|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเลิง,สภาพความเป็นอยู่,ความเชื่อ,เศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,สกลนคร |
Author |
สุรัตน์ วรางค์รัตน์ |
Title |
กะเลิง : การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กะเลิง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
81 |
Year |
2531 |
Source |
สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย |
Abstract |
กะเลิง บ้านกุดแฮด อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี้เป็นเวลานานแล้ว เพื่อหาที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์ แต่เดิมกะเลิงหาของป่า ล่าสัตว์ในบริเวณเทือกเขาพูพาน เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้นและทางการเข้มงวดกับการหาของป่า กะเลิงจึงหันมาทำไร่ ทำนา และปลูกมันสำปะหลัง เลี้ยงสัตว์ ไม่นิยมค้าขายและทำสวน กะเลิงมีความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณและพุทธศาสนาควบคู่กันไป แต่เดิมกะเลิงไม่นิยมแต่งงานกับชนกลุ่มอื่น แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป ชายหนุ่มในหมู่บ้านนิยมไปแต่งงานกับหญิงสาวในหมู่บ้านอื่น เช่นเดียวกันกับหญิงสาวกะเลิงที่นิยมแต่งงานกับผู้ชายหมู่บ้านอื่น กะเลิงมีวรรณกรรมหรือนิทานพื้นบ้านเป็นทำนองเรื่องของตนเอง เรื่องที่เล่ามักเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางเพศซึ่งกะเลิงเห็นเป็นเรื่องสนุกและเป็นธรรมชาติของมนุษย์ นอกจากนี้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผี แต่เป็นผีที่ขบขัน ไม่น่ากลัว นิยมแต่งกลอนเพื่อขับขานในงานบุญที่วัด |
|
Focus |
วิเคราะห์ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน สภาพภูมิศาสตร์ ระบบเศรษฐกิจ ระบบความเชื่อของการแต่งงาน ระบบครอบครัว ภาษา วรรณกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิง ที่บ้านกุดแฮด อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร เพื่ออธิบายการปรับตัวของกะเลิงและการคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นกะเลิง โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์และมีส่วนร่วมในกิจกรรมของกะเลิง |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเลิง ที่บ้านกุดแฮด อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กะเลิงใช้ภาษากะเลิงซึ่งเป็นภาษาถิ่นหนึ่งในกลุ่ม PH สาขาตะวันตกเฉียงใต้ในตระกูลภาษาไทหรือภาษาไต (Tai Family) ภาษากะเลิงมีลักษณะคล้ายภาษาไทถิ่นอีสานทั่วไป คือ ไม่มีเสียง ร/r/ และ ช/ ch/ แต่เป็นเสียง ล / l/ และ ซ / s แทนคำที่เป็นเสียง ร/r/ ใช้ในภาษาไทย บางคำเป็นเสียง ฮ, ห/ h เสียงพยัญชนะของภาษากะเลิง มี 19 หน่วยเสียง ทั้งหมดสามารถเป็นพยัญชนะต้นเดี่ยวในพยางค์ มีสระเดี่ยว 18 หน่วยเสียง สระประสม 3 หน่วยเสียง มีระบบเสียงวรรณยุกต์ 5 หน่วยเสียง (หน้า 34-35) |
