมพันธ์แบบดั้งเดิม มีการนับถือผีต่าง ๆ ได้แก่ ผีปู่ย่า ผีบ้าน เทวดาบ้าน เจ้าป่า พฤติกรรมที่แสดงออกต่อสิ่งดังกล่าว เช่น การกราบไหว้บูชาด้วยธูปเทียน ข้าวปลาอาหาร บนบานให้สิ่งเหล่านั้นช่วยดูแลคุ้มครอง ให้เกิดความสุข นอกจากนี้ไทลื้อยังมีความเชื่อในพุทธศาสนา โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ทำให้คนในชุมชนมีการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ตนเองในภายหน้า เพราะเชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีจริง ในวิถีประจำวันนอกจากความเชื่อเรื่องผีและศาสนาแล้ว ยังมีการเคารพผู้อาวุโสและหัวหน้าครอบครัวที่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ชุมชนไทลื้อมีการผลิตซ้ำด้านค่านิยม 4 ด้าน ได้แก่ ค่านิยมการแต่งกายแบบไทลื้อในเวลามีงานประเพณีต่าง ๆ ค่านิยมในการใช้ภาษาไทลื้อในชีวิตประจำวัน ค่านิยมการบริโภคอาหารแบบดั้งเดิม ค่านิยมการจับกลุ่มพูดคุยกันยามว่าง ด้านความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเป็นในการปฏิบัติ คนในชุมชนมีการนับถือกันเหมือนพี่น้อง จึงมีการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกัน ชุมชนยังมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติในลักษณะพึ่งพา และความสัมพันธ์ในสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งต้องปฏิบัติตาม ใครฝ่าฝืน ล่วงละเมิดจะทำให้เกิดเรื่องร้ายในชีวิต กลไกทางสังคมคนไทลื้อในการผลิตนี้ ได้แก่ พระสงฆ์ ซึ่งผลิตซ้ำด้านความเชื่อ เรื่องกรรม บาปบุญ ครอบครัว ผู้นำที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ผู้อาวุโส ครู กลุ่มและองค์กร ศาสนาพุทธ ภาษา การแต่งกาย อาหาร ความสัมพันธ์และประเพณีต่าง ๆ ที่แสดงถึงความเป็นชุมชนลื้อ |
|
Focus |
ศึกษาวัฒนธรรมด้านความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิต ความสัมพันธ์ และกลไกที่คนไทลื้อใช้ในการผลิตซ้ำ ด้านความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิตและความสัมพันธ์ ในชุมชนไทลื้อ บ้านวังลาว หมู่ 4 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย |
|
Theoretical Issues |
ศึกษาการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมของไทลื้อ ที่ใช้แนวคิดการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมในชุมชน วัฒนธรรมด้านความเชื่อ ค่านิยม และวิถีชีวิตภายในชุมชน มาอธิบายปรากฏการณ์ของการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมของชุมชนไทลื้อ หมู่ 4 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย (หน้า 21) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชุมชนไทลื้อ บ้านวังลาว หมู่ 4 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ใช้กันในห้องเรียน จะใช้ภาษาไทย แต่ถ้าเป็นการสื่อสารกันภายนอกห้องเรียนจะเป็นภาษาลื้อ (หน้า 45) ภาษาไทลื้อนับว่าเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่ง ไทลื้อในหมู่บ้านวังลาวยังคงใช้ภาษาไทลื้อในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน จึงถือได้ว่าภาษาไทลื้อเป็นภาษาแม่ในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้น ยังมีภาษาคำเมืองหรือภาษาล้านนาที่ใช้สื่อสารกับภายนอกที่ไม่ใช่ ไทลื้อ สรุปรวมได้ว่า ในชีวิตประจำวันของไทลื้อปัจจุบันมีภาษาที่ใช้อยู่ถึง 3 ภาษา (หน้า 78) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
คนไทลื้อ เลือกเอาหมู่บ้านวังลาวเป็นที่ก่อตั้งชุมชน เนื่องด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและมีแม่น้ำสายสำคัญถึง 2 สายที่เป็นเหมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตคือแม่น้ำรวก กับแม่น้ำโขง ด้วยความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชไร่ได้หลากหลายชนิด คล้ายกับที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่แคว้นสิบสองปันนา ทำให้ไทลื้อเลือกที่จะตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ไทลื้อในหมู่บ้านวังลาวนี้ ส่วนใหญ่อพยพมาจากอำเภอเชียงแสน ซึ่งห่างจากบ้านวังลาวเพียงแค่ 2 กิโลเมตร ด้วยการเริ่มต้นเข้ามาหักร้างถางพงเพียง 3 ครอบครัวเท่านั้น ต่อมาจึงมีชาวบ้านสบรวกอพยพเข้ามาเพิ่มเติมตามคำแนะนำของนายอำเภอในขณะนั้น นับจำนวนได้ 8 ครอบครัว สาเหตุที่ได้ชื่อว่า บ้านวังลาว มีประวัติที่เล่าสืบต่อกันมาคือ แม่น้ำสบรวกที่ติดกับหมู่บ้านมีวังน้ำวนที่มีเล่ากันว่ามีชาวลาวตกน้ำตายที่วังน้ำวนหลายศพ เวลาชาวบ้านไปทำไร่ในพื้นที่แห่งนั้นก็จะเรียกว่าไป วังลาว และเรียกกันจนติดปาก เมื่อมาตั้งหมู่บ้านจึงเรียกว่า หมู่บ้านวังลาวมาจนถึงทุกวันนี้ (หน้า 38) |
|
Settlement Pattern |
บ้านวังลาว เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนที่ราบกลางหุบเขา สาเหตุที่เลือกพื้นที่ที่เป็นป่าเขา ก็เนื่องมาจากความผูกพันและเคยชินจากภูมิประเทศดั้งเดิมที่เคยอยู่มาก่อน และจากความเชื่อที่ว่าการมีทรัพยากรที่เป็นป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร จะทำให้มีอยู่มีกินตลอดปี อาณาเขตของหมู่บ้าน จะมีทิศเหนือติดพม่า ทิศตะวันออกติดกับลาว มีแม่น้ำรวกเป็นเส้นแดนแบ่งกับพม่า และแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนที่แบ่งกับประเทศลาว ส่วนทางทิศตะวันตก กับทิศใต้ มีภูเขาล้อมรอบก่อนจะเป็นอำเภอแม่จัน และแม่สาย (หน้า 30) ส่วนการสร้างบ้านเรือนจะปลูกบ้านกระจายตามสองข้างถนน และพื้นที่ลาดเอียงตามไหล่เขา ตัวบ้านจะก่อสร้างด้วยวัสดุที่มั่นคง ไม่มีรั้วกั้นเขตแดนระหว่างบ้าน เพื่อสะดวกในการดูแลรักษาความสะอาด และการไปมาหาสู่ระหว่างเพื่อนบ้าน ภายในบริเวณบ้านจะมีพวกพืชผักสวนครัวและไม้ผลต่าง ๆ เพื่อให้ร่มเงา และบริเวณได้ตามฤดูกาล (หน้า 35) |
|
Demography |
ประชากรบ้านวังลาวมีจำนวน 477 คน ประกอบด้วย 121 ครัวเรือน แบ่งเป็นเพศชาย 231 คน เพศหญิง 246 คน (หน้า 34) |
|
Economy |
ชาวบ้านวังลาวมีอาชีพหลัก คือ การทำการเกษตร แต่ละครอบครัวจะปลูกข้าวเพื่อไว้บริโภค โดยใช้แรงงานของคนในครอบครัว ผลผลิตที่ได้จะเก็บไว้กินในครอบครัวก่อน ถ้าเหลือจึงจะขาย เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้ หลังเสร็จสิ้นการปลูกข้าว ชาวบ้านวังลาวยังมีอาชีพเสริม โดยการปลูกพืชอื่น ๆ เช่น มันฝรั่ง ถั่วเหลือง ข้าวโพด หรือการทำอาชีพเสริมอื่น ๆ เช่น การทำข้าวเกรียบ ค้าขาย เลี้ยงสัตว์ และรับจ้างทั่วไป (หน้า 48) |
|