|
Study Period (Data Collection) |
การวิจัย มีระยะเวลา 2 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2529-2530 (หน้า ฒ) |
|
History of the Group and Community |
มีผู้สันนิษฐานทางหลักนิรุกติศาสตร์ ว่าชาวจีนเรียกกะเลิงว่า คุณ-ลุน (K' un- lun) หรือ กูรุง (Kurung) ต่อมากลายเป็นคำว่า กะลุง (Klung) ในภาษาจาม แต่เดิมกะเลิงมีหลักแหล่งอยู่ในบริเวณตะวันตกของเทือกเขาอาก และ ฝั่งซ้ายลุ่มน้ำตะโปน และที่ต้นน้ำเซบังเหียน
กะเลิงในจังหวัดสกลนคร กลุ่มต่างๆ เล่าว่าบรรพบุรุษของตนอพยพมาจากฝั่งซ้ายทั้งสิ้น แต่ไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่าอพยพมาจากแห่งใดปีใด เพราะมีการอพยพมาหลายครั้งหลายรุ่น ดังนี้
- ในพุทธศตวรรษที่ 22-23 มีการอพยพมาจากอาณาจักรล้านช้างเป็นจำนวนมาก เพราะเกิดการขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้นำชนพื้นเมืองกับราชสำนักเวียงจันทน์ ได้อพยพมาอยู่ที่เมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองสุวรรณภูมิ เมืองมุกดาหาร
- ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี กลุ่มพระวอพระตาได้อพยพมาเวียงจันทน์ มาตั้งอยู่ที่เมืองเขื่อนขันกาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลำภู) เมื่อเจ้าสิริบุญสารได้ยกทัพมาปราบ กลุ่มของพระวอพระตาได้อพยพไปตั้งอยู่แถบเมืองยโสธร และอุบลราชธานี อีกกลุ่มหนึ่งไปตั้งอยู่ที่เมืองกาฬสินธุ์ บุตรหลานของกลุ่มนี้อพยพต่อไปตั้งเมืองอยู่ที่บ้านธาตุเชิงชุมหรือจังหวัดสกลนคร
- ในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้า (พ.ศ. 2367-2394) ได้ส่งกองทัพไปตีเวียงจันทน์และได้กวาดต้อนผู้คนจำนวนมากมาอยู่ในภาคอีสาน ในการกวาดต้อนครั้งนี้มีการกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิงปรากฏอยู่ในเอกสารพื้นเวียง
- ในสมัยรัชกาลที่ 5 การปราบปรามฮ่อ 2 ครั้ง ใน พ.ศ. 2426 และ พ.ศ. 2428-2430 และการปักด่านจากกรณีกับฝรั่งเศส ที่เมืองภูวดลสอางเชิงเขาอากใกล้เมืองมหาชัยกองแก้ว ทำให้มีการอพยพของผู้คนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้ามากับกองทัพสกลนคร
แม้จะมีการอพยพเข้ามาหลายครั้งหลายคราว และจากเหตุการณ์ต่างๆ พอจะสรุปได้ว่า กะเลิงส่วนใหญ่อพยพมาอยู่ในเขตเมืองสกลนคร ในช่วง พ.ศ. 2426-2430 และจากการสัมภาษณ์กะเลิงผู้อาวุโสในหมู่บ้านกุดแฮด ให้การว่า พวกตนมาจากเมืองมหาชัยกองแก้ว อพยพมาอยู่เมืองสกลนคร หลายพื้นที่ด้วยกัน มีบริเวณบ้านโพธิ์สามต้น บ้านดอนเชียงบาน บ้านโพธิ์ศรี หลังจากนั้นได้อพยพขึ้นสู่ไหล่เขาภูพานบริเวณห้วยกุดแข้ และเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้น กะเลิงได้อพยพแยกเป็น 3 กลุ่ม คือไปตั้งอยู่ที่บ้านหนองสะไน ไปตั้งอยู่ที่บ้านโพนงาม และไปตั้งอยู่ที่บ้านกุดแฮด (หน้า 1-8) |