Social Organization |
วิถีการดำรงชีวิตของสมาชิกในหมู่บ้านวังลาวที่ปฏิบัติมาตลอดและได้ถ่ายทอดสู่ลูกหลานมาจนถึงทุกวันนี้ จนทำให้สมาชิกทุกคนในหมู่บ้านมีความเคารพนับถือและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน คือ การยึดเอาผู้อาวุโสเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทุกๆด้าน ด้วยความเต็มใจ รวมถึงการช่วยจัดเตรียมงานบุญ ประเพณี ประจำปีของหมู่บ้าน ก็จะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี หรือมีการพูดคุย แลกเปลี่ยนในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้าน หรือเมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ก็จะได้รับการเยี่ยมเยียนจากเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยหายไว ๆ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวมานี้จะได้รับการปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอ ความสัมพันธ์ทางสังคมแบบนี้ส่งผลให้เกิดเครือข่ายที่เหนียวแน่น ทุกคนมีความเป็นพี่เป็นน้องกัน หมู่บ้านจึงเป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ที่มีผู้ใหญ่บ้านกับโรงเรียนเป็นพ่อแม่ มีวัดเป็นปู่ย่าตายาย และครอบครัวในแต่ละเขตเป็นลูก ๆ ที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี จึงทำให้สังคมหมู่บ้านอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่มีความขัดแย้งในหมู่บ้าน มีแต่ความอบอุ่นและจริงใจ (หน้า 54) การที่ชุมชนมีเงื่อนไขและปัจจัยที่เอื้อต่อการมีวิถีชีวิตของตนเอง บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชน และมีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เรียกว่า การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรม ความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดจากบรรพบุรุษจึงมีโอกาสได้รับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 56) กลไกที่คนไทลื้อใช้ในการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมในชุมชนบ้านวังลาว คือผู้ที่มีบทบาทในชุมชน เช่น พระสงฆ์ หัวหน้าครอบครัวผู้นำชุมชน ผู้อาวุโส ครู กลุ่มและองค์กร สถาบันต่างๆ รวมทั้งกระบวนการทางสังคมและปฏิบัติการทางสังคมในชุมชน ซึ่งกลไกดังกล่าวมานี้มีความสำคัญต่อการผลิตซ้ำด้านความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิต และความสัมพันธ์ภายในชุมชน (หน้า 103) |
|
Political Organization |
การปกครองของบ้านวังลาว จะเป็นการปกครองตามระบบที่ทางราชการกำหนด โดยมีผู้ใหญ่บ้านและกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้ดูแล ปกครองหมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้านประกอบด้วย 8 ฝ่าย ดังนี้ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายป้องกัน ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายพัฒนาสตรี ฝ่ายการคลัง ฝ่ายการศึกษาและวัฒนธรรม และฝ่ายสวัสดิการสังคม ซึ่งแต่ละฝ่ายจะมีหัวหน้าฝ่ายเป็นผู้กำกับดูแล โดยบทบาทหน้าที่ที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับปะชาชน การบริหารและการปกครองของหมู่บ้านจะอยู่ภายใต้การควบคุมของอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อสะดวกในการดูแล และประสานงานในกิจกรรมต่าง ๆ ทางหมู่บ้านได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 6 เขต โดยมีเขตละ 20 ครอบครัว และมีหัวหน้าเขตเป็นผู้ดูแล (หน้า 39) |
|
Belief System |
หมู่บ้านวังลาวมีประเพณี ความเชื่อความศรัทธาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างมั่นคง ทำให้มีวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวกับศาสนา สังคม และความเชื่อต่าง ๆ ในรอบเวลา 1 ปี จะมีประเพณีที่เกี่ยวข้องดังกล่าวมากมาย เช่น ประเพณีที่เกี่ยวกับศาสนา คือ ประเพณีเข้าพรรษา ออกพรรษา บวชนาค ประเพณีที่เกี่ยวกับความเชื่อในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือ ประเพณีตานธรรม ประเพณีการฮ้องขวัญ ประเพณีปู่จาเตียน ประเพณีการสงเคราะห์และประเพณีทำบุญเสาใจบ้าน หรือประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสังคม วิถีชีวิต เช่น ประเพณีการเกิด การตาย การแต่งงาน และขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งประเพณีเหล่านี้ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน (หน้า 53) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาในหมู่บ้านวังลาว นับว่ามีความสำคัญมากต่อการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมภายใน สถานศึกษาที่หน่วยงานราชการจัดให้ คือ โรงเรียนบ้านวังลาว ปัจจุบันได้แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 อย่าง คือ การศึกษาในระบบที่มีเนื้อหาในการเรียนการสอนให้อ่านออก เขียนได้ รู้วัฒนธรรม ประเพณีในชุมชน เข้าใจการใช้ชีวิตและสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ส่วนการศึกษานอกระบบ จะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตที่มีแบบแผน เข้าใจในขนบธรรมเนียม ประเพณีของชุมชนตนเอง จากเนื้อหาการเรียนการสอนของการศึกษาทั้ง 2 ระบบนี้ จึงไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาด ถึงแม้ว่าจะมีความต่างกันบ้างในบทบาทหน้าที่ (หน้า 44) |
|
Health and Medicine |
ในด้านการรักษาพยาบาล ถึงแม้ว่าบ้านวังลาวแยกตัวออกมาจากบ้านสบรวก แต่ยังคงใช้สถานีอนามัยร่วมกันอยู่ โดยหน้าที่หลักของสถานีอนามัย คือ การให้คำแนะนำด้านการรักษาสุขภาพอนามัย บริการตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ รวมทั้งการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ถ้ามีผู้ป่วยหนักก็จะมีหน้าที่ส่งตัวผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลประจำอำเภอต่อไป นอกจากนั้นในแต่ละหมู่บ้านก็จะมี อสม. ประจำหมู่บ้านที่ทำหน้าที่คล้ายกันกับเจ้าหน้าที่อนามัย เพียงแต่อยู่ในชุมชน และสามารถเรียกใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่สิ่งที่ปรากฏชัดในด้านการรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วยของคนในชุมชนนั้น ยังคงใช้การรักษาแบบดั้งเดิม โดยใช้สมุนไพรในการรักษา และยังมีความเชื่อเรื่องผี การบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ ควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบัน (หน้า 48) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของชายไทลื้อในอดีต