|
Settlement Pattern |
กะเลิงชอบตั้งบ้านเรือนตามไหล่เขา (หน้า 10) |
|
Demography |
บ้านกุดแฮดมีประชากร 269 หลังคาเรือน เป็นเพศชาย 906 คน เพศหญิง 842 คน (ทำเนียบตำบลหมู่บ้านจังหวัดสกลนคร 2529 - หน้า 14) |
|
Economy |
กะเลิงมีอาชีพ ปลูกข้าวไร่ ทำนา ทำไร่ เช่น ไร่พริก ไร่แตง หาของป่า ล่าสัตว์ ปลูกมันสำปะหลัง เลี้ยงสัตว์ โรงสีข้าว มีการใช้ระบบแลกเปลี่ยนกับผลผลิตกัน เช่น พริก เสื้อผ้า เกลือ แลกกับข้าว โดยถือจำนวนข้าวเป็นมาตรฐานในการแลกเปลี่ยน จึงมีการปลูกข้าวเป็นหลัก เมื่อมีเวลาว่างจึงปลูกพืชชนิดอื่นเสริม มีการประสบปัญหาจากภัยธรรมชาติบ้างในบางปี เช่น ถูกรบกวนจากสัตว์ป่า ความแห้งแล้ง แต่ผลผลิตข้าวก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์สูงเพราะความอุดมสมบูรณ์ของดิน นอกจากนี้ยังมีการหาหน่อไม้ไปขายในตลาดอำเภอกุดบาก การหาหน่อไม้ในปัจจุบันประสบปัญหาการขาดแคลนผลิตผล การเลี้ยงสัตว์ที่นิยมกัน มี หมู ที่เรียกว่าหมูกะเลิงหรือหมูกี้ มีโรงสีข้าวขนาดกลาง 5 แห่ง แต่เป็นของกะเลิง 2 แห่งนอกจากนั้นเป็นของ ย้อ และผู้ไทย
การทำไร่ ต้องใช้พื้นที่มากพอสมควร กะเลิงจึงไปถากถางป่าตามเชิงเขาที่ชายหมู่บ้าน โดยใช้อุปกรณ์สำคัญ เรียกว่า หมากจิ๊ก เป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ใช้ในการบุกเบิกถางป่าและใช้ขุดหลุมหยอดเมล็ดข้าว มีรูปร่างคล้ายจอบแต่มีขนาดเล็กกว่า ที่ส่วนหัวเป็นแฉกสามเหลี่ยมหน้าจั่วใช้สำหรับงัดรากไม้ ปัญหาของการปลูกข้าวไร่ คือ ปัญหาความแห้งแล้ง และการถูกสัตว์ป่ารบกวนทำลายต้นข้าว รวงข้าว ต้องแก้ปัญหาด้วยการออกไปเฝ้าไร่ในเวลากลางวัน ถากถางป่าหรือวัชพืชในบริเวณใกล้เคียง เมื่อพลบค่ำจึงนำพืชผักของป่าที่หาได้กลับบ้าน นอกจากนี้ยังมีปัญหาความแห้งแล้ง
การทำนา มีที่ราบเหมาะกับการทำนาที่ระหว่างห้วยอีด่อนและลำห้วยแม่ลัว ผลผลิตข้าวต่อไร่นับว่าอยู่ในเกณฑ์สูง ไม่ต้องใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ โดยชาวบ้านใช้พันธุ์ข้าวพื้นบ้าน เพราะให้ผลผลิตสูง การทำนานี้ยังมีการลงแขกกันในระหว่างเครือญาติ นอกจากนี้มีปัญหาในการทำนาบ้างในบางปี จากการขาดแคลนน้ำ ความแห้งแล้ง
การหาของป่า นิยมไปหาหน่อไม้ ผักหวาน เห็ด ตามภูเขา หน่อไม้จำนวนมากจะนำมาขายในชุมชนกลางหมู่บ้านหรือนำไปขายที่ตลาดอำเภอกุดบากหรือตลาดสดในเมืองสกลนคร บางครอบครัวรับซื้อหน่อไม้จากเพื่อนบ้านนำมาทำหน่อไม้ดองขาย แต่ในปัจจุบันการหาหน่อไม้นั้นมีการขาดแคลน เพราะหากันมาก อีกทั้งทางการได้ห้ามเพราะถือว่าเป็นการทำลายป่า จึงจำกัดพื้นที่ตามป่าละเมาะและไร่นา