จะสวมเสื้อผ้าพื้นเมืองที่ตัดและเย็บด้วยมือ กางเกงเหมือนกางเกงขาก๊วยเป้าลึก มี 3 ตะเข็บ เรียกว่า เตี่ยว 3 ดูก เสื้อจะเป็นเสื้อตัวสั้น ย้อมด้วยห้อม(สีคราม)ทั้งเสื้อและกางเกง นี่คือชุดปกติ แต่ถ้าเป็นช่วงโอกาสพิเศษ เช่น การไปงานบุญงานบวช ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน หรืองานอื่น ๆ ก็จะมีผ้าเช็ดพาดบ่าและผ้าโพกศีรษะ หากเป็นเวลาที่ต้องไปทำงานกลางไร่กลางนา หรือเข้าป่าหาเก็บผักหักฟืน ก็จะมีย่ามแดงติดตัวไปด้วย ส่วนการแต่งกายของชายไทลื้อในปัจจุบัน วัยเด็กหรือวัยรุ่นจะใส่เสื้อผ้าที่เป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่มีขายตามท้องตลาด เพียงแต่จะเลือกเสื้อผ้าที่ความเก่าใหม่ว่าจะเหมาะกับกาลเทศะใด เช่น ถ้าไปทำไร่ก็เลือกเสื้อผ้าที่เก่าแล้ว แต่ถ้าไปตามงานในวาระพิเศษหรือแม้แต่อยู่กับบ้าน ก็จะใช้เสื้อผ้าที่ใหม่ ส่วนผู้ใหญ่ยังคงใส่เสื้อผ้าที่เป็นแบบเดิม เลือกความเก่าใหม่ตามกาลเทศะเช่นเดียวกับวัยรุ่น ส่วนการไปตามงานพิธีต่าง ๆ เสื้อผ้าจะมีสีสันมากขึ้น กางเกงจะเป็นทรงตรง ไม่มีผ้าพาดบ่า ผมตัดทรงสมัยไม่มีผ้าโพกหัว ย่ามสีแดงก็ใช้น้อยลง การแต่งกายของหญิงไทลื้อในอดีต หญิงไทลื้อนิยมสวมใส่ผ้าซิ่นที่ทอเอง ด้วยลวดลายต่าง ๆ ที่สวยงาม โดยลายของผ้าซิ่นจะบ่งบอกให้รู้ถึงความสามารถในการใช้สี คิดลวดลายของคนทอ ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อรัดรูปที่ตัดเย็บด้วยมือ มีผ้าโพกหัวเป็นสีขาวและสีชมพู ที่เอวจะคาดเข็มขัดที่ทำด้วยเงิน แขนและข้อมือจะสวมกำไลเงิน ผมจะทำเป็นมวยและเสียบด้วยปิ่นปักผมที่ทำด้วยเงินเช่นกัน ค่านิยมแต่งกายพร้อมเครื่องประดับนี้ จะแต่งในวาระสำคัญๆ เช่น งานบุญประเพณีประจำหมู่บ้าน หากเวลาอยู่กับบ้านหรือทำงานในไร่ จะไม่สวมใส่เครื่องประดับใดๆ เสื้อผ้าก็จะเป็นชุดเก่าที่ใช้มานาน ส่วนในปัจจุบันการแต่งกายของหญิงไทลื้อได้เปลี่ยนไป วัยรุ่นหญิงจะแต่งตัวตามสมัยนิยม แต่หากเป็นเวลาอยู่กับบ้านจะสวมเสื้อผ้าฝ้ายหรือผ้าพื้นสีขุ่น สวมผ้าถุง (ซิ่นโสร่ง) ที่ซื้อจากตลาด ถ้าเป็นหญิงวัยกลางคนขึ้นไปยังสวมเสื้อปั๊ด และผ้าซิ่นโสร่ง ถ้าเป็นหญิงสูงอายุจะมีผ้าโพกศีรษะด้วย เวลามีเทศกาลงานบุญหรือมีโอกาสพิเศษ ก็จะสวมเสื้อปั๊ดกับผ้าซิ่นทอมือ (หน้า 79-80) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ของคนในชุมชน จะยึดถือเรื่องอาวุโสเป็นหลักปฏิบัติ ในการทำกิจกรรมของหมู่บ้านจะมีพระ มัคนายก ผู้อาวุโส และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมร่วมกับคนในชุมชน ซึ่งเป็นการร่วมมือร่วมใจกันทำกิจกรรมของหมู่บ้านเป็นอย่างดี เกิดความอบอุ่นขึ้นในชุมชน ส่วนความสัมพันธ์กับชุมชนอื่น ๆ ก็มีความสัมพันธ์ในด้านการติดต่อค้าขาย หรือการแต่งงานข้ามหมู่บ้านกัน และการไปมาหาสู่กันระหว่างผู้อาวุโสของแต่ละหมู่บ้าน ทำให้ความสัมพันธ์ยังคงมีความเหนียวแน่น (หน้า 52) การติดต่อกับชุมชนภายนอกจะมีค่อนข้างน้อย เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น การขาดความมั่นใจในเรื่องภาษาที่พูด ทำให้กลัวถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนภายนอก และจากการที่ไทลื้อเป็นกลุ่มชนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทย จึงกลัวถูกตรวจค้นระหว่างทางหากจะต้องออกมาภายนอกชุมชน ในด้านการติดต่อค้าขายนั้นจะมีตัวแทนจากรัฐมาเป็นตัวกลางในการประสานงานกับผู้นำหมู่บ้าน โดยที่ชาวบ้านไม่ต้องไปติดต่อเอง จึงไม่มีความจำเป็นที่ไทลื้อจะออกมานอกหมู่บ้าน ยกเว้นกลุ่มเยาวชนที่สามารถพูดภาษาคำเมืองได้เท่านั้น ที่จะออกมานอกชุมชนบ้าง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลงานรื่นเริงเท่านั้น (หน้า 55) ระบบความสัมพันธ์ที่แสดงออกภายในชุมชนสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบดังนี้ 1. ระบบความสัมพันธ์ที่แสดงออกระหว่างคนกับคน - คนในครอบครัว - คนกับชุมชน - ชุมชนกับชุมชน 2. ระบบความสัมพันธ์ที่แสดงออกระหว่างคนกับธรรมชาติ - คนกับป่า - ชุมชนกับป่า 3. ระบบความสัมพันธ์ที่แสดงออกระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ - การนับถือผีต่างๆ - ความเชื่อด้านต่างๆ ที่เข้ามาสัมพันธ์กับการดำรงชีวิต (หน้า 93-94) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ค่านิยมการแต่งกายของไทลื้อมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เนื่องจากสภาพทางเศรษฐกิจและเงื่อนไขทางด้านเวลาไม่เอื้ออำนวยให้มานั่งทอผ้าใช้เองอีกแล้ว ประกอบกับสภาวะอากาศที่ไม่ค่อยหนาวเย็นเหมือนในอดีตที่อาศัยอยู่ในสิบสองปันนา จึงไม่จำเป็นที่ต้องใส่เสื้อผ้าหนา ๆ และที่สำคัญคือมีเสื้อผ้าที่ซื้อหาได้ง่ายตามท้องตลาด สะดวก รวดเร็ว และราคาถูก ทำให้ไทลื้อหันมานิยมซื้อเสื้อผ้าตามท้องตลาดไว้สวมใส่ แทนการทอผ้าใช้เอง แต่อย่างไรก็ตาม เอกลักษณ์และค่านิยมด้านการแต่งกายยังคงมีเหลือเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง โดยจะเห็นได้จากการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบไทลื้อและใช้ผ้าที่ทอใช้เอง ในเทศกาลสำคัญๆ จะเห็นว่าคนในชุมชนยังให้คุณค่าและความสำคัญด้านการแต่งกายแบบไทลื้ออยู่ ถึงแม้โอกาสในการสวมใส่จะเปลี่ยนไป แสดงให้เห็นว่า ไทลื้อยังคงให้ความสำคัญกับการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไทลื้อไว้ วัฒนธรรมด้านการแต่งกายจึงต้องมีการผลิตซ้ำ (หน้า 80) ในด้านความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากปัจจุบันบ้านวังลาวไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ได้มีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลภายนอกในทุกๆด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา ที่จะต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้เท่าทันกับข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สามารถดูแลและป้องกันตนเองได้ ในด้านการพัฒนาต่างๆ ทางราชการได้แต่งตั้งให้หมู่บ้านวังลาวเป็นหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง เขตชายแดน ทำให้มีเจ้าหน้าที่และบุคลากรจากหลายหน่วยงานเข้าไปจัดกิจกรรมต่างๆภายในหมู่บ้าน ซึ่งก็คือการนำพาความเปลี่ยนแปลงเข้าสู่หมู่บ้านด้วยส่วนหนึ่ง (หน้า 103) |
|
Map/Illustration |
รูปภาพที่ 1 ภาพแสดงเครื่องแต่งกายไทลื้อ หน้า 81 " 2 ภาพแสดงอาหารที่ไทลื้อนิยมรับประทาน " 87 " 3 ภาพแสดงอาหารประเภทปิ้ง " 88 " 4 ภาพแสดงอาหารประเภทย่าง " 88 |
|
|