การหาเห็ด ในต้นฤดูฝน การล่าสัตว์ เช่นหมูป่า เก้ง
การแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร เมื่อขาดแคลนข้าวกะเลิงจะนำหัวเผือก หัวกลอย ไปแช่น้ำในห้วยเป็นเวลานานๆ ก่อนนำมาหุงต้มเป็นอาหาร และนำเมล็ดไผ่หรือขุยไผ่มาตำแล้วนำเปลือกประดู่มาตำบดให้ละเอียดนำไปผสมกับขุยไผ่แล้วนำไปนึ่งรับประทานแทนข้าว เปลือกประดู่มียางทำให้ขุยไผ่มีรสอร่อยและนุ่ม (หน้า 11-19) |
|
Social Organization |
กะเลิงในอำเภอนี้มีความผูกพันแบบกระชับกับเครือญาติ โดยมีสกุลศรีมุกดาเป็นใหญ่สกุลของหมู่บ้าน สกุลที่รองลงมาคือ สกุลวงศ์ลา และสกุลโททุมพล และมีสกุลเล็กๆ ที่เพิ่งเข้ามาไม่นานคือ สกุลพงษ์ไพบูลย์ เป็นย้อ สกุลพลราชม สกุลใจศิริ สกุลสิงหนลาย เป็นชาวผู้ไทย (หน้า 1)
นอกจากนี้ยังมีระบบการช่วยเหลือกันคือ การลงแขกเอาแรงระหว่างกลุ่มญาติพี่น้อง (หน้า 14) การแต่งงาน การแต่งงานเกิดจากความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายจะขอความเห็นจากฝ่ายหญิงในเรื่องจำนวนค่าฮีตค่าดองหรือสินสอดทองหมั้น จากนั้นฝ่ายชายจะติดต่อให้เฒ่าแก่ไปสู่ขอฝ่ายหญิงจากบิดามารดา โดยฝ่ายชายจะเตรียมขันห้าหรือขันแปด เทียนหนัก 1 บาทคู่หนึ่ง การแต่งงานเป็นไปตามฐานะทางเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ยุ่งยากมากนักสามารถตกลงกันได้ง่าย กะเลิงถือว่าผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว เจ้าสาวจะต้องกราบเท้าสามีก่อนนอนบนที่นอน
การเลือกคู่ครองของกะเลิงในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป แต่เดิมกะเลิงในบ้านกุดแฮดนิยมแต่งงานกันเองในหมู่บ้าน ให้ความสำคัญกับพี่น้องวงศ์ตระกูลของฝ่ายชาย แต่ความเชื่อในเรื่องนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในปี พ.ศ. 2529 หญิงกะเลิง 6 คนได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่เป็นคนงานทำถนนของบริษัทแห่งหนึ่งนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่องการแต่งงาน ในปัจจุบัน ชายกะเลิงนิยมไปหาผู้หญิงที่หมู่บ้านอื่น เพราะมองว่าหญิงกะเลิง เข็นฝ้าย ทอผ้า ไม่เป็น นอกจากนี้บางคนยังเห็นว่าหญิงกะเลิงบ้านกุดแฮดหัวโบราณ พูดยาก ผิวพรรณคล้ำ ตัวเตี้ย (หน้า 27-29) |
|
Belief System |
กะเลิงมีความเชื่อหลายอย่างคละกัน เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ความเชื่อในพุทธศาสนา
ระบบความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ มีความเชื่อเรื่องผี กะเลิงจะแบ่งผีออกเป็น 2 ระดับ คือ ผีชั้นสูง ได้แก่ผีพระ ผีเทวดา ผีแถน ผีมเหสักข์หรือผีปู่ตา ผีชั้นสูงเหล่านี้จะให้ความคุ้มครองปกป้อง และผีชั้นต่ำ ที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย คือ ผีน้ำ ผีฟ้า ผีเรือน ผีไร่ ผีนา ความเชื่อเรื่องผีทำให้เกิดพิธีกรรมและบุคคลที่เป็นสื่อกลางระหว่างคนกับผี มี เฒ่าจ้ำ แม่หมอ และลูกแก้ว
ความเชื่อเรื่อง "แจบ้าน" หรือเขตหวงห้ามในเรือน บ้านเรือนของกะเลิงจะห้ามเขยหรือสะใภ้เข้าแจบ้านอย่างเด็ดขาด หากฝ่าฝืนเชื่อว่าจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย
ระบบความเชื่อในพุทธศาสนา มีการทำบุญใส่บาตร มีวัดในหมู่บ้านและวัดได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์อยู่เสมอ มีความเชื่อเรื่องบุญ บาป นรก สวรรค์ มีกะเลิงบวชเป็นพระ และพระสงฆ์ในหมู่บ้านมีความเห็นเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีของชาวบ้านว่าไม่ขัดกับหลักพุทธศาสนา
นอกจากนี้ยังมีประเพณีต่าง ๆ เช่น ประเพณีการแต่งงาน การบูชาวิญญาณผีบรรพบุรุษของครอบครัว เจ้าของบ้านจะเชิญไว้ให้อยู่ที่เสาเอกของเรือน หรือส่วนที่เป็นมุมห้องด้านซ้ายของเรือนและห้ามผู้อื่นที่ไม่ใช่ลูกหลานพี่น้องของตระกูลนั้นเข้าไป (หน้า 19-30) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เชื่อว่าการเจ็บป่วยของมนุษย์เกิดจากโรคหรือเกิดจากผี การรักษาพยาบาลต้องทำให้ถูกกับสาเหตุของโรค เมื่อรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันไม่หายจะหันมารักษาทางหมอเยา และถ้ารักษาทางผีไม่หายก็อาจรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
การรักษากับผีนั้นจะมีสื่อหรือผู้รักษาคือ หมอเยา ในบ้านกุดแฮดมีหมอเยาหลายคนทั้งหญิงและชาย มีหน้าที่เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มารักษาคน เช่น เทวดา พระอินทร์ พระพรหม ผีระดับรองลงมา ผีน้ำ ผีฟ้า บุคคลที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านอีสาน เช่น ท้าวสินไซ ท้าวบุญถึงตองทึง นางกาไว จันไท ก้านก่อง อินตอง ฯลฯ หลังจากเชิญผีที่คิดว่าสำคัญเหล่านี้แล้วก็ยังมีการเชิญหมอมนต์ต่าง ๆ ที่เคยเป็นผู้รักษาพยาบาลมาช่วย ถ้าไม่หายจะมีการรักษาพยาบาลกับหมอสมุนไพร และการรักษากับแพทย์สมัยใหม่ (หน้า 22-23) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
มีนิทานหลายเรื่องของกะเลิง แต่ยกมาแค่ 4 เรื่อง คือ
นิทานเรื่องหอยเข้าก้น กล่าวถึง ลูกเขยที่ไปอยู่เรือนพ่อตาแม่ยายและมีน้องเมียซึ่งเกียจคร้านมาก เมื่อออกไปนาชอบนอนกลางวัน จนเขยรู้สึกรำคาญ วันหนึ่งเขยได้เก็บเอาหอยมาวางไว้ข้างก้นน้องเมีย แล้วร้องดัง ๆ ว่า "ลุกๆๆ หอยจะเข้าก้น ไม่ใช่ๆ หอยมันเข้าไปหลายตัวแล้ว" แล้วเรียกแม่เฒ่ามาดู แม่เฒ่าถามว่าทำอย่างไรจึงจะเอาหอยออกได้ เขยบอกว่าต้องไปหาผู้ชายที่มีอวัยวะเพศเลี้ยวซ้ายมาเอาหอยออกให้ แล้วก็ทำทีไปถามหาผู้ชายแบบนั้นทั่วบ้านทั่วเมืองก็ไม่มี จึงกลับมาบอกแม่เฒ่าว่าไม่มี แม่เฒ่ากลัวลูกสาวตายจึงถามว่าทำอย่างไร ลูกเขยบอกว่าตนมีคุณสมบัติเช่นนั้น เพื่อหวังจะได้น้องเมียเป็นเมียจึงคิดอุบายเอาหอยใส่พกผ้ารอบเอวแล้วเข้าไปหาน้องเมีย การช่วยเอาหอยออกก็คือการทำกิจกรรมทางเพศกับน้องเมียนั้นเอง แล้วก็แสร้างทำหอยหล่นไปด้วยจนหมด
เรื่องเขยเจ้าปัญญา เป็นการเปิดเผยความลับของตัวละคร คือลูกสาว เล่าว่ากลับมาจากงานศพแต่กลัวผีทำให้ต้องหาเพื่อนบ้านเดินมาส่ง และพลาดพลั้งเสียตัว เมื่อพ่อและแม่ได้ฟังก็ปลอบลูก โดยการเล่าประสบการณ์ตัวเองให้ฟัง ว่าเคยไปทำสัปดนไว้กับหนองน้ำ เมียมาเห็นเลยเกิดอับอายวิ่งหนีไปอยู่ที่หมู่บ้านอื่นแล้วหลับไป เณรมาเห็นเข้าตอนกำลังนอนหลับ เลยเอามีดโกนผมออกหมด กลายเป็นคนหัวโล้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็คิดกลับบ้านแต่กลัวว่าเมียจะจำตัวเองไม่ได้ เมื่อกลับไปถึงบ้านเมียเห็นก็จำไม่ได้จริง ๆ ร้องตกใจ ผัวเสียใจเลยวิ่งออกจากบ้าน จนเหนื่อยเลยไปนั่งอยู่ข้างก้อนหิน ตดออกมาเหม็นก็นึกว่าตัวเองตายแล้ว และก็หลับไป พอดีมีเกวียนขับผ่านมา เห็นคนนอนขวางทางอยู่เลยเอาไม้ตีให้ลุก ชายคนนั้นตื่นขึ้นมาก็นึกว่าคนขับเกวียนมีไม้วิเศษตีคนตายให้ฟื้นได้ จึงขอไม้ไว้ คนขับเกวียนก็ให้ ชายคนนั้นเลยออกรอนเร่ไปในเมือง พอดีพระธิดาเจ้าเมืองตาย เจ้าเมืองประกาศว่าใครทำให้พระธิดาฟื้นได้จะให้แต่งงานกับพระธิดา ชายคนนั้นเอาไม้ที่ได้จากคนขับเกวียนไปตีตามตัวพระธิดา พอดีพระธิดาฟื้นขึ้น จึงได้แต่งงานกัน
นิทานเรื่องผีตุ้มหมะล่วย มีตากับหลานไปดักสัตว์ พอดีเจอผีตุ้มหมะล่วย เลยเอาผีตุ้มหมะล่วยไปต้มกิน พอน้ำเดือดผีก็กระโดดออกมาจากหม้อ ตากับหลานเห็นผีหนีออกมาจากหม้อก็เลยวิ่งหนีขึ้นไปหาแม่ แต่ขึ้นเรือนไม่ได้หลานก็ร้องขอบันได บอกให้แม่ส่งบันไดมาให้แล้วร้องว่า "ผีตุ้มหมะล่วย ก้นเท่าหัวๆ เท่ามะแว้ง ตาเท่าแต่งโม" แม่ก็หย่อนบันไดเงินบันไดทองลงมาให้ และในขณะที่กำลังปีนบันไดหนีนั้น ผีตุ้มหมะล่วยเอาปากงับตีนไว้ ตรงนี้จึงเป็นตำนานว่าทำไมคนนิ้วตีนไม่เท่ากัน ต่อมาผีตุ้มหมะล่วยหิวข้าว จึงร้องขอให้แม่ส่งมาให้ แม่ก็เลยหย่อนหินลับมีดลงมาให้หินลับมีดทับหำผีตุ้มหละล่วย แล้วก็หย่อนสากะเบือลงมาทับผีตุ้มหมะล่วยอีก มีนกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้หัวเราะเยาะ ผีตุ้มหมะล่วยเลยเอาไม้ขว้างนกตกลงมาแล้วเอามาถอนขน ทำลาบกิน กินแล้วก็ไปถ่าย ด้วยความโกรธก็เอาไม้ตีนกที่กลายเป็นขี้ ๆ ก็เลยกระเด็นใส่หน้า
นิทานเรื่องกำพร้าผีน้อย มีกำพร้าผู้หนึ่งถูกผีจับไปทำสามี พอผีออกไปหากินก็เลยแอบหนี วิ่งผ่านทุ่งนา ผีตามมาทันก็เอาหัวซุกลงในหลุมหัวมัน ผีมาจับ ๆ ดูเห็นเกสรข้าวติดเต็มตัวก็นึกว่าตายแล้วเพราะเกสรข้ามเหมือนหนอนแมลงวัน จึงเอาเคียวกับหม้อมาให้บอกว่าอยากได้อะไรก็เอาเคียวเคาะหมอแล้วจะได้ทุกอย่างที่ปรารถนา กำพร้าผีน้อยกลับไปบ้านก็ทำดังว่าทำให้ร่ำรวยขึ้น มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งสงสัยมาถามว่าทำไมถึงรวยขึ้น กำพร้าผีน้อยก็เล่าให้ฟังทุกอย่างไม่ปิดบังและจะแบ่งสิ่งของให้ด้วย แต่ด้วยความโลภเพื่อนคนนี้ไม่เอา จะทำอย่างกำพร้าผีน้อยบ้าง จึงไปให้ผีจับไป พอหนีออกมาเอาหัวซุกลงในหลุมหัวมัน ผีตามมาทันก็มาจับ ๆ ดูเพื่อนคนนี้จั๊กกะจี้หัวเราะออกมา จึงถูกผีกัดคอตาย |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เอกลักษณ์ของกะเลิง : งานวิจัยมิได้ระบุเป็นหัวข้อเฉพาะ แต่พอสรุปเอกลักษณ์ของกะเลิง ได้แก่ 1. ความเชื่อ แบ่งออกเป็น เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ มีความเชื่อเรื่องผี แบ่งผีเป็น 2 ระดับ คือผีระดับสูงและผีชั้นต่ำ ความเชื่อเรื่องผีทำให้เกิดพิธีกรรมและบุคคลที่เป็นสื่อระหว่างผีกับคน เรียกว่า เฒ่าจ้ำ แม่หมอและลูกแก้ว ความเชื่อในพุทธศาสนา มีการทำบุญใส่บาตร มีวัดในหมู่บ้านและวัดได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์อยู่เสมอ มีความเชื่อเรื่องบุญ บาป นรก สวรรค์ ปรากฏอยู่ในคำกลอนของกะเลิง มีการแสดงขับลำหรือหมอลำ 2. ประเพณีและพิธีกรรม กะเลิงมีความเชื่อเรื่องผีจึงก่อให้เกิดพิธีกรรม เช่น ความเชื่อเรื่องวิญญาณผีบรรพบุรุษของครอบครัว การเลี้ยงผีปู่ตา มีประเพณีการแต่งงาน
3. วรรณกรรมและนิทาน กะเลิงมีนิทานที่นิยมเล่าสู่กันฟังหลายเรื่อง เช่น หอยเข้าก้น เขยเจ้าปัญญา ผีตุ้มหมะล่วย กำพร้าผีน้อย รวมถึงภาษาพูดของกะเลิง ไม่มีตัว ร และ ช แต่เป็นเสียง ล และ ซ แทน ออกเสียงขึ้นจมูก และมีคำพูดหลายคำที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ออกเสียงเฮ้ยลงท้ายประโยค
นอกจากนี้กะเลิงในทัศนะของย้อมองว่าเป็นคนพูดตรงไปตรงมา มีสำเนียงพูดห้วน ๆ สั้น ๆ กะเลิงอยู่ง่าย กินง่าย ไม่ชอบการดิ้นรน ไม่นิยมออกไปทำมาหากินต่างถิ่น มีความสามัคคีรักใคร่ในพวกพ้องของตนมาก (หน้า 30)
กะเลิงในทัศนะของผู้ไทย เห็นว่าประเพณีสู่ขอของกะเลิงไม่ยุ่งยาก เห็นว่ากะเลิงเชื่อในเรื่องผีเรือนมาก หญิงกะเลิงเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี แต่ไม่ขยันถ้าเทียบกับชาวผู้ไทย มีผิวคล้ำกว่าชาวผู้ไทย (หน้า 32-33) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในสมัยก่อนกะเลิงนิยมแต่งงานกันภายในหมู่บ้าน เพราะให้ความสำคัญเรื่องพี่น้องวงศ์ตระกูล แต่ความเชื่อนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป ในปัจจุบันฝ่ายชายได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดจากการแต่งงานกับหญิงกะเลิงบ้านเดียวกัน เพราะเห็นว่า หญิงสาวกะเลิงบ้านกุดแฮด เป็นพวกหัวโบราณ พูดยาก และผิดพรรณคล้ำ ตัวเตี้ย พิธีกรรมบางอย่างที่เคยทำในอดีตก็ถูกยกเลิกไป เช่น การสู่ขวัญวัว-ควาย การเลี้ยงผีตาแฮก การทำบุญข้าวเปลือก |
|
|